ทุกร่างมีองค์คุ้มครอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 12 พฤษภาคม 2008.

  1. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    คุณเต้าเจี้ยว อยากรู้ว่าผมเป็นใคร ก็ให้ตามไปดูในเว็บของผม www.satusanya.com ก็จะรู้ว่าผมเป็นอาจารย์หรือเป็นลูกศิษย์ คุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีมารยาท เห็นคนล้มแล้วก็ข้าม คุณไม่ให้เกียรติอดีตนายก เรียกอดีตท่านนายกทักษิณว่า "แม้ว" แบบนี้แน่นอนเป็นพวก "พันธมิตร" แต่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51เรียกพวกนี้ว่า "พันธมาร" ผมเองนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกของเขา แต่ผมชอบที่จะไปดูไปฟังให้มันมีการประเทืองปัญญา ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าแกนนำ นั้นเปลี่ยนจากชื่อ สนธิ ล้ิมทองกุล มาเป็น นายโกเต๊ก ล้ิมโกตั๊บ แล้วผมก็ไม่ชอบนายโกเต๊กเสียด้วย เพราะว่านายโกเต็กนั้นมีความสามารถเป็นเลิศในการโกงคนไทย นายโกเต็กทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แล้วเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ใช้เล่กลเพทุบายต่าง เพื่อโปรโมทหนังสือพิมพ์ของตนเอง ก็มีบรรดาผู้ลงทุนทั้งหลายก็คงจะหลายพันคนที่เข้าไปซื้อหุ้นของนายโกเต๊ก ในปี พ.ศ.2535 นั้น หุ้นหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ราคาหุ้นละ 160.00 บาท ซื้อหนึ่งพันหุ้นก็หนึ่งแสนหกหมื่นบาท มาเมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการถูกศาลสั่งล้มละลาย ราคาหุ้นผู้จัดการก็เหรือ 0 (ศูนย์) บาท

    แล้วเรื่องนี้ใครรับผิดชอบ คนที่ได้เงินใต้โต๊ะแล้วให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเข้าตลาดนั้นหรือ จะมารับผิดชอบ พวกเขาทำเหมือนกับโกงประชาชน ใครให้ใต้โต๊ะก็ให้บริษัทนั้นเข้าตลาด นายสนธิ หรือนายโกเต๊กนั้น โกงประชาชนไปหลายพันล้าน คนที่เล่นหุ้นนั้นเขาไม่สามารถที่จะไปแหกปากบอกใครเหมือน ASTV ได้ ซึ่งคนที่นั่งดู ASTV เป็นคนที่น่าสงสาร เป็นคนปัญญาอ่อน ไม่รู้ถึงตื้นลึกหนาบางของนายโกเต็ก แม้วนั้นจะเป็นใครก็ตาม แต่ผมขอเรียนว่า แม้แต่พรรคประชาธิปัตต์ในระดับแกนนำ ไม่สามารถที่จะเข้าไปเชียงใหม่ได้ ในเชียงใหม่นั้นใครใส่เสื้อเหลืองก็จะถูกคนรักเชียงใหม่ 51 รุม ก็คงจะไม่รุมจ่ายเงินให้นะจ๊ะ เพราะเสื้อแดงในเชียงใหม่นั้นพวกเขาพก "ตีนตบ"

    พวกเสื้อเหลืองนั้นก็เก่งแค่ในทำเนียบเท่านั้นเอง ถ้าพวกเขาแน่จริงก็ลองไปเชียงใหม่ดู กลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 นั้น พวกเขาเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะยกกันมาที่ทำเนียบ แต่มันอยู่ที่ว่าทางกรุงเทพฯเขาจะยอมให้ทำหรือไม่ เท่านั้นเอง

    องค์อะไรนะหรือ น่าจะเป็นองค์เต้าหู้ ถ้าเป็นองค์เต้าเจี่ยวนั้น มันดองเสียจนจะบูดเน่าอยู่แล้ว
    อย่าทำตนเป็นเด็กวานซืนที่ไม่รู้จักมารยาท คำพูดที่ว่า "แม้ว" นั้น น่าจะเป็นพวกที่สวามิภักดิ์กับพวกเสื้อเหลืองพูด ถึงแม้ว่าเวลานี้ท่านจะตัดสินจำคุก ๒ ปี ก็อย่าไปพึ่งข้ามท่าน เพราะท่านนายกทักษิณนั้น ท่านยังไม่ได้พูดว่าการรบครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นเพียงแค่เริ่มต้น การ Phone in เข้ามาครั้งแรกนั้น พวกเขาเพียงแค่ได้ยินเสียงก็ขาสั่นกันไปหมดแล้ว ในครั้งที่ ๒ นี้ วันที่ ๑๓ ธ.ค. 2551 จะเกิดอาการเป็นลม กี่คน ก็คงจะไม่รู้ได้

    หิ่งห้อยหรือจะแข่งกันแสงจันทร์ มีเงินกี่ล้านบาทกล้าไปด่าคนที่มีเงินหมื่น ๆ ล้าน ถ้าเขาไม่ดีก็ฟ้องขึ้นศาล จับเข้าคุกไป ก็ไม่เห็นว่ามีใครว่าอะไรได้เลย จะจับนายกทักษิณนั้น น่าจะจับพวกพันธมิตรทั้ง ๕ ให้ได้เสียก่อน "ทำกับข้าวมีความผิด ยึดทำเนียบถูกปล่อย" มันก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ แล้ว สาธุ ประเทศไทย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฮ้อ... เวรกรรม ของ ประเทศไทย

    ทำไมมันอยากเป็น เจ้าของ กันนัก สุมไฟกันเข้าไป

    อยู่ประเทศไทยก็ควรนึกถึง พ่อหลวง

    อยากรับใช้ บ้านเมือง อยากอาสาเพื่อบ้านเมือง ก็ควรเสียสละ เพื่อ พ่อหลวง เพื่อชาวบ้าน ตาดำๆ

    แต่ถ้าอยากรับใช้พวกมีกะตังค์ พวกที่ไม่รู้คุณแผ่นดิน ไม่รู้คุณพ่อหลวง ก็แล้วแต่ใจ

    เพราะ กรรมใคร กรรมมัน ทำไปแล้วมันก็ผูกอยู่บนหัวนั่นแหละ เป็นทาสเขาตลอดไป

    ไท แปลว่า อิสระ ไม่เป็นทาสใคร
     
  3. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    ก็ขอขอบพระคุณหลวงพี่ k.kwan เป็นอย่างมาก ที่ได้เข้ามาแนะนำสอนธรรมะให้ฟัง แต่ผมเองนั้นเคยไปเรียน "อภิธรรม" กับ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต มาแล้ว ๒ ปี แต่มันไม่ถูกจริต ซึ่งถ้าคุณ k.kwan นั้นไม่รู้จักอาจารย์สัจินต์ ละก้อ สงสัยว่าจะเอา "มะพร้าวห้าวมาขายสวน" ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ผมเองนั้นไม่เคยทำตนเป็นกบในกะลาครอบ จะไปเรียนวิชาทุกอย่างที่คนบอกว่าดี

    ถ้ายังไม่เคยรู้จัก อาจารย์สุจินต์ ก็เข้าไปใน Google แล้วพิมพ์ชื่อท่านลงไป ก็จะเจอธรรมะมากมายที่ท่านสอน แต่ถ้าคุณ K.kwan นั้น สำเร็จเป็น พระอรหันต์ เทียบเท่า พระแม่กวนอิมแล้วก็ต้องขอประทานโทษด้วย
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ดู ตัวตน ของท่าน เองเถิด ด้วย สติ พิจารณา ว่าเป็นตน หรือเป็นครื่องมือของใคร

    เรา ก็เป็นแค่ ปถุชนคนมีสติ แม่บ้าน ลูกสอง สามี หนึ่ง เท่านั้น

    แต่เราพูดในนาม พสกนิกรของพ่อหลวง และเป็น ชาวบ้านตาดำคนหนึ่ง

    ที่เห็น แล้ว อดไม่ได้ แค่นั้น ไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูง จะไปเป็นลิเก หลงโรง นะท่าน

    ประเทศไทย อยู่ได้ด้วยพระบารมี คนใด คิดคด ย่อมแพ้ภัย ตัวเอง ในที่สุด
     
  5. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    ผมเองนั้นได้เจอเพื่อนสายอรหันต์ คนหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2535 เขาพยายามที่จะสอนให้ผมไปนิพพาน โดยตัวเขาเองนั้น เวลานั้น ได้ฌาณ ๔ แล้ว ก็ลองอ่านประวัติของเขาทั้งปัจจุบันและอนาคตที่ เขาคิดเอาเองว่า จะได้อรหันต์ ที่ผมไม่คบเขาอีกก็เพราะผมไม่อยากไป "นิพพาน"




    >>>ไม่เฉพาะสายสัญญาเพี้ยน กรรมฐานญาณ ๔ ก็เพี้ยนได้เหมือนกัน<<<

    มีเพื่อนร่วมสายเทพรุ่นพี่คนหนึ่ง ชื่อคุณพินิจ ประสิทธิ์อยู่ศีล เขาเดินสายนั่ง วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อนักกีฬา ส่งตามโรงเรียนและสถานที่ราชการ เขาปฏิบัติตนจนได้ตาทิพย์ ซึ่งเมื่อได้ตาทิพย์ใหม่ ๆ นั้นก็มีคนกรุงเทพฯ พากันนั่งเครื่องไปหาให้เขาดูหมอมากมาย ประมาณ 5-6 ปีมาแล้วอาจารย์ประหยัดไปรู้จักคุณพินิจที่งานไหว้ครูเจ๊หมูแดง คุณพินิจก็ขอให้อาจารย์ประหยัดพิมพ์คำทำนายของเขา ซึ่งอาจารย์ประหยัดก็นำมาพิมพ์ให้ เมื่อพิมพ์เสร็จเขาก็นำไปถ่ายสำเนา แล้วก็แจกให้พรรคพวกเดียวกันอ่าน บางคนก็หาว่าคุณพินิจเพี้ยน ซึ่งความหวังตามคำทำนายนั้นที่ว่า คุณพินิจ จะสำเร็จเป็น “อริยบุคคล” ชั้นอนาคามี ในปี พ.ศ. 2547 ก็คือปีนี้แหละ จะจริงหรือไม่ ? หรือคุณพินิจ ถูกนายไพศาล แสนชัย หลอกหรือเปล่า ? อีกหนึ่งเดือนเศษเท่านั้นก็จะรู้

    เรื่อง นายพินิจ ประสิทธิ์อยู่ศีล

    นิมิตโดย คุณไพศาล แสนไชย บ้านท่ากองิ้ว อ.ป่าซาง จ.ลำพูน นิมิต เมื่อ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๑. จากคำของ ลุงน้อยยวง ซึ่งเป็นผู้รักษากองบุญกองกุศล (เจ้ากรรมนายเวร) ของ นายพินิจ
    ในอดีตชาติ สมัยพระเจ้ากาวิละ ลุงน้อยยวงเกิดเป็นพี่ชายของน้อยคำมิน (นายพินิจ) ลุงน้อยยวงเป็นคนขี้อิจฉาริษยาน้องชาย ชอบกินแรงของน้องชาย มีการเอารัดเอาเปรียบเสมอไม่ยอมเสียเปรียบเลย มักบังคับขู่เข็ญน้องชายบ่อย ๆ เวลาทำบุญก็ไม่ชอบทำบุญแถมยังกลั่นแกล้งน้องชายต่าง ๆ เช่น เอาไม้มาขวางทางเดินในตอนกลางคืนเวลาน้องชายจะไปเก็บดอกไม้ เพื่อเอาไปทำบุญในวันรุ่งขึ้น เป็นต้น
    ครั้งหนึ่งเกิดกระทบกระทั่งกัน ลุงน้อยยวงหาเรื่องที่ไม่มีความจริงใส่น้อง แล้วใช้มีดฟันน้องชายจนบาดเจ็บสาหัส น้องชายจึงผูกอาฆาตไว้ว่า ถ้าเกิดมาชาติใดหากแม้ได้พบกันก็ขอให้ได้แก้แค้น หรือแม้ว่าเกิดมาไม่ได้พบกัน ก็ขอให้เวรกรรมตามสนองพี่ชายทุกชาติไป อย่าให้พี่ชายได้อยู่สุขสบาย ด้วยแรงบาปกรรมในชาตินั้น ส่งผลให้พี่ชายไปเกิดเป็นเปรตสัมภเวสี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๑๔. มีแต่ล่องลอยไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีส่วนบุญปกป้องรักษาและเป็นเครื่องนำทางวิญญาณ จึงล่องลอยไปมาอยู่อย่างนี้ ได้รับความทุกข์เวทนามาก เวลาจะกินต้องไปกินตามที่เขาเซ่นสังเวย ซึ่งได้กินไม่เต็มที่ จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๗. โลกทั้ง ๓ ก็มีบัญชาให้ลุงน้อยยวง มาเฝ้ารักษากองบุญกองกุศลของ นายพินิจ (น้อยคำมิน) ซึ่งได้มาเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๘๗ เป็นชาติที่ ๑๓๒๗ ของ นายพินิจ การที่ได้มาเฝ้ารักษากองบุญกองกุศลครั้งนี้ เพื่อถอนบาปเล็ก ๆ น้อย ลง ตัวข้าขอสั่งข้อความไปยังน้อยคำมิน (นายพินิจ) ดังนี้.
    ในสมัยพระเจ้ากาวิละน้อยคำมินเป็นนายทหารของพระเจ้ากาวิละได้ออกรบทัพจับศึกบ่อยครั้ง ในบั้นปลายชีวิตมีความสำนึกผิดที่ได้ก่อกรรมฆ่าฟันผู้คนในศึกสงคราม จึงได้เร่งทำบุญทำกุศลให้วัด ปั้นอิฐและกระเบื้องมุงหลังคาให้วัด ด้วยเมื่อทำบุญทุกครั้งก็อธิษฐานว่า หากว่าบุญกุศลที่ได้ทำในทุกชาติจนถึงชาตินี้ ก็ขอให้เป็นร่มเงาติดตามไปทุกภพทุกชาติ จนถึงนิพพานเป็นที่สุด แล้วหยาดน้ำลงดินเพื่อบอกให้แม่พระธรณีและโลกทั้ง ๓ ได้รับรู้ ทั้งบุญและบาปนั้นก็ได้ไล่ติดตามมาในชาตินี้
    ด้านบุญนั้นก็มีผลส่งให้เกิดมาเป็นมนุษย์มีอาการครบ ๓๒ ได้มาพบพระพุทธศาสนา และได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ด้านบาปก็ไล่ตามมา ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุและการถูกปองร้ายป้ายสี
    ขอให้แก้ไขด้วย ทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย แล้วอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรให้สม่ำเสมอ จะทำให้กรรมในอดีตชาติเบาบางลง จนถึงอายุ 50 ปี 3 เดือน 17 วัน คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2537 กรรมก็จะหมดและโล่งอกสบายจิต สุขใจ ต่อไปนายพินิจจะเป็นที่ยินของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เมื่อเข้าสู่วัยชราก็จะเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของศาสนาพุทธ เมื่อนายพินิจ อายุได้ 49 ปี 2 เดือน ลูกหรือเมียจะไม่สะบาย ตั้งแต่อายุ 51 ปี การเจริญธรรมก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 60 ปี คือ พ.ศ. 2547 จะได้สำเร็จเป็นอริยะบุคคล ชั้น อนาคามี จะสิ้นอายุในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2569 เวลาเย็น รวมอายุได้ 82 ปี 7 เดือน และจะเข้าสู่พรหมชั้นสุทธาวาส โดยจะอยู่เป็นพรหมชั้นนี้ระยะหนึ่ง แล้วจึงจะเข้านิพพาน

    เรื่องอดีตเกี่ยวกับครอบครัวและบุคคลอื่นในบ้านมีดังนี้ ชาติหนึ่งซึ่งเป็นชาติที่ ๑๓๒๓ ของ นายพินิจ ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๑๙. ครอบครัวนี้เกิดเป็นมนุษย์โดยเป็นพี่น้องจะได้สำเร็จเป็นอริยะบุคคล ชั้น อนาคามี กัน เรียงลำดับดังนี้
    ๑. น้อยโสสัง
    ๒. น้อยปันทะ
    ๓. นางอูบแก้ว
    ๔. นางหัดทะบาด
    ๕. นางระแหว่ง
    ๖. น้อยอินแสง

    พี่น้องทั้ง ๖ คนนี้ มีความสามัคคีกัน เวลามีการทำบุญได้ร่วมอธิษฐาน ขออยู่ด้วยกันทุกชาติจนพระนิพพานเป็นที่สุด แล้วหยาดน้ำลงดินเพื่อบอกแม่พระธรณีและโลกทั้ง ๓ ได้รับรู้ไว้ ด้วยแรงอธิษฐานที่มีอย่างมั่นคง ก็เป็นไปตามคำขออธิษฐานนั้น โดยเกิดร่วมกันทุกภพทุกชาติมาถึงชาตินี้ ชาติที่ ๑๓๒๗ ก็ได้เกิดมา รู้จักและอยู่ด้วยกันอีก

    ๑. น้อยโสสัง คือ นายพินิจ (เจ้าของกองบุญกองกุศล)
    ๒. น้อยปันทะ คือ นางเสาวลักษณ์
    ๓. นางอูบแก้ว คือ ด.ช. บรม
    ๔. นางหัดทะบาด คือ เป็นกวางอยู่ในป่าเมืองกาญจนบุรี
    ๕. นางระแหว่ง คือ เป็นนกกระจอกในวัดพระธาตุลำปาง
    ๖. น้อยอินแสง คือ นางลำดวน จิตทาทราย

    ส่วนคนนอกเหนือจากชื่อนี้ ที่เป็นญาติพี่น้องและครอบครัวเป็นคนร่วทำบุญก่อนชาตินี้และหลังชาตินี้ ขอให้ทุกคนหมั่นทำบุญ ทำกุศล ให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา อย่าฆ่าสัตว์แล้วจะได้เกิด ดังต่อไปนี้
    ๑. นายพินิจ หมดเชื้อเกิด
    ๒. นางเสาวลักษณ์ จะเกิดเป็น นางรังรอง โสมวิภาส
    ๓. ด.ช. บรม จะเกิดเป็น นายนิรันดร ขันติคุณ และเป็นแฟนของนางรังรอง
    ๔. นางหัดทะบาด ที่เป็นกวาง จะเกิดเป็นลูกของ นายนิรันดร ชื่อนายโยธิน
    ๕. นางระแหว่ง ที่เป็นนกกระจอก จะเกิดเป็นลูกของนายนิรันดร ชื่อนายโยธิน
    ๖. นางลำดวน จะเกิดเป็น นางชไมพร เป็นพี่เลี้ยงลูกนายนิรันดร สำหรับตัวของ ลุงน้อยยวงก็ใคร่จะหลุดพ้นจากการจองกรรม จองเวร ของน้อยคำมิน ก็จะขอให้น้อยคำมินหมั่นแผ่เมตตามาหาข้า และอโหสิกรรมให้แก่ข้า พร้อมทั้งหยาดน้ำไปด้วย เพื่อบอกพระแม่ธรณีและโลกทั้ง ๓ รับรู้ไว้ เมื่อน้อยคำมินสิ้นชีวิตแล้ว ก็จะไปเกิดเป็น พรหมชั้นสุทธาวาส ที่ข้าพเจ้าเฝ้ารักษากองบุญกองกุศลอยู่ ตอนนั้นตัวข้าก็จะขออโหสิกรรรมต่อน้อยคำมิน เมื่อได้รับการอโหสิกรรมแล้ว ข้าก็จะไปเกิดที่นครสวรรค์

    หมายเหตุ นายพินิจ เมื่อทราบเรื่องดังกล่าวนี้ จึงได้ขอร้อง คุณไพศาล แสนชัย หากมีโอกาสได้พบกับลุงน้อยยวงอีก ก็ให้ช่วยเรียนถามว่า ถ้านายพินิจ มีความปรารถนาจะบำเพ็ญภาวนารักษาศีลจนสำเร็จ เพื่อเข้าสู่นิพพาน โดยไม่ต้องเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ?????
    หลังจากนั้นประมาณเดือนเศษ เมื่อนายพินิจได้พบกับ คุณไพศาล แสนชัย จึงได้เรียนถามถึงเรื่องที่ได้ฝากเอาไว้ ซึ่งคุณไพศาลก็ได้บอกว่า ได้มีโอกาสพบลุงน้อยยวงอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งได้ถามถึงเรื่องที่ นายพินิจ ได้ฝากเอาไว้ ลุงน้อยยวงตอบว่าถ้า น้อยคำมิน (นายพินิจ) มีความปรารถนาที่จะเข้านิพพานในชาตินี้ และมีความตั้งใจจริงในการบำเพ็ญภาวนารักษาศีลแล้ว ก็มีโอกาสเข้านิพพานได้ ดังนั้นลุงน้อยยวงจึงให้ คุณไพศาล แจ้งข่าวนี้ให้น้อยคำมิน และขอให้น้อยคำมินนำน้ำขมิ้นส้มป่อยหยาดลงดินเพื่อให้แม่ธรณีและโลกทั้ง ๓ รับรู้ว่า น้อยคำมินได้อโหสิกรรมทั้งหมดให้แก่ลุงน้อยยวงแล้ว เพราะหากน้อยคำมินยังไม่หยาดน้ำลงดินเพื่ออโหสิกรรมให้ และยังสามารถบำเพ็ญภาวนารักษาศีลสำเร็จได้เข้าสู่นิพพาน โดยข้ามพรหมแดนสุทธาวาสไป ก็จะทำให้ลุงน้อยยวงหมดโอกาสที่จะขออโหสิกรรมต่อน้อยคำมิน จะมีผลให้กรรเวรทั้งหลายติดตัวลุงน้อยยวงต่อไป โดยมีกรรมเวรอยู่ ๒ ประเภท คือ

    ๑. กรรมเวรที่เคยกระทำต่อน้อยคำมินในอดีตชาติ เมื่อน้อยคำมิอโหสิกรรมให้แล้วกรรมนั้นจะเบาบาง ลง
    ๒. กรรมเวรที่เกิดขึ้นในช่วงที่เป็นผู้รักษากองบุญกองกุศล (เจ้ากรรมนายเวร) ของน้อยคำมิน เมื่อน้อยคำมินกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เจ้ากรรมนายเวรก็ต้องหาโอกาสลงโทษตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมา แม้จะเป็นการลงโทษตามหน้าที่แต่ก็ถือว่าได้กระทำลงไปแล้ว จึงเป็นกรรมที่ต้องผูกพันผู้ลงโทษต่อไป กรรมนี้จะหมดไปต่อเมื่อได้รับการอโหสิกรรมจากน้อยคำมิน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกลงโทษ เท่านั้น
    กฎของมนุษย์ในโลกไม่ยุติธรรม กฎของกรรมยุติธรรมที่สุด

    อาจารย์ประหยัดเองนั้นได้ยินคุณพินิจ ประสิทธิ์อยู่ศีล ฝันกลางวันมานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งก็ไม่เคยคัดค้านเลยก็ได้แต่ฟังแล้วก็ฟัง จนถึงเวลานี้ กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ที่นายไพศาล แสนชัย ได้หลอกว่า คุณพินิจ จะได้สำเร็จเป็นอริยะบุคคล ชั้น อนาคามี ใน ปี พ.ศ.2547 นั้น คนทำนายนั้นมิได้บ้า แต่นายไพศาลนั้นเป็นตุ๊ด ซึ่งคุณพินิจ นั้นยังไม่รู้จักตัวเอง เรียนรู้พระไตรปิฏกแต่เพียงผิวเผิน ฟังอาจารย์คนนั้น คนนี้บ้าง ฟังเจ้าทรงบ้าง แต่เขาไม่เคยฟังอาจารย์ประหยัดเลย

    ปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2548 แล้ว คุณพินิจ ก็ยังไม่สำเร็จเป็นอริยะบุคคลชั้น อนาคามี ยังทำอาชีพ รับจ้างตัดฟอร์มส่งตามโรงเรียนต่าง ๆ อยู่ ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะว่าอาจารย์ประหยัดเดินสายเทพ ส่วนคุณพินิจ เขาเดินสายอรหันต์ ก็ดีที่อาจารย์ประหยัดไม่ยอมเดินตามคุณพินิจ ซึ่งถ้าเดินตามแล้วละก้อ อาจารย์ประหยัดก็คงจะนั่งฝันนอนฝัน กลางวันอยู่นั่นแหละ ซึ่งราคาคุยนั้น ใคร ๆ ก็คุยได้ แต่สายสัญญาประยุกต์นั้น ไม่จำเป็นต้องคุย ลงมาลุยเองได้ ถึงแม้จะไม่ทำให้ไปถึงนิพพาน ก็ยังดีที่ได้อยู่กับความเป็นจริงของมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป นิพพานในความเพ้อฝันนั้น ใครอยากฝันก็ฝันไปเถอะ ไม่นาน 4 อสงไขย แสนกัลป์ ก็คงจะไปถึงแล้ว

    คุณพินิจ นั้น กินข้าวมื้อเดียวเหมือนพระ สวมเสื้อผ้าชุดขาวไม่ทานเนื้อสัตว์ ก่อน 10 ปีที่ผ่านมา อาจารย์ประหยัดก็ไม่เชื่อว่าคุณพินิจ จะสำเร็จชั้นอนาคามี ซึ่งถ้าถามว่าทำไมจึงเชื่อว่าเขาจะไม่สำเร็จอรหันต์ ก็เพราะว่าอาจารย์ประหยัดเป็นคนมีองค์บารมีที่พูดภาษาเทพได้ แล้วอาจารย์ประหยัดก็ถามองค์บารมีได้ อาจารย์ประหยัดใช้เวลานานถึง 10 ปี จึงพิสูจน์คำพูด ความงมงายของคุณพินิจได้ว่า คุณพินิจไม่ได้สำเร็จชั้นอนาคามีแล้วก็จะไม่มีวันสำเร็จในชาตินี้ ซึ่งถ้า ทางไปสู่อรหันต์ นั้นง่ายนัก พระที่บวชในพุทธศาสนาสี่แสนกว่ารูป ก็คงจะสำเร็จไปกันเป็นร้อย ๆ องค์แล้ว

    ในบรรทัดที่ 10 พ.ศ. ๒๕๔๗ จะได้สำเร็จเป็น “อริยะบุคคล” ชั้น ”อนาคามี” ซึ่งได้ผ่านพ้นการทำนายมาแล้ว คุณพินิจ ก็ยังทำหน้าที่ตัด-ฟอร์ม กีฬา ส่งขายให้กับ โรงเรียนต่าง ๆ เหมือนเดิม ฌาณ ๔ ที่เคยมีก็ค่อย ๆ เลือนลางหายไป แล้วก็หายไป หายไปหมดแล้ว ความฝัน หรือเรียกได้ว่า “ฝันกลางวัน” ของ คุณพินิจ ผ่านมา ถึง ๑๗ ปี ก็หาได้เป็นความจริงไม่ นุ่งชุดขาว กินอาหารมื้อเดียวมาจนถึงทุกวันนี้ นั่งกรรมฐานทุกวัน ยังมิได้ไปที่ไหนเลย ส่วนคนที่ไม่รู้ตัวเอง มีแต่ราคาคุย ยังไม่ได้ปฏิบัติ มันจะได้อาไร๊
    หากต้องการเจอคุณพินิจ ก็เปิดดูในสมุดโทรศัพท์ ถ้าปัญญายังน้อย ก็ให้เดินทางไปหาอาจารย์ประหยัดที่บ้าน แล้วจะพาไปส่งหาคุณพินิจ ซึ่งถ้ามุ่งสู่นิพพานแท้ มันก็ต้องลงทุนกันหน่อย อยู่แต่ในเว็บไซต์ มันไม่ได้ไปนิพพานหรอก เจ้าชาย สิทธัทถะ หากอยู่แต่ในวัง ก็คงจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า อย่าเรียนแบบพระพุทธเจ้าโดยเอาข้อสูงสุดของพระพุทธเจ้าคือ “นิพพาน”มาพูด พูดเริ่มต้นตั้งแต่ประสูติก่อนจะดีกว่า เริ่มต้นประสูตรท่านก็ประสูติในวัง ใครที่จะไปนิพพานเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ควรจะเริ่มเกิดในวังเสียก่อน ถ้ายังไม่สามารถจะไปเกิดในวังได้ก็อย่าหวังนิพพานเลย “เกิด” ในที่นี้คือเกิดเป็นพระโอรสของกษัตริย์ ส่วนสถานที่เกิดนั้นก็เกิดในป่า เริ่มต้นบรรพชาก็ในป่า แล้วก็เรียนวิชาจากพระฤษี ก็ได้เรียนวิชาต่าง ๆ อยู่หลายปี ซึ่งคนธรรมดานั้นเวลาได้ไปนั่งกำมะฐาน ก็จะให้สำเร็จเหมือนพระพุทธเจ้าเลย แต่การที่ไปอ่านเรื่องของพระพุทธเจ้า ทศบารมี นั้น ไม่ได้เอาสมองยัดเข้าไปให้เต็มในกะโหลกกะลาเลย ใช้สมองเพียงแค่หัวแม่เท้าเท่านั้น
    ถ้าเคยสร้างบุญบารมีมา ๑๐ ชาติเหมือนพระพุทธเจ้า ก็คงจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ชอบฝันกลางวันหรอก คงจะไปเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แล้วคงจะต้องเป็นชาติสุดท้ายจึงจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่คงจะไม่ทราบว่าในภัทรกัปป์นี้ จะมีพระพุทธเจ้าเพียงแค่ ๕ พระองค์เท่านั้น องค์สุดท้ายนั้นเบื้องบนก็ได้วางเอาไว้แล้ว เมื่อหมดยุคของพระสัมมนะโคดม ๕๐๐๐ ปี พระศรีอาริยเมตรัยก็จะเสด็จลงมา

    นายไพศาล แสนชัย นั้นแต่งนิยายได้อย่างมากมาย นิยายที่เขียนให้กับคุณพินิจ ประสิทธิ์อยู่ศีลนั้น แต่งได้แนบเนียนมาก ขนาดที่ว่าคุณพินิจได้ถึงฌาณ ๔ ยังหลงเชื่อนายไพศาล จนเสียมวย ครั้งแรก ๆ นั้นคุณพินิจก็ศรัทธาในตัวของ นายไพศาล เป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่ว่ายอมจ่ายเงินเดือนให้นายไพศาลทุก ๆ เดือน ก็ไม่ทราบว่านานแค่ไหน เมื่อเกิดปัญญาขึ้นมา ก็งดจ่ายไป แต่ก็ยังเชื่อนายไพศาล อยู่ดี ซึ่งถ้าไม่เชื่อก็คงจะไม่เอา “นวนิยาย” ที่นายไพศาลแต่งให้ มาพิมพ์แจกเพื่อนฝูงทั้งหลาย

    คนที่นั่งกัมมัฏฐานมาก อย่างคุณพินิจ นั้นก็เกิดอาการ “เพี้ยน” ได้เหมือนกัน จากคำทำนายว่าจะได้เป็นสำเร็จเป็น “อริยะบุคคล” ชั้น ”อนาคามี” ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นั้น ก็เป็นว่าฝันกลางวันที่ได้ฝันเอาไว้กลายเป็น “ฝันสลาย” ไปเสียแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  6. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    สมัยก่อน มอร์เตอร์ไซด์เพื่อนถูกจี้ไป ตำรวจหาไม่เจอ
    เลยไปพึ่งเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่คนนับถือ
    แหม เข้าทรงลงเจ้าใหญ่โต เพื่อนกราบปะหลกๆตูดกระดก
    ผมมันคนรั้น จึงยิงคำถามไปว่า
    เจ้าแม่ ถ้าแน่จริงบอกมาเลยว่ามอร์เตอร์ไซด์ อยู่ที่ไหน และ จะไปเอาได้หรือไม่
    ร่างทรงก็ทำเป็นงกๆเงิ่นๆพูดจาสองแง่ สองง่ามไปเรื่อย
    ผมก็ตะคอกว่า มอร์เตอร์ไซด์อยู่ที่ไหน ไม่ต้องบอกว่าจะได้คืนหรือไม่ได้คืน แต่ขอให้บอกว่าอยู่ที่ไหน ผมจะรีบไปดูเฉยๆว่าเจ้าแม่เห็นจริง มีตาทิพย์จริง
    เท่านั้น เอง ลูกศิษย์ลุกกันพรึบ
    เพื่อนรีบจูงมือผมลงจากตำหนักทันที มันดุผมว่า ไปพูดกับเจ้าแม่อย่างนั้น ได้อย่างไร
    ผมสวนกลับมันไปว่า ไอ้ เวล มันหลอกมึง มันหลอกแดกตังค์มึง มึงเข้าใจไหมว่าของจริงมันไม่มี
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอให้ท่านโปรดสำนึก พระเทศไทย เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แห่งพระพุทธศาสนา

    คนที่บารมี ไม่ถึง แต่อยากจะได้ อยากจะครอบครอง ย่อมแพ้ภัย ตนเอง เท่านั้น

    พรรคพวก ที่ร่วมกรรม ก็เหมือนกัน แม้ทำเพราะไม่รู้ ก็ไม่อาจหนีกฏแห่งกรรม
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยึดมั่นถือมั่น อยู่กับสิ่งใด ก็จมปลัก อยู่ในนั้น

    ที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ไม่เคยได้เห็นแสงตะวัน ก็เพราะ มิจฉาทิฏฐิในตน

    เห็น กรงจักร เป็นดอกบัว แล้วยังเผยแพร่เชื้อโรค ไปสู่คนอื่น มี่แต่หน้ามืด ตามัว
     
  9. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    เรียนคุณเด็กโชว์พาว แต่เวลาโพสอะไรเข้ามา ไม่ค่อยจะมีพาวเว่อร์เอาเสียเลย

    การที่ไม่อยากจะให้มีใครมาคุ้มครองนั้น เพียงแค่พูดก็ผิดแล้ว เพราะถ้าไม่มี พ่อ-แม่ คุ้มครอง เราก็จะไม่มีวันเติบใหญ่เป็นคนมีคุณภาพได้ ซึ่งในการที่จะทำตัวให้เข้มแข็งนั้น ก็จะต้องฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา ซึ่งเป็น "พระพรหม" ของเรา แล้วตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มาก

    แต่ชีวิตนั้นมันก็น่าจะเดินไปตามทางที่เขาลิขิตมา

    ในสมัยเด็กนั้น อาจารย์ประหยัด เรียน ม.7-8 ที่ปริ้นสรอยฯ มีเพื่อนคนหนึ่ง มาจาก จ.พิจิตร เขาเรียนหนังสือเก่งมาก สอบได้เป็นที่หนึ่งในโรงเรียน เป็นที่ ๒ ของประเทศไทย สอบเข้าแพทย์ได้ที่ ๑ เรียนจบแพทย์แล้วก็ได้มาเป็นหมอ เขาคือนายแพทย์เกษม วัฒนชัย เมื่อเป็นหมอแล้ว ก็ได้เป็นคณะบดีคณะแพทย์ศาสตร์ จากนั้นก็ไปเป็นคณะบดี หัวเฉียว แล้วก็ได้ไปเป็นรัฐมนตรีการศึกษา เมื่อทนเหม็นกลิ่นการเมืองไม่ได้ ก็ลาออก ปัจจุบัน ท่านเกษมวัฒนชัย เป็นองค์คมนตรี

    ส่วน อ.ประหยัด นั้น ก็ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ใด ๆ ทั้งสิ้น ก็ได้เข้าทำงาน ๒ ธนาคาร คือ BBC และ กรุงศรีอยุทยา ๑๒ ปี ก็ทำไปยังงั้นเอง ยังดีเสียกว่าอยู่เปล่า ๆ ถึงแม้ไม่ชอบก็ได้เก็บเกี่ยวเอาความรู้จากการทำงานมาได้อย่างมากมาย จนในที่สุด อ.ประหยัด ซึ่งไม่ได้คิดเลยว่าจะกลายมาเป็น อาจารย์สายเทพ ก็ได้มาเป็น

    ถ้าจะเอาท่านเกษมมาเป็นแบบ ก็คงจะมีเพียงแค่ ๑ ในล้านเท่านั้น ที่จะได้ไปเป็นองคมนตรี แม้จะสอบได้ที่ ๑ ตลอดทุกสาขาอาชีพก็ตาม มันก็ต้องเป็นไปตามพรหมลิขิต ซึ่งหมอเกษมนั้นจะมาทำหน้าที่แทนอาจารย์ประหยัด นั้นก็คงจะไม่ได้ แล้วอาจารย์ประหยัด จะไปทำหน้าที่แทนคุณหมอเกษมนั้นก็คงไม่ได้เหมือนกัน

    เมื่อเบื้องบนท่านลิขิตมา เราจะฝืนละขิต นั้นคงจะยากมากเหมือนกัน แต่เราสามารถทำความดีได้ เมื่อเป็นเด็กก็ต้องศึกษาเล่าเรียนให้มาก คุณอาจจะกลายเป็นคุณหมอที่ดีได้ เพียงแต่ว่าจะต้องเปิดใจ เล่าเรียนไปทุกวิชา อย่าทำตนเป็นกบในกะลา ในสมัยเมื่อ อาจารย์ประหยัด เป็นนักเรียนนั้น ก็ได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า ตึกที่สูงที่สุดคือ ตึกเอ็มไพสเตรท แล้วในที่สุดเมื่อขึ้นไปเหยียบที่ชั้นสูงสุดของตึกนี้มาแล้ว ก็รู้ว่า "ตึกเอ็มไพสเตรท" นี้มีจริง คนที่ยังไม่ได้ทดสอบ ไปรู้ไปเห็น มาก็อย่าพึ่งไปว่าเขาว่าขี้โม้ โกหก ตัวคุณเองนั่นแหละ มีปัญญาไปยืนอยู่บนตึกที่เคยเป็นตึกที่สูงสุดในโลกมาอะป่าว
     
  10. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25
    สงสัยจะกลายเป็นลิเกหลงโรงไปเสียแล้ว พูดธรรมมะอยู่ดีกลายมาเฉียดเข้าไปใกล้การเมืองเข้าไปแล้ว

    ผมเองนั้นน่าจะเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาส สมัยบรรพบุรุษ มีความรัก นับถือ องค์พระพุทธเจ้าหลวงมาก เมื่อนายโกเต๊ก ลิ้มโกตั๊ก เอาโกเต็กไปทำพิธีกรรม ที่ฐานพระบรมรูปทรงม้า นั้น ผมก็โกรธมาก ความ "โกรธ" ก็คง มิใช่การมักใหญ่ใฝ่สูงนะ ที่ผมโกรธเพราะผมเป็นคนไทย เกิดในประเทศไทย เมื่อผมเป็นคนไทยก็ไม่ต้องไปแหกปากผ่าน ASTV บอกว่า ไปจีนแดงเพื่อที่จะไปหาคนจีนท่านหนึ่ง เพื่อที่จะมาช่วยประเทศไทย มาช่วยอะไรหนอที่เป็นคำพูดที่เขาพูดถึงองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งนายโกเต็กนั้นชอบที่จะเอาความจงรักภักดีมาอ้างอยู่บ่อย ๆ

    ข้อความข้างบนของคุณ k.kwan ที่ว่า

    เรา ก็เป็นแค่ ปถุชนคนมีสติ แม่บ้าน ลูกสอง สามี หนึ่ง [/B]

    แสดงว่าท่านมหา k.kwan ได้รีบลบไปแล้ว คนที่ได้เรียนรู้ในธรรมะ มากมากจนกล้ามาสอนธรรมะในเว็บนี้ ไม่น่าจะมีแม่บ้าน และมีลูก ๒ เลย ก็ยังเป็นคนที่หลงอยู่ในวัตสงสาร ว่าให้เขาอิเหนาเป็นเอง ก็ยังมีสติดีอยู่หรอก เพราะไม่งั้นคงจะมีเมียมีลูกไม่ได้ แล้วเมื่อหลงอยู่ในกามกิเลศ ก็ต้องเวียนว่ายอยู่กับการทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ใช่หรือเปล่า


    วันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

    ถ้าจะถามอาจารย์ประหยัดว่า ขึ้นรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน เป็นไหม ก็ตอบได้เลยว่าเป็น และถ้าจะถามต่อว่าขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่ “ฮ่องกง” ขึ้นเป็นไหม ก็ตอบว่าเป็น เพราะไปฝึกที่ฮ่องกงนานกว่าสิบปีแล้วก่อนที่จะมาขึ้นที่กรุงเทพฯ และถ้าถามว่าขึ้นรถไฟใต้ดินที่รัสเซีย เป็นไหม ก็ตอบว่าเป็น แต่ไม่รู้ว่าจะไปลงที่สถานีไหนเท่านั้นเอง
    แต่มีคนกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ที่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไม่เป็น เพราะว่าเขาไม่เคยนั่ง ที่ไม่เคยนั่งนั้นก็เพราะว่ามีรถส่วนตัวใช้ อาจารย์ประหยัดนั้นไม่ใช่ว่าจะนั่งเพียงแค่รถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพฯ เป็นเท่านั้น แม้แต่รถเมล์ทุกสายที่จะต้องเดินทางไปนั้น ก็จะนั่งเป็นหมด แต่เมื่ออยู่ที่เชียงใหม่ก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์หรือรถสี่ล้อแดงเลย เพราะว่าก่อนขึ้นเครื่องโทรกลับบ้านก็มีคนเอารถมารับแล้ว

    มีคำอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า “สอนสังฆราช” หรือง่าย ๆ ก็คือ “เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน” อาจารย์ประหยัดเข้ามาเขียนสอนคนในเรื่อง “เปิดพระโอษฐ์” ไม่ว่าจะเป็นเว็บใดก็ตาม จะมีผู้รู้ในเรื่อง “ธรรม” เข้ามาสั่งสอน ท่านผู้รู้ในทางธรรมท่านจะบอกว่า สายเทพนั้นมันตันไม่สามารถไปสู่นิพพานได้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกเรียนธรรมะนั้นไปรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าองค์ในมากระซิบบอก

    แม้จะไม่ได้เรียนรู้ถึงจุดที่จะได้เป็นพระอริยบุคคล ก็รู้ธรรมะอย่างพอตัว เพราะธรรมะนั้นคือธรรมชาติ เมื่อเรียนรู้กับอาจารย์สุจินต์นั้น ก็ได้โต้ตอบคำสอนของอาจารย์สุจินต์ ด้วยการเขียนจดหมายไปโต้ตอบท่านมากกว่าหนึ่งร้อยฉบับ มาตอนหลังนั้น อ.สุจินต์ จะตั้งลูกศิษย์ท่านหนึ่งเป็นหม่อม แต่คงจะไม่ใช่หม่อมถนัดศรี อย่างแน่นอน เป็นคนอ่านจดหมายของ อ.ประหยัด ในเทปที่เขาอัดขาย อ.สุจินต์ พูดว่า มีผู้ฟังท่านหนึ่งอยู่ที่เชียงใหม่ เขาเขียนมาว่า เวลาเข้าห้องฟังธรรมะนั้น พวกลูกศิษย์ไม่ให้ความเคารพอาจารย์ พูดกันเหมือนนกกระจอกเข้ารัง ไม่สมกับว่าเป็นสถานที่ฟังธรรม ก็กลายเป็นว่า อ.ประหยัด ไปก้าวร่วงบารมีของ อ.สุจินต์ ซึ่งมีนายทหารนอกราชการท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ อ.สุจินต์ ก็พูดเข้ามาในเทปว่า คนที่ก้าวร่วงบารมีอาจารย์สุจินต์นั้น ก็จะถูกทำโทษ คือจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นา โดยพวกเขาก็ไม่รู้ว่า อ.ประหยัด นั้นไปรู้ว่า อ.สุจินต์ นั้นเป็นลูกศิษย์อาจารย์แนบ แต่ อ.สุจินต์ สอนธรรมะนอกเหนือไปจาก อ.แนบ สอน ก็เลยถูกขับให้ออกจาก สำนักของ อาจารย์แนบไป แล้วคนที่มาเล่าให้ฟังถึงประวัติอาจารย์สุจินต์นั้น มาเล่าให้ อ.ประหยัด ฟังที่บ้าน ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของ อ.แนบ เหมือนกัน ในที่สุดศิษย์ของ อ.สุจินต์ กลุ่มนี้ก็ถูกเปิดตาให้สว่างในธรรม ผ่านมาสิบกว่าปีนี้ก็ไม่เหลือ แยกกันไปหมดแล้ว

    อ.สุจินต์ ท่านสอนอภิธรรม ซึ่งท่านก็ว่าของท่านดี ใครที่ไปนั่งกัมมัฏฐาน ท่านก็บอกว่าไม่ต้องไป อยู่ที่นี่ ฟังที่นี่ ฟังท่านพูด แล้วสักวันหนึ่ง ก็จะเกิดความสว่าง ได้เข้าถึงพระธรรมของพระองค์ท่าน ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว อ.สุจินต์ก็ไปไม่ถึงไหน ก็สอน “รูป นาม อนัตตา” อยู่ที่เดิมนั่นแหละ แล้วที่บอกว่าอาจารย์ประหยัด ไปก้าวร่วงบารมี ก็จะถูกเล่นงาน ก็เล่นงานแล้ว ในที่สุดก็ถูกเล่นงานจนให้มาเป็น อาจารย์สายสัญญา-ประยุกต์ นี่แหละ

    ถ้าเปรียบ “อรหันต์” หรือ “นิพพาน” อยู่ ที่ สหรัฐอเมริกา คือไม่ต้องว่าไปให้ไกลจนมองไม่เห็น ก็จะมีคนไทยมากมายเหมือนกันที่ไปถึงอเมริกาได้ โดยเส้นทางที่จะไปนั้นก็มีหลายทาง ทางเครื่องบิน ทางน้ำ ทางรถยนต์ จะขี่มอเตอร์ไซด์ ไปก็ยังได้ หรือไม่พอใจก็ ใช้จักรยาน หรือเดินไป มันก็จะถึงเหมือนกัน แต่ถ้าคิดเอาเองว่าตัวเองนั้นมีกำลังแค่ไหน ก็ใช้ไปแค่นั้น แล้วควรจะรู้ว่าเมื่อไปถึงแล้วในสหรัฐอเมริกานั้น ตัวเองจะทำอะไรบ้างในประเทศนั้น อย่าไปพูดถึง อรหันต์ หรือ นิพพาน เสียดีกว่า มันเป็นระยะทางไกลมากสำหรับคนไทย มีน้อยคนที่จะไปถึง
    การเล่าที่มีประวัติมีรูปภาพให้อ่าน ซึ่งพวกเราคนไทยนั้นทุกวันนี้ที่ได้เป็นอิสรภาพ ก็เพราะการปลดปล่อยการเป็นทาส โดยพระพุทธเจ้าหลวง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปพูดถึงเรื่องที่ไกลสุดกู่ไม่มีวันที่จะไปถึงได้ก็คือ “อรหันต์” พระพุทธเจ้าหลวง ปลดปล่อยให้คนไทยพ้นจากการเป็นทาส มีคนไทยกี่คนที่สำนึกในบุญคุณของท่าน

    นายโกเต๊ก ลิ้มโกตั๊ก ได้เอาโกเต็กไปทำพิธีไสยศาสตร์ ที่ฐานพระรูปของพระองค์ รู้สึกว่าคนไทยที่หลุดจากความเป็นทาสมาหลายชั่วคนนั้น จะลืมไปไม่สำนักในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ แม้แต่ทหารหรือตำรวจ ม.จุฬา โรงพยาบาลจุฬา ฯลฯ ก็ทำนิ่งเฉย ไม่ออกมาต่อต้านหรือแสดงตัวว่าอยู่ฝ่าย พระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งนายโกเต๊กบอกว่า ถ้าไม่อยู่ฝ่ายใด ก็เป็นคนที่ “ชิงหมาเกิด” คงจะไม่ต้องบอกว่า “รักเชียงใหม่ 51” นั้นอยากจะยกพวกไปขยี้ขย๋ำนายโกเต็กเสียให้ได้ แต่เมื่อไม่สามารถไปได้เพราะไม่มีคำสั่ง ก็ให้ขยี้ฟองเบียร์ไปพลาง ๆ ก่อน

    ดู ตัวตน ของท่าน เองเถิด ด้วย สติ
    พิจารณา ว่าเป็นตน หรือเป็นครื่องมือของใคร


    ทุกวันนี้ก็ดูตัวเองอยู่แล้ว ไม่ทำงาน เก็บค่าเช่ากิน กินดอกเบี้ย ลูกก็มีงานทำกันหมดแล้ว วันๆ หนึ่งก็ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า ไปเป็นขี้ข้าใครไม่เป็นหมาล่าเนื้อให้ใครแล้ว ซึ่งคนในระดับนี้จะเป็นเครื่องมือของใครนั้นก็คงยากอยู่เหมือนกัน แล้วใครที่ว่านี้ก็คงจะเป็นอดีตนายกทักษิณ ก็ไม่รู้จักท่านเป็นส่วนตัวหรอก เพียงแค่เป็นเพื่อนเล่นรัมมีกับ นายบุญเลิศ ชินวัตร คุณพ่อของคุณทักษิณเท่านั้นเอง หากจะช่วยลูกเพื่อนก็คงจะไม่มีใครว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  11. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    เขียนไป เขียนไป ท่านมหา เริ่ม ตบะแตก เสียแล้ว

    กรงจักร นั้นไม่ทราบว่า จักร เข้าไปอยู่ใน "กรง" ได้ยังไง

    แล้วก็มาเกี่ยวกับดอกบัวยังไง

    กรงจักร ก็คือจักรอยู่ในกรงใช่หรือไม่ ? แล้วมันจะเผยแพร่เชื้อโรคได้ยังไง

    ความจริงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนั้น น่าจะเอาความจริงที่ได้เห็นมา ได้สัมผัสมา เอามาแลกเปลี่ยนกัน สิ่งใดที่ไม่รู้จริง ยังไปไม่ถึง ยังไม่ได้ทำมากับมือตนเองนั้น ก็อย่าเพิ่งเอามาพูดให้คนอื่นฟัง เพราะบางทีอาจจะทำให้ผู้ฟังหลงทางก็เป็นได้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อะนะ ซะงั้น ไปล่ะ...
     
  13. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    ความจริง กระทู้นี้ คุณโดดเดี่ยว เปลี่ยวเอกา น่าจะจำผิด น่าจะเป็น "สันโดษ" มากกว่า

    ได้โพสกระทู้ว่า ทุกร่างมีองค์คุ้มครอง

    ก็ตั้งใจจะมาให้ความรู้ในเรื่ององค์ แต่ก็มีคนพาไปเรื่องอื่น โดยเฉพาะเรื่อง "ธรรมะ" ก็ไปได้เหมือนกัน เพราะเคยไปเรียนรู้มา

    คุณสันโดษนั้นน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่า อ.ประหยัด เป็นผู้ตอบ เพราะปกติแล้วในเรื่อง เทพ-พรหม นั้น จะมีแต่ผู้รู้ที่ไปฟังเขาเล่ามาทั้งนั้น รู้จริงนั้นมีน้อยมาก ซึ่งเมื่อท้าให้ไปพิสูจน์ก็กลัว ไม่กล้าไป กลัวเสียเงิน ก็ถ้ามันเสียเงิน เราจะโง่ทำไปทำไม การไปเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงิน เมื่อไม่พอใจก็ไม่ต้องทำ ตำรวจไม่จับ ถ้าจับพวกตำรวจก็คงจะไปจับนายโกเต๊ก ที่บุกทำเนียบแล้ว

    มีคนในเว็บนี้เริ่มเข้าไปโพสในเว็บ www.satusanya.com แล้ว
    ถ้าเป็นเว็บที่ให้ความรู้ก็น้อมรับทั้งนั้นแหละ เพราะท่านไม่ได้โพสให้อาจารย์ประหยัด
    อ่านคนเดียว ลูกศิษย์หลาย ๆ คนก็ได้อ่าน แต่ถ้าโพสไม่ได้เรื่องก็จะมีลูกศิษย์รุมเข้ามาจ๊วกคุณเองนั่นแหละ กว่าอาจารย์จะเข้าไปถึง ก็เหลือแต่เนื้อติดกระดูกเท่านั้นเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  14. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    ก็อย่าไปคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนไทยแต่เพียงผู้เดียว

    อย่าไปคิดว่าคนไทยคนอื่นนั้นไม่รักพ่อหลวง แล้วอย่ารักพ่อหลวงเหมือนนายโกเต็ก

    ถ้ารักพ่อหลวงจริง ไม่รักแต่ปาก ทำไมถึงไม่ไปยึดทำเนียบคืนมา เพื่อที่จะได้ให้พ่อหลวงของเรา จัดงานสโมสรสันนิบาต

    คุณ k.kwan รับรองให้ได้ไหมว่า ถ้ากลุ่ม "รักเชียงใหม่ 51" จะไปบุกยึดทำเนียบคืน ที่ให้รับรองนี้ก็คือรับรองให้เอาอาวุธไปได้ด้วยนะจ๊ะ มือเปล่าไปสู้อูซี่ไม่ได้หรอก

     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    Whois information for: satusanya.com


    Whois Server Version 2.0

    Domain names in the .com and .net domains can now be registered
    with many different competing registrars. Go to http://www.internic.net
    for detailed information.

    Domain Name: SATUSANYA.COM
    Registrar: NAME.COM LLC
    Whois Server: whois.name.com
    Referral URL: http://www.name.com
    Name Server: NS1.IZ-HOST.COM
    Name Server: NS2.IZ-HOST.COM
    Status: clientTransferProhibited
    Updated Date: 24-sep-2008
    Creation Date: 24-sep-2008
    Expiration Date: 24-sep-2009
     
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    มีองค์ จริงหรือเปล่า มั่วไปได้ขนาดนั้น

    1 มีมารยาทหรือไม่ ดิฉันเกลียดท่านแม้วนี่ มาตั้งแต่ยุคเขาอยู่พลังธรรม เพราะคำพูดของเขาเอง ที่ทำให้คนรู้ไต๋เกลียด จนหมอนี่โด่งดังคับประเทศ คนรู้ทันกลโกง เริ่มรับไม่ได้ อย่าเดาส่งเลยว่าดิฉันข้ามคนล้ม ทุกวันนี้ยังแหยงฤทธิ์พระเดชพระคุณท่านแม้ว ปากว่าไม่ยุ่งการเมืองแล้ว ขี้จุ๊ทั้งเพ เลิกที่ไหน..
    แล้วดิฉันก็ไม่ใช่ พันธมิตร เพราะเกลียดสนธิที่คอยเชลียร์แม้วในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ไม่เคยดูเหรอ ขนาดคนกรุงเทพฯพูดกันว่า ถ้าเป็นคนอื่นนำพันธมิตร คนจะออกมาร่วมมากกว่านี้ ทายไม่ถูกสักอย่าง คงไม่รู้ซินะ แม้วกับสนธิ เขารู้ทันกันขนาดไหน

    2 ว่าคนอื่นไม่มีมารยาท แล้วดูภาษาที่ตัวเองใช้กับสนธิ ซิ ปากบอกไม่อยู่ข้างแม้ว แต่เรียกท่านอย่างนั้นอย่างนี้ เหอๆๆๆ ยกย่องกันจัด แถมเข้าอกเข้าใจกันน่าดู รู้ว่าคุณสนซิชั่วอย่างไรบ้าง แต่แม้วนั้นสุดดีซิเนอะ

    3 เหมือนเดิม สรุปเองว่าคนเรียกแม้วต้องเป็นพวกพันธมิตร คุณวัดคนที่อายุ หรือคุณธรรม คุณนับถือคนที่เงินหรือความดี

    คนโดนซื้อง่ายนะ แม้วรู้กฏนี่ดี และไม่เลิกราง่ายๆ ด้วย


    คนเรียกทักษิณว่าแม้ว คุณสติแตกได้ขนาดนี้ แล้วดูตัวเองซิ ว่าคนอื่นหยาบคายไปขนาดไหนแล้ว นรกสวรรค์เขารู้หมดนะ พวกมีองค์ไม่ทราบบ้างหรือ ..
    แล้วดูซิ มีองค์แบบนี้ จะมีโลกหน้าที่ไหนเป็นที่ไป เหอๆๆ
    จะมีใครใหญ่เกินกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  17. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ท่าจะรักประเทศมากนะ เลยต้องสู้กัน
     
  18. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    จงเป็นตัวของตัวเอง ดีที่สุด ถ้าคนดีจริง ผีย่อมคุ้ม เทพรักษา พระไม่ทิ้ง..



    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ไม่ส่งเสริมพิธีรับขันธ์
    อ่านทั้งหมด ที่ http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=107270#post107270

    ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

    คนจำนวนไม่น้อยที่เข้าพิธีรับขันธ์ ๕ นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณบุรพกษตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล

    แต่แท้จริงแล้ว หลวงปู่กล่าวว่าส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง

    หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้!

    หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

    นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกันด้วยการทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก

    หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่ แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก บางครั้งหลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่าเขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย

    บัดนี้ สิ้นหลวงปู่แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้การคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง และก็มิใช่โดยพระเครื่องของท่าน เพราะนั่นก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่สูงสุด

    หากแต่ต้องอาศัยการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม เพื่อให้เกิดเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม บนฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ


    [​IMG]
     
  19. ืnokyam

    ืnokyam Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +25

    "สาธุ ๆ" หลวงพี่เต้าเจี่ยว

    สงสัยว่าหลวงพี่เอาหลวงพ่อมาเทศน์ผิดสำนักแล้ว เพราะว่าสายสัญญา-ประยุกต์ นั้น เมื่อเปิดพระโอษฐ์ ให้ใครแล้วจะไม่มีการให้รับขันธ์ใดๆ เด็ดขาด เพราะแม้แต่ตัวอาจารย์ประหยัด เองนั้นก็ไม่เคยไปรับขันธ์ที่ไหนมา การที่ไม่ให้ลูกศิษย์ทำขันธ์ก็เพราะว่า อาจารย์ประหยัด มิได้หากินทางนี้ ยกเว้นว่าลูกศิษย์อยากได้ขันธ์ ก็ไปจ้างเขาทำแล้วจะยกให้ มาสี่ห้าปีนี้ยังไม่มีใครมายกขันธ์เลย

    อ่านบทความของหลวงพี่เต้าเจี่ยวแล้ว พอใกล้จะจบปรากฎว่าไปเอาคำสอนของหลวงพ่อที่มรณะภาพไปแล้วมาให้อ่าน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็มีเมตตาแก้ไขให้ แต่บทความที่อาจารย์ประหยัดจะให้อ่านต่อไปนี้ เป็นบทความที่เกิดจากที่ลูกศิษย์ไปรับขันธ์มา แล้วลูกศิษย์คนนี้ยังไม่ตาย ก็มาดำหัวตอนสงกรานต์อยู่ทุกปี

    ส่วนคนที่ไปยกขันธ์มาแล้ว เมื่อมาปรึกษาก็จะให้นำไปลอยน้ำเสีย

    ก็ลองอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ชอบไปตามสำนักทรง

    เล่าสู่กันฟัง.....เป็นอุทาหรณ์สอนใจ (ตื่นเต้นเร้าใจ รีบ ๆ อ่าน)

    เมื่อ: มีนาคม 11, 2007, 02:17:51 pm ในเว็บ www.sanyana.com

    เรื่องมีอยู่ว่า.....

    เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 เวลาประมาณ 9.09 น. เราได้ทำพิธีรับขันมา 2 ขัน ถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับเราหรือ..... ก่อนหน้านั้น ภายในครอบครัวของเราเกิดเรื่องราววุ่นวาย ที่ไม่สามารถแก้ไขได้มานานมากแล้ว จนกระทั่ง ล่าสุด พ่อกับน้องเขย มีปัญหากันอย่างรุนแรง สาเหตุมาจากปลาที่เลี้ยงในตู้มันกัดกันตาย พ่อจะตักตัวที่กัดตัวอื่นออก น้องเขยไม่พอใจ บอกให้ตักออกหมดเลย พ่อได้ยินก้อไม่ถูกหู เลยสวนกลับ ก้อเลยมีเรื่องกัน ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ใครห้ามก้อเอาไม่อยู่ ยายก้อเข้ามาผสมเรื่องจนกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โตทั้งบ้าน น้องเขยกับน้องสาวก้อหอบเอาลูกสองคนออกจากบ้านไป ร้องห่มร้องไห้กันใหญ่โต จนในที่สุดพ่อก้อหอบเสื้อผ้าขับรถออกจากบ้านไปอีกคน เมื่อน้องกลับมา เรากับน้องก้อออกไปตามหาพ่อ ในใจก้อคิดว่า ยังไงเขาก้อเป็นพ่อ ออกไปจะอยู่ที่ไหน อย่างไร เงินทองก้อไม่มี เรากับน้องก้อไปเจอพ่อที่ห้วยแก้ว นั่งขอร้องอ้อนวอนให้พ่อกลับบ้านนานพอสมควร พ่อก้อไม่ยอมกลับ จนในที่สุดก้อใจอ่อน ยอมกลับบ้าน แต่เรากับน้องเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะพ่อขับรถเร็วมาก เรากลัวว่าพ่อจะหนีไปก้อขับรถไล่ตาม ตอนนั้นมันก้อไม่คิดถึงชีวิตหรอก เมื่อพาพ่อกลับมาได้แล้ว รุ่งขึ้น เรากับแม่ก้อเลยพากันไปที่หางดง ไม่ได้ตั้งใจจะไปทางนั้นหรอก แต่ตอนนั้นมันมืดมนไม่รู้จะแก้ไขปัญหาในครอบครัวได้อย่างไร.....

    แม่พาเราไปพบกับเจ้าทรงคนหนึ่งชื่อแม่ดี เป็นร่างทรงอยู่ที่ตำหนักหนึ่งที่หางดง เพื่อถามดูว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมครอบครัวของเราเป็นกันแบบนี้ อยากหาวิธีแก้ไข เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ทำมาหมดทุกหนทาง เหลือแต่ทางนี้แหละ แม่ดีเค้าก้อเข้าทรงเจ้าน้อย บอกว่าที่จริงไม่มีอะไรหรอก เหมือนหมากับแมว แนะนำว่าให้นำเทียนครอบครัวไปบูชา แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำไม่ถูกต้อง คือต้องทำการตั้งศาลเจ้าที่ใหม่ เพราะที่ทำไว้แต่เดิมไม่ถูกต้อง เลยทำให้บ้านมันร้อน คนในบ้านก้อทะเลาะกัน อยู่ไม่สบาย ซึ่งมันก้อจริง เพราะพ่อกับแม่ทำการตั้งศาลเจ้าที่เอง เราเลยคิดว่าที่เขาบอกมามันก้อถูกนะ เรากับแม่ก้อเลยตกลงที่จะทำตามที่เขาแนะนำ ทั้งนี้เพื่อให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน .....

    ไม่น่าเชื่อว่า
    จะมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างตามมา คงเป็นหนี้กรรมที่เราต้องชดใช้ เริ่มจากกการนำเทียนครอบครัวมาจุด 2 เล่ม ราคาก้อประมาณเล่มละ 299.- บาท 2 เล่ม ก้อรวมเป็น 598.- บาท พอจุดเสร็จแล้วก้องั้น ๆ แหละ ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ต่อมาก้อให้แม่ดีพาพ่อหนานมาตั้งศาลเจ้าที่ใหม่ เราซื้อศาลใหม่สีฟ้าราคาประมาณ 900.- บาท ให้เขาเอาไปส่งที่บ้าน ค่าทำพิธีก้อมีใส่ขันร่างทรง 3 ร่าง ๆ ละ 109.- บาท รวมเป็น 327.- บาท ให้พ่อหนาน 500.- บาท ให้แม่ดีอีก 300.- บาท ค่าของทำพิธี เช่น หัวหมู ผลหมากรากไม้อีก ประมาณ 1,500.- บาท เบ็ดเสร็จก้อประมาณ 3,000.- บาท หลังจากนั้นเราก้อเทียวไปเทียวมาหาแม่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งเรากับน้องก้อไปถามเรื่องพิธีรับขัน เนื่องจากเค้าบอกว่าเรามีองค์อยู่รับขันซะแล้วจะดีขึ้นเอง เค้าให้เรารับขัน 2 ขัน ซึ่งตอนนั้นเราเองก้อยังไม่เข้าใจหรอก ว่าการรับขันเป็นอย่างไร เพียงแต่ต้องการทำอะไรก้อได้ เพื่อหวังว่าจะมีอะไรดีขึ้นมาในครอบครัวของเราบ้าง กลับกลายเป็นว่า เราก้อเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเส้นทางทำมาหากินของพวกร่างทรงแบบแม่ดี ซึ่งในการรับขันนี้ เราเสียเงินไปมากพอสมควร เบ็ดเสร็จก้อเกือบสองหมื่นบาท แม่ดีสบายไปเลย แต่เราสิโง่ เงินตั้งมากมายให้เค้าไปได้อย่างไรกัน

    เล่าถึงการทำพิธีบ้างดีกว่า หลังจากจ่ายเงินจ่ายทองไปเป็นค่าขันแล้ว แม่ดีก้อนัดเราว่าให้มารับขันในวันศุกร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2548 เวลา 09.09 น. โดยในวันนั้นเราใส่ชุดขาว มีแม่ดีที่เป็นร่างทรงเป็นผู้ทำพิธีให้ พร้อมกับร่างทรงอีก 2 ร่าง ตอนทำพิธีรับขัน เราเองก้อยังคลางแคลงใจอยู่เหมือนกัน เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่าง แต่เราก้อไม่อยากคิดอะไร รู้แต่ว่าอยากทำให้มันเสร็จ ๆ ไป พิธีเขาก้อช่างดูขลังเหมือนจริงซะงั้น เราเองตอนแรกมีความภาคภูมิใจมาก แต่หารู้ไม่ว่า ขันที่เขาให้เรารับนั้น มันเป็นขันอะไรกันแน่

    เมื่อทำพิธีรับขันเสร็จแล้ว แม่ดีก้อนำขันมาส่งเราที่บ้าน ตอนแรกก้อตั้งไว้บนหลังตู้ แต่รู้สึกเหมือนกับมันไม่เหมาะเลยซื้อหิ้งบูชามาอีก 2 หิ้ง ติดไว้ที่ตรงหน้าต่าง ย้ายหัวเตียง จัดห้องใหม่ เปิดไฟเพียงสลัว ๆ เท่านั้น จากนั้นเราเองก้อไม่ค่อยกินข้าวกินปลาอยู่หลาย เกือบสองอาทิตย์เชียวล่ะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จนผอมลง น้ำหนักลดลงไปหลายกิโล อ้อ!!! ยังมีอีกหลังจากที่รับขันจากแม่ดีมาแล้ว หน้าตาของเราก้อเศร้าหมอง ไม่สบายใจ จิตใจหดหู่ ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากเห็นใคร มีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีเพียงแม่ดีคนเดียวเท่านั้นที่ดีกับเรา เรารู้สึกรักเค้ามาก อยากพูดคุย อยากเจอ อยากไปอยู่กับเค้า เราแทบไม่สนใจคนที่บ้านเลย

    เลิกงานตอนเย็นก้อไปจมอยู่บ้านแม่ดี กลับบ้านก้อประมาณทุ่มกว่า สองทุ่มทุกวัน เทียวซื้อของ เช่น ดอกไม้ มาลัย ผลไม้ ไปให้เค้าเป็นประจำ ความจริงคือ เพียงแค่อยากไปหา ไปพบ ไปพูดคุยกับเค้า ซึ่งในแต่ละครั้งก้อจะต้องเสียเงินในการซื้อของไปให้เสมอ กลับบ้านมาก้ออยู่แต่ในห้อง ไม่อยากพูดคุยกับใคร ทำตาขวางใส่คนอื่น เวลามีคนมากวนใจก้อทำหน้าตาน่ากลัว เหมือนไม่ใช่ตัวเราเอง

    จากนั้น แม่ดีก้อให้คนทำบายศรีเงิน บายศรีทองมาให้ ซึ่งเราก้อเสียเงินอีกประมาณ 1,500.- บาท แม่ดีนำมาส่งให้ที่บ้านพร้อมกับหิ้งบูชานั่นแหละ เวลาเราสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิ ก้อจะรู้สึกสั่นและหมุน แล้วปวดที่หัวใจ เราเองก้อพาลคิดไปว่าองค์เรามา มีสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่าง เวลาเรามองตัวเองในกระจก แล้วมองตาตัวเอง รู้สึกกลัวตัวเองอย่างประหลาด อะไรกัน กลัวตาตัวเองก้อมีแฮะ หลัง ๆ เลยไม่กล้ามองตาตัวเองในกระจก มันเหมือนไม่ใช่ตาของเราเอง

    คนในบ้าน ก้อไม่มีใครอยากเข้าไปห้องเรา เพราะบรรยากาศมันน่าสะพรึงกลัวอยู่เหมือนกัน เราเองก้อกลายเป็นหลงผิด อะไรก้อแม่ดี แม่ดี ไปซะหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะเตือนยังไงก้อไม่ฟัง อาการเหมือนโดนมนต์เสน่ห์เลยแหละ นี่ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่น ก้อต้องเรียกว่า " ลักเมา" เค้าอะไรทำนองนั้นแหละ

    พอวันหยุดก้อพากันไปทำความสะอาดที่ดงพระเจ้านั่งกร๋น ซึ่งเป็นต้นตำรับของแม่ดีเค้า เราก้อเสียเงินอีก ประมาณ ครั้งละ 500-600 บาท เป็นค่าจ้างคนทำความสะอาด และซื้อกับข้าวเลี้ยงเค้าตอนกลางวัน ตอนอยู่ที่นั่นก้อใจคอไม่ค่อยดี แม่ดีบอกว่า องค์ของเราเก่ง เค้าจะเอาเป็นลูกศิษย์ หมายถึงเป็นร่างทรง เราเองก้อไม่รู้แน่ชัดว่าองค์เราคือใครกันแน่ เพราะแม่ดีเองก้อบอกกำกวมเหลือเกิน แต่ด้วยความที่เราปักใจ ก้อเชื่อว่าเป็นทูลกระหม่อมพ่อ ร.5 องค์หนึ่ง เพราะเราห้อยมาตั้งแต่เล็ก อีกองค์เค้าบอกว่าเป็นพระแม่กวนอิม เราเองก้อคิดว่า น่าจะใช่เพราะเราสามารถงดเนื้อสัตว์ได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ก้อคิดว่าพระแม่ประทานพร ยังไม่พอนะ แม่ดียังให้เราทำพิธีเข้าทองในวันจันทร์ คือเข้าทองหน้าเก้าหลังเก้า เราเองก้อไม่รู้หรอกว่าเค้าทำอะไรกับเราบ้าง แต่ก้อต้องจ่ายเงินค่าซื้อแผ่นทองอีกแหละประมาณ 500.- บาท เราควักเงินแต่ละครั้งง่ายมาก ๆ พอเข้าทองเสร็จ เราก้อเป็นหนักยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า หายใจเข้า-ออก เป็นแม่ดีไปหมด

    มีอยู่วันหนึ่ง เราไปซื้อเทปเพลงเจ้าแม่กวนอิมที่ร้านเจอิ่มบุญ เกิดอาการประหลาด เราไปกับน้องที่ทำงาน พอเข้าไปสักครู่ เราก้อเกิดอาการแน่นหน้าอก ใจคอไม่ดี ปวดไปหมด หายใจไม่ทัน รู้สึกเหมือนจะตาย จนกลับมาที่ออฟฟิต เพื่อนที่ออฟฟิตได้ช่วยกันพยาบาลจนเราดีขึ้น เราโทร.หาแม่ดีทันที ก้อไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ เพราะในร้านเจอิ่มบุญนั้น มีแต่เทพเทวามากมาย แม่ดีก้อบอกว่า เราเป็นร่าง พอพวกเค้าเห็นก้ออยากมาทักทาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราครั้งนั้น ทำเอาเราเกือบตาย

    ยังมีอีก แม่ดีให้หยกกับเรามาแผ่นหนึ่ง บอกว่าเป็นของดีอยู่กับเค้ามานานกว่า 14 ปี แต่เค้าอยากให้เราเก็บเอาไว้ เพราะเป็นของเย็น แล้วก้อมีองค์เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งบูชาอีก 999.- บาท มีซื้อหิ้งเพิ่มอีกด้วย เราก้อจ่ายไปอีกรวม 1,500.- บาท แม่ดีบอกว่าอยากทำขันรักษาตัวให้เรา และเปลี่ยนบายศรีให้ใหม่ เพราะอันเก่าเหี่ยวแล้ว มีอีกนะแม่ดีจะทำพิธีรับขวัญมัดมือให้กับเราโดยใช้ไก่คู่ เราก้อรู้สึกว่า ยังก่อนดีกว่า เพราะเงินเราก้อเริ่มเหลือน้อยแล้ว แม่ดีบอกว่าไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไร เราก้อเกิดอาการสองจิตสองใจ เราอยากให้ผ่านวันอาทิตย์นี้ไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน แม่ดีก้อบอกว่าตามใจเรา

    ด้วยบุญบารมีขององค์บารมีประจำสังขารที่แท้ของเรา ท่านได้ช่วยให้เราพ้นหนี้กรรมในครั้งนี้.......... เราได้เข้าไปค้นดูรายละเอียดในอินเตอร์เนท เกี่ยวกับเรื่องราวที่เราเองสงสัย หรือข้องใจ เช่น หัวข้อ การรับขัน ร่างทรง ตำหนักทรง ดูไปเรื่อย ๆ เจอข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย แล้วก้อเจอหัวข้อ " ร่างทรงองค์เทพ" "ภาษาเทพ" ยิ่งอ่านยิ่งน่าสนใจ ยิ่งอ่านยิ่งกระจ่าง ยิ่งอ่านยิ่งรู้ แต่เราเองในตอนนั้นก้อยังไม่มั่นว่า แม่ดีจะทำร้ายเราถึงเพียงนั้น

    เรามีความรู้สึกว่าอยากเปิดพระโอษฐ์เพื่อพูดภาษาเทพได้ แล้วเราจะกลับไปพูดกับแม่ดี เราค้นเจอเว็บของอาจารย์ประหยัด เจริญบุญ เราจึงได้ติดต่อกับอาจารย์ ขอเข้าไปพบอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการทำพิธีเปิดพระโอษฐ์ และการลงองค์พระธรรม น่าแปลก ที่อาจารย์เองก้อว่างพอดี เราไปพบอาจารย์ในวันอาทิตย์ ที่ 18 ธันวาคม 2548 เวลา 09.00 น. ในการนี้เราเตรียมธูป 1 ห่อ เทียนขาว 1 ห่อ ดอกบัว 5 ดอก และดอกไม้สีขาว เพื่อไปใช้ในการยกถาดกับอาจารย์ ในครั้งนี้ น้องสาวของเราได้ไปด้วยกัน

    เมื่อไปถึงที่บ้านของอาจารย์ ซึ่งหาได้ง่ายมาก อยู่เยื้องกับตลาดสารภี เราเจออาจารย์ที่หน้าบ้านของท่านพอดี เมื่อเข้าไปในบ้านในห้องทำพิธีแล้วก้อพูดคุยเล่าเรื่องของเราให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก้อบอกว่าขันที่เรารับมาน่ะรู้เหรอว่าขันอะไร ไม่ใช่ขันองค์ของเราหรอก เผลอ ๆ รับขันผีมาเลี้ยงน่ะสิ ถูกเขาหลอกแล้วล่ะ เรางี้แทบไม่อยากเชื่อเลยล่ะ อาจารย์บอกให้เรานำขันนั้นไปลอยน้ำเสีย อย่าเอาไว้ในบ้านอีกจากนั้นอาจารย์ก้อทำพิธีเปิดพระโอษฐ์ให้เรา โดยให้เรานั่งขัดสมาท เอามือวางไว้ที่หน้าขา แล้วพูดคำว่า "ยูไล" ไปเรื่อย ๆ สักพัก เราก้อพูดภาษาอื่นออกมา ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่เราเคยพูด เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก เป็นได้ได้อย่างไรกัน นี่คงเป็นภาษาเทพจริง ๆ เพราะเราพูดไปโดยที่เราเองมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา จากนั้นอาจารย์ก้อลงองค์พระธรรมให้ แล้วก้อเชิญองค์บารมีประจำสังขารของเรามา ปรากฏว่าองค์บารมีประจำสังขารของเราคือองค์เทพที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในบรรดาเทพฝ่ายหญิง ซึ่งก้อคือ องค์พระแม่อุมาศรีมหาเทวี ส่วนตัวอาจารย์เองก้อเชิญองค์พระศิวะมาสนทนากับองค์บารมีของเรา ปรากฏว่าสามารถพูดคุยภาษาเทพกันได้เป็นอย่างดี เหมือนกับคุ้นเคยกันมาก่อน

    เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจเป็นยิ่งนัก

    กลับบ้านมา เราจัดห้องใหม่หมด เปิดไฟสว่างไสว รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้ส่งขันคืนเจ้าของเค้าไป เราคิดว่าทุกอย่างเราทำดีที่สุดแล้ว ขอให้เราแข็งแรงกว่านี้เราจะไปหาแม่ดี ทีนี้ก้อจะได้รู้กันเสียทีว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ เรารู้สึกเสียใจนะที่แม่ดีทำกับเรามากมายขนาดนี้ ตอนกลางคืนเราก้อสวดมนต์เสร็จก้อเชิญองค์บารมีประจำสังขารมาร่วมสวดมนต์ภาษาเทพ แล้วก้อนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน จากนั้นเราและน้องก้อได้แวะไปหาอาจารย์ลงองค์พระธรรมเพิ่มอีก

    ในวันที่สองตอนที่อาจารย์ลงองค์พระธรรมให้ เป็นองค์พระนารายณ์ปราบมาร เราเจ็บมาก ปวดใจ ปวดไปหมด ทั้งร่างกาย และจิตใจ หายใจไม่ออก อึดอัด อาจารย์บอกว่ากำลังขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากร่างกายของเรา ให้เอามือวางข้าง ๆ ตัว เวลาสิ่งไม่ดีออกจากตัว มันจะออกทางปลายมือปลายเท้า สักพักมือและเท้าของเราก้อชาไปหมด เป็นอย่างที่อาจารย์ว่าจริง ๆ ไม่รู้ว่าแม่ดีเอาอะไรใส่ให้เราบ้าง มันถึงเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ เราอดทนจนอาจารย์ลงองค์พระธรรมให้เราเสร็จ เราก้อลุกขึ้นไม่ได้ อาจารย์บอกว่าอีกสักครู่ค่อยลุกขึ้น เราก้อพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบากพอควร

    พอกลับมาบ้าน ปรากฏว่าเราปวดไปหมดทั้ง แขน ขา ตัว เดินแทบไม่ไหว อาจารย์บอกว่าเนื่องจากตัวเราเหมือนสนามรบ พอขับสิ่งไม่ดีออกแล้วก้อย่อมปวดเป็นธรรมดา แต่พอนอนหลับแล้วรุ่งเช้าตื่นขึ้นมา อาการดังกล่าวก้อหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีความเจ็บปวดใดใดหลงเหลืออยู่อีกเลย เราเลยคิดย้อนไปถึงตอนที่เราไปซื้อเทปที่ร้านเจอิ่มบุญ เราไม่น่าโง่ ก้อนั่นเทพทั้งนั้น ตอนนั้นเราเป็นมารเข้าไป มิน่าล่ะ เจ็บแทบตาย พอไปลงองค์พระธรรมในวันที่สามเราก้อไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก

    จากนั้น เรารู้สึกสบายใจ โล่งอก ไม่มัวหมอง กินข้าวกินปลาตามปกติ แม่ดีจะรู้มั๊ยว่า เราคืนขันของเค้าไปแล้ว ทุกอย่างลอยกลับไปพร้อมกับสายน้ำ ต้องขอกราบขอบพระคุณองค์บารมีประจำสังขารของเรา ที่ท่านได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเรา ขอขอบคุณท่านอาจารย์ประหยัด เจริญบุญ แห่งสายสัญญา ที่ได้ช่วยขจัดสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกไปจากตัวเรา ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ.....

    ทุกวันนี้ เราเองก้อเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป มีชีวิตอย่างธรรมดา สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน และเชิญองค์บารมีประจำสังขารมาร่วมสวดมนต์ภาษาเทพด้วยกันทุกวัน อยู่อย่างมั่นใจ และสบายใจว่า พระแม่อุมาองค์บารมีประจำสังขารของเราท่านทรงสถิตย์อยู่กับเราตลอดเวลา ทรงปกป้องคุ้มรอง และดูแลตัวเราอยู่เสมอ โอม เจ มาตากี ขอพระแม่ทรงอยู่กับลูกตลอดไป ขอพระแม่ทรงอวยพระพรให้กับลูกอยู่เสมอ ขอพระแม่ทรงนำทางชีวิตของลูกไปในทางที่ควรจะเป็น ไป และสุดท้าย หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครหลาย ๆ คนได้ ไม่มากก้อน้อย

    กนกพิชญ์ ทองอ่อน ( น้ำ )
    ๐๘๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2008
  20. nunnapath

    nunnapath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +256
    ขอโทษน๊ะค่ะพอดีสงสัยเลยอยากถามจริงแล้วดิฉันก็เคยไปที่แห่งหนึ่งเหมือนกันเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อต้นเหมือนกันและก็เคยอ่านประวัติท่านพ่อต้นเหมือนกันเพราะเป็นคนชอบศึกษาและชอบสงสัย เลยบังเอิญได้ไปพบอาจาร์ยท่านหนึ่งอยู่แถวสนามหลวงสอง ตอนที่ไปไม่รู้หรอกว่าเป็นศิษย์พ่อต้น แต่พอดีอาจาร์ยพูดถึงการลงพระธรรมถึงเข้าใจ เลยสนใจตามความอยากรู้อยากเห็น เพราะทราบมาว่าคนที่มาหาส่วนใหญ่จะโดนของหรือคนที่รับขันธ์มาแล้วทั้งนั้นมาแก้เพราะเกิดอาการแปลก ๆ แต่เราไม่เคยรับขันธ์เพราะกลัวมาก ๆ กลัวเป็นแบบแม่ดิฉันเอง จากนั้นอาจาร์ยก็ชวนสนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม ดิฉันก็เลยอยากให้อาจาร์ยช่วยดูว่าดิฉันมีอะไรอยู่ในกายหรือเปล่าตามความสงสัย ก็เป็นวิธีเดียวกับที่อาจาร์ยประหยัดท่านให้พูดนั้นแหละ ดิฉันก็พูดออกมาเป็นภาษาอะไรก็ไม่ทราบแต่รู้ตัวดีไม่สามารถบังคับการพูดได้เท่านั้นเอง และพูดภาษาจีนได้ทั้งที่ไม่ใช่คนจีน
    อาจาร์ยก็ลงองค์พระธรรมให้ เป็นอันเสร็จพิธี อาจาร์ยถามว่าอยากรู้ไหมว่าเป็นใคร ดิฉันไม่อยากรู้ว่าท่านเป็นใครที่ทำให้พูดได้ เพราะดิฉันคิดว่าเราคิดดีและปฏิบัติดีอยู่แล้ว ไม่ควรสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่อยากยึดติดเพราะดิฉันมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมมากกว่า แต่ที่ดิฉันสงสัยสิ่งที่เขียนมาเรื่องการเปิดพระโอษฐ์เนี่ย เราเปิดเพื่ออะไรเท่านั้นเอง และจะช่วยให้เราได้เป็นอะไร ดิฉันเคารพในพ่อครูต้นเสมอท่านสอนให้ทุกคนทำความดี ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตและมีสำนักปฏิบัติธรรมที่อยู่บุรีรัมย์ 1 ปีก็จะมีลูกศิษท์ไปอยู่ปฏิบัติที่สถานที่นั้นทุกปี เราไม่ควรแยกว่าเรามาสายไหนเพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องไปทางเดียวกันหมด แล้วแต่จะไปช้าหรือเร็วเราก็ต้องได้เจอกัน (ดิฉันเป็นเพียงผู้หัดเดินในทางธรรม ผิดพลาดประการใดต้องขอภัยด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างชี้แนะมาก็พร้อมที่จะรับฟังข้อคิดเห็นในทางธรรมทุกประการค่ะ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...