บันทึกส่วนตัว หลวงปู่ อุ่น ชาคโร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 5 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เปิดเผยความลึกลับ ของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
    ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ รู้สึกว่าเสียใจมากที่ได้ไปอยู่ร่วมจำพรรษากับท่านอาจารย์มั่นเพียงปีเดียวท่านก็มานิพานจาก แต่ก็ภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ไปฟังเทศน์อยู่ร่วมอุปัฏฐากท่านผู้มีจิตรบริสุทธิ์ นึกว่าไม่เสียทีประการหนึ่ง ครั้งสมัยนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ข้าพเจ้าอยู่วัดอรัญญวาสีท่าบ่อกับท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านได้พูดว่า พระเณรรูปใดจะไปฟังเทศน์ อาจารย์มั่น ก็ไปเสียเดี๋ยวจะไม่เห็นท่านเพราะท่านได้ทำนายชีวิตท่านไว้แล้วว่า อายุผมจะถึงเพียง ๘๐ ปีเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้อายุท่านก็ ๗๙ จะเข้ามาแล้วพวกคุณจะเสียดายในภายหลังว่า ไม่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์อย่างท่านอาจารย์ ครั้งนั้นก็ได้นมัสการลาท่านอาจารย์เทสก์ ท่านก็อนุญาติและส่งทางด้วยเมื่อเดินทางไปถึงวัดป่าบ้านหนองผือ ได้เข้าไปนมัสการท่าน ๆ ก็ยินยอมรับอยู่ในสำนักท่าน นึกว่าบุญเรามากเหนือหัว แต่นั้นก็ตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเรื่อย ๆ มาตรอดศึกษาเรื่องภายในจิตรที่เป็นไปต่าง ๆ นานา
    ๑. ความลึกลับที่มีอยู่ภายในท่าน ก็ถูกเปิดเผยออกมาที่จำได้คือ ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์มั่นว่ากระผมขอโอกาสกราบเรียน การนิมิตเห็นดวงหฤทัย (หัวใจ) ของคน ตั้งปลายขึ้นข้างบนนั้น เป็นอะไรท่านเลยอธิบายไปว่า ที่จริงดวงหฤทัยของคนนั้น ก็ตั้งอยู่ธรรมดา ๆ นี้แหละ อันมันเป็นต่าง ๆ นานา ตามเรานิมิตเห็นนั้น มันเป็นนิมิตเทียบเคียงคือ ปฏิภาคนิมิตนั้นเอง ที่ท่านว่ามันตั้งชันขึ้นนั้น แสดงถึงจิตรของคนนั้นมีกำลังทางสมาธิ ถ้าจิตรนั้นตั้งขึ้นและปลายแหลม กกใหญ่คล้ายกับดอกบัวตูมกำลังจะเบ่งบานนั้น แสดงว่าจิตรคนนั้นมีกำลังทางสมาธิและปัญญาแล้ว ถ้าน้ำเลี้ยงดวงหฤทัยมีสีต่าง ๆ กันนั้นหมายถึงจิตรของคน เช่น โทสจริตนั้นดวงหฤทัยแดง ถ้าราคะจริตน้ำเลี้ยงหฤทัยแดงเข้ม ๆ ถ้าจิตรของคนที่หลุดพ้นไปแล้วเป็น น้ำหฤทัยขาวสะอาดเลื่อมเป็นปภัสสรเหมือนทองหลอมแล้วอยู่ในเตา เลื่อมอย่างนั้นแหละ ถ้าดวงหฤทัยเหี่ยว ๆ แห้ง ๆ นั้นหมายถึง จิตรของคนนั้นไม่มีกำลังทางจิตรคือ ศรัทธาพลัง วิริยะพลัง สติพลัง สมาธิพลัง ปัญญาพลัง ถ้าธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้ไม่มีในจิตรแล้ว ท่านว่าอบรมไม่ขึ้น ไม่เป็นไป จะสั่งสอนทรมานสักปานใด ไม่มีประโยชน์เลยถ้าดวงหฤทัยคนนั้นมีกกเบ่งบานเหมือนดอกบัว อบรมสั่งสอนไปได้ผลตามคาดหมายจริง ๆ ท่านว่าผมเองเคยเพ่งดวงหฤทัยของผมเอง เห็นเลื่อมเป็นแสงเลยทีเดียว เพ่งไปเพ่งมาปรากฏแตกใส่ดวงตานี้คำพูดของท่าน ท่านจึงอธิบายว่า คนในประเทศไทยนี้ ดวงหฤทัยต่างหมู่อยู่สามองค์คือ ดวงหฤทัยปรากฏว่ามีจานหรือแท่นรองสวยงามดี พระสามองค์นี้ องค์หนึ่งคือ ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงค์ (ติสโส อ้วน) ท่านตายไปแล้วส่วนอีก ๒ องค์นั้นยังอยู่ ท่านอาจารย์มั่นพูดว่า บุญวาสนาบารมีพระสามองค์นี้แปลก ๆ หมู่เพื่อนมากนี้ นึกว่าท่านอาจารย์นี้ท่านดูคนไม่ใช่ดูแต่หู ชิ้นตาหนัง เหมือนคนเราท่านสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาต้องดูด้วยตานอกตาใน เสียก่อนไม่เหมือนปุถุชนเรา อย่างพวกเรานี้มาเอาแต่กิเลสมาสั่งมาสอนบังคับไม่ว่าใครเป็นอย่างใด ฉะนั้นจึงเกิดสงครามกันบ่อย ๆ ระหว่าง อาจารย์กับลูกศิษย์จึงวุ่นวายกันอยู่ทั่วโลก ส่วนอาจารย์มั่น นั้นท่านสั่งสอนไปมันก็ได้ผลจริง ๆ อย่างว่าคนจริตไม่มีธรรม ๕ ข้อก็คือ คนอินทรีย์ไม่แก่กล้านั้นเอง อย่างนี้โดยมากท่านไม่รับเอาไว้ในสำนักของท่าน ม่านใช่อุบายว่าควรไปอยู่แห่งนั้นแห่งนี้หรือกับคนโน้นดีคนนี้ดี
    ๒. ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตั้งใจปรึกษาท่านด้วยจิตรคือ กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างไกลกับกุฏิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เข้าสมาธิทำจิตรให้สงบดิ่งลงถึงจิตรที่เคยเป็นมา แล้วนึกถามท่านว่า จิตรของข้าน้อยตั้งอยู่อย่างนี้แหละ ข้าน้อยขอกราบเรียนว่า จิตรของข้าน้อยตั้งอยู่อย่างไร และเรียกว่าจิตรอะไร จึงขอนิมนต์ครูบาอาจารย์จงได้เมตตาบอกข้าน้อยด้วย นึกแล้วก็พยายามรักษาจิตรอย่างนั้นไว้จนกว่าท่านอาจารย์มั่น เลิกเดินจงกรม เมื่อท่านเลิกเดินจงกรมแล้วท่านก็ขึ้นไปกุฏิ และลูกศิษย์ผู้เคยปฏิบัติอุปัฏฐากท่านคือ ท่านอาจารย์วัน ก็ขึ้นไปนั่งอยู่กับท่านข้าพเจ้าได้ขึ้นไปนมัสการท่านแล้วนั่งอยู่ โดยไม่ได้พูดอะไร ๆ กับท่านเลย ท่านพูดเอ่ยมาว่าจิตรของท่านอุ่นเป็นอย่างนั้น ๆ ตั้งอยู่อย่างนั้น ๆ เรียกว่าจิตรอันนั้น ๆ ทีเดียวข้าพเจ้านั่งตัวแข็งเลย พูดอะไร ๆ ไม่ออก ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจและทั้งกลัวท่าน ละอายท่านถ้าจะกราบเรียนท่านอย่างอื่น ๆ ไปก็กลัวท่านจะเล่นงานเราอย่างหนัก แต่ทุกวันนี้คิดเสียดายเมื่อภายหลังว่า เรานี้มันโง่ถึงขนาดนี้จริง ๆ จะเรียนท่านว่าจิตรเป็นอย่างนั้น แล้วข้าน้อยจะทำอย่างไรอีกจิตรจึงเจริญหลุดพ้นไปได้ สมกับคำโบราณว่า อายครูบ่ฮู้ อายชู้บ่ดี คำนี้มันถูกเอาเสียจริง ๆ
    ๓. ครั้งสมัยท่านกำลังแสดงธรรมเรื่อง ความหลุดพ้นและอริยสัจธรรม ๔ ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ตรงหน้าตรงตาของท่าน ตั้งจิตรสำรวม ส่งไปตามกระแสธรรมของท่านพร้อมทั้ง กำหนดพิจารณาไปด้วย จิตรข้าพเจ้าเลยรวมลงพับเดียวปรากฏว่าดวงจิตรของข้าพเจ้านี้คลายกับเครื่องนาฬิกากำลังเดินหมุนเวียนอยู่ พอนิมิตแล้วจิตรก็ถอนออกมาพอดีถูกท่านเทศน์ใหญ่เลยว่า จิตรพระอรหัตต์ทั้งหลายนั้น จิตรท่านไม่หมุนเวียนอีก ไม่หันต่อไปอีก จึงได้นามว่าอะระหัน แปลว่า ไม่หัน ท่านเหล่านั้นจะเอา อะ ไปไส่แล้ว ไม่เหมือนเรา เรามีแต่หันอย่างเดียวไม่หยุดไม่หย่อนพระอรหันต์นั้นท่านตัดกงหันได้แล้ว ท่านทำลายกงสังสารจักร์ขาดไปแล้วด้วย อรหัตตมรรค ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่ครั้งนั้นจึงเกิดความมหัศจรรย์อย่างใหญ่หลวง ท่านอาจารย์มั่น นั้นไม่แสดงธรรมด้วยหูหนังตาหนังเหมือนพวกเราท่านจก (ล้วง) เอาหัวใจผู้ฟังมาแสดงจริง ๆ ธรรมของท่านที่แสดงจึงถึงจิตรถึงใจของผู้ฟัง อย่างพวกเราแสดงให้กันฟังอยู่ทุกวันนี้มีแต่คนตาบอด ผู้แสดงบอกผู้ฟังก็บอด บอดต่อบอดจูงกันไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน จะไปโดนเอาหลักเอาตอ ตกเหว ตกขุม ที่ไหนไม่ทราบกันเลย ผู้เทศน์ก็มีกิเลส ผู้ฟังก็มีกิเลสกันทั้งนั้น ผู้เทศน์เล่าก็หวังเอาแต่กัณฑ์เทศน์ ไม่เทศน์เอาคน มันจึงไกลกันแสนไกล สมกับพระพุทธเจ้าว่า ธรรมของสัตตบุรุษกับธรรมของอสัตตบุรุษไกลกันเหมือนฟ้ากับแผ่นดิน คำหนึ่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าธรรมของเราตถาคตไปสิงในจิตรของพระอรหันต์ผู้สิ้นจากกิเลสแล้ว ธรรมของเราก็เป็นธรรมแท้ไม่ปลอมแปลง ถ้าเมื่อใดธรรมของตถาคตนี้ไปสิงอยู่ในจิตรปุถุชนผู้มีกิเลส ธรรมของเราก็กลายเป็นธรรมปฏิรูปคือ ธรรมปลอมแปลง ถ้าผู้เขียนนี้เขียนไปมาก ๆ ก็เหมือนดูว่าเทศน์ไปอีกแหละ มันเป็นการเอามะพร้าวมาขายสวนไปจึงขอเขียนเรื่องท่านอาจารย์มั่นต่อไป
    ๔. วันหนึ่งตอนเช้ากำลังฉันจังหัน พระเณรกำลังแจกอาหารลงใส่ในบาตร และระผู้อุปัฏฐากท่านก็กำลังจัดอาหารหวานคาวลงใส่ในบาตรท่านอาจารย์มั่น ถ้าเป็นอาหารของแข็งหรือใหญ่ ต่างองค์ก็ต่างเอามีดหั่น หรือโขลกด้วยครกต่างคนต่างกระทำด้วยความเคารพจริง วันนั้นข้าพเจ้าได้มองไปเห็นพระท่านทำ ก็นึกเกิดปิติขึ้นมาด้วยความเลื่อมใสปล่อยใจเลื่อนลอยไปว่า แหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...