แม่เอาพระที่อยู่ในบ้านไปที่วัด~*เนื่องจากรับขันธ์ครูเขามา

แม่ผมได้นำพระพุทธรูปและเทวรูป ซึ่งประกอบด้วย พระพุทธชินราช เป็นต้น ไปจนถึง เสด็จกรมหลวงชุมพร เสด็จพ่อ ร.5 พระแม่อุมา พระพรหม พระพิฆเนศวร ฯลฯ จวบถึง กุมารทอง

เนื่องด้วยแต่ก่อนแม่ผมไปรับ ขันธ์ครู เขามา

ปัจจุบันไม่ได้ไปสำนักปฏิบัติธรรมดังแต่ก่อน ก็เลยไปลาขันธ์

ถัดมาไม่กี่เดือนก็คือวันนี้นำ พระพุทธรูป เทวรูป ฯลฯ ไปวางไว้ที่วัด โดยให้หลวงพ่อเป็นผู้รับไว้

อยากทราบแค่ว่า

มันเกี่ยวกันไหม ?? ว่าถ้าไปรับขันธ์เขามาแล้วพุทธรูปที่เรารับมาพร้อมขันธ์ ถ้าลาขันธ์ แล้วดวงพระจิตพุทธรูปจะไม่อยู่ เขาบอกว่าไม่มีเวลาดูแล คอยไหว้

ทั้งๆ ที่มียายคอยไหว้อยู่เป็นประจำ ทั้งถวายน้ำ ถวายดอกไม้ พวงมาลัย ธูปเทียน ทุกวัน เขาบอกว่าเจ้าของไม่ไหว้มันจะเกิดประโยชน์อะไร

ผมทัดทานเท่าไหร่ เขาไม่ฟัง เลยวันนี้จะเอาข้อมูลที่ได้จากในเว็บบอร์ด

ไปอธิบายและชี้แจงให้เขาฟังครับว่า ถูกต้องไหมที่คิดแบบนี้ทำแบบนี้

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

 

รับขันธ์

 

ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนิ่คะ...
ไล้ก็รับขันธ์มานะ แต่ไม่เห็นต้องพาคนอื่นๆออกไปไว้ที่อื่นเลย

 

มีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่ามาองค์ เป็นช่องทางทำมาหากินของพวก มิจฉาชีพ อาสัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษา อย่างน้อย 2 องค์ (อยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก)

ตำหนักทรง ร่างทรงต่างๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผี หรือสัมภเวสีทั้งสิ้น

เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ "ผีเข้าตัว" บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก

ร่างทรงต่างๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผี เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผีนายมั่ง นางมี.. ก็คงไม่มีใครไปเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง ,เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือมายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพระท่านไม่มีหน้าที่ เพราะเทพที่มีหน้าที่เค้ามีอยู่),บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดังๆ อยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 มากที่สุดเพราะคนนับถือ เยอะ ..

ในข้อเท็จจริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านแจ้งความเรียกตำรวจจับได้เลย ..หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่ บางคนก็ทรง ร.8..!!

ผู้ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ลมสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกา อัมพาต หรืออุบัติเหตุ แทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนกัดกินอวัยวะภายในเจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วยอุบัติเหตุ..ไปเลย

ที่ผ่านมามีผู้ทนทุกข์ทรมานถอนขันธ์เป็นจำนวนมาก บางคนหมดเงินไปเป็นล้านๆ บางคนก็ถอนเองส่วนใหญ่จะทำไม่ถูกวิธี ..ทิ้งขันธ์ไป แต่วิญญาณในขันธ์นั้นยังเกาะอยู่เหมือนเดิม..!! เหลือแต่ขันเปล่าๆ ก็ยังมีแฝงอยู่ดี

งานพิธีไหว้ครูต่างๆ เป็นการเต้นรำ บรรดาผีต่างๆ แต่งตัวมาเลียนแบบเทพ กันสนุกสนาน ท่านสังเกตุเกิดว่า พระแม่กวนอิมต้องมาฟ้อนรำกับกุมาร หรือพระศิวะ กุมารต่างๆ หรือมหาเทพอย่างพระแม่อุมา จะมาฟ้อนเต้นแร้งเต้นกากับผี หรือกุมารต่างๆ อย่างนั้นหรือ..!!

เทพต่างๆ ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่ต้องมาทรมานสังขารมนุษย์(มันเป็นบาป) นั่งสั่น หงายท้องหรือดูดบุหรี่ทีละ 5 มวน อันนั้นมันผีชัดๆ หรือพูดจาด่าทอสาปแช่งมนุษย์บรรดาเทพต่างๆ ไม่เสี่ยงกับการจกสววรค์ หากมีจิตใจไม่ดี หรือไม่มีศีลธรรมคงไม่เป็นเทพหรอกครับ. ยกเว้นพวกผี..ชั้นต่ำเท่านั้น..!!

บางตำหนักทรงก็เป็นผีชั้นดี ต้องการสร้างบุญจริงๆ ไม่เก็บเงินใดๆ เอาไปทำบุญ แต่หากให้รับขันธ์ ก็ผิดอีกนั้นแหละ ไปเอาพวกผีด้วยกันมาใส่ตัวชาวบ้านให้ได้รับวามเดือดร้อนกัน...!!

บางท่านไม่ได้รับขันธ์ แค่นั่งสมาธิก็โดนสัมภเวสีเข้าแทรก มีอาการแปลกๆ ดังที่เห็นได้ในงานพิธีสวดพานยักษ์ใหญ่ ของต่างๆ ที่ขี้นให้เห็นเพียงพรมน้ำมนต์ก็สงบลง แต่ไม่ออกนะครับ...ผลสุดท้าย วัดนั้นเพียงเอาเรื่องนี้มาทำมาหากิน ขายวัตถุมงคล

มนุษย์เรา ไม่เข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรม ไปเอาวัตถุมงคลมาคุ้ม ถึงได้ผีเข้ากันมากมาย ใครรู้ตัวก่อนก็เป็นบุญเทวดาพามาให้เจอ..

ความเข้าใจกรณีการรับขันธ์

ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

ความหมายของขันธ์ต่างๆ

ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้

ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง

ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ

ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ

ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา


http://pso99pso.212cafe.com/archive/2008-05-29/table-backgroundcolor-transparentborderstyle-noneborderspacing-nonetd-border-nonebordercolor-nonebac/

 

ถ้าลาขันธ์ แล้วดวงพระจิตพุทธรูปจะไม่อยู่
^
^
ตอบเฉพาะอันนี้ว่า ไม่จริงครับ เคยได้ยินไหม "ถ้าเธอระลึกถึงตถาคต ตถาคตจะอยู่กับเธอ"

 

เออ อันนี้เคยเจอมาครับ ผมไปทำบุญกับหลวงปู่ทองอินทร์ที่วัดกลางคลอง4 ผมนั่งคุยกับท่านสักพัก ท่านก็ทักคนที่มารอทำบุญอีกกลุ่มว่า "มาทำอะไรกัน" เค้าว่าลูกเค้าไปรับขันธ์มาแล้วมีอาการแปลกๆ อยู่ๆก็ลุกขึ้นเต้นกลางที่ทำงาน มีอาการแปลกๆเสมอ หลวงปู่ท่านบอกว่า "รู้แล้ว เวลารถเลี้ยวเข้าวัดเห็นนั่งตัวสั่นเลย ใช่มั๊ย " แม่เค้าก็แปลกใจว่ารู้ได้ไง ท่านว่าให้เอาขันธ์และพวกของที่รับมาไปไว้ที่วัดให้หมด แล้วท่านก็แก้ให้

 

ส่วนใหญ่ที่ไปรับขันธ์ คือเปิดจิตเจ้าของร่างให้เป็นศาลาพักร้อนริมทาง ใครจะไปจะมาก็โดยสะดวกแล้วทีนี้



หนังสืออยู่อย่างสว่าง ของ ธ.ธรรมรักษ์ บทที่ 30 เค้าบอกว่า.....

ผู้ที่เป็นพรหมเทพเทวดาทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่เข้ามาเกลือกกลั้ววุ่นวายกับพวกมนุษย์เป็นอันขาด เพราะมนุษย์เรายังต้องมีกิจกรรมต่างๆ ที่วุ่นวายหลากหลาย แม้ว่าจะทำบุญทำกุศลได้ แต่มนุษย์ก็ต้องมีการเสพต่างๆ เช่น กินเที่ยว มีการขับถ่าย เสพกาม

ฉะนั้น ในร่างกายของมนุษย์เราจึงมีแต่ความสกปรก ขอให้ดูว่าทั้งชีวิตของเรานั้น กินเนื้อสัตว์ไปเท่าไหร่ มีการขับถ่ายสิ่งปฏิกูล มีการปฏิบัติในสิ่งที่ดีและไม่ดี ฉะนั้น ร่างกายของมนุษย์จึงเหม็นมาก เพราะกระแสแห่งความสกปรกของจิต ใจและกายหยาบ ซึ่งเต็มไปด้วยอวัยวะเหม็นคาว

แล้วบางคนคิดมากไปกว่านั้น คิดว่าพรหม เทพเทวดาจะเข้ามาประทับในร่างมนุษย์ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่จะเข้ามาประทับในร่างมนุษย์ได้ มันก็คือวิญญาณชั้นต่ำ ซึ่งเรามักเรียกว่าผีเท่านั้น เพราะผีนี้ เมื่อเป็นคนไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ สร้างแต่บาปกรรม เมื่อมาเจอะเจอลูกหนี้ที่เป็นหนี้เวรหนี้กรรม ก็สามารถจะเข้าสิงสู่ได้

ในปัจจุบันคนเราขาดเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เพราะเราไม่ได้ยึดถือตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงวางไว้ให้เรา ในตำราเรียนปัจจุบัน หลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นตรงนี้ แต่ไปเน้นในการประกอบอาชีพการดำเนินชีวิต ในลักษณธที่จะชิงดีชิงเด่น เน้นการแข่งขันที่จะเป็นผู้ชนะเท่านั้น ไม่ได้เน้นในด้านศีลธรรมกันเลย

เมื่อเราคิดกันอยู่แค่ตรงนั้นแล้ว เราก็เลยขาดสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วเราก็จะไปแสวงหาสิ่งที่ไถกต้องมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว บางคนโชคร้ายอาจไปเจอสำนักต่างๆ ที่จะเน้นเรื่องของความเป็นอยู่ของคน ในลักษณะของการชิงดีชิงเด่น ในเรื่องของการแข่งขัน โดยไม่ได้นำพาถึงหลักคำสอนตามความเป็นจริงหรือสัจธรรม เมื่อไม่ได้รับการศึกษาหาความรู้ ก็เลยขาดความรู้ในสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง มีโอกาสไปเจอพวกที่หากินในคราบของ สำนักต่างๆ ที่นำพาเราปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร

อย่างเช่น มีสำนักนั้น สำนักนี้ ทรงเทพองค์นั้นองค์นี้ ผู้เข้าไปหาก็ไม่รู้ถึงความจริง เช่น องค์พระพรหมที่ศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์เชื่อกันว่า ท่านก็เป็นผู้มีบุญบารมีมาก อยู่ในชั้นพรหมและเป็นผู้ที่สร้างโลก

แต่เรากลับคิดไปว่า ท่านมาประทับในร่างของมนุษย์ อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า มนุษย์เราส่วนใหญ่มีกลิ่นเหม็นอยู่แล้ว องค์อินทร์พรหมเทพไหนจะเข้ามาใกล้ ไม่ต้องอินทร์พรหมหรอก แม้กระทั่งเทวดาทั่วไปที่อยู่ชั้นต่ำๆ ลงมา ยังไม่อยากเข้าใกล้เลย

บางคนเป็นยิ่งกว่านั้น ตั้งตนเป็นองค์อวตารของ ท้าวมหาพรหมและเทพเจ้าต่างๆ ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่หลักความจริงเลย เพราะองค์ท่านเหล่านั้น มีบารมีสูงมากพอ ไม่จำเป็นต้องมาอาศัยร่างทรงทั้งหลาย มาสร้างบารมีให้

แต่ถ้าองค์ท่านจะมา ก็ต่อเมื่อเรากระทำความดี โดยมาร่วมโมทนายินดีในบุญกุศลที่มนุษย์เราได้สร้างได้ปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาสิงสู่อยู่ในตัวคน เพื่อมาสร้างบุญบารมี

แต่ผู้ที่เข้ามาสิงสู่ในมนุษย์เหล่านี้คือ พวกผี ซึ่งเป็นจิตวิญญาณชั้นต่ำต่างๆ สัมภเวสีต่างๆ เท่านั้น ที่จะถือโอกาสเข้ามาสิงสู่เข้ามาแฝง

เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ใด สำนักใดก็ตาม ที่ให้หลักการปฏิบัติโดยรวดเร็วทันทีทันใด บอกว่าเป็นแบบเร่งรัด โดยไม่ถูกต้องตามหลักของการทำบุญ โดยไม่มีฐานของบุญเป็นขั้นเป็นตอน ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรมไว้นั้น จะเป็นที่เชื่อได้ว่า เจ้าทรงนั้นอาจจะไม่ใช่องค์เทพองค์จริง หรือเป็นแค่ผี วิญญาณชั้นต่ำ หลอกกินของเซ่นไหว้ หรือเป็นร่างทรงเก๊หลอกเอาทรัพย์สินเงินทอง
<!-- / message --><!-- sig -->

 

โดนผีหลอกจริงๆ เกินคำบรรยาย

 

*-*

 

คุณ sznr<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1886974", true); </SCRIPT>
ผมว่าคุณย้ายกระทู้ไปที่นี้เถอะ http://palungjit.org/showthread.php?t=13816&page=93
ประเด๊ยวจะเหละเป็นโจ้ก แล้วจะหาว่าไม่เตือน

 

รับขันธ์ทำเรื่องอีกแล้ว.............

 

ลองดูที่พระพุทธรูป

* ที่ฐานพระ ถ้ามีคำเขียนอะไรสลักอยู๋ หรือไม่
* ด้านในของพระพุทธรูป บางทีเจ้าของขันธ์ (เจ้าพ่อ หรือเจ้าแม่ ฯลฯ) อาจนำกระดูกผี
ใส่ไปด้านในพระพุทธรูป

มีข้อแนะนำ ๒ อย่าง
๑. กลัว นำไปถวายวัด แจ้งทางพระเถระที่รับ ให้ท่านแก้ให้ แล้วไม่ต้องไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้อีก

๒. ไม่สนใจเลย สวดมนต์ รักษาศีล ถวายพระพุทธเจ้า ไม่ไปนึกถึงเรื่องที่ทำไป และเมื่อ
เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องของสังขาร มีปัจจัย คือ ความแก่ เป็นธรรมดา ...
สวดมนต์ แผ่เมตตาให้มาก ๆ ค่ะ

อนุโมทนา

 

เอาเเละ งง เเระ ตกลงเป็น ผีธรรมดา หรือเป็น เทพ เราเริ่ม เขว นะนี่

 

ส่วนใหญ่ผี...