ปราถนาเป็นโพธิสัตว์ ตอนอายุ 10 ขวบ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pongsakron1840, 13 มีนาคม 2009.

  1. pongsakron1840

    pongsakron1840 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +6
    เรา จำได้ว่า ปราถนา เป็นพระโพธิสัตว์ ตอนอายุ 10-12 ขวบ
    และได้ฝันถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม
    ฝันว่า เหาะไปใน อากาศ อยู่บนเมฆ เพื่อจะไปถาม ใครก็ได้ที่ให้ คำ ตอบได้ว่า สัตว์ทั้งหลายเกืดมาจากไหน แล้วเจอพระโพธิสัตว์ ที่ก้อนเมฆ
    เราถามว่า - มวลมนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากไหน
    ท่านตอบ - เราไม่รู้ว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน เริมเกิดตอนไหน
    เราถามว่า - แล้วท่านองค์ใดทราบ
    ท่านตอบ - พระพุทธองค์
    เราถามว่า - พระพุทธอง์ทรงประทับที่ไหน (ตอนเด็กไม่รู้ศัพท์)
    ท่านตอบ - ท่านไม่ตอบ แตท่านถือดอกบัวตูมไว้ แล้ว กล่าว ว่า ท่านจง
    เอาดอกบัวนี้ไป เราเอามือขาวรับ ท่านบอกว่า เมื่อดอกบัวนี้
    บานท่านจะรู้แจ้งเห็นจริง ดอกบัวตูม ที่มือก็หายไป เข้าใจว่า
    หายเข้าไปในมือ แล้วท่านก็เหาะ หายไป
    นี่คือตอนเด็ก คำว่า รู้แจ้ง หมายความว่าอย่างไร - เด็กไม่เข้าใจ แต่ผมทำไมถึงพูดได้ในตอนนั้น และ ส่วนตัว ผมมีอะไรแปลกๆ คือ ถ้าหนาว ตัว(ร่างกยก็จะอุ่น) ถ้าร้อน ลมจะพัด ต้องการอะไรที่ควร ก็ จะได้ และสงสารสัตว์ ไม่กล้าทำร้ายเลย นี่คือ จิตส่วนลึกของ โพธิสัตว์ใช่ไหม เมื่ออยากรู้อะไร ส่วนให่ญ นอนก็จะเห็น แล้วก็เป็นจริงตามนั้น และสัตว์จะไม่ทำร้าย เป็นส่วนให่ญ เว้นแต่เขาตกใจ

    ไม่นานก็ฝันไปพบ พระพุทธเจ้า ที่ไหนไม่รู้ เต็มไปด้วยสีรู้ง ทั่วท้องฟ้า
    และพระจำนวนมาก ๆๆ ถามท่านเหมือนข้างบน

    ท่านตอบว่า - เราไม่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายเกิดเริมต้นที่ไหน แม้แต่แสงญาณของเราส่องไม่ถึง

    คำว่าญาณตอนเด็กก็ไม่เข้าใจ

    อยากถามท่านผู้รู้ว่า ผมควรจะทำยังไงดี ในการเริ่มหนทางสู่ พระโพธิสัตว์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 04[1].jpg
      04[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      671
    • 03[1].jpg
      03[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.7 KB
      เปิดดู:
      596
    • 06.jpg
      06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.5 KB
      เปิดดู:
      89
    • 08.jpg
      08.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.5 KB
      เปิดดู:
      120
  2. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ขอโมทนาด้วยนะครับ พระพุทธเจ้าท่านรักและเมตตาต่อสรรพสัตว์เสมือนเป็นบุตรของพระองค์เอง ดังนั้นพระโพธิสัตว์ก็อาศัยความรักความเมตตาต่อสรรพสัตว์โดยตั้งความปรารถนาช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ตามกำลังความสามารถของตน บำเพ็ญบารมีสามสิบทัศเรื่อยไป จนในที่สุดก็จะสามารถบรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณได้ครับ

    ตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีในสิบชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอ่านได้จากที่นี่ครับ http://www.larnbuddhism.com/buddha/story.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2009
  3. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เริ่มจาก รักคนอื่นให้เป็นครับ เมตตา ต้องการช่วยเหลือ ด้วยจิตปรารถนาที่จริงใจ

    ไม่ใช่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเป็นที่ 1 ในโลก หรือเก่งที่สุด

    ทุกอย่างต้องเริ่มจากเมตตาและหลักสำคัญคือห้ามทิ้งพระพุทธเจ้า และสัมมาทิษฐิ

    ยังไงก็สู้ๆ นะครับ ถ้าตั้งหลักได้ถูกต้องแล้ว จะไม่เสียเวลามากครับ

    เพราะถ้าหลงไปเป็นมิจฉาทิษฐิแล้ว กว่าจะกลับมาได้ใช้เวลานานมากๆ ครับ เรียกว่า

    ไปอ้อมไกล เลยทีเดียว
     
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครสักคน
     
  5. 123

    123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +864
    55555555555555555 เต่าบินได้...........
     
  6. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ครั้งที่ผ่านมาที่บอกว่าปรารถนา เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ตั้งจิตอธิษฐาน หรือ ได้กล่าว วาจาอธิษฐานหรือยังครับ ทำวิธีไหน อยากทราบ เพราะจะบอก ระยะเวลาการบำเพ็ญของคุณได้ด้วย ถ้ายังไม่ได้ทำก็ควรทำครับ

    ปฎิบัติแนวทางอย่างไร

    ก็เห็นด้วยนะครับ กับคนอื่น มีความรักเมตตาให้ผู้อื่น แต่ อาจจะใช้เวลานานหน่อย บอกได้เลย ว่า อย่างต่ำ 40-80 อสงไขยแน่ๆครับ
    เพราะเป็น ศรัทธาธิกะ และ วิริยะโพธิสัตว์ แน่นอน

    ถ้าปัญญาธิกะ ก็ต้อง สติปัฎฐาน 4 (คือ การเจริญสติ หัวใจของนิพพานครับ) เพราะ กว่าที่เราจะได้เกิดมาในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาอยู่ และ มีคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่นับ ว่ายากกกกกมาก
    (กว่าจะได้เกิดว่าเป็นมนุษย์ก็ยากเต็มทนแล้ว)

    แต่ถ้าทางคุณจะเป็น วิริยะ ไม่ ก็ศรัทธา มากกว่า นะครับ
    ก็ทำความเพียร สมติงสบารมี (บารมี 30 ทัศน์ครับ)

    ซึ่งถ้าคุณได้เจริญสติปัฎฐาน 4 ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีให้เต็มจะลดลงอย่างมาก ฟันธง ครับ

    เพราะส่วนใหญ่ จะไปติดกับ กระพี้ หรือโมหะ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2009
  7. ExSoldierZ

    ExSoldierZ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +11
    เรียนอริยสัจ 4 ให้เข้าใจกระจ่างชัด แล้วปรารถนา ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยเห็นว่า สัตว์โลกที่ยังไม่เข้าใจอริยสัจ 4 นั่นน่าสงสาร หนอเรา จัก ปรารถนา ที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจธรรมอันนี้ด้วย อย่างแรก เราต้องมีอริยทรัพย์เกิดขึ้นในใจ เราก่อน เราก็จะให้ผู้อื่นไม่ได้ดอกนะ ^^
     
  8. Ton_Ton

    Ton_Ton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +4,750
    เท่าที่ผมรู้ก็เริ่มจากเมตตาครับ จากนั้นต้องใช้อธิฐานบารมีช่วย คือตั้งจิตว่าขอให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแบบใดแบบหนึ่งในอนาคตกาลครับ ถ้าเป็นไปได้ก็เรียนกรรมฐาน40 มหาสติ 4
    ขอย้ำว่าต้องคล่องนะครับ เพราะต้องไปเป็นอาจารย์เขา อีกอย่างที่ผมสังเกตุเห็นคือต้องศึกษาพระไตรปิฏกนะครับ เท่าที่รู้ก็เห็นศึกษากันทุกคน จะมากจะน้อยนี่อีกเรื่องนะครับ

    ตอนนี้ผมก็ฝึกอยู่ในขั้นนี้ละครับ กำลังฝึกเจริญพรหมวิหาร 4อยู่ ยังไงก็โมทนาด้วยนะครับ
     
  9. แพ้สะกดยังงัย

    แพ้สะกดยังงัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +69
    ตายละหว่าพระโพธิสัตว์ก็ย่อมรู้ตัวเองสิว่าจะต้องทำอะไรภาระกิจจะต้องปฎิบัตรจะต้องมา

    เป็นผู้สอนคนต้องเรียนรู้ด้วยตนเองกรรมละตูไอ้น้องเอยอุปนิสัยกมลนิสัยขององค์พระ

    โพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ทำเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข เอายังงี้ไปอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน

    วัดบางนมโคที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเขียนไว้นะคุณหรือหาหนังสือศาตร์ว่าด้วยการเป็นพระ

    พุทธเจ้าก็ได้ไม่รู้ใครแต่งแต่ผมอ่านจบแล้วลองหาอ่านดูนะช่วยกันนะ พ่อพระโพธิสัตว์
     
  10. ขันธ์ธรรม

    ขันธ์ธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +54
    ฝันทำนองเดียวกันเลยครับ..แต่ท่าน(โพธิสัตว์กวนอิม)ได้มารับผมในฝันไปเทียวสุขาวดีด้วย...ได้พบเจอพระอามิตาภะด้วยครับ...สุขาวดีเป็นทิพย์สีทองเรืองรองสวยงามระยับจับตามากตอนนั้นก็เด็กมากครับ
     
  11. ขันธ์ธรรม

    ขันธ์ธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +54
    ฝันทำนองเดียวกันเลยครับ..แต่ท่าน(โพธิสัตว์กวนอิม)ได้มารับผมในฝันไปเทียวสุขาวดีด้วย...ได้พบเจอพระอามิตาภะด้วยครับ...สุขาวดีเป็นทิพย์สีทองเรืองรองสวยงามระยับจับตามากตอนนั้นก็เด็กมากครับ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603


    สาธุ ๆๆๆ++
    ผมชอบความฝันของท่านจัง และชอบคำตอบของพระโพธิสัตว์กวนอิม,คำตอบของพระพุทธเจ้ามากเลยนะครับ

    ก็ไม่ต้องทำอะไรมากเลยนะครับ
    เวลาท่านทำบุญ แต่ละอย่างเสร็จท่านก็ตั้งจิต ปรารถนาให้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่งในอนาคต นะครับ


    ธรรมของพระโพธิสัตว์ ( ประจำใจพระโพธิสัตว์อยู่เสมอทุกชาติ )
    ธรรมเหล่านี้สัมพันธ์กันตลอดเวลาไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย เพราะธรรมแต่ละข้อนั้นต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น.....
    เมื่อพระโพธิสัตว์ให้ ทาน จุดมุ่งหมายในการให้ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ผู้รับไม่มีคิดที่จะเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนผู้อื่น
    การไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่นทั้งกาย วาจา ใจ นี้จัดเป็น ศีล
    เมื่อเกิดความคิดในการให้ทาน จิตใจย่อมผ่องใสปราศจากนิวรณ์
    การที่จิตปราศจากนิวรณ์ จัดเป็น เนกขัมมะ
    แน่นอน ในการบำเพ็ญทานนั้น ย่อมตั้งใจใช้การพินิจพิจารณาเหตุผล เพื่อให้ทานเกิดประโยชน์มากที่สุด
    การพินิจพิจารณาเช่นนี้ จัดเป็น ปัญญา
    ความตระหนี่เป็นอุปสรรคสำคัญในการบำเพ็ญทาน พระโพธิสัตว์จำต้องพยายามละความตระหนี่ที่เกิดขึ้นขัดจังหวะอยู่ตลอดเวลา
    การพยายามละความตระหนี่เช่นนี้ จัดเป็น วิริยะ
    นอกจากพยายามละความตระหนี่ซึ่งเป็นบาปที่คอยขัดขวางไม่ให้การทำความดีก้าวหน้าแล้ว พระโพธิสัตว์จะต้องยอมทนทุกข์ทรมานจากการเสยสละ
    เพราะในบางครั้งสิ่งที่สละนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากหรือเสมอด้วยชีวิต แต่เมื่อเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ถึงตนเองจะต้องลำบากท่านก็ยอมสละให้ได้
    การยอมทุกข์ทรมานเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขเช่นนี้ จัดเป็น ขันติ
    พระโพธิสัตว์ เมื่อตัดสินใจให้ทานแล้วก็ย่อมทำตามการตัดสินใจ หรือเมื่อพูดว่าจะให้อะไรแก่ใครแล้ว ท่านก็พร้อมจะให้เสมอ ไม่เคยกลับคำ
    การพูดหรือทำตรงตามการตัดสินใจนั้น จัดเป็น สัจจะ
    การทำอย่างที่พูดหรือตัดสินใจไปแล้วนั้น บางครั้งทำไปแล้ว อาจจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นขัดขวางซึ่งทำใหเกิดความท้อถอยแต่พระโพธิสัตว์จะยึด มั่นอยู่ในสัจจะนั้น พยายามฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้
    ความมั่นคงแน่วแน่เช่นนี้ จัดเป็น อธิฐาน
    การให้ของพระโพธิสัตว์ย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปรารถนาดี และเป็นความปรารถนาดีชนิดที่เป็นอัปปมัญญา ไม่มีขอบเขตจำกัดไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นความปรารถนาดีที่แผ่ไปให้แม้กระทั้งศัตรู
    ความรักความปรารถนาดีอย่างกว้างขวางนี้ จัดเป็น เมตตา
    แน่นอนว่า ในการให้นั้น พระโพธิสัตว์ย่อมมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนหรือเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง ท่านสามารถบังคับใจให้อยุ่เหนือสิ่งตอบแทนทางวัตถุเหล่านี้ ทั้งนี้เป็นเพราะท่านรู้จักปล่อยวางประคับประคองใจให้เป็นกลาง
    การวางใจให้เป็นกลางได้เช่นนี้ จัดเป็น อุเบกขา

    นี้คือบารมี ๑๐ ประการที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญแต่ละพระชาตินะครับ
    ท่านเองก็ลองหาข้อมูลในชาดกแต่ละพระชาติของพระพุทธเจ้าก็ได้นะครับ
     
  13. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td valign="middle">[​IMG]</td> <td valign="middle"> ๔๐ยอดนิทานชาดก อดีตชาติพระพุทธเจ้า ตอน พญากระต่ายโพธิสัตว์สละชีวิตเป็นทาน
    « เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 05:13:23 am »
    </td> <td style="font-size: smaller;" valign="bottom" align="right" height="20">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> <table class="maeva" style="width: 480px;" id="sae1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr><td style="width: 480px; height: 385px;" colspan="2" id="saeva1">
    </td></tr> <tr><td class="aeva_t">[ame="http://www.youtube.com/watch?v=OruEdp3RthI"]ชาดก ผู้สละชีวิตเป็นทาน 1/2[/ame]</td><td class="aeva_q" id="aqc1">
    </td></tr></tbody></table>
    <table class="maeva" style="width: 480px;" id="sae2" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr><td style="width: 480px; height: 385px;" colspan="2" id="saeva2">
    </td></tr> <tr><td class="aeva_t">[ame="http://www.youtube.com/watch?v=crw4MFSF6qE"]ชาดก ผู้สละชีวิตเป็นทาน 2/2[/ame]</td><td class="aeva_q" id="aqc2">
    </td></tr></tbody></table>
    <table style="table-layout: fixed;" width="100%" border="0"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_28520" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" valign="bottom" align="right">
    </td></tr></tbody></table>
     
  14. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ตอบนะคับ

    หาเองคับ

    เจอเมื่อไหร่มาบอกกล่าวด้วยนะครับ ^^
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อ่านชาดก พระชาติของพระพุทธเจ้าเมื่อ ๒๐ อสงไขยกับเศษ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ที่แล้วนะครับ
    ว่าพระองค์ทรงอธิฐานจิตยังไง


    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี
    [​IMG]

    เมื่อ พระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมล่วงกามมิจฉาแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัส เป็นเวลานานนักถึง ๑๔ มหากัปดังกล่าวแล้ว แต่ต่อจากนั้น ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นฬา เป็นเวลานานนับได้ ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวกแต่กำเนิดอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีก เป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ

    ในกรณี นี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่าแต่เพียงเศษของอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพึงกลัวยิ่งนักหนา ฉะนั้น จงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆ ที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้ ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทอง ให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชมชื่นรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ นับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย

    เมื่อ ถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว ครั้นถึงพระชาติเป็นที่สิ้นสุด เศษปรทากรรมคือการล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้น ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติย กุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่

    ก็ในสมัยนั้น เป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชเช่นกันฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตราชกุมารี จึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระมิ่งมงกุำฎพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์ เจ้าเสด็จมากอุบัติตรัสในโลก กาลครั้งนั้น หมู่มนุษย์นิกรนานาประชาชาติ มีสมเด็จพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการะบูชาอุทิศเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้

    วันหนึ่งเป็นเวลาสา ยัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างก็ทอดทัศนาการเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจึงทรงจินตนาว่า "ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง" ทรงจินตนาดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า "ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา" ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า "พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน"

    เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า
    "พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด?"
    "ขอ ถวายพระพร พระราชธิดา! อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการะบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปัง กรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียันรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครูอาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวายพระพร"

    ทรง ได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสหนักหนา จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา ในขณะนั้นเจ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า
    "สมเด็จ พระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด"

    มื่อ เกิดความคิดคำนึง ฉะนี้แล้ว พระราชธิดาเจ้าจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้น ลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า

    "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคิณีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีกาลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งแลขอให้ทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"

    ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป

    ฝ่าย พระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธ เจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า

    "ข้าแต่พระผู้ทรง พระภาค พระเจ้าข้า! เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็น อยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิ ปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งทรงพระนาม ว่า สิทธัตถะในอนาคต ข้าพระองค์โอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเ้จ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า?"

    สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    "ดูกร ภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน"

    "พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ! ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไมมีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า" พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลขึ้นอีก

    ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่าพระกนิษฐภิคินีสุมิตตรากุมารีเจ้าได้ เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นเดิม เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคตภาค ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า

    "ดูกรภิกษุ! กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยหนึ่งแสนมหากัปจักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าสมเด็จพระที ปังกรซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคนีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น"


    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว พระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำปทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารี เล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐพระผู้มีพระภาคเจ้า พอได้ทรงสดับคำเล่าบอกจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวณีย์ถวายนิตยปวารณาว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าขา! แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระคุณจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด"

    ตั้งแต่ วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราช กุมารี ไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน

    ฝ่ายเจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี นั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้า ก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตทานแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ก็จำเดิมแต่กาลนั้นมา เจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่ง นัก สู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศล เป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก ก็เป็นอันว่า บัดนี้ สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงหมดสิ้นจากเศษปรทารกรรมความล่วงเกินภรรยา ของผู้อื่นแต่เพียงนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...