ทราบไหมว่า ดวงจิตของเรา! ถือกำเนิด! มาได้อย่างไร?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย @byss, 16 พฤษภาคม 2009.

  1. @byss

    @byss สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    ดวงจิตในขณะนี้ ย่อมมีอดีตชาติ มีบุญ มี กรรม สั่งสมตามกันมา ตามภพต่างๆ แต่ ต้นกำเนิดของ ดวงจิต เหล่านี้ มีที่มาได้อย่างไร หรือใครเป็นผู้ กำหนด สร้างขึ้นมา..............
     
  2. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    กำเนิดจิตสรรพสัตว์

    ภายหลังจากพุทธปฐม สร้างความมืดมิดขึ้นมาจากอนุภาคธาตุเชิงเดี่ยวธาตุหลักทั้งสามประการคือ อนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุพลาตินัม อนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุยูเรเนียม อนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุไฮโดรคาร์บอน กระทั่งแปรเปลี่ยนขนาดของมวลสารใหญ่ขึ้น กลายเป็นสิ่งปนเปื้อนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า กระทั่งกลายเป็นความมืดมิด ถูกบังคับให้ลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า เรียกว่าห้วงแห่งอวกาศ

    ห้วงแห่งอวกาศ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ภายนอกห้วงแห่งอวกาศ คือความว่างเปล่า โปร่งแสง ถัดจากความว่างเปล่าคือหินแข็ง ใส คือเพชร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายนอกหินแข็ง ใส หรือ เพชร ซึ่งทอดยาวออกไปไกลแสนไกลไม่สิ้นสุด คือความว่างเปล่า ล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เฉกเช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงใดๆ ล้วนเกิดขึ้นภายในห้วงแห่งความมืดมิด หรือห้วงแห่งอวกาศ เพียงเท่านั้น นั่นคือการสร้างจิตสรรพสัตว์ขึ้นมาจากอณูธาตุชนิดใหม่ ซึ่งพระผู้สร้างทรงสร้างขึ้น กระทั่งกลายเป็นความมืดมิด ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร ซึ่งมีมวลสารธาตุซึ่งเกิดจากอนุภาคธาตุยูเรเนียมมากกว่า มวลสารธาตุซึ่งเกิดจากอนุภาคธาตุพลาตินัม และอนุภาคธาตุไฮโดรคาร์บอน

    ทั้งนี้เนื่องเพราะอนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุพลาตินัมกับอนุภาคเชิงเดี่ยวธาตุไฮโดรคาร์บอน ส่วนหนึ่งดึงดูดซึ่งกันและกันเป็นอนุภาคธาตุเชิงคู่ ด้วยคุณสมบัติทางอำนาจแม่เหล็ก ภายหลังจากห้วงแห่งความว่างเปล่าซึ่งอยู่ภายในหินแข็ง ใส คือเพชร เริ่มเย็นลง ทำให้เหลืออนุภาคเชิงเดี่ยวของธาตุยูเรเนียม ซึ่งมีสถานะเป็นกลางทางไฟฟ้า และเป็นสื่ออำนาจแม่เหล็ก มีปริมาณอนุภาคธาตุเชิงเดี่ยวเหลืออยู่มากที่สุด เป็นข้อจำกัดของทรัพยากร ซึ่งนำมาใช้ประกอบเป็นหินธาตุกำเนิดพลังจิตสรรพสัตว์ ในกาลต่อมา

    การสร้างหินธาตุกำเนิดพลังจิต

    ภายหลังจากสร้างความมืดมิด อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าเสร็จสิ้น พระผู้สร้างสรรพสิ่ง หรือพุทธปฐม ทรงคิดริเริ่มที่จักสร้างจิตสรรพสัตว์ขึ้น ด้วยการสร้างหินธาตุกำเนิดพลังจิตสรรพสัตว์ขึ้นมาก่อน ภายหลังจากนั้นจึงทำให้หินธาตุกำเนิดพลังจิตนั้น เรืองแสงแผ่รังสีออกมา รังสีของหินธาตุกำเนิดพลังจิต ก็คือจิตสรรพสัตว์ ซึ่งมีความแตกต่างกันตามคุณสมบัติขององค์ประกอบของหินธาตุกำเนิดพลังจิต

    นั่นคือ ธาตุใดกอปรด้วยอณูธาตุ พลาตินัมเป็นส่วนใหญ่จักมีคุณสมบัติเบา ละเอียดอ่อน มีความเป็นหญิงมากกว่าความเป็นชาย จักเป็นเป็นธาตุชั้นฟ้า องค์ประกอบของธาตุใดกอปรด้วยอณูธาตุยูเรเนียมเป็นส่วนใหญ่จักมีคุณสมบัติหนัก เป็นธาตุชั้นดิน องค์ประกอบของธาตุใดกอปรด้วยอณูธาตุไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ จักมีคุณสมบัติเป็นของไหลเป็นธาตุชั้นน้ำ ซึ่งองค์ประกอบของธาตุชั้นดินย่อมมากกว่า เนื่องเพราะอณูธาตุยูเรเนียมมีปริมาณมากที่สุด ธาตุหินกำเนิดพลังจิตพื้นแผ่นดินจึงมากที่สุด เป็นข้อจำกัดของการสร้างหินธาตุกำเนิดพลังจิต ในกาลต่อมา

    การกำหนดขอบเขตของจักรวาล

    การกำหนดขอบเขตของจักรวาล เกิดขึ้นมาภายหลังจากพระผู้สร้าง ทรงสร้างองค์ประกอบของธาตุหินกำเนิดพลังจิตเสร็จสิ้นแล้ว นั่นหมายถึง จักต้องจัดเตรียมวัตถุดิบ สำหรับสร้างหินธาตุกำเนิดพลังจิตขึ้นมาก่อน

    ภายหลังจากนั้น จึงกำหนดขอบเขตของจักรวาลขึ้น โดยกวาดต้อนวัตถุดิบซึ่งเตรียมไว้ ให้ลอยเคว้งคว้างอยู่ภายในกรอบของจักรวาล ด้วยการสร้างอำนาจแม่เหล็กขึ้น จากการกลับขั้วแม่เหล็กอนุภาคเชิงคู่ระหว่างอนุภาคธาตุพลาตินัมกับอนุภาคธาตุไฮโดรคาร์บอน ซึ่งควบคุมโดยพระผู้สร้างสรรพสิ่ง หรือ พุทธปฐม

    การกลับขั้วแม่เหล็กอย่างต่อเนื่อง ด้วยความถี่สม่ำเสมอ จักเกิดแรงผลักหนุนเนื่องตามกัน และหนุนเนื่องเป็นทำนบคลื่นอำนาจแม่เหล็ก โดยรอบทุกทิศทาง สร้างความกดอากาศขึ้นมา เฉพาะตำแหน่งของความมืดมิด ที่จักนำมาสร้างเป็นหินธาตุกำเนิดพลังจิต มีลักษณะเป็นทรงกลมมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งล้านกิโลเมตรเพียงเท่านั้น มิได้นำความมืดทั้งสิ้นมาสร้างหินธาตุกำเนิดพลังจิตสรรพสัตว์

    โดยสร้างความแตกต่างของสรรพจิต ขึ้นมาจากอนุภาคธาตุกำเนิดพลังจิต ซึ่งนำมารวมกันเป็นองค์ประกอบของ หินธาตุกำเนิดพลังจิตพื้นแผ่นฟ้า พื้นแผ่นดิน พื้นแผ่นน้ำ อย่างแยบยล ในกาลต่อมา

    ความสำคัญของการรู้แจ้งเกี่ยวกับจักรวาล

    การรู้แจ้งเห็นจริงเกี่ยวกับจักรวาล จักทำให้สามารถเข้าถึงธรรมชาติของสรรพสิ่ง ซึ่งล้วนถูกสร้างขึ้นมาภายหลังทั้งสิ้น โดยพระผู้สร้างตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากพุทธปฐม สรรพสิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ล้วนสามารถอธิบายด้วยหลักของเหตุผลได้ทั้งสิ้น นั่นคือ สรรพสิ่ง ความมืดมิด จักรวาล ห้วงแห่งอวกาศ มนุษย์ สัตว์ มหาสากลจักรวาล ล้วนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเป็นสารระบบทั้งสิ้น มิมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ ธรรมชาติล้วนถูกสร้างขึ้น กฎของธรรมชาติ ล้วนถูกสร้างขึ้น มิได้เกิดขึ้นมาเอง

    เพียงแต่มนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นมาภายหลังจากการสร้างขึ้น มิอาจรู้แจ้งถึงที่มาของตนเอง มิรู้แจ้ง ว่าตนเองเกิดมาทำไม ตนเองเกิดมาจากไหน สิ่งไหนเกิดก่อน สิ่งไหนเกิดตามมาภายหลัง เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ล้วนบังเกิดขึ้นมาภายในความมืดมิดทั้งสิ้น ภายนอกความมืดมิด คือความสว่างไสว โปร่งแสง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

    หากมิรู้แจ้งในหลักสัจธรรม จักมิอาจล่วงรู้ว่าคนเราเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม เป้าหมายของชีวิตคืออะไร ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจักมุ่งหวังทางหลุดพ้น(นิพพาน) มนุษย์ส่วนมากต้องการแสวงหาความสุขจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งได้เกิดมาในยุคของพระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้า ซึ่งมุ่งสอนให้มนุษย์แสวงหาความสุข จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในกรอบของกฎแห่งกรรม สุข ทุกข์ ตามผลของการกระทำ คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สอนให้ละเว้นความชั่ว สอนให้รู้แจ้งในกฎแห่งกรรม (หลัก ปรอ ภาษา หรือ สิร ) จักได้ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท พลาดพลั้งตกนรก รับผลของการกระทำ เนื่องเพราะไม่รู้แจ้งในกฎแห่งกรรม

    เพราะการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ย่อมมีโอกาสผิดพลาดพลั้งเผลอ เนื่องเพราะความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในกฎแห่งกรรมได้

    มิได้มุ่งเน้นสอนเพื่อการหลุดพ้นไปจากความเป็นมนุษย์ (นิพพาน) เฉกเช่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสอนไว้ดีแล้ว นั่นคือ การออกบวชถือสันโดษ ซึ่งพระพุทธเจ้า ได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว เพียงแต่ปัจจุบันโลกวิวัฒนาการไปมาก วิธีการแสวงหาความสุข มีมากมายหลายหลากวิธีการ ผู้ซึ่งแสวงหาความหลุดพ้น จึงมีน้อยกว่ายุคของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เป็นหลักธรรมชาติของคน ซึ่งล้วนเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขทั้งสิ้น

    สรรพสัตว์ใดๆ ก็เป็นเฉกเช่นกัน ล้วนปรารถนาจักได้เกิดมาบนโลกมนุษย์ เพื่อแสวงหาความสุข ตามแบบฉบับของตน ตามกฎแห่งกรรม แม้จักเกิดมาแล้วถูกกินก็ตาม หากมิรู้แจ้งในกฎของจักรวาล ว่าหมายถึงการหมุนเวียนกันเป็นผู้กินผู้ถูกกินแล้ว ย่อมมิอาจรู้แจ้งในกฎแห่งกรรม ซึ่งนำจิตสรรพสัตว์มาชดใช้กรรม ซึ่งเคยกระทำมาเมื่อครั้งอดีตชาติอันไกลโพ้นได้ เรียกว่ากงกรรมกงเกวียน หมายถึง ผู้เคยกินกลับมาอุบัติใหม่เป็นผู้ถูกกิน ผู้ถูกกินกลับมาอุบัติใหม่เป็นผู้กิน

    เพียงแต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มิอาจกัดกินซึ่งกันและกันได้ จึงมีกฎแห่งกรรมว่าด้วยความเป็นคน คือ (สิร) หมายถึง สิ่งซึ่งทำให้ความเป็นคนลดต่ำลง มาเป็นเครื่องมือบังคับใช้กับมนุษย์

    หากมิเรียนรู้เกี่ยวกับจักรวาล ย่อมมิอาจล่วงรู้ความลับของจักรวาลอันมืดมน แต่แฝงไว้ด้วยความสวยงาม การเปลี่ยนแปลงคือความสวยงามของจักรวาล นั่นคือ พุทธประสงค์ของพุทธปฐม ซึ่งคิดสร้างความมืดขึ้นมา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้บังเกิดขึ้นมาภายในความมืดมิด เป็นปริศนาที่มนุษย์ ขวนขวาย ใคร่รู้

    หากไม่มีความมืดมิด ย่อมไม่อาจสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาภายหลังได้ นั่นคือ หลักในการสร้างการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลขึ้นมาภายในความมืดมิด เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่จิตสรรพสัตว์ ในกาลต่อมา





    อ้างอิง
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=165735






    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ

    [​IMG]

    .
    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  3. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    มีคำตอบแบบเบสิคๆหน่อยบ้างไหมหนูเมย์ ลุงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง
     
  4. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    เมย์ก็อ่านไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แหะๆ :p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  5. od2499

    od2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +532
    ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยก็มีเพื่อนคนนึง นึกว่าอ่านไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว
     
  6. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ความเห็นของคุณ เป็นสารคดี วิชาการหรือจินตนาการ
    กรุณาแนบที่มาที่ไปมาด้วย อยากแสดงความเห็นร่วมด้วย[​IMG]
     
  7. @byss

    @byss สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    ปุจฉา?

    ในกรณีนี้ หากเหตุการณ์นี้ เป็นจริงดังที่กล่าว! ก็คือสรุปได้ว่า "พระผู้สร้าง"ซึ่งมาจากปฐมภูมิ ได้สร้าง ดวงจิต และ ที่อาศัยของดวงจิต "ด้วยความรู้ และ พลานุภาพ" จนมาเป็น จิตวิญญาณ และความรู้สึกของเราได้ทุกวันนี้ ดังนั้น "พระผู้สร้าง"รูปนี้ ท่านเอง ก็ ต้องถูกสร้างขึ้นมาเช่นกัน อาจจะเป็นไปได้ว่า ที่ท่าน มีพลานุภาพ และความรู้ต่างๆ ที่สามารถ สร้างจุดก่อกำเนิด จิต ของเรา และ ที่อาศัยได้นั้น.....เป็นเพราะ มี ภพ แบบโลกของเรานี้ หลายภพ หลายโลก !......ดังนั้น ก็ต้องแสดงว่า จิตของทุกคน ต้องเริ่มต้นความเท่าเทียมกัน ของบุญและบาป ราวกับว่า เริ่มหยอดกระปุก และใครที่เริ่มมีความสงสัยก่อน ว่าตนเองนั้นเกิดมาทำไม? ก็จะค้นหาคำตอบของการที่จะกลับไปสู่ความว่างเปล่า(นิพพาน)เหมือนดังเดิมได้ แต่ ขณะนี้สิ่งที่จะคลายความสงสัยของท่าน และเราได้ คือ ตัดความสงสัยออก โดย คิดซะว่า มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันก็อาจเป็นไปได้ สำหรับบางคน เพราะว่า นานาจิตตัง แต่ละคนก็มีความคิดในตัวเองต่างกันไป บางคน ก็มีความสงสัย ฝังอยู่ในใจลึกๆ หรือ เราอาจจะสรุปได้ว่า เราไม่สามารถย้อนทราบถึงจุดกำเนิดได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่า ความยาวนาน ของจุดเริ่มต้นนี้ แม้แต่ "พระผู้สร้าง" นั้นก็มิอาจหยั่งรู้ได้. ฉะนั้นในเมื่อดวงจิตของเรา กำเนิดมาแล้ว ย่อมมีแนวทาง กลับไป สู่ความว่างเปล่า ดังเดิมได้.....ตามที่พระพุทธเจ้า ได้ค้นหาคำตอบไว้ให้พวกเรา....... ท้ายนี้ ข้าพเจ้า ก็มีอยู่1คำถามสำหรับพวกท่านทั้งหลายว่า เราเอง อยากจะกลับไปสู่ความว่างเปล่านั้นกันรึปล่าวววว? ที่ที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีความรู้สึก ซึ่ง ณ ขณะนี้ ยากที่จะจินตนาการว่า ความรู้สึกว่างเปล่าที่ไร้ความซับซ้อน มันเป็นอย่างไร เนื่องจาก มนุษย์ อย่างเราๆนั้น มีความ รู้สึก ซับซ้อนกันเหลือเกิน ...
    ..................................
     
  8. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    ตามนั้นแหละค่ะ
     
  9. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    อนุโมทนาครับ
    แต่ผมกำลัง สงสัยว่า
    พุทธปฐม คืออะไรหรอครับ
    ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ชรามรณะ มีได้ ก็เพราะ ชาติ
    ชาติ มีได้ ก็เพราะ ภพ
    ภพ มีได้ ก็เพราะ อุปาทาน
    อุปาทาน มีได้ ก็เพราะ ตัณหา
    ตัณหา มีได้ ก็เพราะ เวทนา
    เวทนา มีได้ ก็เพราะ ผัสสะ
    ผัสสะ มีได้ ก็เพราะ สฬายตนะ
    สฬายตนะ มีได้ ก็เพราะ นามรูป
    นามรูป มีได้ ก็เพราะ วิญญาณ
    วิญญาณ มีได้ ก็เพราะ สังขาร
    สังขาร มีได้ ก็เพราะ อวิชชา

    จาก หนังสือ โพธิธรรมทีปนี โดย พระศรีวิสุทธิโสภณ (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
    เป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่คิดว่าคำตอบที่ตอบมาเกี่ยวกับพุทธปฐมนั้นไม่น่าจะถูกต้องนะครับ(ไม่แน่ใจ)เพราะผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใครแต่เคยได้อ่านจากตำราบางเล่ม กล่าวว่า ถ้าจะถามว่ามนุษย์โลกมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วกี่องค์ ถ้าจะนับก็คงนับได้ดังเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งหมดที่มีในโลกนี้ ส่วนจิตน่าจะมีมาตั้งแต่แรกตอนไหนไม่รู้แล้วก็คงเริ่มเมื่อมีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง มีทั้งขึ้นอยู่กับรูปนาม และไม่ขึ้นอยู่กับรูปนาม ไม่งั้นเราจะรู้ได้ไงว่าเรามีจิต ซึ่งจิตที่ไม่มีรูปนามก็มี อย่างไรก็ตามกาลเวลาผันแปรไปยังไงคำสอนที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ก็ไม่มีเปลี่ยน เป็นความจริงทุกประการ จากอีกสัก 10 สัก 100 สัก 1000 ปีก็ไม่เปลี่ยน โลกจะวิวัฒนาการไปจนถึงย้ายจักรวาลได้ในพริบตาเหมือน star war คำสอนของพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เพราะนั่นคือความจริงทุกประการ มีพระอรหันต์สาวก และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายเป็นเครื่องยืนยัน ทำไมถึงบอกว่าโลกจะเปลี่ยนยังไงธรรมของพระพุทธเจ้าก็ยังเหมือนเดิม จากอดีต จนถึงปัจจุบัน กิเลสมันเปลี่ยนไหมละ ราคะ โมหะ โทสะ โลภะ 2500 ปี เป็นอย่างไร ปัจจุบันและต่อๆไปก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่การที่จะรับรู้รูปแบบของกิเลสย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จิตตัวเดิม แค่เปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย พูดตรงๆเลยนะครับการจะรู้จุดกำเนิดของจิตในแง่ของหัวข้อนี้ ก่อนตอบผมลืมตอบตัวเองว่ารู้แล้วเราจะได้อะไร ผมก็เลยคิดว่า เพราะผมไม่รู้จริงๆ เลยว่ามันเริ่มต้นยังไงกันแน่ หรือว่าจะเริ่มต้นจากความไม่รู้จริงๆ
    เห็นด้วยกับคุณ รักD ครับ รู้อย่างเดียวเวลาที่เราหลงทางในป่าเดินไปเดินมาก็มาที่เดิมอยากหาทางกลับบ้านให้ได้เร็วที่สุดครับ ถ้าหาถนนเจอซักเส้นคงจะดีใจ ไม่คิดมากเลยรีบเดินตามทางนั้นไปเลยครับส่วนใครอยากจะคิดเปรียบเทียบต่อยังไงก็คิดกันเอาเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  11. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    อนุโมทนาครับ

    อุปมาเปรียบดั่ง ปุจฉาที่ว่า "เราอยู่ในจักรวาล หรือจักรวาลอยู่ในเรา"
     
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เจ้าของบทความที่กะละมังไปก็อปมา ก็อยู่ในพลังจิตนี่เอง แต่ว่ากระทู้เค้าส่วนมากไปอยู่ในหลุมดำ ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านหน่อยนะ
     
  13. jiwcrop

    jiwcrop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +792
    เท่าที่อ่านมานะครับไม่รับประกันความถููกต้องนะครับ

    1.โลกที่เราอยู่เนี่ยเขาเรียกว่า ชมพูทวีป ครับ และยังมีทวีปอื่นๆอีก(ซึ่งมนุษย์เรียกพวกเขากันว่ามนุษย์ต่างดาวครับ) อมรทวีป (ชื่อไม่แน่ใจครับ) และ อีก1.... ข้อมูลผมก็อ่านมาจากในเว็บนี้อีกทีครับ
    2.ในความเห็นของผมนะครับ ถ้าโลกแตกดับ หรือชมพูทวีปแตกดับรอการอุบัติขึ้นมาใหม่ เหล่าดวงจิตจะไปแวะพักที่อื่นครับ เช่นทวีปอื่น และภพภูมิอื่น อีกทีครับ
    3.สำหรับชมพูทวีปนั้น ในมหากัป นี้ยังอีกยาวนานครับ กัป 1 ในการคำนวณเวลาเท่ากับ แท่งศิลา ยาว 16 กม ทุก 100 ปี เอา ผ้าบางๆ ลูบ ที 1 จนกว่าแท่งศิลาจะหมด จึงเท่ากับ 1 กัปครับ
    4.หากพ้นจากกัปนี้แล้ว กัปหน้า พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระศรีอาริยะเมตไตรย พระองค์จะลงมาโปรดสัตว์โลกครับ รายละเอียดอื่นๆก็หาอ่านได้ในส่วน พุทธภูมิครับ


    ตามความคิดนะครับ ดวงจิตถือกำเนิดอย่างไรและทำไม ผมว่าเป็นเรื่องอจิณไตย คือเป็นเรื่องเหนือปัญญาของเราที่จะทราบได้อย่างถ่องแท้นะครับ คิดมากไปปวดหัวเปล่า ทำวันนี้ทำดีให้ถึงพร้อม เพื่อเข้านิพพานจะดีกว่าครับ เพราะโลกนี้ มัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
     
  14. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    อย่ารู้เลยครับ รู้ไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าจะเอาไว้ประัดับความรู้ มันไม่ได้อะไรจริงๆ - -

    ถามเรื่องที่ได้ใช้ประโยชน์ดีกว่า

    บางคำถามคำตอบแสนจะหายาก ลำบาก แต่ สุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรเลย อย่างเช่น

    ช้างมันฟันกี่ซี่ - - ปลาฉลามกินปลาชนิดใดบ้าง ล้วนเป็นคำถามที่ไม่มีประโยชน์
    \_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_

    แต่คำถามที่มีประโยชน์ ก็คือ สิ่งที่เราจะทำ ให้ได้ผล หนทางที่จะทำ คือถามว่า ถนนที่เค้าทำเสร็จแล้วอยู่ที่ไหน จะได้ไม่ต้องลัดเลาะป่า น่าจะมี่ประโยชน์กว่า

    ไม่ได้ว่านะ แต่แค่แสดงความคิดเห็นหน่ะ
     
  15. @byss

    @byss สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    มีไม่ใครผิดถูก อยากรู้ ไม่อยากรู้ ?

    คนเราทุกคน ย่อมมีความสงสัยในตัวเอง ไม่ผิดไปจากความเป็นมนุษย์ ความสงสัยแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคน ก็สงสัยในอดีตชาติ มันก็คงไม่ มีความสำคัญ พอพอกับคำถาม ที่ ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้น ? ฉะนั้น ก็พูดได้ว่า เราไม่รู้หนทางมา แต่รู้หนทางกลับ จะดีกว่า ...........
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ดูจากลักษณะคำถามแล้ว ผู้ถามต้องการคำตอบออกนอกกรอบ
    พุทธศาสนาเล็กน้อย อาจไปอิงศาสนาอื่นเช่นพระเจ้าผู้สร้าง
    ทำนองนี้ ผมมีคำตอบสองคำตอบ
    ๑.ตอบตามแนวของจขกท
    ๒.ตอบตามหลักพุทธศาสนา
    ถ้าจะให้ตอบตามแนวของจขกท คำถามของจขกทเข้าหลัก
    อจินไตย ๔ ประการ ในข้อที่ว่า โลกจินดาหรือโลกวิสัยซึ่งผม
    ว่าคำถามนี้น่าจะรวมอยู่ในข้อนี้ด้วย.
    *แต่ถ้าเราจะตอบตามหลักของพระพุทธศาสนา
    จิตก็คือขบวนการความคิดหรือนามขันธ์ เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย
    ตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วดับไปเกิดจิตดวงใหม่ขึ้น ขั้นตอนเป็นไปดังนี้
    เกิดจากวิญญานขันธ์ไปรับรู้หรือกระทบอารมณ์ที่เรียกว่าผัสสะ
    สัญญาขันธ์จะทำหน้าที่ด้วยการจำได้หมายรู้และเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ขึ้นเรียกว่า สังขารขันธ์ และต่อเนื่องทำให้เกิดการ
    เสวยอารมณ์มีความรู้สึก สุข,ทกข์,เฉยๆเกิดขึ้น สุดท้ายจิตดวง
    นี้ก็ดับไปเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นมา
    ดังนั้นพอสรุปได้ดังนี้ จิตเกิดจากขบวนการของขันธ์หรือความ
    คิด ซึ่งจะอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วดับไปเกิดจิตใหม่มาแทน.
     
  17. @byss

    @byss สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    อนุโมทนา

    อนุโมทนาทุกท่าน ที่ทำให้คลายความสงสัยซึ่ง ข้าพเจ้าเองในตอนนี้ อยู่ขณะ สภาวะศึกษาจิตของตนเอง ในช่วงของ กังขาวิตรณวิสุทธิ ซึ่ง ข้าพเจ้าเองก็ใคร่สงสัย แล้วติดอยู่ตรงภาวะนี้.....ปกแล้วจะศึกษาเอง ปฏิบัติเองจนเข้าใจมาตลอดด้วยตัวเอง ไม่ค่อยมีผู้ใด หรือได้มีโอกาส พบกับผู้ชี้แนะในเรื่องธรรมมะ สักเท่าไหร่ ..........ณ ขณะนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าใจแล้ว และคลายความสงสัย แล้ว จะเหลือก็เพียง การผูกจิตของตนเอง ให้อยู่ในความว่างเปล่า ที่สม่ำเสมอ ให้ได้เพื่อให้คุ้นเคย กับ ความว่างเปล่า .......... ขออนุโมทนา กับท่านทั้งหลาย ที่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ข้าพเจ้ายินดีอย่างยิ่ง ที่ได้สนทนาธรรมกับท่านๆทั้ลหาย.........อนุโมทนา
     
  18. pkpnk

    pkpnk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +112
    เราอยู่ในจักรวาล จักรวาลอยู่ในเรา อารมณ์ สงัดในความมืด แต่ยังรู้สึกว่าเรายังอยู่
    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
    กำเนิดดวงจิต หนังสือ ฟ้ากับฉัน
     
  19. พิทักษ์ศาสนา

    พิทักษ์ศาสนา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +7
    การที่มาตั้งคำถามว่าจิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น เป็นคำถามที่ดี
    แต่ว่าคนที่สามารถตอบคำถามนี้ได้นั้นเห็นทีแต่จะมีพระพุทธองค์เท่านั้น
    เพราะว่ามีแต่พระองค์เท่านั้นที่มี'พระสัพพัญญุตญาณ'
    เนื่องจากว่าต้องใช้ปัญญาที่สูงกว่าปัญญาแบบมนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจได้ เราเรียกว่าอจินไตย อีกอย่างถ้าพระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาข้อนี้แล้วคิดว่าเราสามารถเข้าใจได้หรือไม่ เพราะว่าขนาดสิ่งที่ท่านสอนให้พวกเรารู้ตามเพื่อความหลุดพ้นพวกเรายังไม่เข้าค่อยเข้าใจเลย จึงอยากให้ทุกคนทบทวนสิ่งนี้ให้ดีก่อน เหมือนการปฏิบัติหากเราเกิดความสงสัยมากเราจะไม่ก้าวหน้าเลย.
     
  20. สัพเพ ธัมมา อะนัตตา

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +104
    เจ้าเมย์ มาทีไรมีหลักการทุกทีเลย นะ

    ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...