น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    เจ้าหนูจำมัย

    นี่ท่าน เป็นภิกษุแท้หรือ แค่เล่นหลอกยกเอาคำมาต่อว่าภิกขุ แทนชื่อตัว ???
    ลักษณะเหมือนพวกไม่เคยปฏิบัติแม้สมาธิขั้นต้น สิ่งที่ถามก็ไร้สาระ เหมือนเด็กสอดรู้สอดเห็น รอให้โตกว่านี้ จิตละเอียด ใจบริสุทธิ์กว่านี้ ก็จะพบคำตอบเองแหล่ะท่าน
     
  2. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    ท่านคงได้เห็นเองถ้าทำถูกทาง

    ถ้าทำได้ตามเงื่อนไข ท่านคงได้ไปเห็นเอง แต่เมื่อได้ไปเห็นก็คงไม่ได้กลับมาบอกน่ะสิ 555 เหตุนี้ เลยไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามีใครเคยเห็น มุ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
     
  3. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    เฮ้อ อ่านแล้วก็เหนื่อยนะท่านเตชปัญโญ ข้าพเจ้าตามไปอ่านที่เว็บของท่านแล้ว ก็พอจะเข้าใจ เพราะหนังสือที่ท่านเขียนนั้นชื่อว่า "พุทธศาสนาระดับเริ่มต้น" ก็เข้าใจท่านที่แสดงธรรมในเว็บ ฉันคือใคร มุ่งเน้นไม่ให้เกิดการยึดติด และคิดเห็นในสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล แต่อย่างไรก็ไม่เห็นว่าการสอนเรื่องตายแล้วสูญ จะส่งผลรองรับคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านแสดงความเห็นของท่าน ที่ตอบแก้ไขข้อกล่าวหาเรื่องที่ 7 ในเรื่องบุญกรรม อย่างไตร่ตรองดีแล้วหรือ หากไม่มีจริงแล้ว แม้สอนกันมานานว่ากรรมมีจริงติดตามไปได้จนกว่าจะได้ชดใช้กรรมหมด ก็ยังมีคนทำบาปกันมากมาย แล้วถ้าท่านฟันธงว่าควรเชื่อเรื่องกรรมในชาติปางก่อนไม่มีจริง หรือเป็นเรื่องไม่ควรเชื่อ คนจะเกรงกลัวอะไร คำว่า หิริโอตัปปะ จะมีบัญญัติไว้เพื่อการใดล่ะท่าน ถ้ากรรมติดตามภพชาติไม่มีนั้น ที่ว่าที่เราทุกคนเกิดมาเพราะมีกรรมเป็นกำเนิดไม่ใช่หลักของพราหมณ์ หากแม้ท่านได้เปิดโลกทัศน์มากกว่าเอาเวลาไปดูทีวี จนรู้ว่าเค้ามีโฆษณากันอย่างบ้าเลือด จะพบว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ได้รับความสนใจจากชาวโลกและนักวิทยาศาสตร์กันมาก แม้จะมีบางเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ปลายทางของชีวิตของคนที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ย่อมหน่วงเหนี่ยวให้เกิดภพชาติต่อไป จะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่แรงกรรม ซึ่งเรื่องภพ ชาติ การกลับชาติมาเกิด ก็มีการพิสูจน์แล้วว่ามีจริง มีการบันทึกที่มาที่ไป มีนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติทำการศึกษาเก็บข้อมูล แม้ในต่างประเทศเอง ก็พบว่ามีคนระลึกชาติได้ เมื่อพิสูจน์แล้วก็พบว่าเป็นการระลึกชาติได้จริงตามนั้น ส่วนเรื่องจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องละเีอียดอ่อน จิตถูกอบรมและพัฒนาได้ เกิดดับได้ ถูกที่ท่านว่าไม่มีอะไรเป็นอัตตา ทุกสิ่งไม่เที่ยงเป็นอนัตตาทั้งสิ้น แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าทางจิตก็พบว่า มีสสารพลังงานในตัวของเราไม่ดับสูญ แต่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนที่อยู่ไป เชื่อกันว่าสิ่งนั้นมีบันทึกข้อมูลกรรม ที่หลงเหลืออยู่ติดตามไปได้ การสูญหรือความว่างเปล่า หรือการดับโดยสิ้นเชิงของสสารและพลังงานนั้นเกิดได้ไม่ง่าย แม้ในความว่างเปล่าก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แม้เราไม่เคยรู้ว่าแรงโน้มถ่วงหน้าตาเป็นอย่างไร โลกเราก็ยังมีแรงโน้มถ่วง และมันมีอยู่นานก่อนไอน์สไตน์จะเกิดมาพบเสียอีก แม้เราไม่เคยเห็นหน้าตาของกระแสลม เราก็รู้สึกได้ว่ามันคืออะไร และมันมีอยู่จริง พุทธศาสนาสอนให้เห็นตามจริง เห็นความจริง แต่วิธีพิสูจน์นั้นบางครั้งก็ทำได้ทางวิทยาศาสตร์ บางครั้งก็ต้องพิจารณาด้วยตัวเอง ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ อันมี ศีลสมบูรณ์ เป็นที่ตั้ง มีสมาธิและปัญญาชอบไม่ใช่มิจฉาทิฐิ ไม่ใช่ตั้งใจจะพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มีเสียก่อนแล้วมันไม่ถูก ท่านจึงให้ใช้จิตนั่นเองไปพิจารณา ไม่ต้องไปไกลถึงนอกจักรวาลแต่กายเรานี่เองที่สอนสิ่งต่าง ๆ แก่เราในเรื่องไตรลักษณ์ เห็นชัดที่สุด ส่วนเรื่องอานิสงฆ์ของการทำสมาธิ วิปัสนา ฝึกอบรมจิตนั้น เด็กประถมบางคนฝึกมาดีกว่าภิกษุบางรูปที่นั่งท่องแต่พระธรรมโดยขาดการปฏิบัติเสียอีก อิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์ ที่เกิดจากการฝึกจิตฝึกฌาณ การรู้เห็นเรื่องโลกต่างมิติ โลกทิพย์ หรือ โลกวิญญาณ การฝึกสมาธิเพื่อก้าวสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ หรือฝึกสมาธิตัดกรรม การได้ฌาณหรือญาณ ฯลฯ ล้วนเป็นปััจจัตตังทั้งสิ้น หนทางแห่งการดับทุกข์คงไม่ได้เดินมาจากทางสายเดียวกันในแบบเดียวกันทั้งหมด แม้มนุษย์จะมีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ก็มีปัจจัยที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่งเช่นกัน เรื่องดังกล่าวแม้นใครอยากพิสูจน์ ก็สามารถทำได้ เราจะสอนผู้ไม่รู้ว่ามันไม่มีจริงกระนั้นหรือ แม้เมื่อมนุษย์คิดว่าโลกแบน ก็ยังล่องเรือไปจนกระทั่งพบว่าแท้จริงมันกลม แม้ไม่รู้ว่ามีระบบสุริยะจักรวาล ก็ยังมีการพิสูจน์ สร้างยานอวกาศออกไปนอกโลกแล้วพบว่าโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเล็กกระจิดริดเมื่อเที่ยบกับดวงดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล ท่านถามว่าเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวกันหรือจึงเชื่อว่ามี ...จึงน่าขันและคิดว่าท่านเป็นเด็กที่ยังไม่โต ตั้งคำถามแบบนี้ ท่านเชื่อว่าพรุ่งนี้มีหรือไม่ ถ้ามันยังมาไม่ถึง มนุษย์เกิดภายใต้ปัจจัยใด อากาศ อุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมเช่นดาวโลก ที่สำคัญคือมีเชื้อพันธุ์ อันนี้ก็ไม่รู้จุดเริ่มต้นเหมือนกันว่าใช่อีฟกะอาดัมส์คู่เดียวหรือไม่ จะแปลกอะไรหากจะมีสิ่งมีชีวิตพันธุ์อื่น ในดาวดวงอื่น แม้ว่าท่านไม่รู้ไม่เคยเห็นก็ไม่ควรฟันธงว่ามันไม่มี คนฟังยิ่งมีความคิดแคบ ๆ เข้าไปอีก ในเมื่อท่านก็ไม่ได้พิสูจน์ว่ามันไม่มีและท่านก็ไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพิสูจน์มาแล้ว ดังนั้นควรกล่าวเป็นกลาง ๆ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้คนเชื่อโดยการพิสูจน์ พินิจพิเคราะห์ อันนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่ว จะดีกว่า เราก็ไม่ใช่ภิกษุ ไม่เคยบวชเรียน เข้าวัดฟังธรรมตามกาล ทำบุญตามกำลัง ถือศึล 5 อย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยก้าวล่วงในสิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่มีจริง เราไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์ใด ๆ จะเปลี่ยนใจให้ท่านคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ หากท่านจะสอนเรื่องการไม่ยึดติด ก็น่าจะแสดงความ "ไม่ยึดติด" อย่างแท้จริง อย่าไปยึดติด กับการ "ไม่ยึดติด" จะกลายเป็นความกลัวว่าจะยึดติด แทนที่จะเป็นการปล่อยวางเสียได้จริง ๆ
     
  4. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    ก็ไม่ได้เว้นแต่หาไม่เจอเองอ่ะสิ

    ค้นหาเหตุให้พบก็จะพบเองว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิด ไม่ใช่โมเมว่าไม่มีเหตุจึงไม่มีผล ทั้ง ๆ ที่มีเหตุแต่หาไม่พบเลยทำให้ไม่เห็นผลของมันอีกด้วย ทำไมท่านถึงมีวันนี้ เพราะความยึดติดในความคิดของท่านเอง หรือยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้ากันแน่ ที่ทำให้ต้องมามัวเสวนาอยู่ในนี้????? แล้วกิจของสงฆ์ที่แท้คืออะไร !!! ขณะที่ตอบกระทู้อยู่นี้จิตใจอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ มีอารมณ์เช่นไร โทสะพลุ่งพล่านหรือไม่ ตรวจอารมณ์และจิตตัวเองดูด้วยนะท่าน
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****มีคำถามสั้นๆ ๒ ข้อ ที่ในเวบนี้ไม่มีใครกล้าตอบตรงๆ***

    ***ข้อแรก ยอมรับหรือไม่ ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย?***

    ***ข้อสอง ยอมรับหรือไม่ว่า จิตก็เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย?***

    ***คำถามก็ง่ายๆ แต่ทำไมไม่มีใครกล้าตอบ***

    ***หรือกลัวว่าถ้าตอบแล้วพบว่าคำตอบมันจะกลับมาทำลายผู้ตอบในภายหลัง***


    (www.whatami.net - www.whatami.5u.com -เวบไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  6. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมเคยเชื่อเอามากๆว่าตายแล้วสูญ โดยที่มีเหตุผลหลักเลยคือถ้าไม่สูญทำไม่ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ ทำไมไม่มีใครเคยเจอผี วิญญาณ นรก สวรรค์ etc.

    เช่นเดียวกัน ตอนผมเรียน physics ผมเคยเชื่อว่า electron เล็กที่สุด ถ้าไม่จริง ทำไมไม่มีใครหาอนุภาคที่เล็กกว่า electron ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์พยายามมากมายหลายครั้งก็ไม่พบ ใครมาบอกผมว่ามีจริง ผมไม่เชื่อเด็ดขาด


    ท่านครับ ผมอยากเรียนท่านว่าปัจจุบันมีผู้ค้นพบอนุภาคที่เล็กกว่า electron ได้แล้ว

    การที่เรายังพิสูจน์เรื่องบางเรื่องไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่บางทีวิทยาศาสตร์อาจยังไม่พร้อมที่จะพิสูจน์สิ่งนั้น การที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี

    ณ วันนี้ ผมยังคงไม่พบความจริงด้านจิตวิญญาณว่าตายแล้วสูญหรือไม่ แต่ผมได้ข้อสรุปอย่างนึงกับตัวเองว่า ถ้าผมปฎิเสธตั้งแต่แรกว่าไม่มีนั้น คงไม่ถูกต้องนัก

    ถ้ามีใครถามผมว่าผมเชื่อว่ามีชาติหน้า จิต วิญญาณมั้ย ผมจะตอบว่า
    ....ผมไม่ทราบครับและกำลังพยายามพิสูจน์ด้วยการดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ...

    ปล ช่วงหลังๆ ผมเริ่มสังเกตุว่าท่านเตชะปุญโญ และท่านอื่นๆในกระทู้ ค่อนข้างมีจิตทีไม่ค่อยผ่องใสนักเวลาตอบ ระวังจะหลุดจากแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นะครับ ใจเย็นๆ ถ้ามันมีจริง ในที่สุดก็จะพิสูจน์ได้เอง เด็กนักเรียนเค้าไม่ได้อ่านหนังสื่อเล่มเดียวไปตลอดชีวิตหรอกครับเมื่อโตแล้วเค้าย่อมมีความคิดเอง
    เมื่อก่อนอาจารย์ผมยังสอนว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตเลย
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เลิกมุสาได้แล้วท่าน
    ตอบจนไม่อยากจะตอบแล้ว
    อยากได้หลักฐานมั๊ยล่ะ จะหามาให้

    เค้าเลิกตอบท่านกันแล้ว เพราะคำถามเดิมๆ พวกย้ำคิดย้ำทำ
    เป็นพวกสมาธิสั้น จึงไม่รู้จักสัมมาสมาธิ ให้ฝึกก็คงฝึกไม่ได้หรอก


    (smile)
     
  8. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถ้า ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
    จักไม่ได้มีแล้วไซร้
    การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
    จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เพราะ ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ ฯ

    นิพพานสูตรที่ ๓

    (smile)
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนาครับ
    พระสูตรชัดเจนครับว่า จิตมีอยู่ ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย
    แต่มีเหตุปัจจัย(อวิชชา)มาปรุงแต่งจิต ให้เสียคุณภาพเดิมไป
    จึงต้องอบรมจิต เพื่อสลัดออกซึ่งเหตุปัจจัย(อวิชชา)
    เพื่อถึงซึ่งพระนิพพาน อันเป็นที่สุดทุกข์


    เลิกมั่วเอาคำถามเดิมๆมาได้แล้วครับ เตชะ

    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงจิตเดิมแท้ หรือจิตพุทธะ มีอยู่

    จิต คือ ธาตุรู้
    ส่วนอารมณ์นั้นเป็นของใหม่ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ทำให้จิตเสียสภาพเดิม

    จิตเป็นธรรมชาติที่มีมาอยู่ก่อนนานแล้ว อวิชชาเกิดขึ้นที่หลัง
    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่
    แต่ที่เศร้าหมองไปนั้นเพราะถูกอวิชชาครอบงำ มานมนานนับไม่ถ้วน

    ดังมีพุทธพจน์รับรองไว้ว่า
    “เรา(จิต)นั้นเวียนว่ายเข้าไปในภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน
    เพราะไม่รู้เห็นอริยสัจจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ถ้า จิต ไม่มีอยู่ก่อนแล้ว
    พวกเราจะต้องเพียรปฏิบัติภาวนานุโยค ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต ไปเพื่ออะไร?
    จะต้องไปกลัวอะไรกับบาปบุญคุณโทษ?

    จะต้องฝึกฝนอบรมจิต
    เพื่อละเหตุแห่งทุกข์ให้ไปจากจิต(สลัดออก) เพื่ออะไร? ถ้าเมื่อ จิต ไม่มีอยู่ก่อนแล้ว

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็เพราะ จิต มี ฉะนั้นจึงต้องอบรมจิต
    เพื่อสลัดสิ่งที่มาปรุงแต่งจิตออกไป จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน

    มีปฐมพุทธพจน์รับรอง ดังนี้
    "จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"

    “จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง
    (ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว)
    บรรลุพระนิพพาน
    เพราะสิ้นตัณหาแล้ว
    (สลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว)”

    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [​IMG]

    เตชะ เอาพระสูตรที่ชัดเจนมาให้อ่านแล้วนะ
    จิต น่ะมีมาก่อนนานแล้ว แต่เพราะอวิชชาครอบงำ
    จึงได้หลงเกิดหลงตายตามร่างกาย

    ถ้าบวชแล้ว ไม่คิดจะเดินตามรอยพระบรมครู
    สึกเถอะ เปลืองข้าวสุก

    ;aa24
     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ยอมรับหรือไม่ว่า? "ทุกสิ่งย่อมเกิดชึ้นมาจากเหตุ"***

    ***ถ้ายอมรับก็ต้องยอมรับว่า "จิตก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ" ***

    ***เมื่อจิตเกิดขึ้นมาจากเหตุ ดังนั้นมันจึงเป็นอนัตตา(ไม่ใช่อัตตา-ไม่ใช่ตัวตนของใครๆ)***

    ***แต่ถ้าไม่ยอมรับ เพราะไปยกเว้นว่าจิตมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็เท่ากับบอกว่า "จิตไม่เกิดขึ้นมาจากเหตุ" ***

    ***เมื่อบอกว่าจิตไม่เกิดขึ้นมาจากเหตุ ก็เท่ากับบอกว่า "จิตเป็นอัตตา-จิตเป็นตัวตนของเรา" ***

    ***ซึ่งก็เท่ากับไม่ยอมรับว่า "ทุกสิ่งเป็นอนัตตา" ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้***]

    ***รวมทั้งไม่ยอมรับว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน-ของตน"ด้วย***

    ***เพราะไปยึดเอาจิตว่าเป็นตัวตน-ของตน***

    ***เมื่อยังยึดติดอยู่ในจิต ก็เท่ากับยังปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกไม่ได้***

    ***เมื่อปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้***

    ***เมื่อยังดับทุกข์ไม่ได้ก็ยังไม่นิพพาน(สงบเย็น)***

    (www.whatami.net - www.whatami.5u.com -เวบไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อนมตคฺโคยํ ภิกฺขเว สงฺสาโร ปุพฺพาโกฏิ น ปญฺญายติ
    แปลว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรนี้ มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว
    ซึ่งผู้มีปัญญาไม่อาจตามรู้ได้ว่ามาจากไหน? และจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อใด


    ทั้งนี้แสดงว่า จิตเป็นสภาพธรรมที่มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นผู้สร้างขึ้น
    และไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆทั้งสิ้น เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ
    จิตไม่เคยดับตายหายสูญไปไหนเลย เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

    กล่าวให้ชัดก็คือ จิตมีอยู่นานแล้ว โดยไม่มีใครรู้ว่าเริ่มต้นมาจากที่ไหน
    และจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อไร.

    (smile)
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ***ยอมรับหรือไม่ว่า? "ทุกสิ่งย่อมเกิดชึ้นมาจากเหตุ"***
    ใช่!!!ก็บอกไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วว่า
    เรื่องในโลกล้วนเกิดแต่เหตุ(โลกียจิต)
    ส่วนโลกุตรจิตนั้น เป็นจิตที่สลัดคืนเรื่องในโลก พ้นเหตุปรุงแต่ง

    ***ถ้ายอมรับก็ต้องยอมรับว่า "จิตก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ" ***
    จิตที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ ล้วนเกิดแต่เหตุ(กิเลส กรรม วิบาก)
    หนุนส่งให้มาเกิด ก็เตชะไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนิหนะ
    คงเก้อ-ยากน่าดูแฮ่ะ

    ***เมื่อจิตเกิดขึ้นมาจากเหตุ ดังนั้นมันจึงเป็นอนัตตา(ไม่ใช่อัตตา-ไม่ใช่ตัวตนของใครๆ)***
    จิตสังขาร(โลกียจิต)ล้วนอยู่ในข่ายอนัตตาทั้งนั้น
    ส่วนโลกุตรจิตนั้นพ้นเรื่องในโลกแล้วสิ้นการปรุงแต่งแล้ว

    ***แต่ถ้าไม่ยอมรับ เพราะไปยกเว้นว่าจิตมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็เท่ากับบอกว่า "จิตไม่เกิดขึ้นมาจากเหตุ" ***
    ถ้าจิตไม่มีอยู่ก่อนแล้ว เหตุปรุงแต่งจะปรุงแต่งอะไรได้ละในสิ่งที่มีอยู่ก่อน
    ต้องมีจิตอยู่ก่อนสิจึงจะเข้ามาปรุงแต่งได้

    ***เมื่อบอกว่าจิตไม่เกิดขึ้นมาจากเหตุ ก็เท่ากับบอกว่า "จิตเป็นอัตตา-จิตเป็นตัวตน
    ของเรา" ***
    จิตคือธาตุรู้ ใช่ของใครของมันมั้ย??? ถ้าใช่ของใครของมันก็ย่อมเป็นของตน
    ก็ต้องเป็นเรา ก็ต้องเป็นของเขาฯลฯ

    ***ซึ่งก็เท่ากับไม่ยอมรับว่า "ทุกสิ่งเป็นอนัตตา" ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้***]
    ทุกสิ่งที่เป็นอนัตตานั้น บริบทก่อนหน้าล้วนพูดถึงขันธ์๕ทั้งนั้น
    แล้วอมตะธรรมหละเป็นอนัตตาด้วยมั้ย
    ถ้าใช่พระองค์ทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอมตะธรรมเพื่ออะไร???

    ***รวมทั้งไม่ยอมรับว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน-ของตน"ด้วย***
    อ่านข้างบน

    ***เพราะไปยึดเอาจิตว่าเป็นตัวตน-ของตน***
    ถ้าไม่ยึดเอาจิตเป็นตน แล้วจะยึดเอากายที่ตายเน่าเข้าโลงเหรอ???

    ***เมื่อยังยึดติดอยู่ในจิต ก็เท่ากับยังปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกไม่ได้***
    ใครที่ยังยึดติดอยู่ในจิตสังขาร???
    ใช่!!!ถ้ายังยึดอยู่ก็ยังปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกไม่ได้

    ***เมื่อปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้***
    ใช่!!!ถ้าปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕ไม่ได้ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้
    จิตไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณก็ไม่ใช่จิต อย่ามั่วเอามาเป็นเรื่องเดียวกัน

    ***เมื่อยังดับทุกข์ไม่ได้ก็ยังไม่นิพพาน(สงบเย็น)*** ***ยอมรับหรือไม่ว่า? "ทุกสิ่งย่อมเกิดชึ้นมาจากเหตุ"***
    ใช่!!!เมื่อยังดับทุกข์ไม่ได้ก็ยังไม่นิพพาน(สงบเย็น)
    คำว่านิพพานนั้นเป็นคุณลักษณะของจิต
    ใครหรืออะไรหละที่สงบเย็น???ถ้าไม่ใช่จิต
    ความสงบเย็นเกิดขึ้นลอยๆเองไม่ได้หรอกนะ

    ;aa24
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ปล ช่วงหลังๆ ผมเริ่มสังเกตุว่าท่านเตชะปุญโญ และท่านอื่นๆในกระทู้ ค่อนข้างมีจิตทีไม่ค่อยผ่องใสนักเวลาตอบ ระวังจะหลุดจากแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นะครับ ใจเย็นๆ ถ้ามันมีจริง ในที่สุดก็จะพิสูจน์ได้เอง เด็กนักเรียนเค้าไม่ได้อ่านหนังสื่อเล่มเดียวไปตลอดชีวิตหรอกครับเมื่อโตแล้วเค้าย่อมมีความคิดเอง
    เมื่อก่อนอาจารย์ผมยังสอนว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตเลย
    <!-- google_ad_section_end -->

    ***************************

    ***เป็นความคิดที่ดี ที่ว่า "ถ้ามันมีจริง ในที่สุดก็จะพิสูจน์ได้เอง***

    ***แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามันไม่มีจริงล่ะ? จะพิสูจน์กันอย่างไร?***

    ***ถ้ามันไม่มี แล้วพิสูจน์ไม่ได้ ก็ยังมาอ้างกันว่า "ยังพิสูจน์ไม่ได้" กันอยู่เรื่อยไป ใช่หรือไม่?***

    ***อย่างนี้มีคงคงต้องรอพิสูจน์กันจนตายกันไปข้างหนึ่งใช่หรือไม่?***

    ***ทำไมเราไม่มาศึกษาของจริงในชีวิตจริงของเราในปัจจุบันดู***

    ***ว่าเมื่อยึดถือ มันก็เป็นทุกข์ เมื่อไม่ยึดถือ มันก็ไม่ทุกข์***

    *** ถ้ายังเชื่อว่ามีตัวเรา ก็ยังยึดถือกันอยู่ แต่ถ้าเชื่อว่าไม่มีเรา จึงจะไม่ยึดถือ***

    ***เมื่อไม่ทุกข์ มันก็นิพพาน(สงบเย็น)***

    ***ส่วนนิพพานที่เป็นบ้านเป็นเมืองนั้น มันเรื่องหลอกเด็ก***

    (www.whatami.net - www.whatami.5u.com -เวบไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)​
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***น่าแปลกที่พระพุทธองค์ไม่ทรงกล่าวสรุปว่า "สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา"***

    ***แต่ทรงกล่าว่า "ทุกสิ่งเป็นอนัตตา"***

    ***นี่ก็แสดงอยู่แล้วว่า "ทั้งสังขารและมิใช่สังขาร ทั้งโลกียะและโลกุตระ ล้วนเป็นอนัตตา"***

    ***แต่ผู้ที่ยึดอยู่ในความเชื่อว่าจิตเป็นอัตตาก็ไม่ยอมรับ***

    ***แต่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ก็หนีความจริงไปไม่พ้น***

    ***เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่ยอมรับความจริงว่า "ตนเองคือหุ่นยนต์" เพราะเชื่อว่าตนเองคือสิ่งที่มีชีวิตนิรันดร***

    (www.whatami.net - www.whatami.5u.com -เวบไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)​
     
  19. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    ************************************************
    ตอนนี้จิตหลวงพี่สงบ เพราะไม่ยึดติด"ตัวเรา"
    หรือว่าเร่าร้อนเพราะว่ายึดติดว่า หลวงพี่คิดถูกและคนอื่นคิดผิดครับ

    ปัญญาที่เกิดจากการคิดตามหลักเหตุผลเพียงอย่างเดียวนั้น ในบางกรณีด้วยสาเหตุที่สมมติฐานและข้อมูลที่เรามีอยู่ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เราสรุปอะไรได้ไม่ถูกต้องได้นะครับ
    ผมจึงเรียนหลวงพี่ว่า การที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้นั้น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่ดังที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้ว

    การยึดมั่นว่าจิตวิญญาณ โลกหน้าไม่มี โดยบอกว่าคำสอนดังกล่าวเป็นศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นส่วนที่พระพุทธองค์ต้องเอออวย หรือเป็นคำสอนที่พระสาวกเพิ่มเติมขึ้นภายหลังนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการคิดตามหลักเหตุผลโดยยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ครับ การปฏิเสธว่าไม่มีโดยยังไม่รู้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่นักปราชญ์พึงกระทำ


    การที่หลวงพี่จะบอกว่า "อาตมายังไม่ทราบและจะลองพิสูจน์ดูตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า" จริงเป็นคำตอบที่สมควรแก่สมณเพศครับ
     
  20. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    http://www.geocities.com/pranipan/

    หลวงพี่คิดว่า สิ่งที่พระอริยะทั้งหลายท่านได้กล่าวมานี้ มีคุณค่าเพียงพอที่จะทำให้หลวงพี่ลองลดละความยึดมั่นและหันมาลองพิสูจน์ว่า"นิพพานสูญหรือไม่" บ้างมั้ยครับ เน้นนะครับว่า"ลองพิสูจน์" ไม่ได้ให้เชื่อ

    มีแต่ได้เห็นๆ ผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ

    ถ้ายังไม่ไหวก็แล้วแต่หลวงพี่สะดวกแล้วกันนะครับ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสนั่นแหละครับว่า
    "“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”"
    ผมเองยังเป็นแค่มนุษย์ขี้เหม็น คงไม่บังอาจเรียนหลวงพี่ไปมากกว่านี้ครับ
    เรื่องอย่างนี้เป็นปัจจัตตังครับ ทำเอง รู้เอง เห็นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...