บทสัมภาษณ์คุณดังตฤณกับหนังสือเล่มใหม่ "มีชีวิต..ที่คิดไม่ถึง"

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย felies, 24 มีนาคม 2006.

  1. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    สัมภาษณ์ ‘ดังตฤณ’
    งานแถลงข่าวหนังสือ 'มีชีวิตที่คิดไม่ถึง'
    สถานที่ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท ๑๑

    วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๙
    เวลา ๑๕.๐๐ น. – ๑๖.๔๐ น.
    ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย นางสาวอรอำไพ นับสิบ และ นายอานุภาพ โหตระภวานนท์

    -----------------------------------------------------------------
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    ช่วงเริ่มต้นการสัมภาษณ์ พิธีกรคือคุณน้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์
    ถามเกี่ยวกับนามปากกา “ดังตฤณ”

    คุณน้ำผึ้ง :
    ขอสวัสดีทุกท่านค่ะ ที่มาร่วม เรียกว่าร่วมงานบุญย่อยๆ กันในวันนี้ เอ๊ะ แต่ดูจะไม่ย่อยแล้วนะคะเพราะว่าน้ำผึ้งเห็นว่างานนี้เป็นงานเปิดตัวหนังสือที่มีคนมาเยอะ…เยอะมากๆเลย เท่าที่ทราบมานะคะ คือเค้าติดกันที่สุขุมวิทกันอีกเยอะเลย จริงๆควรจะเต็มด้วยซ้ำนะคะ แต่ก็ต้องขออนุญาตเริ่มงานก่อนเพราะว่าของดีเนี่ยเรารอไม่ค่อยได้ สำหรับวันนี้เนี่ยอย่างที่ทราบกันนะคะว่าเราจะมาเปิดตัวหนังสือที่คนเขียนเนี่ยเป็นนักเขียนเบสเซลเลอร์ เรื่องเสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน แล้วสำหรับครั้งนี้ก็เป็นเล่มที่ 9 ของคุณดังตฤณแล้วนะคะที่ออกมา เล่มที่เก้าเนี่ยหมายถึงว่าที่เป็นซีรี่ย์ด้วยนะคะ แต่ถ้านับเล่มแล้วเนี่ย หลายเล่มมากเลยค่ะ และสำหรับเล่มนี้ก็มีสิ่งพิเศษๆ อะไรให้คนอ่านไม่ผิดหวังเหมือนเดิม และก็ยังให้โอกาสผู้สื่อข่าว ให้โอกาสแฟนๆ หนังสือได้ซักถามด้วยนะคะในกระดาษที่ได้แจกไว้ตอนที่ลงทะเบียนเข้ามาค่ะ ถ้ามีคำถามอะไรจะถามคุณดังตฤณ วันนี้ตัวจริงเสียงจริงนั่งอยู่แล้วค่ะ แล้วตอนนี้ไม่พูดมากดีกว่า เรามาคุยกับเจ้าของหนังสือกันดีกว่าค่ะ ขอเชิญคุณดังตฤณ เพราะว่าคุณดังตฤณเนี่ยชื่อคุณศรันย์ ไมตรีเวช ค่ะ นามปากกาก็คือคุณดังตฤณนั่นเองค่ะ ก่อนอื่นไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลยนะคะ มีหลายคนบอกว่าคุณดังตฤณชื่อเพราะมากเลย ดังตฤณแปลว่าอะไรคะ

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ..ก็ เอามาเป็นนามปากกานะครับ โดยที่ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะใช้มานานขนาดนี้ ทีนี้ ตอนแรกเนี่ยคิดว่าจะใช้เขียนนิยายหรือว่าใช้เขียนบทความสั้นๆแค่ชั่วระยะปีสองปี จับพลัดจับพลูมาได้ใช้งานครั้งนี้ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    นับตั้งแต่เวลาที่จับพลัดจับพลูเนี่ยค่ะมาเป็นเวลากี่ปีแล้วคะ

    คุณดังตฤณ :
    นับจริงๆก็คงจะ 15 ปี

    คุณน้ำผึ้ง :
    15 ปีแล้ว

    คุณดังตฤณ :
    คิดว่า 16 ปี

    คุณน้ำผึ้ง :
    16 ปีแล้วสำหรับคุณศรันย์

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ครับ นับตั้งแต่เขียนบทความธรรมะครั้งแรกลงในนิตยสารพ้นโลกน่ะครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    คุณดังตฤณแปลว่าดังหญ้า เหมือนหญ้านั่นเอง

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เหมือนหญ้าอย่างนี้ใช่มั้ยคะ ไม่ใช่เหมือนคุณย่า

    คุณดังตฤณ :
    ไม่ใช่ ไม่ใช่ (เสียงขำนิดๆ)

    คุณน้ำผึ้ง :
    ค่ะ หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือเล่มที่เก้าค่ะ เอ่อ หนังสือเล่มนี้เนี่ยนะคะ คอนเซ็ปต์ของหนังสือเนี่ยแตกต่างจากหนังสือ Best Seller เล่มที่พวกเรารู้จักเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน แตกต่างกันยังไงบ้างคะ

    คุณดังตฤณ :
    จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้เนี่ยก็เริ่มต้นเลยย้อนหลังกลับไปเมื่อกลางปีที่แล้วเนี่ย คือ เอ่อ ผมเขียนหนังสือเสียดายคนตายไม่ได้อ่านมาแล้วได้ฟีดแบ็กจากคนอ่านหลากหลาย เอ่อ มีคนอ่านอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ ที่ผมคิดไว้ในใจ จำไว้ในใจก็คือกลุ่มหนึ่งบอกว่าเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน..ยาก แต่ว่าอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าง่าย ผมก็เลย เอ่อ คล้ายๆกับว่าอยากจะให้คนที่พูดว่าเสียดายคนตายไม่ได้อ่านยากเนี่ยได้อ่านหนังสือที่ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีเนื้อหาแล้วก็ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมใกล้เคียงกัน หรือได้อะไรที่มากกว่าเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน จริงๆแล้วช่วงกลางปี ผมก็คิดหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งคุยกับคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย เจ้าของ DMG เสียดายคนตายไม่ได้อ่านพูดถึงอดีตแล้วก็อนาคต จริงๆแล้วเสียดายไม่ได้อ่านเป็นคำตอบนะครับว่าเราเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรเราเกิดมาได้อย่างไร แล้วก็ถ้าทำอะไรที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ตายแล้วจะไปไหนได้บ้าง ถ้าหากว่ายังไม่ตายสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดในขณะนี้คืออะไรนะครับ อันนั้นก็เป็นเนื้อหาของเสียดายคนตายไม่ได้อ่านแต่ว่าส่วนของปัจจุบันเนี่ยที่บอกว่าถ้ายังไม่ตายแล้วควรจะทำอะไร ผมพูดนอกไปนะเพราะว่าความจำกัดของหนังสือ พูดได้แค่ในส่วนที่ได้อ่านกันไปแล้ว คิดต่อมาว่าจะขยายภาคปัจจุบันของหนังสือเสียดายคนตายไม่ได้อ่านออกมาเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อ่านง่ายขึ้นแล้วก็จับต้องได้ง่ายขึ้น ตอนแรกเลยคิดไตเติ้ลหนังสือชื่อว่า”หนึ่งเดียวครอบจักรวาล” หมายความว่าถ้าคุณรู้จักพุทธศาสนารู้จักแนวทางปฏิบัติในพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณสงสัยหรืออยากรู้อยากได้จะตามมาเอง ก็ตอนนั้นติดต่อกับคุณดนัยทางอีเมล ส่งอีเมลไปให้ดูนะครับว่าสารบัญของหนังสือใหม่เนี่ยมันเป็นอย่างไร เริ่มต้นขึ้นมาจะพูดถึงชีวิตทั่วๆไปของคนธรรมดาแล้วก็ความน่าจะเข้ามากับพุทธศาสนาอะไรทำนองนี้ แล้วลงท้ายก็จะมีบทหนึ่งชื่อว่า”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง” หมายความว่าหลังจากศึกษาพุทธศาสนาแล้วเนี่ยจนเข้าใจจนกระจ่างแล้วมันจะมีชีวิตที่คิดไม่ถึงตามมาเอง เอ่อ คุณดนัยได้เห็นชื่อบทนี้แล้วเมล์กลับมาเอง เอ๊ะ คุณศรันย์ ชื่อบทนี้เอามาเป็นชื่อหนังสือได้เลยนะ คือไม่น่าเป็นชื่อบทเท่านั้น ผมก็เลยกลับมาคิดทำการบ้านนะว่าเอ๊..สมมติว่าหนังสือชื่อนี้มันจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่าไตเติ้ลของหนังสือเป็นอย่างไร เนื้อหาของหนังสือควรจะทำตามสัญญา คือเราให้สัญญากับคนอ่าน เป็นความรู้สึกของผมนะ ชื่อหนังสือเป็นอย่างไร เนื้อหาควรจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ นั่นก็หมายความว่าเนื้อหาควรจะมีอะไรที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรืออย่างน้อยที่สุดทำให้คนอ่านเกิดแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างคิดไม่ถึงนะครับ เอ่อ สำหรับคอนเซ็ปต์ของหนังสือมีชีวิตที่คิดไม่ถึง ก็จริงๆแล้วคือการเล่นเกมกรรม ฟังดูมันอาจจะเป็นคนละคอนเซ็ปต์กันแต่ถ้าหากเอาสองคอนเซ็ปต์มารวมกันแล้วเนี่ยเป็นไตเติ้ลอีกแบบหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่ามันกลมกลืนมากขึ้น เล่นเกมกรรมอย่างไรให้มีชีวิตที่คิดไม่ถึง หรือจะเอาอีกไตเติ้ลหนึ่งเช่นว่า เอ่อ วิธีเล่นเกมกรรมให้ชนะ อันนี้ก็จะรวมกับเนื้อหาแต่ว่าอาจจะฟังดูไม่น่าสนใจเท่ามีชีวิตที่คิดไม่ถึงก็เลยเอาไตเติ้ลนี้แหละ”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง”นะครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เหมือนกับว่าเป็นหนังสือที่ต่อเนื่องกันระหว่างเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ ภาคขยายในส่วนของปัจจุบัน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ขยายในส่วนของปัจจุบันแล้วดิฉันเคยอ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่านนะคะ แล้วเหมือนกับอธิบายแล้วว่าหนึ่งสองสามสี่อดีตคืออะไร อะไร อะไร เป็นคำอธิบายแต่ว่าเล่มเนี่ยพอดิฉันได้อ่านแล้วมันรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นวิธีว่าหากอยู่แล้วเราจะเล่นกับมันยังไง

    คุณดังตฤณ :
    ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    ให้เราได้กรรมดีหรือกรรมไม่ดี อดีตหรืออนาคตยังไงก็คือคนยังไงก็คนคนมันต้องผ่านของเล่นใช่มั้ยคะ

    คุณดังตฤณ :
    ก็ถ้าหากว่ายังไม่จุใจเสียดายคนตายไม่ได้อ่านก็ลองอ่านเล่มนี้

    คุณน้ำผึ้ง :
    ก็อ่านสองเล่มควบกันไปเนี่ยก็จะเข้าใจถ่องแท้ แต่ดิฉันเชื่อว่าทุกๆท่านคงอ่านกันมาหลายเล่มแล้วนะคะ เอ่อก็ได้อ่านเล่มนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการเล่นเกมกรรม การเล่นเกมกรรมฟังดูแล้วแปลกหูค่ะ เอ่อ คุณดังตฤณช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะคะว่าการเล่นเกมกรรมเนี่ยคืออะไรคะ

    คุณดังตฤณ :
    เอายังงี้ก่อนคือผมอยาก คือพูดย้อนไปนิดหนึ่งว่าถ้าหากอ่านหนังสือเล่มนี้เนี่ย อย่างที่พูดมาแล้วว่าจะเป็นแรงบันดาลใจวิธีการชีวิต ผมอยากจะพูดอย่างนี้ก่อนว่าถ้ามีอะไรก็ตามจะเป็นหนังสือเล่มนี้หรือว่าจะเป็นแรงบันดาลใจจากภายในของคุณเองก็ตามที่ทำให้อยากใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าหากว่าคุณคิดตั้งใจจริงๆจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในขณะเป็นมนุษย์อยู่ นั่นแหละครับคือคุณใช้ศักยภาพที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในเกมกรรม ร่างกายมนุษย์เนี่ยในการเล่นเกมกรรมให้ชนะแล้วถ้าเล่นเกมกรรมแล้วชนะคุณจะมีชีวิตที่คิดไม่ถึงอย่างแน่นอนนะครับ นี้ถ้าพูดถึง เอ่อ ว่าเรามาพูดถึงว่าเกมกรรมเนี่ยมันเล่นกันอย่างไร หรือว่าคืออะไร ผมยกตัวอย่างก่อนนะครับ คุณน้ำผึ้ง อย่างทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมในขณะนี้เนี่ยมีใครบ้างมั้ยครับที่คิดว่าตัวเองกำลังเล่นเกมอยู่ เอาผมขอถามคุณน้ำผึ้ง

    คุณน้ำผึ้ง :
    ได้ค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    สัมภาษณ์คุณน้ำผึ้งแทนทุกคนเลยก็แล้วกันเป็นตัวแทนทุกคน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ขอบคุณค่ะที่เป็นทุกท่าน ขออนุญาตค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    คิดว่ากำลังเล่นเกมกรรมอยู่รึเปล่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    ไม่คิดเล่นค่ะ กำลังคิดว่าเราเป็นพิธีกรสัมภาษณ์อยู่

    คุณดังตฤณ :
    ผู้ฟังก็เช่นกันแต่ละคนก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฟัง ผมนี่ผู้พูด ผมมีหน้าที่พูด ทุกคนมีหน้าที่ฟัง แต่ถ้าหากว่า อะตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเวทีกับคุณน้ำผึ้งนะ แล้วมุมมองของเราสองคนเห็นคนฟังเป็นยังงี้นะ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เยอะแยะเลยค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    แล้วคุณน้ำผึ้งรู้สึกมั้ยว่ามีความตั้งใจฟังจากกลุ่มคนอยู่ นั่นแหละครับกระแสการฟังนั่นแหละครับคือจิต ตรงนี้นะถ้าไม่สังเกตนะเราจะรู้สึกว่ามีคนนั่งอยู่ แต่ถ้าหากสังเกตนะลึงลงไปถึงระดับนามธรรมความตั้งใจฟังหรือกระแสที่กำลังฟังเราพูดอยู่คือจิตนะครับ นั่นคือจิตของคนหมู่มาก คุณน้ำผึ้งจะรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างจิตของคนหมู่มากกับคนแค่คนเดียว ถ้าสมมติว่าคุณน้ำผึ้งคุยอยู่กับผมแค่สองคน คุณน้ำผึ้งจะรู้สึกถึงการตั้งใจที่จะฟังคุณน้ำผึ้งหรือว่าการสื่อสารกับคุณน้ำผึ้งแค่คนเดียว มันจะมีขนาดแต่ถ้าหากคุณน้ำผึ้งหันไปทางคนฟังนะครับแล้วก็รู้สึกถึงความตั้งใจฟัง คุณน้ำผึ้งจะรู้สึกถึงจิตที่ใหญ่กว่า ตรงนี้แหละที่ผมจะพูดว่าถ้าหากเรามีหน้าที่พูดยังไงแล้วทำที่จิต ซึ่งเป็นจิตใจเนี่ยตรงหน้าเรารู้สึกดีขึ้นมาได้ ตรงนั้นเราได้บุญ แต่ถ้าหากว่าจิตที่เราสัมผัสได้เนี่ยในกระแสความตั้งใจฟัง ผมพูดอะไรออกไปแล้วมีการกระทำอะไรที่ไม่ดีออกมาคือมีการพูดที่มันเลวร้ายหรือพูดอะไรที่เป็นคำหยาบเป็นคำเสียดแทงเป็นคำยุยงเป็นคำปลุกปั่นอะไรก็แล้วแต่

    คุณน้ำผึ้ง :
    อันนี้ไม่ได้ ไปพูดที่ราชดำเนิน

    คุณดังตฤณ :
    แล้วมีปฏิกิริยากลับมาในทางลบคือกระแสความคิดไม่ดีของคนหมู่มากเนี่ยมันรู้สึกได้ มันจะมีความรู้สึกที่เกิดความอึดอัดเกิดความไม่สบายขึ้นมา ตรงนั้นแหละคือเราพูดแล้วได้บาป

    คุณน้ำผึ้ง :
    เหมือนกับว่าทำให้เรารู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ข้างหน้าเป็นอะไรก็แจกแจงสิ่งที่เราทำได้ดีขึ้น

    คุณดังตฤณ :
    ถ้าหากว่าเรามองเป็นเรื่องของจิตเป็นเรื่องของบุญเป็นเรื่องของบาป ตรงนั้นแหละเราอยู่ในเกมกรรมแล้ว คือหมายความว่าเริ่มต้นขึ้นมาเนี่ยทุกคนไม่รู้สึกใช่มั้ยว่าเราเล่นเกมกรรมอยู่ หนังสือเล่มนี้เนี่ยนะครับบทแรกขึ้นมาพูดถึงเลยว่าคุณกำลังอยู่ในเกมกรรมโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หมายความว่าในขณะนี้ แม้ขณะนี้นะครับที่ทุกคนกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมทุกคนก็กำลังเล่นเกมอยู่จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากว่าพูดไปเลยขณะนี้เนี่ยมันพอจะนึกออกแต่ถ้าพูดถึงมันก็เหมือนการลงทุนครั้งนึงที่มีคนฟัง มีคนพูด อันนี้แหละครับคือแนวคิดว่าเกมกรรมคืออะไรและเราทุกคนอยู่ในเกมกรรมกันจริงๆ หนังสือเล่มนี้ก็จะพูดแจกแจงรายละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าเกมกรรมเนี่ยมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง

    คุณน้ำผึ้ง :
    เป็นไกด์ให้เราใช้ชีวิตแบบว่า

    คุณดังตฤณ :
    ก่อนจะใช้ชีวิตเนี่ยคือให้เราถ้าหากว่าคนเราไม่เชื่อว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร มันก็จะแค่กินแค่อยู่แค่นอน แต่ถ้าหากว่าเชื่อ เชื่ออะไรสักอย่างหนึ่งว่าชีวิตทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป และอะไรอยู่เบื้องหลังของการเข้ามามีชีวิตแบบนี้ ตรงนั้นแหละครับที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกว่าโอเค เราต้องหาจุดหาหลักอะไรอย่างหนึ่งที่จะใช้หลักของการดำรงชีวิตอีกแบบหนึ่ง ตรงนั้นแหละ ถ้าหากหลักเกณฑ์เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นไปอย่างดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ในขณะที่กำลังเป็นมนุษย์อยู่ คุณจะมีชีวิตที่คิดไม่ถึงก่อนตายนะครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    คือชนะเกมนั่นเอง

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ครับ จริงๆแล้วการชนะเกมเนี่ยมีหลายระดับเพราะว่าเกมกรรมเนี่ยมันจะมีเกมย่อย แม้แต่การเล่นบาสเก็ตบอลแม้แต่การเล่นไพ่มันก็เป็นเกม เกมที่ซ้อนอยู่ในเกมกรรม เวลาที่คุณชนะเกมแต่ละเกมคุณดีใจคุณปลื้มใจแต่คุณจะรู้หรือไม่ว่าได้บุญหรือได้บาป พอพูดถึงเกมใหญ่พอพูดถึงเกมที่เรากำลังเล่นกันอยู่จริงๆอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเนี่ย คุณไม่รู้หรอกว่าคุณได้คะแนนเพิ่มเป็นบวกหรือว่าได้คะแนนเพิ่มเป็นลบและการที่ไม่รู้นั่นเองทำให้ผลที่ออกมาเนี่ยมันเป็นที่น่างงหรือน่าประหลาดใจว่าทำไมวันหนึ่งเป็นแบบนี้อีกวันทำไมไม่เป็นแบบนี้ ทำไมเราเป็นแบบนั้นทำไมเราไม่เป็นแบบนั้นบ้าง มันจะเกิดเป็นความสงสัย เกิดความรู้สึกกระวนกระวาย อะไรๆมันปรากฏให้เราเห็นให้เรารับรู้เข้ามาวิ่งปะทะเราโดยที่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะหาทางออก คือมีสิทธิ์ที่จะตั้งรับไม่มีสิทธิ์ที่จะหาทางออก ยกตัวอย่างเช่น สมมตินะเอาแบบสมมติภาพใหญ่ที่สุดเลย สมมติทุกคนในห้องนี้เชื่อแล้วว่ากำลังเล่นเกมกรรมแต่ไม่ทราบว่าจะหยุดเล่นเกมกรรมได้อย่างไรถ้าคุณกำลังเบื่ออยู่จริงๆ เบื่อหน่ายชีวิต ไหนทุกคนที่อยู่ในที่นี้คงไม่มีใครอยากฆ่าตัวตายแต่ว่าก็คงเคยคิดที่จะหยุด คิดที่จะเลิกทำอะไรหรือว่าเป็นอะไรอย่างที่เคยๆเป็นมาก็มันน่าเบื่อ เคยรู้สึกเหมือนๆ??

    คุณน้ำผึ้ง :
    เคยค่ะเมื่อสองสามวันก็ยังรู้สึก

    คุณดังตฤณ :
    นี่ขนาดบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบของบุคคลทั้งประเทศนะเป็นคนพูดเองเลย คือถ้าหากว่าเรามอง เอ่อ ว่าคุณน้ำผึ้งมีดีมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เราก็จะรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะหยุดแต่เจ้าตัวเค้าพูดเองเลยนะว่าเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานึกอยากจะหยุด คือไม่ใช่ว่าอาจจะฆ่าตัวตายคือไม่ใช่หยุดหรือจบชีวิตแต่หมายความว่าหยุดรับรู้

    คุณน้ำผึ้ง :
    หยุดวงจร

    คุณดังตฤณ :
    หยุดอะไรที่เป็นทุกข์ ตรงนั้นแหละพ้อยต์ของผมก็คือว่า ถ้าหากว่าเราอยากจะหยุดเล่นเกมกรรม ทำอย่างไร หนังสือเล่มนี้ก็จะมีคำตอบด้วย

    คุณน้ำผึ้ง :
    แล้วทำอย่างไรเอาแง้มๆคร่าวๆ

    คุณดังตฤณ :
    เอาพูดเลยก็ได้ครับคือจริงๆแล้วเนี่ยนะ หนังสือเล่มนี้เนี่ย เอ่อ จะหลายหลักหน่อย เพื่อที่จะให้มองเห็นว่าก่อนที่เราจะหยุดเล่นเกมกรรมมีเหตุผลอะไรที่จะหยุดเล่นเกม หนังสือเล่มนี้ก็จะพูดถึงขึ้นต้นมาเลยก็จะพูดถึงอุปกรณ์เล่นเกม อุปกรณ์เล่นเกมก็คือกายใจมนุษย์ ไม่ใช่กายอย่างเดียวนะมีใจด้วย เอ่อก็ใจ ทั้งกายทั้งใจเนี่ยมันเป็นสิ่งที่เราเอาไว้ทำบุญหรือทำบาปนะครับ ยกตัวอย่างเช่นแค่คุณมองใครด้วยสายตาถมึงทึงไม่ชอบใจแค่นั้นคุณทำบาปแล้วคือบาปเล็กๆ บาปใหญ่ๆคือบาปที่เกิดจากโทสะเป็นมูล คุณไปทำให้เขาเกิดความรู้สึกอึดอัดที่คุณยืนจ้องหน้าเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองอาฆาต อุปกรณ์เล่นเกมนะทั้งตัวเนี่ยอันนี้แค่ยกตัวอย่าง จริงๆแล้วมือเนี่ยใช้ทำสารพัดเลยทำงาน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ใช้ตีคนอื่นก็ได้

    คุณดังตฤณ :
    ใช้ตีคนอื่นก็ได้ ใช้ให้รางวัลคนอื่นก็ได้แต่ทีนี้อุปกรณ์ที่มันอยู่ตรงกลาง แต่ถ้าเป็นเป็นเท้ามันเป็นอวัยวะที่ทุกคนรู้สึกว่าเป็นของต่ำแล้วอะไรที่มันอยู่ต่ำมันก็จะเหนี่ยวนำจิตใจให้เรารู้สึกต่ำตาม นั่นหมายความว่าถ้าเอาเท้าไปยันคนอื่นเนี่ยอันนี้มันเป็นลบแล้วโดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักกับคนที่แปลกหน้าไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่การหยอกล้อ

    คุณน้ำผึ้ง :
    โทษนะคะ เอาเท้าไปให้คนนวดนี่เราก็สร้างบุญนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    อันนั้นเป็นความหมายผมน่าจะเขียนไว้ในหนังสือด้วยนะ อันนี้พูดช้าไปนิดนึง เอ่อ นอกจากมือเท้าแล้วผมก็จะพูดถึงรายละเอียดที่มันยิ่งไปกว่านั้นนิดนึง เรียกว่าละเอียดเลยละกันในอุปกรณ์เล่นเกม

    คุณน้ำผึ้ง :
    ถ้าใครอยากจะจะเลคเชอร์ก็ลงในสมุดเนี่ยก็เตรียมปากกาได้เลยนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    ก็ต่อจากนั้นนะครับบทต่อมาผมก็จะพูดถึงคะแนนสะสม

    คุณน้ำผึ้ง :
    บทที่สอง

    คุณดังตฤณ :
    บทที่สาม

    คุณน้ำผึ้ง :
    บทที่สามหรอคะ

    คุณดังตฤณ :
    ใช่คือบทแรกเนี่ยเราพูดถึงเกมกรรม ซึ่งผมสาธิตไป

    คุณน้ำผึ้ง :
    โอเคค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    ยกตัวอย่างสดๆไปเลยละกันเพื่อให้เข้าใจง่ายๆซึ่งผมสาธิตสำหรับคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ เอ่อ ในเรื่องของการเล่นเกมกรรมมันมีอะไรที่ค่อนข้างจะมีรายละเอียดที่มากกว่าที่พูดถึงนะครับ มาพูดถึงเรื่องคะแนนสะสมก็ ก็คือสิ่งที่จะทำให้เราทราบได้ว่าเล่นเกมกรรมมาแล้วเนี่ยได้คะแนนไปเป็นบวกหรือเป็นลบเท่าไร ปกติอย่างถ้าคุณน้ำผึ้งเล่นกีฬา เล่นอะไรมั่ง

    คุณน้ำผึ้ง :
    เล่นว่ายน้ำค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    เล่นว่ายน้ำ คือผมไม่เห็นว่ามีคะแนน

    คุณน้ำผึ้ง :
    เล่นบาสก็ได้

    คุณดังตฤณ :
    เล่นบาสถ้าเกิดเราดูคะแนนเราเห็นคะแนนอยู่สกอบอร์ดข้างสนาม เราก็เห็นว่าขึ้นเป็นหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดไปเรื่อยๆนะครับแต่ถ้าหากว่าในเกมกรรมมันก็ควรจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวบอกว่าคะแนนของเรามาถึงไหนแล้ว มันไม่มีสกอบอร์ดครับแล้วก็ไม่มีใครเป็นกรรมการข้างสนามที่บอกคุณได้ด้วยว่าขณะนี้คุณได้คะแนนเท่าไรคุณต้องมาดูตัวเองนะครับ อย่างเช่น ขึ้นมาเริ่มต้นขึ้นมาอย่างนี้เลย มันมีตัวบอกคะแนนทันทีคือพ่อแม่ ถ้าหากว่าคุณมีพ่อแม่ที่ดีคุณจะมีคะแนนเป็นบวก ต่อจากนั้นถ้าพูดถึงเรื่องเพศ นี้ไม่ใช่มาบอกว่าผู้ชายหรือผู้หญิงดีกว่ากันไม่ใช่นะ แต่ว่าผมพูดถึงที่แต่ละคนมีความพอใจในเพศของตนอย่างเช่น เอ่อ คุณน้ำผึ้งมีความพอใจรึเปล่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    พอใจ ไม่อยากเปลี่ยนเพศค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    โอเค ตรงนี้แสดงถึงความเป็นคะแนนบวก ของผมเนี่ยไม่ได้ภูมิใจแล้วก็ไม่ได้เสียใจ คนที่ภูมิใจเนี่ยจะประมาณคนที่หล่อมากแล้วก็สูงสง่า ผมเนี่ยไม่ค่อยสง่าเท่าไร

    คุณน้ำผึ้ง :
    ไม่จริงค่ะขอเถียงเลยค่ะ ไม่จริง

    คุณดังตฤณ :
    อ่ะ ตรงนี้พอพูดถึงเพศต่อถึงรูปร่างหน้าตา พูดถึงแก้วเสียง พูดถึงฐานะ พูดถึงที่อยู่อาศัย พูดถึงครู พูดถึงความฉลาดแล้วก็พูดถึงสติที่จะใช้ในการคิดอ่าน สิ่งเหล่านี้มันบอกหมดเลยว่าคุณมีคะแนนทุนเดิมอยู่เท่าไร เกิดมาชาตินี้เนี่ยเอาความรู้สึกของคุณสิ่งเหล่านี้ถ้าหากว่าเป็นบวกหมายความว่าคุณทำบุญอะไรมาบางอย่างที่ทำให้เกิดคะแนนบวกตรงนั้น มันไม่มีความบังเอิญแต่บทที่สามผมยังไม่ได้ตอบเรื่องนั้นไปนะครับว่าแต่ละคนได้คะแนนบวกมาอย่างไรแล้วก็ได้คะแนนลบมาอย่างไร แต่จะบอกเฉยๆว่าถ้าหากอยากจะดูคะแนนของตัวเองที่เล่นมาจนถึงปัจจุบันนี้มีชีวิตอยู่อย่างนี้เนี่ยเราจะดูจากอะไรได้บ้าง

    คุณน้ำผึ้ง :
    คุณดังตฤณคะ ขอแทรกนิดนึงนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    ครับ ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    คือว่าน้ำผึ้งเนี่ยติดใจคำว่าไม่มีความบังเอิญ หมายถึงอะไรคะ

    คุณดังตฤณ :
    หมายถึงว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัยและเหตุปัจจัยที่ว่านี้ก็เป็นไปตามพุทธพจน์ที่ว่า”สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” หมายความว่าใครทำอะไรแล้วได้อย่างนั้น พูดง่ายๆนะแต่ว่าถ้าทำอย่างไรถึงจะมีพ่อแม่ที่ดี ทำอย่างไรถึงจะภูมิใจในเพศตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะมีฐานะที่พอมีพอกินหรือว่ามีฐานะที่มั่งคั่ง สิ่งเหล่านี้เนี่ยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเพราะเกิดขึ้นจากกรรมทั้งสิ้น แม้แต่ เอ่อ เรื่องของอะไรที่เล็กๆน้อยๆ อย่างที่เราจะเลือกแฟน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ก็ไม่เล็กนะ

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อก็ไม่เล็กน้อยมันเรื่องใหญ่เลยเรื่องแฟน คือถ้าหากว่าเราจะเลือกแฟนสักคนเนี่ย ทุกคนจะมีเหตุผลว่ามีข้อดี 10 ข้อแฟนฉันจะต้องยังงี้งี้งี้ แต่ไม่ได้ตามนั้น กำหนดมาสิบข้อได้ห้าข้อนี่ก็พอใจแล้วส่วนใหญ่

    คุณน้ำผึ้ง :
    เท่าครึ่งก็เอาแล้ว (เสียงขำๆ)

    คุณดังตฤณ :
    นั่นแหละตรงนี้ถ้าหากว่าเรามองให้เป็นเรื่องของเหตุแล้วก็ปัจจัย เราสามารถจะพูดถึงนะครับว่าทำไมบางคนถึงเลือกแฟนไม่ได้ถูกใจเลยสักคนเดียวไม่ถูกใจเลยสักคน ในขณะที่บางคนไม่ต้องเลือกก็มาเองแล้วก็ถูกใจด้วย อย่างสมัยก่อนเนี่ยเราจะได้ยินกันเยอะนะว่ามีประเพณีหรือว่าธรรมเนียมคลุมถุงชน บางคู่เนี่ยก็ได้คู่ที่ถูกใจ รักกันอย่างที่มีสำนวนบอกว่าอยู่ไปก็รักกันเองทำนองนั้นนะ มันมีอย่างนั้นอยู่แต่บางคนคลุมถุงชนแล้วเหมือนตกนรกทั้งเป็น ใช้ชีวิตที่เหลือไม่มีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ตรงนี้เนี่ยถ้าหากเราไม่พยายามที่จะอธิบายเพราะอะไรว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ มันก็จะพูดแค่สั้นๆว่าเพราะซวยหรือว่าเพราะโชคดี แต่ถ้าหากว่าเราพูดกันแบบพุทธเนี่ยเราไม่พูดกันในเรื่องของความซวยหรือว่าความบังเอิญโชคดี เราจะพูดว่าที่ต้องเคราะห์ร้ายอย่างนี้มันมีเหตุผลอะไร แล้วมันสามารถที่จะสืบจากนิสัยปัจจุบันได้ด้วย

    คุณน้ำผึ้ง :
    แล้วไม่สามารถจะแก้ได้เหรอคะ

    คุณดังตฤณ :
    สิ่งที่แก้ไม่ใช่การไปบนบานศาลกล่าว แต่ต้องแก้ที่ความเข้าใจเรื่องของเหตุแล้วก็ผลของสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าหากว่าเราเข้าใจว่าเหตุคืออะไร ผลมันถึงเป็นอย่างนี้ เราเปลี่ยนเหตุอย่างไรผลมันถึงจะเป็นไปอย่างที่พอใจ ตรงนั้นที่เรียกว่าการแก้ มันเริ่มที่ความเข้าใจก่อนแล้วตามมาด้วยการลงมือทำจริง

    คุณน้ำผึ้ง :
    เล่มเสียดายคนตายไม่ได้อ่านเนี่ยเป็นเหตุและผล แต่เล่มนี้เป็น How คือทำอย่างไร

    คุณดังตฤณ :
    จริงๆแล้วมี How to อยู่ทั้งสองเล่ม แต่สำหรับเล่มนี้เนี่ยมันจะเน้นหนัก อย่างในเล่มนี้มันก็จะมีเรื่องของ เอ่อ ความฉลาดในการเล่นเกมส์ ซึ่งผมก็จะพูดถึงหัวข้อหนึ่งเป็นหัวข้อใหญ่นะครับ ว่าจะฉลาดในการเล่นเกมได้คุณต้องสังเกตเป็น สังเกตที่จิตตัวเอง อย่างเมื่อกี้ผมพูดกับคุณน้ำผึ้งเนี่ย ถามคุณน้ำผึ้งว่ารู้สึกมั้ยว่ากำลังเล่นเกมส์อยู่ คุณน้ำผึ้งบอกว่าไม่รู้สึก พอผมให้สังเกตเข้ามาที่จิตใจอาจจะเป็นจิตใจภายนอกแต่มันก็ได้เค้าใช่มั้ย จิตเนี่ยมันมีเรื่องของวิบาก ถ้าหากว่าเราทำอะไรเนี่ย หย่อนระเบิดลงไปที่บุคคล

    คุณน้ำผึ้ง :
    ไม่ได้ทำแน่ๆค่ะหย่อนระเบิด

    คุณดังตฤณ :
    นั่นแหละตรงนั้นแหละมันก็มีพ้อยต์ ว่าเราหย่อนระเบิดลงไปในกลุ่มคนมากๆเนี่ยนะก็จะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับมาเป็นความรู้สึกที่มืดความรู้สึกที่ไม่ดีความรู้สึกที่เป็นลบกับเรา สำหรับเราเองตรงนั้นก็รู้สึกมืดเหมือนกัน ถ้าเราสังเกตนะครับว่าจิตของเราในขณะที่คิดในขณะที่พูดในขณะที่ทำอะไรลงไปแต่ละอย่างเนี่ยมันเกิดผลเป็นความคับแคบเป็นความมืดทึบหรือว่าเป็นความเบิกกว้างเป็นความสว่าง ตรงนั้นเรียกว่าเกิดการสังเกตที่จะทำให้คุณฉลาดในการเล่นเกมกรรมแล้ว ผมก็ต่อยอดเลยคืออาศัยหลักของทานและศีล คือให้ทานด้วยความคิดอย่างไรแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้นมา รักษาศีลคือหมายความว่าตั้งใจงดเว้นที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติในการฆ่าสัตว์ในการลักทรัพย์แล้วเกิดความรู้สึกเข้มแข็งเกิดความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอะไรขึ้นมา ถ้าสังเกตแบบนี้สังเกตตัวเองเข้ามาที่ใจปฏิกิริยาของใจอันเกิดจากการทำกรรมในแต่ละอย่างเป็นอย่างไร คุณจะค่อยๆรู้นะครับว่าผลของเกมกรรม ทำบุญแล้วจะต้องเป็นสุข ทำบาปแล้วจะต้องเป็นทุกข์ มันปรากฏที่ใจชัดๆแต่ไม่มีใครดู หลักการตรงนี้เนี่ยผมก็เอามาจากหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าให้ดูจิตตัวเอง ให้ดูว่าจิตตัวเองในขณะหนึ่งมีโลภะหรือไม่มีโลภะ มีโทสะหรือไม่มีโทสะ มีโมหะหรือไม่มีโมหะ เป็นจิตที่ฟุ้งซ่านหรือว่าเป็นจิตที่สงบระงับ จิตที่มีความเป็นสุขหรือว่าจิตที่มีความเป็นทุกข์ ถ้าหากว่าทุกคนได้ลองทำนะครับตามที่พระพุทธเจ้าท่านประทานแนวทางไว้มันจะเกิดความสบายในเกมกรรมขึ้นมาเอง เพราะว่าเวลาที่คุณทำอะไรแล้วเกิดความรู้สึกตัวสบายคุณจะทำแบบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้ทำไมมันไม่เกิดความเต็มใจที่จะทำเพราะมัวแต่ไปคิดเรื่องได้ประโยชน์เสียประโยชน์ มัวแต่ไปคิดเรื่องว่าเรามีเท่าเขามั้ยเรามีน้อยกว่าเขามั้ยน้อยกว่าเขามั้ย นั่นเป็นความคิดที่เกิดจากกิเลสแล้วมันบดบังความจริงเกี่ยวกับใจ มันมีแต่ความจริงข้างนอกที่เราเห็นที่เรารับรู้แล้วเราเชื่อ มีใครบ้างไหมที่เชื่อแล้วก็หมั่นดูเข้ามาในใจ เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างจิตใจของตัวเอง

    คุณน้ำผึ้ง :
    จริงด้วยนะคะ เพราะว่าน้ำผึ้งลองคิดนะคะหลายๆท่านอาจจะคิดเหมือนน้ำผึ้งว่าเวลาเราอยู่ในเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่เราจะมีการเปรียบเทียบอยู่ในใจตลอดเวลาที่มันทำให้เรารู้สึกว่า

    คุณดังตฤณ :
    กระวนกระวาย

    คุณน้ำผึ้ง :
    ใช่ค่ะ มันเหมือนกับเรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนนี้ เราเท่ากับคนนี้ หรือเราต่ำกว่าคนนี้ คือในใจมันคิดอย่างนี้ตลอดเวลาแล้วมันทำให้เรามองไม่เห็นอะไรข้างในจริงๆด้วยว่าเราทำดีหรือยัง เราสบายใจหรือยัง ไม่ได้คิดตรงนั้นค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    ครับ ใช่ ซึ่งถ้าคิดแบบคุณน้ำผึ้งพูดมาชีวิตจะเปลี่ยนไปเลย วิธีใช้ชีวิตเนี่ยมันจะไม่มองออกข้างนอก มันมองเข้ามาข้างใน แล้วก็มองข้างในฉลาดเรื่องข้างในชีวิตคุณเปลี่ยนออกมาทั้งหมดเลยจากจิตใจนะครับ ซึ่งตรงนี้ผมก็พูดถึงนะในบทสุดท้ายของเกมเลยเนี่ยว่าน้ำหนักขั้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีชีวิตที่คิดไม่ถึงเนี่ยมันเริ่มขึ้นมาจากความรู้สึกก่อน ความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกพอใจที่จะมองเข้ามาข้างใน เน้นความสำคัญของจิตใจก่อนเรื่องอื่น เห็นจิตใจเป็นสมบัติที่มีค่าสูงสุดไม่ใช่เงินทองไม่ใช่บ้านไม่ใช่รถ

    คุณน้ำผึ้ง :
    แต่ปกติเน้นเงินทองมาก่อนเลยนะคะจิตใจนี่อยู่หลังสุด

    คุณดังตฤณ :
    แล้วพอสมัยนี้เนี่ยนะพอพูดเรื่องจิตใจ คนเห็นเป็นเรื่องล้าสมัย คือเป็นเรื่องที่เก็บๆซุกๆไว้ก่อนลืมไว้ก่อน เอาเรื่องปากเรื่องท้องก่อนซึ่งมันก็จริงเพราะว่าเกมกรรมมันบีบบังคับอยู่ คือเริ่มต้นขึ้นมาผมก็พูดถึงนะว่าเกมกรรมเนี่ยมีปัจจัยหลายๆอย่างที่บีบบังคับให้คุณต้องทำกรรม อย่างเช่นทุกคนต้องกิน ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ต้องกิน อาการจึงเป็นตัวบีบบังคับให้คนต้องทำกรรม คือทำอาชีพอะไรบางอย่างทำงานอะไรบางอย่างเพื่อหาเลี้ยงตัว นอกจากนั้นยังมีที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม แล้วก็ยารักษาโรค ซึ่งแต่ละตัวเนี่ยไม่มีเงินตัวเดียวมันหามาไม่ได้ มันไปขอคนอื่นไม่ได้ มันหมดยุคสมัยที่จะมาแลกเปลี่ยนกัน เอาข้าวสารไปคุณเอาเครื่องนุ่งห่มมาอะไรแบบนั้นมันไม่มีแล้ว

    คุณน้ำผึ้ง :
    สมัยนี้มีสามสิบบาทแล้วค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    สามสิบบาทเนี่ยมันก็ มีในนี้มีหมออยู่ด้วยก็ลองถามๆดูละกัน มันแลกอะไรได้บ้าง

    คุณน้ำผึ้ง :
    ไม่เป็นไรค่ะถ้าอย่างนั้นเราเปลี่ยนประเด็น เอาละคะ มาถึงไหนแล้วคะ

    คุณดังตฤณ :
    ถึงตรงที่ว่าลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลงนะครับในชีวิตเนี่ยมันมีอะไรอยู่บ้าง เอ่อ นอกจากนั้นนะครับก่อนที่จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเนี่ย พูดถึงวิธีหยุดเล่นเกมด้วย จริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของหนังสือเล่มนี้ทิศทางของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทำให้ผมพูดได้ละเอียดมากนักแต่จะให้เห็นเป็นพ้อยง่ายๆ อย่างเช่น ขึ้นต้นขึ้นมาเนี่ยก็ต้องทำความรู้จักกับเกมก่อน แนวคิดที่ว่าทำไมถึงต้องทำความรู้จักกับเกม ถ้าคนไม่เห็นชีวิตอย่างถ่องแท้ก็จะไม่เห็นชีวิตโดยความเป็นทุกข์จะไม่มีใครคิดอยากดับทุกข์ โดยธรรมชาติเลยทุกคนเห็นว่าชีวิตเนี่ยสุขก็เลยมีความรู้สึกว่าชีวิตเนี่ยเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นไป แต่ถ้าเมื่อไรเรามองเห็นตามจริงว่าชีวิตเป็นทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์แบบโทมนัส ทุกข์ในความหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมายถึงการปรากฏมีปรากฏเป็นอุปกรณ์เล่นเกมกรรมอย่างนี้ คุณนั่งอยู่เนี่ยไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์ แต่จริงๆคำนิยามของทุกข์ถ้าตราบใดคุณยังมีร่างกายยังมีจิตใจที่เป็นอยู่อย่างนี้เนี่ยนี่แหละที่เรียกว่าเป็นก้อนทุกข์ก้อนใหญ่ อันนั้นเป็นนิยามของพระพุทธเจ้าซึ่งท่านตรัสรู้เหนือโลกได้แล้วนะครับ ท่านกลับมาบอกว่าสิ่งที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเนี่ยเรียกว่าทุกข์ แต่ผมจะไม่พูดถึงคำว่าทุกข์เพราะว่าคนอ่านส่วนใหญ่เจอคำว่าทุกข์แล้วหันหน้าหนี เพราะว่าทุกคนอยากจะอ่านเรื่องที่มันเป็นความสุข ผมเอาไอเดียตรงนี้มาจากฟีดแบ็กจากคนอ่านนะครับเวลาที่เจอคำว่าทุกข์เจอคำว่าอนิจจังเวลาเจอคำว่าอะไรที่มันเป็นธรรมะสูงๆน่ะจะไม่อยากฟัง

    คุณน้ำผึ้ง :
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    คุณดังตฤณ :
    ฟังไม่รู้เรื่องแต่ถ้าพูดให้มันเป็นเรื่องของการเล่นเกม พูดว่าเกมกรรมเนี่ยมันมีธรรมชาติอย่างไร เล่นแล้วมีแต่แพ้ เล่นแล้วมีแต่ความไม่รู้ เล่นแล้วมีแต่จะต้องเดินทางไกลไปไม่มีที่สิ้นสุด เล่นแล้วมีแต่จะถูกบีบให้ทำผิดจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ตรงนี้เนี่ยมันก็จะฟังง่ายขึ้น จากนั้นผมก็จะพูดถึงต้นเค้าของเกมว่าทำไมทุกคนเนี่ยถึงยังอยู่ในเกมกรรมไม่หลุดพ้นสักที อันนี้ก็มาจากต้นเหตุของทุกข์ที่อยู่ในพุทธพจน์นะครับ ที่ตรัสว่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    เปรียบเทียบเกมกรรมที่เหมือนวัฏฏะสงสาร

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ เกมกรรมเนี่ยเป็นวัฏฏะสงสารทั้งเกม ผมไม่พูดคำว่าวัฏฏะสงสารนะ พูดคำว่าเกมกรรมเพราะว่าแม้แต่เด็กรุ่นใหม่ก็จะเข้าใจง่าย จะเก็ตคำว่าเกมนะครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าอะไรคะ

    คุณดังตฤณ :
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้นเหตุของทุกข์ก็คือความอยากหรือตัณหานะครับ อันนี้จริงๆแล้วผมก็จะโยงเข้ามาในเรื่องของความโลภความโกรธความหลงอะไรยังงี้นะ คนได้อะไรมามันจะเหลือไปทันทีหรือว่าก็จะเหลือตัณหาในสิ่งที่มันดีกว่าให้ความสุขมากกว่า ตรงนั้นมันเป็นเครื่องชี้ว่าทุกคน มันไม่พอมันไม่สิ้นสุด ตรงนั้นที่ทำให้เรายังตกอยู่ในเกมกรรมนะครับ จากนั้นก็จะพูดถึงวิธีที่จะถอนจิตออกจากเกมกรรม อันนี้ผมข้ามมาถึงคำถามของคุณน้ำผึ้งเมื่อครู่ว่าทำอย่างไรถึงจะหยุดเล่นเกมกรรมได้ อันนี้พูดรายละเอียด แต่จะพูดถึงคอนเซ็ปต์การเล่นเกมให้เหมือนในหนังสือแหละ คือว่า เริ่มต้นขึ้นมาคุณต้องเห็นค่าของการหยุดเล่นเกมก่อน ถ้าไม่เห็นค่าของการหยุดเล่นเกมจะไม่มีใครคิดอยากหยุดเล่นเกม จากนั้นก็จะต้องเข้าใจหลักวิธีนะฮะคือเราจะอยู่ในเกมกรรมด้วยความอยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องหาวิธีถอนความอยาก ซึ่งผมก็จะพูดถึงเกมรักษาสัตย์ ไม่ใช่เกมรักษาหมาแมวนะคือหมายถึงว่าเกมรักษาสัตย์ (ย.ยักษ์-การันต์)นะครับสัจจะกับตัวเองเรื่องของการรักษาศีลห้าศีลแปดอะไรอย่างนี้แต่ศีลแปดผมก็ยังไม่พูดถึงนะเพราะมันยากเกินไป ก็จะพูดถึงเรื่องย่อๆที่สุดหัวใจของศีลแปดอยู่ที่ตรงไหนเอาแค่ข้อนั้นข้อเดียว จากนั้นก็จะให้ทุกคนเปลี่ยนฐานะจากผู้เล่นเป็นคนดู อย่างผู้เล่นหมายถึงว่าเราเป็นคนทำกรรม เราชอบใจคนนี้เราทำดีกับเขา เราไม่ชอบใจคนนี้เราทำไม่ดีกับเขา ตรงนั้นหมายความว่าเป็นผู้เล่นแต่ถ้าเป็นคนดูหมายความว่าเราเป็นผู้ดูว่าเกิดอะไรขึ้นจิตใจ จากนั้นก็จะมีเรื่องของการเตรียมตัวตายอย่างง่ายๆ ฟังดูสูงหน่อยการเตรียมตัวตายอย่างโสดาบัน คำว่าโสดาบันหมายถึงผู้ที่เห็นว่าธรรมะสูงสุดคือความไม่มีตัวตนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นรูปร่างสีสันแบบนี้ หรือว่าสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน เอ่อ สิ่งที่ไม่มีนิมิตไม่มีรูปร่างอะไรเลยทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ผมก็จะให้วิธีง่ายๆให้ว่าก่อนนอนดูลมหายใจแค่ครั้งเดียว แล้วคิดว่าลมหายใจนั้นเข้ามาแล้วก็ต้องออกไปนะครับมันไม่ใช่ของคุณ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกปล่อยวางขึ้นมา ผลที่เกิดตามมาอย่างใหญ่เลยคิดว่าก่อนที่คุณจะตายเวลาที่คุณนอนลงเหมือนที่คุณจะนอนทุกคืน ถ้าหากว่าคุณมีสติแล้วรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก่อนที่ใจคุณจะขาดใจจริงๆจากร่างกาย จิตของคุณมีสิทธิ์ที่จะรวมลงบรรลุมรรคผลได้ตรงนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันนะครับ ตอนที่พระพุทธเจ้าพูดถึงการส่งคนตายนะครับคนที่กำลังร่อแร่ ท่านพูดว่ายังเสียดายสมบัติอยู่ไหมยังเสียดายอะไรต่อมิอะไรในชีวิตอยู่ไหม ถ้าปล่อยวางทีละขั้นทีละขั้นได้เนี่ย ในที่สุดจิตทั้งหมดมันจะรวมลงแล้วเป็นมรรคผลได้ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาพูดเตือนแต่ว่าเราใช้สติของตัวเองเตือนตนก่อนจะตายว่าลมหายใจนี้มันไม่ใช่ของของเราและมันกำลังจะขาดไป และถ้าเราซ้อมไปซักสิบปีถ้าระลึกรู้ลมหายใจแค่คืนละครั้งเดียวก่อนนอนมันจะเกิดความเคยชินขึ้นมาแล้วก่อนจะตายมันจะจำได้จะระลึกได้ มันจะไม่เลอะเลือนแบบคนที่ตายแบบหลง คุณจะตายอย่างมีสติรู้อะไรรู้ว่าลมหายใจนี้ไม่ใช่ของเรา ตรงนั้นเนี่ยมันจะดิ้นไม่ได้คือมันจะไม่มีความสนใจสิ่งอื่นเลยนอกจากลมหายใจที่ไม่ใช่ของของเรา ร่างกายที่ทอดนอนอยู่ไม่ใช่ของของเรา ถ้าจิตตรงนั้นใหญ่พอแล้วก็ปล่อยวางได้มันจะตายอย่างโสดาบันนั่นเอง

    คุณน้ำผึ้ง :
    ตายอย่างสงบๆใช่มั้ยคะ

    คุณดังตฤณ :
    ยิ่งกว่าตายอย่างสงบเพราะว่าตายอย่างสงบเนี่ยความหมายตายด้วยจิตที่เป็นกุศล แต่ว่าตายอย่างโสดาบันหมายความว่าตายด้วยจิตที่เป็นมหาคตกุศล คือไม่ใช่ตายอย่างตรงนั้น ตายที่เป็นมหาคตกุศลหมายความว่าคือผลที่หนักแน่นมาก จิตเนี่ยมันเป็นหนึ่งเดียวมันไม่มีความเป็นอื่นเลย เอ่อ ในขณะที่พระโสดาบันบรรลุมรรคผลเนี่ยจิตจะเป็นหนึ่งเป็นมหาคตกุศลรู้จักความไม่ใช่ตัวตนของกายใจทะลุขึ้นไปเห็นนิพพานซึ่งเป็นธรรมสภาวะขั้นสูงสุดที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีที่ตั้ง มีแต่ความว่าง ตรงนั้นแหละที่เราเรียกว่าการเห็นธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ถ้าหากว่าใคร เอ่อ แค่ซ้อมตายอย่างโสดาบันทุกคืนนะครับ ก็มีสิทธิ์ตายอย่างโสดาบันแน่นอน

    คุณน้ำผึ้ง :
    รู้อย่างนี้เนี่ย เรียกว่าคุ้มค่ามากเลยนะคะแค่ลมหายใจหนึ่งครั้งต่อหนึ่งคืน

    คุณดังตฤณ :
    ที่รวมผลเพราะว่าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งคืนเนี่ย ปีหนึ่ง 365 ครั้ง ถ้ายังมีเวลาเหลือในชีวิตอีกสิบปีหมายความว่าเราจะได้สั่งสมความเห็นจริงนะครับในเรื่องของอนัตตาในตัวเองไป 3,650 ครั้ง ซึ่งมันมากพอมีกำลังพอที่จะทำให้เกิดความเคยชินก่อนตายนะ นี่เราพูดถึงความเคยชินอย่างเดียวนะคือสามพันหกร้อยห้าสิบครั้งเนี่ยมันมากพอที่จะเตือนให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ ไม่งั้นเราตายอย่างไม่มีจุดหมายไม่รู้จะยึดอะไรเป็นหลัก

    คุณน้ำผึ้ง :
    ส่วนใหญ่ก่อนตายเราจะร้องไห้ไม่เอาไม่อยากไป มันแย่มากเลยนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าจิตเศร้าหมอง อบายเป็นที่หวังได้คือทุขคติเป็นที่หวังได้ หมายความว่าถ้าจิตเศร้าหมองตายในขณะจิตเศร้าหมองทุขคติเป็นที่หวังได้

    คุณน้ำผึ้ง :
    แปลว่าอะไรคะ

    คุณดังตฤณ :
    หมายความว่าเราไม่ไปดีเพราะว่าถ้าหากเรามีความเศร้าหมอง จิตเนี่ยมันเศร้าหมอง ลองคิดดูนะก่อนคุณน้ำผึ้งกระวนกระวายมันมีความเศร้าตอนก่อนนอนเนี่ย พอหลับลงไปนะเป็นไงครับ คุณมักจะฝันร้าย ความโน้มเอียงก็คือมันจะเกิดนิมิตไม่ดีอะไรขึ้นมา มันจะเกิดภาพไม่ดีอะไรขึ้นมาในหัว ตรงนั้นก็เหมือนกัน ธรรมชาติของจิตหรือว่ากลไลของจิตเนี่ยมันไม่ได้เป็นเล่นๆเฉพาะช่วงหลับฝันทำงานกลางคืนเท่านั้นแต่มันมีผลตอนตายด้วยและมันไม่รู้นะ ทำนองว่าหลับไปแล้วด้วยจิตที่เศร้าหมองคุณจะฝันเห็นอะไร รู้แต่ว่าคุณจะฝันไม่ดีมีสิ่งที่จะฝันไม่ดีมากกว่าฝันดี ถ้าหากว่าจิตก่อนตายคุณมีความเศร้าหมองด้วยเรื่องที่น่าเศร้าหมองหรือเศร้าหมองด้วยบาปที่มันย้อนกลับมานึกได้นึกถึงแต่บาปนึกถึงแต่กรรมเรื่องที่ชวนให้เกิดความรู้สึกหดหู่ นั่นแหละครับกลไลของจิตที่จะทำงานตามธรรมชาติในขณะสุดท้ายก่อนจิตจะดับเนี่ย มันจะทำให้จิตของคุณเลือกที่จะเห็นในสิ่งที่ไม่ดีและสุดท้ายคติข้างหน้าก็จะเป็นไปตามนั้น คำว่าทุขคติหมายความว่าคติที่เป็นทุกข์ คติที่ไม่มีความเจริญ ส่วนสุขคติคือคติที่มีความสุขมีความเจริญ อย่างเช่นสุขคติเนี่ยตามคำนิยามก็คือมนุษย์ เทวดา แล้วก็พรหม ส่วนทุขคตินะก็จะเป็นภูมิทั้งหมดนับล่างสุดก็จะเป็นนรกภูมิขึ้นมาจนถึงเดรัจฉานนะครับขึ้นมาถึงเปรต เดรัจฉานนะครับต่ำกว่าเปรต ขอให้จำกันทุกคน เรามักจะจำแต่เปรตที่ตัวสูงเปรตวัดสุทัศน์ เคยเล่นละครเรื่องนี้เปล่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    ยังไม่เคยค่ะทำไมเดรัจฉานถึงต่ำกว่าเปรตละ เอ..

    คุณดังตฤณ :
    จริงๆเพราะว่าคนไทยเราเนี่ยถูกบอกให้จำหลักนิยายนิทาน

    คุณน้ำผึ้ง :
    เปรตน่าเกลียดกว่าเดรัจฉานนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    เพราะที่เราเห็นในทีวีเขาให้เราเห็นแบบนั้น เปรตจริงๆแล้วภูมิของเปรตมันวิจิตรพิสดารเหมือนคุณฝัน ตอนที่คุณฝันส่วนใหญ่ถ้าสมมติว่าเอาโปรเจคเตอร์ฉายภาพจิตวิญญาณของคุณส่วนใหญ่เป็นเปรต คำว่าเปรตคือความไม่แน่นอน มันไม่แน่ชัดว่ามีรูปร่างแบบใดแบบหนึ่ง คือมีความแน่ชัดในระดับหนึ่งแต่มีจิตที่เปลี่ยนแปลงได้ อย่างร่างกายมนุษย์เรามันมีความคงที่คงเส้นคงว่าเพราะว่าก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยธาตุ 4 อันแค่นแข็งคือดินเนี่ย ธาตุที่มันเป็นน้ำที่มีความเหนอะหนะ ธาตุที่เป็นไฟ ธาตุที่เป็นลม อย่างนี้เนี่ยเป็นธาตุที่จับต้องได้และยังอยู่ด้วยความคงเส้นคงวา แต่ถ้าภูมิจิตของเปรตเนี่ยมันขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะให้ผลของบุญหรือว่าของบาป มันดัดแปลงไปได้เรื่อยๆตรงนี้พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าในภูมิของเปรตเนี่ยมีความลุ่มๆดอนๆไม่แน่นอนนะ ก็เพราะว่าบางทีก็เสวยสุข บางทีก็เสวยทุกข์ มนุษย์จริงๆแล้วก็เสวยครึ่งทุกข์ครึ่งสุขเหมือนกันเพียงแต่ว่ามันมีความแน่นอนมากกว่าเปรต อย่างน้อยนะเรามีเนื้อหนังที่แห้งที่เรียบลื่นแต่ว่าในอัตภาพของเปรตเนี่ยมันไม่แน่บางทีมันก็เป็นหนามขึ้นมาบางทีมันก็เรียบๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะการให้ผลของบุญแล้วก็ของบาป อันนี้เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่าเปรตเนี่ยมันสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน เอ่อ มันมีอีกข้อหนึ่งว่า เปรตเนี่ยสามารถที่จะรับการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติได้ คือหมายถึงว่าถ้ามีใจอนุโมทนาหรือว่าถ้าจำญาติได้ จิตของเปรตเนี่ยมันจะใกล้กับโลกมนุษย์เรา คือคลื่นจิตเนี่ยมันเหมือนกับตอนฝันถ้าคุณฝันเห็นญาติมาร้องห่มร้องไห้ตรงนั้นแหละคล้ายๆนะคล้ายๆกับว่าเป็นอัตภาพที่คุณเห็นเปรต ไม่ได้เห็นจริงๆนะ มันเป็นคลื่นจิตที่มากระทบก็ทำให้คุณเกิดการรับรู้ภาพอะไรต่างๆนะ อันนี้ เพราะฉะนั้นเนี่ย ท่านถึงบอกว่าเปรตอยู่สูงกว่าเดรัจฉาน เพราะว่าเดรัจฉานเนี่ย เอ่อ ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลได้ด้วยความเข้าใจ สัตว์เดรัจฉานเนี่ยที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลได้มากที่สุดเนี่ย ก็คือเช่นถ้าคุณน้ำผึ้งมีลูกหมาอยู่ตัวหนึ่งแล้วก็สวดมนต์ทุกวัน ให้มันรับบุญผ่านแก้วหู คือถ้าเราใช้เสียงที่มันเป็นบุญ จิตที่มีความสว่างของเราเนี่ยมันก็จะทำให้จิตของมันมีความสว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่มันจะมีความยินดีมากน้อยแค่ไหนไม่สามารถพยากรณ์ได้ ต่างจากพวกเปรตเนี่ยที่พึ่งมาจากโลกมนุษย์เนี่ยนะ เอ่อ เราอุทิศส่วนบุญกุศลอะไรถ้าเขารับรู้เนี่ยเขาจะอนุโมทนาเหมือนว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเนี่ยมันยากที่จะอนุโมทนา อันนี้ที่เป็นพ้อยเลยพูดง่ายๆ เลยว่าสัตว์เดรัจฉานอยู่ในอัตภาพที่ต่ำต้อย ส่วนเปรตเนี่ยบางครั้งมันก็จะครึ่งทุกข์ครึ่งสุข เปรตก็สามารถที่จะรับส่วนบุญหรือว่ามีอนุโมทนาจิตกับบุญที่เราอุทิศไปได้ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    โห มีความรู้ที่ไม่เคยรู้มาทั้งชีวิตนะคะ ก็พึ่งรู้วันนี้เอง เอาละคะเอางี้ เรากลับมาที่เรื่องมีชีวิตที่คิดไม่ถึงนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เป็นหนังสือที่น้ำผึ้งเห็นว่าค่อนข้างจะเป็นหนังสือธรรมะสมัยใหม่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวนะคะของคุณดังตฤณเนี่ย เขียนเป็นทั้งนิยายธรรมะนะคะอย่างกรรมพยากรณ์

    คุณดังตฤณ :
    อ่านแล้ว?

    คุณน้ำผึ้ง :
    อ่านแล้วค่ะ อะไรที่เราคิดว่า อย่างน้ำผึ้งเนี่ยเป็นเด็กรุ่นใหม่ เอ๊ะ! เป็นภาษาธรรมะก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าคุณดังตฤณได้เอามาตีความแล้วทำให้มันเป็นภาษาง่ายๆ คุณดังตฤณมีความคิดแบบไหนคะหรือว่ามีจุดประสงค์อะไรที่จะแบบเอาธรรมะมาตีแผ่กับคนรุ่นใหม่ได้ง่ายแบบนี้บ้างคะ

    คุณดังตฤณ :
    คือในความคิดผมเนี่ยนะก็คือว่าถ้าจะเอาธรรมะเนี่ย ถ้าต้องการให้ธรรมะเบิกบานไปทั่วประเทศเนี่ยต้องเอาธรรมะมาอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่เอาธรรมะไปซ่อนไว้ที่ผ่านๆมาผมยกตัวอย่างในร้านหนังสือเลยว่า เพราะว่าเป็นอะไรที่ใกล้กับวงการของผมนะครับ สมัยก่อนเนี่ยเมื่อย้อนไปเมื่อปีเศษๆที่ผ่านมา เอาเป็นว่าเอาปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน ตู้ธรรมะจะอยู่ลึกสุดอยู่ข้างในสุด เอาไปซุกไว้เอาไปซ่อนไว้ เหมือนกับว่าคนที่เข้าไปเนี่ยนะมันทำผิดอะไรบางอย่าง คือเข้าไปแล้ว บางทีมันต้องเคยรู้สึกรึเปล่า ช่วงผมเรียนมหาลัยเนี่ยเวลาถือหนังสือธรรมะเนี่ยผมต้องเอาแอบๆ กลัวเพื่อนล้อว่า เฮ้ย! มีปัญหาชีวิตมากเหรอถึงต้องเอาหนังสือธรรมะมา มันล้อกันจริงๆนะ แม้แต่ยังงี้ก็มีมันเหมือนเราทำผิดอะไรบางอย่าง แต่ว่าถ้า…ถ้าเมื่อไรเราเห็นร่องรอยที่เป็นรูปธรรมมีการย้ายตู้หนังสือธรรมะออกมาข้างหน้า ตรงนั้นมันก็คือจุดหนึ่งนะฮะที่มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ที่ธรรมะจะเบ่งบานไปทั่วประเทศนะครับ เอ่อ ด้วยแนวคิดนี้บางทีเราต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เหมือนกับที่คนที่คิดจะทำอะไรสักอย่าง ทุกคนมันมีกลยุทธ์มันมีวิธีมันมีความรู้ว่าเราถนัดที่จะทำอะไรได้ดีที่สุดเพื่อที่จะให้ได้สิ่งที่เราต้องการ อันนี้ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นนะครับที่คิดจะทำธรรมะเคลือบหวานขึ้นมา เพราะว่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    เอายามาเคลือบน้ำตาลใช่มั้ยคะ แล้วก็ดีดใส่ปากเด็กได้เลย หวานดีค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    คือไม่ได้จับเด็กล็อคคอแล้วก็กรอกปากนะ แต่ว่าคือเห็นปุ๊ปก็อยากกินเอง ไม่ต้องดีดด้วย พอดีดบางทีเค้าหลบได้ แต่ถ้าเค้าเห็นแล้วเค้าอยากกินเอง ตรงนั้นเค้าไม่หลบและเราก็ไม่บังคับฝืนใจนะ ไม่ต้องฝืนใจกัน

    คุณน้ำผึ้ง :
    เคลือบน้ำตาลจริงๆนะคะ เพราะว่าเหมือนที่บอกว่าเป็นเกมกรรม น้ำผึ้งเทียบมาเทียบไปแล้วเหมือนเล่นเกมเศรษฐีค่ะ มีติดหนี้ มี…

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ ใช่ เอ่อ เมื่อกี้เรายังไม่พูดถึงหนี้ใช่มั้ย ใช่ๆ เอ่อ เมื้อกี้เรายังไม่ได้พูดถึงหนี้ใช่มะ คือ เราทุกคนเนี่ยเกิดมามีหนี้หมด ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเน้นเลย เป็นพิเศษเลย คือพูดขึ้นมาในตอนต้นๆเลยนะครับว่า แต่ละคนเนี่ยเกิดมาโดยไม่รู้ตัวเนี่ยทุกคนมีหมด มีไม่กี่คนหรอก เพราะว่า แต่ละคนเกิดมาด้วยตัวเองไม่ได้ โดยเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์ทุกคนต้องมีพ่อแม่ ตรงนั้นแหละตรงที่เป็นหนี้พ่อแม่ อย่างพวกคุณ ผมด้วยเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่คิดว่าเป็นหนี้ เราก็จะรู้สึกกับพ่อแม่เหมือนกันเป็นใครคนนึงที่มีหน้าที่ต้องเลี้ยงเรา นี่คิดกันจริงๆแล้วก็เกมส์กรรมเนี่ย มันบีบให้เราคิดอย่างนี้ คือไม่เห็นว่าตอนที่แม่เนี่ยอุ้มท้องเรามาเก้าเดือนลำบากยังไง ตอนคลอดมีความทุกข์ขนาดไหน แล้วตอนที่เราออกแล้วกว่าจะเป็นตัวเป็นตนโตขึ้นมาได้นี่ พ่อแม่ต้องลำบากเลี้ยงดูยังไงอะไรต่างๆ มิติเหล่านี้คุณเห็นมั้ย แต่คุณมาเห็นตอนที่เพื่อนของเรามีบุญคุณกับเราเล็ๆน้อยๆ หรือมีใครมาทำอะไรให้เราเล็กๆน้อยๆ ตอนที่เราโตขึ้นมาแล้ว แล้วก็ไปทราบซึ้งว่า โอ้ยนี่มีบุญคุณกับฉันมากมายเหลือเกิน นะ แต่ลืมบุญคุณของพ่อแม่

    คุณน้ำผึ้ง :
    ลืมตอบแทนหนี้

    คุณดังตฤณ :
    อ่า คือลืมใช้หนี้ เราโตมา พูดคำว่าหนี้เนี่ย จริงๆแล้วเนี่ย พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจเป็นเจ้าหนี้หรอกนะ แต่ว่า เอ่อ พูดใช้คำว่าหนี้เพื่อให้เห็นง่ายว่าแต่ละคนเกิดมาเนี่ยมีหนี้ติดตัวหมดตั้งแต่แรกเลย จากนั้นพอโตขึ้นมาเนี่ยเจอเหตุการณ์ดีบ้าง ร้ายบ้าง สมใจบ้างไม่สมใจบ้าง บางคนมาทำไม่ดีกับเราบ้าง ผมาชี้ให้เห็นว่า ทั้งชีวิตของเราเนี่ยมันคือการได้มีโอาสเห็นว่าตัวเองเคยไปทำอะไรใครเค้าไว้บ้างแต่เราจะไม่คิดอย่างนั้นเนื่องจากเรามีความไม่รู้ ว่าไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเล่นเกมส์กรรมอยู่ และนั่นคือการใช้กรรมอย่างนึง เราก็จะรู้สึกแต่ว่า ทำไมมันมาทำไม่ดีกับเรา ทำไมมันถึงไร้เหตุผลได้ขนาดนี้ ทำไมมันคิดด้วยความเจ็บใจ ด้วยความรู้สึกอื่อหือ...มันเหมือนกะมีอะไร บางทีนะความเจ็บใจ

    คุณน้ำผึ้ง :
    ทำไมมันต้องเกิดกับเราด้วย

    คุณดังตฤณ :
    ทำไมต้องเกิดกับเรา

    คุณน้ำผึ้ง :
    ทำไมคนอื่นมันดี ทำไมเราถึงซวยขนาดนี้

    คุณดังตฤณ :
    อ่า แล้วเราก็โกรธเค้า ไอ้การที่เราโกรธเค้านี่แหละ คือการที่เราไม่ได้ใช้หนี้เค้า หนี้ในที่นี้ก็คือหนี้บาปเวร เมื่อกี้พูดถึง หนี้ของพ่อแม่ คือหนี้บุญคุณ หนี้ในการเกิด คือจริงๆแล้วหนี้บุญนี่มีอีกเยอะแต่ว่า พูดหลักๆเลยก็คือ พ่อแม่ นะครับ ถัดมาคือหนี้บาปเวร หนี้บาปเวรนี่เราใช้กันอยู่ทุกวันแต่เราไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวว่านั่นคือรูปแบบนึงของการใช้หนี้บาปเวรก็เลยโกรธ แล้วก็เกิดออกมาเป็นปฏิกิริยา เป็นการคิด เป็นการพูด เป็นการทำไม่ดีตอบมันอีก

    คุณน้ำผึ้ง :
    นั่นคือเป็นการสร้างหนี้

    คุณดังตฤณ :
    เป็นการสร้างหนี้

    คุณน้ำผึ้ง :
    โอ้โห

    คุณดังตฤณ :
    เป็นการทำให้เกิดหนี้

    คุณน้ำผึ้ง :
    หนี้สินท่วมท้น นะคะ NPL ป่ะคะ

    คุณดังตฤณ :
    หึ หึ หึ ใช่ นั่นแหละ คือกลของเกมส์กรรม คือ เค้าไม่ให้เรารู้ พอเราไม่รู้เราก็ทำอะไรที่มันเป็นเหตุของความทุกข์ในมันเป็นเหตุเป็นบาปเป็นหนี้เวรต่อไปอีกไม่รู้จบรู้สิ้น ผมตั้งชื่อคือตั้ง เอ่อ เป็น คำโปรยบท คำโปรยบทอ่ะนะครับสำหรับบทที่เกี่ยวกับหนี้เนี่ยว่า "หนี้ที่ยังไม่ใช้จะถูกตามทวงเรื่อยไป ตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้บุญคุณหรือหนี้บาปเวร ถ้าคุณไม่รู้ว่านั่นคือหนี้ คุณก็จะไม่ใช้หนี้ แล้วถ้าคุณไม่ใช้หนี้ คุณก็จะถูกตามทวงเรื่อยไป และนั่นก็คือความหมายของบทหนี้

    คุณน้ำผึ้ง :
    น้ำผึ้งเข้าใจถูก ผึ้งเข้าใจว่า สมมติว่า เค้ามาทวงหนี้เราแล้วอ่ะ วันนี้แล้ว สมมติอกหัก อยู่ดีๆ

    คุณดังตฤณ :
    น้ำผึ้งนี่ไม่น่าเป็นไปได้นะ

    คุณน้ำผึ้ง :
    มันอาจจะเป็นไปได้ค่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ จู่ๆทำไมบอกเลิก ตบหน้า…อึททช์ เราก็แบบเอ่อ ยอมรับว่า เอ่อมันอาจจะ เอ่อ แบบเราเคยไปทำอะไรไว้ ถือว่าเป็นการใช้หนี้แล้วก็หยุด หยุดทะเลาะหยุดตบหน้าไป อันเนี้ยเหมือนเป็นการใช้หนี้ จนหมดแล้วก็ไม่มีหนี้ใหม่

    คุณดังตฤณ :
    คือ คือจะบอกก่อนว่าการใช้หนี้เนี่ยมีหลายระดับ ใช้หนี้แบบนิดนึงบางส่วนและใช้หนี้แบบทั้งหมด

    คุณน้ำผึ้ง :
    ใช้หนี้แบบทั้งหมดเลย

    คุณดังตฤณ :
    แบบใช้หนี้ทั้งหมดเลยเนี่ยเอาตรงนี้ก่อนนะ พูดแบบตรงๆ คือพวกแบบที่ไม่ต้องมีการ ใช้หนี้กันอีกก็คือแบบที่ว่าเราไม่มีจิตใจคิดอาฆาตแค้น ไม่ผูกใจเจ็บเลยซักนิดเดียว มีการให้อภัย การให้อภัยเนี่ย ในสิ่งที่มันไม่น่าให้อภัยที่สุด ตรงนั้นเนี่ยคือการใช้หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เกมส์กรรมบีบให้เราไม่รู้ว่านั่นคือหนี้ แล้วเค้าก็ลองใจเราว่าเราจะใช้หนี้รึป่าว คือมัน มันแบบค่อนข้างที่จะไม่ยุติธรรมอ่ะนะ ฟังแล้วมันไม่แฟร์ คือเมื่อเราไม่รู้อ่ะว่านั่นเป็นหนี้

    คุณน้ำผึ้ง :
    เราก็ไม่รู้ว่าในอดีตเราทำอะไรมาบ้าง

    คุณดังตฤณ :
    แล้วทีนี้หนี้บาปหนี้เวรเนี่ย มันไม่ได้พูดกันถึงอดีตชาติอย่างเดียวนะ จริงๆแล้วเนี่ย การที่เราไปทำให้แฟนไม่พอใจ ทำให้ความไม่พอใจในตัวแฟนของเราเนี่ยเพิ่มขึ้นมากทุกวันๆ คือ บางทีเราอาจจะใช้อารมณ์กับเค้ามากเกินไปบ้าง หรืออาจจะมีความคิดดูถูกเหยียดหยามบ้างหรืออะไรต่อมิอะไรต่างๆ สั่งสม มากขึ้นๆ นั่นเป็นหนี้ทั้งหมดเลย เวลาเราใช้หนี้โดยการที่เค้าบอกเลิก นะฮะ ถ้าหากเราคิดได้ ระลึกได้ว่าที่เราเคยทำกับเค้าน่ะมันไม่ดีนะ แล้วตรงเนี่ยการที่เค้าเลิกไปมันก็สมเหตุสมผลแล้ว ตรงนี้มันก็โอเคคือ จากกันด้วยดีแล้วก็มีความสบายใจ คือเรารู้ว่าตรงนั้นคือการใช้หนี้ ใช้หนี้ด้วยการให้อภัยอย่างไม่ผูกใจเจ็บ นะ ตรงนั้นคือหมดจด ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากกจะให้ดียิ่งกว่านั้นก็คือว่า ให้อภัยแล้วยังสามารถคิดต่อไปได้อีกว่า จะทำดีกับเค้าให้ดีๆยิ่งขึ้นไปได้อย่างไร คือทำให้เค้ามีความสุขเพราะว่าหนี้บาปเวรก็คือว่า เอ่อ เราชดใช่ด้วยความทุกข์ใช่ม่า คือเราเคยทำให้เค้าเป็นทุกข์มาก่อนเราก็ชดใช้ด้วยการให้อภัยคือในส่วนของใจเราเนี่ยไม่เป็นทุกข์ ไม่ผูกใจเจ็บแล้วก็ยังที่จะสามารถ พูดหรือทำอะไรด้วยใจที่สำนึกผิดเนี่ยนะครับให้เขามีความสุข ยิ่งๆขึ้น ตรงนั้นจะเหมือนับสิ่งที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ เปรียบเทียบว่าบาปเนี่ยเปรียบเสมือนกับเกลือ เกลือเนี่ยนะครับ ถ้าเกลือมีปริมาณแค่ก้นแก้ว ประมาณนี้นะครับ ถ้าเติมน้ำลงไปขนาดนี้นะครับ รสของเกลือมันจะลดลง จางลง ถ้าเกลือในระดับเดียวกันถ้าเราเติมน้ำเข้าไปเป็นอ่างเลย หรือเป็นโอ่งเลยอย่างนี้รสเกลือจะไม่เหลืออีก ทั้งๆที่เกลือยังอยู่ในแก้ว เกลือยังอยู่ในโอ่ง อันนั้นคือการเปรียบเทียบ อุปมาอุปมัยกัน ทำให้ใครเค้าเจ็บใจมันก็เหมือนเกลือที่วันนึงมันจะกลับมาให้รสเค็มกับเราหากว่าเราคิดที่จะทำดีกับเค้าให้เค้ามีความสุข มากกว่าที่ มากกว่าปริมาณความทุกข์ที่เราเคยยัดเยียดให้เค้า ตรงนั้นเนี่ยในที่สุดเค้าก็จะลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากเรา การที่เขามีความสุข การที่เค้าลืมความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นจากเรา เนี่ย มันก็ย้อนกลับหาเราเป็นความสุขในปริมาณที่ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันหรืออาจจะมากว่า มากกว่าเดิม ตรงนั้นเนี่ยคือการใช้หนี้อย่างหมดจด แต่ปัญหาก็คือว่าถ้าเราไปก่อหนี้บาปเวรโดยที่เราจำไม่ได้ หนี้บาปเวรมีสองแบบ คือแบบที่เราจำได้กับแบบที่มันผ่านมาแล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำในอดีตชาติมีรึป่าว แล้วมันจะไปสำนึกได้ยังไง ว่าไปทำผิดมาอันนี้ก็ขอให้สังเกต มันมี pattern หรือรูปแบบของชีวิตอยู่จริงๆครับ ที่แต่ละคนเนี่ยจะรู้สึกว่าเจออะไรซ้ำๆแล้วก็ไม่เหมือนคนอื่น อย่างบางคนเนี่ยมาเล่าให้ฟังว่าเจอแต่แฟนประเภทที่เข้ามาปอกลอก คือ เข้ามาทีไรมาเรื่องประโยชน์ มาเอาประโยชน์ แล้วก็ มีอีกประเภทนึงเข้ามาตอนแรกอะไรดีหมดเสร็จแล้วต่อมา มาเกิดความแตกพังแบบคาดไม่ถึง แล้วแพทเทิร์นนี้เนี้ย มันซ้ำกันมาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับจะไม่มีที่สิ้นสุด ตรงนี้เนี่ยที่เราจะเริ่มเชื่อได้ว่ารูปแบบชีวิตของเรามีเหตุผล และวิธีเดียวที่เราจะโยนโทษไปให้ได้ก็คือกรรมเก่าในอดีต คือคุณไม่ได้สักแต่ไปคิดนะว่า โอ้ยนี่กรรมเก่า แต่ต้องสำรวจเข้ามาในตัวเองด้วย ว่ามันมีนิสัย มันมีเค้าอะไรบ้างในตัวเราที่ไปทำกรรมแล้วจะต้องได้รับผลประมาณเนี้ย พอสำรวจเข้ามาในจิตในใจ เข้ามาในแพทเทิร์น ในการดำเนินชีวิต มีวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำ มันจะค่อยๆเริ่มจับเค้าได้ ว่าทั้งหลายทั้งปวงที่เรากำลังประสบอยู่มันก็สอดคล้องกับภายในของเรานั่นแหละ เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่าไง มันก็ตั้ง ภพตั้งภาวะให้ตัวเองไปเป็นแบบนั้น ถ้าหากว่าเรากำลังรับผลอะไรแบบใดแบบหนึ่งอยู่มันก็ค่อนข้างจะทำให้เราสะดุดคิดขึ้นมาได้เหมือนกันนะครับว่าเราเคยไปทำเหตุแบบนี้หรือเปล่าที่ควรจะได้รับผลแบบนี้ (ในฐานะที่เป็นรุ่นใหม่นะคะ คุณดังตฤณเนี่ย..ไม่รู้จะพูดว่าอะไรแต่พูดว่า คุณดังตฤณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ อย่างมาในการเปรียบเทียบ และทำให้คนเข้าใจ คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายๆ (ครับ ขอบคุณครับ)ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้นะคะหรือ หลายๆเล่มที่เคยอ่านมาเนี่ย ไม่อย่างนั้นเนี่ยคงจะไม่เคยเห็นงานเปิดตัวหนังสือที่ไหนที่มีแฟนคลับมาเยอะขนาดนี้นะคะ ตั้งแต่ทำพิธีกรมาก็ยังไม่เคยเห็นนะคะ คุณดังตฤณชอบหนังสือเล่มไหนที่ตัวเองเขียน ประทับใจมากที่สุดคะ) ต้องพูดอย่างนี้ครับว่า ไม่ได้ชอบ เล่มใดเล่มหนึ่งเป็นพิเศษแต่ผมชอบที่ได้มีโอกาสเขียนทุกเล่ม อันนี้ต้องอธิบาย คือ feedBack ที่ผ่านมาเนี่ยนะ ไม่ใช่ทุกคน ชอบทุกเล่ม มีเหมือนกัน ที่ชอบทุกเล่มอ่านทุกเล่มเลย แต่ว่าน้อยนะ ฟีดแบ็คที่ได้รับส่วนใหญ่ที่ได้รับคือ เอ่อ ผมชอบเล่มนี้ ดิฉันนชอบเล่มนั้น เล่มนี้อ่านง่าย เล่มนี้รู้สึกยาก จริงๆแล้ว ฟีดแบ็คแบบนี้ผมดีใจนะ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทุกคนบอกว่า ชอบหนังสือของคุณดังตฤณหมด รู้สึกอ่านง่ายหมดนั่นแปลว่า ผมให้คนได้กลุ่มเดียว ถ้าหากว่าเล่มหนึ่งทำให้คนลุ่มหนึ่งเข้าใจ อีกเล่มหนึ่งทำให้กลุ่มนึงเก็ต ถึงแม้ว่า กลุ่มนี้จะไม่ชอบหนังสือที่กลุ่มนี้ชอบแต่อย่างไรเนี่ยมันก็พ้อยท์เดียวกัน ที่เราอยากจะนำเสนอก็คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ความเข้าใจเรื่องของกรรมวิบาก ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีที่จะดับเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าประทานไว้แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันแล้ว นะไปพูดกันถึงเรื่องที่มันไกลตัวไปพูดในกับเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้นะครับ อันนี้ถ้าหากว่าหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง มันเป็นไปได้สำหรับคนใดคนหนึ่งแค่นั้น ผมพอใจแล้ว นะฮะ ไม่ได้มีความพอใจไม่ได้มีความติดใจในเล่มใดเล่มยึงเป็นพิเศษ

    คุณน้ำผึ้ง :
    นี่คือคุณดังตฤณกำลังทำธรรมะให้เป็นธรรมะร่วมสมัย

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    อันนี้ให้หลายๆท่านนะคะเตรียมคำถาม ที่จะถามคุณดังตฤณไว้นะคะ โดยนำเขียนไว้ในกระดาษนะคะหลังจากลำดับนี้แล้วเนี่ย น้ำผึ้งก็จะให้คุณดังตฤณได้มีโอกาสคืนกำไร ก็ได้แก่การแจกหนังสือให้กับผู้โชคดีค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    มีทั้งหมดอยู่ ห้าชุดนะฮะ

    คุณน้ำผึ้ง :
    มีห้าชุดนะคะคือจะได้ไปทั้งหมดเลย

    คุณดังตฤณ :
    คือชุดนึงนี่เป็นหลายเล่มเลยนะครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    หลายเล่มเลยนะคะมีทั้ง หืมม์ลิสต์ยาวมากเลยนะคะ มีทั้ เสียดายคนตายไม่ได้อาน กรรมพยากรณ์ตอนชนะกรรม กรรมพยากรณ์ตอนเลือกเกิดใหม่ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวเล่ม 1-5 แล้วก็วิปัสสณานุบาล วาทะดังตฤณฉบับชวนคิด วาทะดังตฤณฉบับความรักหลากสี และมีชีวิตที่คิดไม่ถึงนะคะ ก็เชิญคุณดังตฤณจับรางวัลแก่ผู้โชคดีห้าท่านนะคะ แหม มาวันนี้นี่อิจฉานะคะได้ของดีกลับบ้านไปฟรีๆด้วย

    คุณดังตฤณ :
    เดี๋ยวคุณน้ำผึ้งก็ได้

    คุณน้ำผึ้ง :
    ขอบพระคุณค่ะ ลำดับที่หนึ่งนะคะ คุณ สุเมธ เอื้อมพูลสวัสดิ์ ค่ะ อยู่ในนี้มั้ยคะ

    - เสียงปรบมือ -

    คุณน้ำผึ้ง :
    คุณสุเมธคะ ถ้าคุณสุเมธเข้าห้องน้ำอยู่ จะกลายเป็นของคุณณัฐริกา นะคะ โอเค งั้นเดี๋ยววางไว้ก่อนนะค้า ลำดับที่สองค่า คุณทรงศิรินุช ตันติเวช ค่ะ อ้ออยู่นั่นเองค่ะ ลำดับต่อมานะคะ คุณชิดชนก สินเจริญชัย ค่ะ คุณ นิธิณา ศรีประเสริฐค่ะ และ นางสาวนันทิพร สพเสน นะคะ -ชื่ออาจจะพลาด- ไม่ทราบว่าคุณสุเมธมารึยังคะ อ่อ เป็นหัวหน้าหรือคะ ให้ลูกน้องมารับแทนก็ได้คะ เป็นลูกน้องที่ดีมากเลยนะคะ พิทักษ์สิทธิ์ให้เจ้านาย ขอบพระคุณค่ะ มาถึงคำถาม คำถามค่ะคุณผู้ชม คำถามมาถึงรึยังคะ? อ๋อมีคนยื่นกระดาษมาแล้วนะคะ ดิฉัน ขออนุญาติเดินลงไปสอบถามจากปากเลยก็ได้นะคะ ถ้าใครต้องการถามสดเนี่ย ยกมือเลยก็ได้นะคะ คุณพี่ชื่ออะไรคะ ชื่อบีค่ะ พี่ต้องการจะถามอะไรคะ

    ผู้ถาม :
    ต้องยืนมั้ยคะ......... สวัสดีค่ะ อยากจะถามอาจารย์ว่าคำเชื่อในพระธรรมคำสอน คือความเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนของตัวเองเนี่ยการที่ตัวเองได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมเนี่ย เอ่อ เราควรวางตัวยังไงไม่ให้เป็นการหลงตัวเองคะ ขอบคุณค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    ความหลงตัวเองเนี่ย มันเป็นโมหะชนิดหนึ่ง นะครับมันเป็นรูปแบบนึงที่เราจะเผลอตัวแล้วก็ปล่อยให้กิเลสเนี่ยมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้องพูดแบบนี้นะว่าโมหะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ควมหลงตัวก็เหมือนกัน ถ้าหากเราได้มีอะไรขึ้นมานิดนึง ธรรมชาติจะทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า เราดีเราเด่นเราเก่งนะฮะ เอ่ออย่างบางคนเนี่ย เอาถ้า ย้อนนึกไปถึงสมัยเด็กๆเลยของทุกคนก็แล้วกัน เราแค่แก้ปัญหาเลขอะไรได้ซักข้อหนึ่ง นะที่เรารู้สึกว่ายาก เราก็รู้สึกภูมิใจละ รู้สึกว่าตรงนั้นเนี่ยมันเป็นความฉลาดที่สุดซึ่งอาจจะมีอะไรที่เป็นรูปธรรมยืนยันอยู่ในห้อง ในห้องเรียนเนี่ย เพื่อนร่วมชั้น เค้าแก้ปัญหากันไม่ได้แต่เราแก้ได้อยู่คนเดียวเราก็รู้สึกว่าเราเก่งที่สุด แต่ทีนี้ถ้า เปรียบเทียบได้ไปเจอโลกที่กว้างขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าคนที่แก้ปัญหาข้อเดียวกันได้น่ะยังมีอีกมาก ความหลงตัวมันก็จะลดลงนี่เป็น เรื่องของระดับขั้นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้าโลกว้างขึ้นความหลงตัวมันก็ลดลง แต่ทีนี้ถ้าหากว่าจะให้หลงตัวน้อยที่สุดหรือไม่หลงตัวเลยมีอยู่ทางเดียวครับ คุณต้องเป็นของจริงในเส้นทางของธรรมะ ธรรมะคือการกำจัดทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ ออกไปจากจิตใจ หรือท่ายังกำจัดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดให้ลกลงมาเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสิ่งที่จะเป็นเครื่องวัด เครื่องชี้ว่า คุณประสบความสำเร็จในทางธรรมะได้จริง มันไม่ใช่เรื่องที่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปสอนคนอื่นเค้าไว้ยังไง แต่คุณสามารถที่จะทำให้ตัวเองมี โลภะ โทสะ โมหะน้อยลงได้อย่างไร แค่ไหน ถ้าหาก พูดง่ายๆ ข้อกำหนดก็คือ ถ้าหากคุณแม่นในเรื่องของธรรมะว่าเป็นไปเพื่อที่จะลด เพื่อที่จะกำจัด โลภะ โทสะ โมหะ อันนั้นแหละครับทิศทางจิตของคุณ ทิศทางในการใช้ชีวิตของคุณมันจะเป็นไปเพื่อการลดความหลงตัวเอง ไปอีก

    คุณน้ำผึ้ง :
    สำหรับคำถามนี้นะคะ แหมก็ ทันสถานการบ้านเมืองมากเลยค่ะ ในทรรศนคติของคุณดังตฤณ คิดอย่างไรกับเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้

    คุณดังตฤณ :
    ผมขอตัวก่อนได้มั้ย

    - เสียงฮา จากผู้ฟัง -

    คุณน้ำผึ้ง :
    แล้วควรทำใจอย่างไรดีคะ

    คุณดังตฤณ :
    อ่า คือ อันนี้พูดจริงๆนะครับ ผมอยากจะพูดอย่างนี้นะครับว่า ธรรมะไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จริงๆแล้วมีคนชวนให้เขียนคอลัมน์ธรรมะกับการเมือง นะฮะ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอยากเขียนเหมือนกัน ส่วนหนึ่งมติชนนะ หนังสือพิมพ์มติชนไม่รู้วันนี้มาหรือเปล่า แต่จริงๆแล้วบอกตรงๆอยากเขียนฮะ แต่ถ้าเราพูดเรื่องการเมือง โดยที่จุดยืนของเรา ภาพของเราอยู่ฝ่ายธรรมะเนี่ยนะฮะ มันจะสับสน ธรรมะกับการเมืองไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยวกัน เพราะคนจะแยกไม่ออกว่าเราฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือว่าเรากำลังจะทำอะไรกันแน่นะฮะ จะเอาไงแน่ว่าจะออกจากโลกหรือจะอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นสำหรับคำตอบในคำถามนี้นะครับขออนุญาติก่อนครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    ขอถามส่วนตัวได้มั้ยคะ งั้นหมายความว่าในการเมืองเนี่ย ก็ไม่สามารถมีธรรมะที่แท้จริงได้ใช่มั้ยคะ

    คุณดังตฤณ :
    คือขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองธรรมะในแง่ไหน นะครับถ้าเรามองธรรมะเป็นเรื่องของความถูกต้อง เป็นเรื่องของความยุติธรรม เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นเรื่องของความสะอาดสว่าง มันไม่เกี่ยวกับการเมืองแน่นอน แต่ถ้าหากว่าเรามองนิยามของธรรมะเป็นกลางๆว่าอะไรๆมันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วจะหายไปเมื่อเหตุปัจจัยดับนะฮะ ตรงนั้นการเมืองเกี่ยวกับธรรมะครับ เพราะการเมืองก็เป็นธรรมะชนิดนึง ที่อะไรๆมันเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีเหตุจริงๆ ที่มันมีอะไรที่มันเป็นผลร้ายขึ้นมาได้ก็มีเหตุร้าย ถ้าหากว่าเหตุที่มันเป็นเหตุร้ายเนี่ยหมดไป อะไรๆที่เหลือมันก็เป็นผลดีแต่ทุกคนเนี่ย ทุกคนในโลกเลยคือในฐานะประชาชนที่อยู่ในประเทศต่างๆเนี่ย ต่างคาดหวังอะไรที่มันไม่มีเหตุมีผล คือจะเอาอะไรแต่ที่มันไม่มีเหตุมีผล คือจะมองแต่ภาพอย่างเดียว แล้วพอภาพมันไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด มันก็เกิดความรู้สึกผิดหวัง มันก็เกิดความรู้สึก อะไรอ่ะ ภาษาอังกฤษเค้าเรียก weeding อ่ะครับ มันเหมือนันบางคนไปตั้งความหวังไว้แบบนึงแล้วปรากฏว่าสิ่งที่ตัวเองตั้งความหวังไว้มันไม่ใช่ แล้วรู้สึกเจ็บปวด จากรักก็เป็นเกลียด หรือเกลียดมัน weeding ไปก็เกลียดเข้าไปใหญ่ อันนั้นเนี่ยสรุปไปแล้วมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ต้องการอะไรที่มันไม่ค่อยมีเหตุผล ไม่ต้องสมเหตุ สมผล แต่ต้องการอะไรที่จะได้มาจากตัวเองมากกว่า

    คุณน้ำผึ้ง :
    คือขนาดป๋าเปรมมาพูดก็น่าจะมีเหตุมีผลที่หยุดได้แล้วนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    คือในเรื่องของการหยุดหรือไม่หยุดเนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครพูดหรือไม่พูด แต่มันอยู่ที่ว่าเหตุปัจจัยเนี่ยมันก่อมันกวนขึ้นมารึป่าว ถ้ามีเหตุปัจจัยก่อตัวไม่หยุดเนี่ยมันก็ยังไม่หยุด แต่ถ้าเหตุปัจจัยมันยังไม่พอมันก็ยังไม่หยุด นั่นคือแง่ของธรรมะในการเมือง

    คุณน้ำผึ้ง :
    ค่ะ อีกคำถามนึงนะคะ อยากทราบว่าอาจารย์อยากแนะนำให้คุณทักษิน อ่านหนังสือเล่มไหนของอาจารย์คะ

    - เสียงฮือฮา จากผู้ฟัง -

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ อันนี้ อันนี้พูดแบบส่วนตัว แล้วไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองนะครับ คือคุณทักษิณรับรู้ว่ามีหนังสือเสียดายคนตายไม่ได้อ่านนะ คุณหญิงอ้อก็เคยซื้อจาก DMG ไปบริจาคด้วย 100 เล่ม นะฮะ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เคยซื้อไปบริจาคแล้วก็บริจาคหมดเลยรึป่าวคะ

    - เสียงฮา จากผู้ฟัง -

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ เราต้องมองนะคืออย่างหนังสือเนี่ยจริงๆแล้วมันไม่ใช่อะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงคนได้ทุกคน หนังสือไม่ใช่อะไรที่ดีที่สุดสำหรับคนทุกคน แต่หนังสือเนี่ยเหมือนกับ หนังสือแต่ละเล่มเนี่ยรอจังหวะด้วย ว่าใครจะได้มาอ่านเมื่อไหร่และบางทีหนังสือเล่มนั้นเนี่ย เอ่อ ก็เคยมีเนื้อหาเหมือนกับหนังสือที่เคยมีอยู่แล้วนะครับอย่างเช่นในพระไตรปิฎกเนี่ยมีอยู่แล้วคุกคำในหนังสือของผมเนี่ย โดยตรงหรือโดยอ้อมก็มาจากพระไตรปิฏกทั้งนั้น และยิ่งถ้าใครได้ศึกษาธรรมะจากครูบาอาจารย์ หรือว่าศึกษาธรรมะจากในพระไตรปิฎกโดยตรง จนเกิดความรู้สึกเห็นดีเห็นชอบแล้ว คุณก็อย่าลืมอ่านหนังสือของผม ไม่งั้นสิ่งที่ผมจะแนะนำ ไม่ว่าใครก็ตามนะฮะ ถ้าอยากให้อ่านจริงๆก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสนะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของผม หรือว่าหนังสือดั้งเดิมคือพระไตรปิฎกหรือหนังสือของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่มีความถูกความตรงตามพระไตรปิฎก (เราเปลี่ยนแนวกันบ้างนะคะ ผมเป็นคนโชคไม่ดีในเรื่องจับรางวัลครับ -ฮา- จับรางวัลทีไรไม่เคยได้เลยไม่ทราบว่าผมมีกรรมเก่าอะไรครับ -ฮา- แล้วจะเอาชนะได้อย่างไรครับ) บาง บางอย่างเนี่ยมันไม่ใช่ว่าเราไปทำกรรมอะไรมาบางทีมันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป บางทีเนี่ยคำตอบมันคือว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรมาต่างหาก นะครับ ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรมาต่างหาก เปลี่ยนมุมมองนิดนึงนะในเรื่องของโชคดีเนี่ย คือไม่ใช่ว่าเราเคยไปทำกรรมอะไรมาถึงไม่โชคดีถึงไม่ได้รางวัล แต่ยังไม่เคยได้ทำกรรมที่ทำให้ได้โชคดีได้รางวัลต่างหาก การที่จะให้ได้ลาภลอยเนี่ยมีอยู่หลายอย่างนะ อย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเวลาที่เราเดินทางไปไหนเนี่ยใจเราเป็นบุญอยู่ตลอดเวลาอยากทำทานอยู่ตลอดเวลา เจอก็ให้ตังค์สมมติว่าเจอแล้ว คือไท่ได้ตั้งใจไว้ก่อน ไม่มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ๆทำบางทีโดยไม่คิดโดยไม่ตั้งใจโดยไม่ไตร่ตรองทั้งสิ้นนั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้ได้ เพราะว่าการที่คุณไม่เจอคนที่เค้าไม่ได้คาดหมายว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากคุณ นะ แต่คุณไปช่วยเหลือเค้าตรงนั้นเนี่ยมันก็คือการที่ เค้าได้ลาภลอยใช่มั้ยฮะ พูดง่ายๆคือ ลาภลอย ผู้ให้ลาภลอยย่อมได้ลาภลอยตอบแทนกลับคืนมา ผู้ให้โดยที่ผู้อื่นไม่ทันคาดหมายย่อมได้รับโดยไม่ทันคาดหมายเช่นกัน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ที่นี้ต่อมาเป็นคำถามวันรุ่นยุคไอทีเลยนะคะ เมื่อไหร่ถึงจะตอบคำถามให้ผู้อ่านที่เขียนคำถามทางอินเตอร์เน็ตบ้างคะ

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ จริงๆแล้วในจดหมายข่าว เนี่ยนะฮะ ผมก็บอกไปแล้วนะครับ แต่จะเป็นคือ หลายๆท่านนะครับคงเพิ่งมาช่วงหลังๆนะ จริงๆแล้วเนี่ยมันมีคำถามตกค้างอยู่มาก ทุกท่านนะครับคือจริงๆแล้วผมรู้สึกผิดมาก ไม่ได้รู้สึกสบายใจที่มีคำถามตกค้างไว้เยอะๆแต่ว่า คือความจริงมันสุดวิสัยนะเพราะว่ามันเกินกำลังของเรา แต่ในทันทีที่ผมสามารถเคลียคำถามเก่าๆได้หมดนะตอบคำถามเก่าๆได้หมดโอเคตอนนั้นผมเปิดรับคำถามแน่นอนครับ

    - การบันทึกเสียงติดขัดช่วงสั้นๆ -

    คุณน้ำผึ้ง :
    ที่อาจารย์พูดก็ถูกนะคะเรื่องธรรมกับการเมืองแต่ถ้ามีใครทำผิดอย่างเห็นๆ แล้วถ้าทุกคนดูดายกันหมด คงจะแย่มากเลยนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    อัน อันนี้ไม่ใช่ในเรื่องของเมื่อกี้ที่ผมพูดไป ไม่ใช่บอกให้ทุกคนดูดาย ไม่ใช่นะฮะ ผมพูดว่าในขณะนี้ที่ผมนั่งอยู่บนเวทีนี้ ผมนั่งอยู่ในฐานะของคนที่เขียนหนังสือธรรมะ ไม่ได้เขียนหนังสือการเมือง นะครับ เอ่อ จริงๆก็เวลาพูดกับเพื่อน เวลาพูดกับที่บ้านผมก็พูดเรื่องการเมืองเหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดเอาแพ้เอาชนะแต่ผมพูดตามเหตุผลว่าใครทำอะไรบ้างแล้วก็เมื่อกี้ที่พูดไปก็บอกไว้แล้วอย่างชัดเจนว่าถ้าเราจะเอาการเมืองไปโยงกับธรรมะจริงๆเราต้องมองนะฮะ ข้ามเรื่องความผิดความถูกไปก่อน จะมองให้เห็นไม่ว่าจะการเมืองการบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ มันมีเหตุผลของมันอยู่ถ้ามีเหตุผลที่สมควร มันก็จะมีอะไรเกิดขึ้นตามเหตุที่สมควรนั้น นะครับถ้าหากยังไม่มีเหตุที่สมควรมันก็ยังไม่มีผลอะไรที่สอดคล้องกับเหตุอันนั้นนะครับ พูดง่ายๆก็คือ อะไรจะเกิดขึ้นมันต้องมีเหตุ สิ่งที่ผมพูดคือตรงนั้น ส่วนเรื่องหน้าที่ของราษฎรหรือว่าหน้าที่ป้องกันของทุกคนที่จะรับผิดชอบบ้านเมือง คือนั่ง นั่งในอีกฐานะนึงจริงๆนะผมบอกตรงๆนะครับว่า มีคนถามกันเยอะเหมือนกันมีคนอยากให้ผมออกไปพูดเรื่องการเมือง แต่ว่าเรื่องการเมืองกับผมเนี่ย ไม่ใช่สิ่งที่มาด้วยกัน ผมไม่มีความสนใจในเรื่องการเมืองมาตั้งแต่เริ่ม คือไม่ใช่เพียง ไม่ใช่คนที่มีความสามารถแบบพี่ประกิตตอนนี้นั่งอยู่ที่นี้ด้วยคือคุณ...(เสียงไม่ชัด)......ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย นะผมกราบสวัสดีครับพี่ ก็จริงๆแล้วหากให้พี่ประกิตมานั่งพูดเนี่ยผมก็ว่าพี่เนี่ยก็คงจะพูดอะไรที่ถูกใจบางส่วนและไม่ถูกใจอยู่บางส่วน ผมตอบอะไรไปในเรื่องของการเมืองเนี่ย มันจะมีฝ่ายหนึ่งคิดว่าถูกเห็นด้วย อีกฝ่ายหนึ่งคิดว่าผิดไม่เห็นด้วย อยู่เสมอเหมือนกับพี่ประกิตเนี่ยแกก็เคยเล่าให้ผมฟังว่าบางทีก็ลำบากในการเขียนเรื่องของการเมืองเนี่ยเพราะทุกฝ่ายจะพยายามเข้าหาพี่ประกิตและก็ให้เขียนเกี่ยวกับตัวเอง อันนี้คือความจริง เวลาผมพูดในสิ่งที่ถูกใจคือคุณตั้งอยู่ในใจแล้วว่าอะไรถูกอะไรผิดเนี่ย ถ้าผมพูดตรงกับสิ่งที่คุณคิดว่าถูกคุณก็จะพอใจผมและเห็นด้วยกับผม แต่ถ้าผมคิดอีกอย่างหนึ่งหรือกระทั่งมองไปในอีกมุมหนึ่ง ในอีกมิติหนึ่งที่เป็นเรื่องของเหตุและผมล้วนๆเลยไม่เกี่ยวกับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ตรงนั้นคุณจะเกิดความทุรนทุรายขึ้นมาละว่า เอ๊ะ ทำไมผมไม่เห็นเหมือนคุณล่ะ มันผิดอยู่ชัดๆอ่ะนะฮะ บางที เอ่อ ไอเรื่องผิดเรื่องถูกเนี่ย มันโยงเข้ากับความถูกใจของเราด้วย ถูกใจหรือว่าผิดใจของเราด้วย ตรงนี้เนี่ยที่ทำให้ผมรู้สึกห่างไกลจากการเมือง เพราะว่าธรรมชาตินิสัยของผม คือ อันนี้ตั้งแต่เด็กๆเลยคือจะไม่เข้าข้างใคร คือไม่เข้าข้าง คือคนที่ผมรักผมชอบเนี่ยแล้วรู้ว่าทำผิดเนี่ยผมเห็นจริงๆว่าเค้าทำผิดเนี่ย แต่ในธรรมชาติของคนทั่วไปไม่ใช่อย่างนั้น คือเวลาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า รักคนนี้คนนี้ทำถูกหมด นะฮะ เหมือนกันเช่นเวลาผู้ปกครองประเทศที่กำลังถูกใจทุกอย่างดีหมด แต่พอพลิกตั้งความหมายไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ไปเป็นอีกด้านหนึ่งก็เกิดความต่อต้าน อย่างรุนแรง เนี่ยคือธรรมชาตินิสัยขอมนุษย์ เป็นธรรมชาติของการเมืองด้วย การเมืองเป็นแบบนี้และผมก็ไม่ชอบ นะครับ ฉะนั้น เพราะฉะนั้น สรุปก็คือว่าผมไม่มีความคิดเห็นนะครับว่า ใครไม่ผิด ใครไม่ถูก ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้บอกว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ควร.......ในอีกฐานะหนึ่ง ผมไปเลือกตั้งด้วย ผมคุยเรื่องการเมืองด้วย แต่ไม่ได้คุยด้วยในฐานะคนที่เขียนหนังสือธรรมะ นะครับเข้าใจรึยังครับ

    คุณน้ำผึ้ง :
    อีกคำถามหนึ่งนะคะก็เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเหมือนกันค่ะ แต่ว่าคราวนี้โยงมาถึงหนังสือค่ะ เขียนมาว่า คนที่ถูกคนอื่นขับไล่ด้วยความชิงชัง คนที่เป็นฝ่ายขับไล่ด้วยความโกรธแค้น จะได้รับผลอย่างไรในเกมกรรม มีวงเล็บด้วยนะคะว่า หวังว่าคงตอบได้และไม่ลำบากในมากนะคะ

    คุณดังตฤณ :
    ไม่ลำบากหรอกครับเพราะพูดถึงเกมกรรม ผมพูดแบบเป็นกลางๆ

    คุณน้ำผึ้ง :
    แบบคนที่ขับไล่เค้าอ่ะค่ะ จะมีผลกรรมอย่างไร

    คุณดังตฤณ :
    เอาๆ พูดถึงคนที่ถูกขับไล่ก่อนนอนไม่เป็นสุขแน่นอน

    คุณน้ำผึ้ง :
    ใช่ไม่สบายด้วยค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    มันเป็นทุกข์แน่นอน เอ่อ ทีนี้ถามว่าที่เค้านอนไม่เป็นสุขนั้นน่ะ มันเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้งอย่างไร้ความยุติธรรมรึป่าว หรือว่ามันเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลแล้ว นะฮะ คือเราต้องตัดสินจากจุดนี้ ถ้าหากว่าไม่สมเหตุสมผล กลั่นแกล้งแบบเป็นขั้วตรงข้ามกัน สิ่งที่จะได้รับตอบแทน ขอพูดเป็นคำใหญ่ๆกว้างๆคือจะต้องตกอยู่ในภัยเวรอันนี้เป็นกรรมที่พระพุทะเจ้าตรัสผู้ผูกเวรย่อมตกอยู่ภายใต้ภัยเวร หนีภัยเวรไม่พ้น คำว่าหนีจากภัยเวรไม่พ้นเนี้ยมันมีภาพกว้างมากนะครับ ถ้าจะให้พูดอย่างจำเพาะเจาะจงเนี่ยอาจจะเห็นภาพเลย อย่างเกิดมาเนี่ย มีข้างบ้านชอบเปิดเพลงเสียงดังหนวกหู หรือว่ามีข้างบ้านเนี้ยชอบใช้ยาฉีดต้นไม้ทำให้เราแพ้ แพ้ผวหนังแพ้ทางเดินหายใจแบบนี้อะไรต่างๆหรือไปทำงานก็เจอเจ้านายกลั่นแกล้ง เจอเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้งปัดขา เนี่ยเป็นภัยเวรทั้งนั้นเลย ถ้าตั้งใจกลั่นแกล้งกันด้วยความประทุษร้ายจะต้องตกอยู่ภายใต้ภัยเวรอย่างแน่นอน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และหนักหน่วงด้วย ผลจะหนักหน่วงด้วย แต่ถ้าเป็นในกรณีที่ เป็นเรื่องต่อต้าน เป็นเรื่องประท้วง เป็นเรื่องขับไล่ เพราะเห็นเหตุผลด้วยใจที่เป็นธรรมว่าอันนี้เป็นสิ่งสมควร อันนั้นก็จะเป็นการ เค้าเรียกว่า ใช้สิทธิใช้อำนาจของประชาชน ซึ่งมันมีอยู่ ถามว่าเป็นบุญเป็นบาปมั้ย คุณก็จะต้องดูตรงที่ว่าในขณะนั้นจิตเจือด้วยโทสะหรือเปล่า ถ้าจิตไม่เจืออยู่ด้วยโทสะจำไว้นะครับการกระทำทุกการกระทำตรงนั้นจะเป็นบุญอยู่เสมอ แต่ถ้าจิตตรงนั้นเจือด้วยโทสะ เจือด้วยความโกรธแค้น และความโกรธแค้นเนี่ยมันมีแยกย่อยออกไปได้อีกนะครับว่า เป็นความโกรธแค้นที่มีเหตุผมหรือความโกรธแค้นที่ไม่มีเหตุผล ถ้าหากว่าเป็นความโกรธแค้นที่ไม่มีเหตุผลอย่างชัดเจนคือรู้ว่าเกลียด รู้แต่ว่าเป็นพวกอยู่ข้างกัน เห็นภาพแค่นี้แล้วไม่ดีตัดสินทันทีว่านี้เลว เราจะต้องเกลียดมัน ทุกอย่างที่มันทำจะต้องเลวร้ายเสมอ อันนี้เนี้ยตกอยู่ใต้ภัยเวรแน่นอน วงจรของภัยเวรจะไม่ห่างจากตัวคุณ แต่ถ้าหากว่าสมมติคุณ อันนี้ผมขอยกตัวอย่างให้มันไกลอีกนิดนึงนะ ให้ไกลเรื่องการเมืองไปนิดนึง สมมติว่า คุณเห็นคุณครูของคุณเนี่ยทำไม่ถูกต้อง พูดไม่ถูก สอนไม่ถูก คุณไปกระซิบบอกแล้วว่าตรงนี้มันผิดนะครับอาจารย์ ตรงนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ มันควรเป็นอย่างนี้ๆ เราก็อ้างตำรามาแล้วครูก็ไม่เชื่อ คุณก็ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนซึ่งคุณก็เห็นว่าเป็นโทษ ถ้าหากว่าสอนผิดไปเรื่อยๆเนี่ย มันไม่ใช่ตัวคุณเท่านั้นหรือในห้องนั้น เท่านั้นที่ได้รับโทษจากการสอนผิดของครูคุณจึงรวมตัวไปประท้วง อย่างนี้เนี้ยคือใจมันตั้งต้นขึ้นมามันตั้งต้นขึ้นมาด้วยเห็นประโยชน์ มันไม่ได้เจือด้วยโทสะ มันไม่ได้เกลียดครู ยังมีความนับถือครูอยู่ อันนี้ก็คือคุณได้บุญ ในส่วนของ ในส่วนของจิตของคุณ แต่โอเคเวลาคุณพูดเพื่อไปประท้วงครูเนี่ยครูก็อาจจะโกรธคุณ ครูก็อาจจะผูกใจเจ็บกับคุณ ที่คุณไม่น่าพูดอย่างนี้ แต่บุญเนี่ยบางครั้งมันก่อเวรได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น เราพิจารณาถึงโทษแล้ว ถึงโทษถ้าเราไม่ทำแล้ว อ่ะผมพูดเป็นกลางๆที่มันเป็นไปได้แล้วกัน คุณเลือกศีลข้อที่ถือได้ดี จริงๆ ถือได้ดีที่สุดแล้วก็ยึดมั่นในศีลข้อนั้นพร้อมกับอธิษฐานด้วยว่า ถ้ามี ถ้าศีล จะทำให้การรักษาศีล การงดเว้น ไม่ทำผิดจะทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ขอให้มีชีวิตที่ดีขึ้นในทางที่จะทำให้รักษาศีลครบทุกข้อแล้วกัน ส่วนศีลแปดนะครับถ้าหากว่าคุณรักษาไม่ได้อย่าไปตั้งใจทำเพราะมันไม่มีประโยชน์คุณต้องเข้าใจก่อนว่าเรื่องของศีลแปดเป็นการถอนตัวออกจากหล่มของกาม เมื่อกี้เราไม่ได้พูดกันอันที่จริง เอ่อ ในหนังสือผมก็เขียนนะครับว่า ต้นเหตุที่ทำให้เราอยู่ในเกมกรรม ไม่หลุดพ้นไปได้ซักทีเนี่ยก็เพราะว่าติดใจ สิ่งที่เกมกรรมัดคล้องใจไว้ แล้วทีนี้ถ้าเราจะถอนตัวออกจากเกมกรรม มันก็คือต้องละ ต้องวาง ต้องค่อยๆที่จะถอนความติดใจจากสิ่งล่อใจทั้งหลายซึ่งก็ได้แก่กาม ศีลแปดจึงเป็นศีลสำหรับผู้ที่เริ่มคิดว่าจะถอนตัวออกจากเกมกรรมไม่ใช่ผู้ที่คิดจะยังอยู่ในเกมกรรมไปเรื่อยๆแล้วก็ติดใจในเหยื่อล่อที่เกมกรรมให้มาเรื่อยๆ นะครับ คุณต้องแม่นยำตั้งแต่จุดเริ่มต้น ตรงนี้ว่า คุณถือศีลแปดไปเพื่อที่จะ หยุด ถอนตัว เพื่อที่จะทำต้นเหตุของทุกข์เบาบางลง เพื่อทำให้กายและใจของคุณมีความสะอาดพร้อมพอที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงขึ้นไปเช่น นั่งสมาธิ หรือว่าเดินจงกรม หรือว่ามีสติ เจริญสติรู้เห็นสภาวะของใจอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ถ้ายิ่งคุณมีความติดใจในกาม มีความติดใจในเหยื่อล่อที่เกมกรรมให้มามากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะคิดนั่งสมาธิ ปลีกวิเวกมันก็น้อยลง แต่ถ้าหากว่าคุณเข้าใจพ้อยท์นี้นะครับว่า เอ้อ การถือศีลแปดมันจะทำให้คุณนั่งสมาธิได้ดีขึ้น เดินจงกรมได้อย่างมีสติมากขึ้น แล้วเจริญสติในระหว่างมีชีวิต ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ถือศีลแปดเถอะครับ แล้วเส้นทางชีวิตของคุณมันจะเปิดทางให้เอง มันจะเปิดโอกาสให้เอง คือ เค้าจะมาในรูปแบบนี้จริงๆนะเกมกรรม ถ้าคุณใส่เหตุปัจจัยอะไรเข้าไปอย่างถูกต้องผลจะออกมาถูกต้องเสมอ อยู่ๆมาบอกว่าคุณอยากจะถือศีลแปดแต่ยังไม่สามารถทำได้เพราะ เพราะ เพราะ มีเหตุผลเยอะแยะ แต่ลืมเหตุผลสำคัญสูงสุดคือทำไมถึงถือศีลแปด ตรงนี้ก็จบแล้วนะครับ คุณจะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนนะครับว่าจะถือศีลแปดไปเพราะอะไร แล้วถ้ามีเหตุผลที่บอกตัวเองได้ชัดเจนแล้ว คุณต้องเลือกจังหวะที่เหมาะด้วย

    คุณน้ำผึ้ง :
    อันนี้ถัดมาเป็นเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยนะคะ ซึ่งดิฉันก็อยากทราบเหมือนกันค่ะ ทำไมคุณตุลย์ถึงยังใช้ชีวิตโสดไม่ใช้ชีวิตคู่ล่ะคะ อ๊ะ เป็นผู้ชายซะด้วย

    คุณดังตฤณ :
    คือจริงๆแล้ผมใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่า เอ่อ จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ มีเพื่อนเยอะแยะเลยนะฮะ วันๆเจอคนเยอะแยะเลย ในอินเตอร์เน็ตหรือมีคนมาหาที่บ้านอย่างนึงนะฮะ เอ่อ ความรู้สึกเนี่ยมันไม่ต่างไปหรอกนะฮะ ที่จะมีคู่ไม่มีคู่ มีคู่เนี่ยมีไปทำไมมีให้หายเหงาเหรอ คือถ้ามันไม่เหงามันจะมีไปทำไมล่ะ ตรงเนี้ยมันเป็นภาระเปล่าๆ

    คุณน้ำผึ้ง :
    จริงค่ะ

    คุณดังตฤณ :
    หึหึหึ

    คุณน้ำผึ้ง :
    เอ่อ เนื่องจากเวลาจำกัดอ่ะนะคะก็มีอีกหลายคำถามมากเลยแต่ว่า คงจะถามกันได้ไม่หมดอ่ะนะคะ ถ้าใครมีคนถามอะไรก็เขียนติดต่อได้ทางอีเมล ได้ใช่มั้ยคะ

    คุณดังตฤณ :
    เอ่อ มีคำถามนึงที่ถามว่าเกมกรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร นะครับเราตกอยู่ในเกมกรรมนี้ได้ยังไง เอ่อ ผมก็ถือว่านี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้วกัน ก็ เกมกรรมคือธรรมชาติ คือธรรมชาติทั้งหมดเลย ที่ปรากฏมีปรากฏเป็นอยู่ ถ้าเราถามว่ามันเริ่มขึ้นมาจากเมื่อไหร่ เริ่มขึ้นมาจากตรงไหนเราจะไม่ได้คำตอบ เพราะการเริ่มแบบนั้นมันไม่มี แต่ถ้าหากว่า นี่เป็นคำตอบของพระพุทธเจ้าเลยนะคือ ความไม่รู้ไงฮะ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเล่นเกมกรรมอยู่ แล้วมันจะไปรู้ได้อย่างไร เห็นว่าหยุดเกมกรรมได้อย่างไร นะฮะ ทีนี้ ถ้าหากไม่รู้ว่าจะหยุดเกมกรรมอย่างไร เกมกรรมก็มีไปเรื่อยๆ ถามว่ามันมีจุดเริ่มต้นมั้ย ถ้าหากว่ามันมีจุดเริ่มต้นจะไปขัดแย้งกับความจริงในข้อหนึ่งที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกอย่างจะต้องมีเหตุถึงจะมีผล ถ้ามีชาติแรกจริงๆคุณนึกดูสิว่าผมจะเป็นอะไร อืม จะเป็นสัตว์หน้าตายังไง จะเป็นมนุษย์หน้าตายังไง เอาอะไรมาเป็นเหตุผลให้มีหน้าตาอย่างนั้น จะเอาเหตุผลอะไรให้มาเป็นสัตว์อย่างนั้น เป็นเทวดาอย่างนั้น ชั้นไหนกลุ่มไหนจะต้องไปเกิดลพบากยากแค้นในนรก ขุมไหนอะไรต่างๆ มันมีเหตุผลซะที่ไนถ้ามีชาติแรก มันแปลว่าชาติแรกไม่มี อันนี้ฟังดูมันเหมือนจะเป็นสัจธรรม ที่เกินจินตนาการ แต่มีเค้ายกตัวอย่างไว้บ่อยๆนะครับ ก็คือคุณดูแก้วน้ำแก้วหนึ่งนะครับมันมีก้นแก้ว ก้นแก้วเนี่ย ผมยกขึ้นมา ถือโอกาสดื่มด้วย ก้นแก้วเนี่ยมันเป็นวงกลมคุณบอกได้ว่ามันเป็นวงกลม เวลาเค้าหล่อขึ้นมาเนี่ย เค้าหล่อขึ้นมาทีเดียวนะครับ เป็น เป็นแก้วอย่างนี้ แต่ถ้าหากผม คุณเคยสงสัยมั้ย ว่าวงกลมนี้เนี่ยมันมีจุดเริ่มต้นตรงไหน คุณจะไม่สามารถจะตอบตัวเองได้ เหมือนกันครับในธรรมชาติมีตัวอย่างมากกว่านี้อีก ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน ก่อนจะเป็นไก่ได้มันต้องมีไข่ แล้วไก่ตัวแรกของโลกมันอยู่ที่ไหน ถ้าคุณเชื่อตามลัทธิของศาสนาอื่นมันจะมีจุดเริ่มต้น แบบที่เป็น เอ่อ จะเรียกว่าอะไร เอ่อ คือ เป็นอะไรที่มันไม่ต้องมีข้อเปรียบเทียบเท่านั้นเอง...แต่ในธรรมชาติแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เราอยู่กับความจริงที่พบเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลเสมอ และมีปัจจัย มีแรงดึงดูด มีองค์ประกอบเสมอ ธรรมชาติของจักรวาลในโลก และความมีชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมีองค์ประกอบมีปัจจัยและมรต้นเหตุมีที่มาที่ไปถ้าหากว่าคุณพูดถึงชาติแรกได้ คุณพูดถึงจุดเริ่มต้นของเกมกรรมได้ แปลว่าความจริงข้อนี้มันผิดแล้วนะครับ ดังนั้นคำตอบก็คือเกมกรรม เกิดขึ้นได้อย่างไรอย่าไปคำนวณเลย แต่ว่าเกมกรรมจะดำเนินต่อไปอย่างไรอันนั้นแหละตอบได้เลย เกมกรรมดำเนินต่อไปได้เพราะเราไม่รู้และเรายังไม่หาวิธีหยุดมันหรือหาแล้วหาไม่เจอ เรา....ขึ้นมาไม่ใช่ของง่ายๆเรากำลังตั้งอยู่ในยุคที่พระพุทธศาสนายังตั้งอยู่ วิธีที่จะออกจากเกมกรรมยังมีอยู่ วิธีที่จะพ้นทุกข์จริงๆได้อย่างเด็ดขาดและก็คิดหลุดได้ได้ปัจจุบันเนี่ย ในชีวิตปัจจุบันเนี่ย ยังมีอยู่ ก็ขอให้ได้ศึกษาและก็ทำจริงด้วยแล้วกัน

    คุณน้ำผึ้ง :
    อาจารย์ก็ได้ตอบคำถามที่คิดว่า ค้างคาใจหลายๆท่านแล้วนะคะ ถ้าใครที่ยังมีคำถามสงสัยเนี่ย อาจารย์ก็แนะนำให้อ่านหนังสือก่อน

    คุณดังตฤณ :
    บางทีคำถามเหล่านั้นเนี่ยจะได้รับคำตอบด้วยตัวคุณเอง หลังจากที่เข้าใจ หลายๆคนที่อ่านหนังสือผมมาก็จะคงทราบว่าทุกเล่มอ่านได้ฟรีหมดที่ Dungtrin.com ก็ถ้าจะหากว่า อันนี้พูดถึงนะครับจะไปแนะนำใครนะฮะก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือผมไป ไปอ่านจากเว็ปเอาก็ได้

    คุณน้ำผึ้ง :
    อาจารย์ขา น้ำผึ้งว่าซื้อก็ดีค่ะ จะได้มีติดตัว และถ้าใครมีคำถามก็ไปถามที่เว็บของอาจารย์ได้ ดังตฤณดอทคอมนะคะ สะกดยังไงคะ

    คุณดังตฤณ :
    ใช่ครับ Dungtrin.com

    คุณน้ำผึ้ง :
    Dungtrin.com นะคะ อาจารย์ก็จะกลับแล้วนะคะ ส่วนวันนี้ก็ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้กับตัวน้ำผึ้งแล้วก็ทุกๆท่านนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

    - เสียงปรบมือ -

    สิ้นสุดการสัมภาษณ์งานแถลงข่าวหนังสือ ”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง”


    ---------------------------------------------------------
    ถ้าต้องการเป็นไฟล์ Word หรือ PDF ก็ดาวน์โหลดได้จาก

    WORD

    PDF

    ตามนี้แล้วนะคร้าบบ :)

    [ ปล.ก็ต้องขอขอบคุณ คุณอัปปมัญญา ณ ลานธรรมนะครับที่อนุเคราะห์ไฟล์เสียงงานเปิดตัวหนังสือ ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2007
  2. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
  3. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ขออนุโมทนาในบุญกุศลของคุณดังตฤณครับ...
    ที่มีความเมตตาจิต...อุทิศเวลา...จนพวกเราได้มีหนังสือดีๆ มีสาระ...
    ออกมาให้พวกเราได้อ่านอีกแล้ว...ฟรีด้วยครับ...ถ้าไม่อยากซื้อ...
    ขอบคุณมากครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ
     
  4. เฟิร์น

    เฟิร์น สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +3
    ^_______^
     
  5. น้องไข่แมงสาบ

    น้องไข่แมงสาบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +501
    สาธุค่ะ
     
  6. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    โมทนาครับ

    สายใยธรรมยังมีประจำ
     
  7. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ตอนนี้มีหนังสือ "มีชีวิต ที่คิดไม่ถึง" ให้ได้อ่านกันแล้วนะครับ

    โดยขณะนี้ยังเป็นแบบชั่วคราว ติดตามได้จากลิงค์นี้นะครับ

    มีชีวิต ที่คิดไม่ถึง
     
  8. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    พี่ดังตฤณ ได้เข้ามาดูกระทู้นี้ตามลิงค์จากเวบลานธรรมแล้วค่ะ

    และได้ฝากพี่แก้วมาขอบคุณน้องไอซ์สำหรับการถอดบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยค่ะ
     
  9. ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5

    ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2004
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +64
    ในภาพน่ะคนไหนคือคุณดังตฤณขอรับ

    กรุณาบอกด้วยนะขอรับ อยากรู้มานานแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
     
  10. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    ขอนำจดหมายข่าว ฉบับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙ มาให้ดูรูปคร่าวๆพอสังเขปนะคะ
    น่าจะพอทราบได้เลยค่ะ ว่าพี่ดังตฤณคือท่านไหนในภาพ

    http://www.dungtrin.net/newsletter/viewtopic.php?t=104

    สวัสดีครับ คุณสมาชิกจดหมายข่าว_

    นี่คือจดหมายข่าวจากดังตฤณดอทคอม ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙

    [​IMG]

    ต้องขอขอบคุณแฟนคลับทั้งหลายที่ไปร่วมสร้างสีสันวันแถลงข่าวนะครับ
    งานนี้ถือว่าเป็นงานของคนกันเองจริงๆ
    เพราะผมแจ้งเฉพาะในจดหมายข่าวกับเว็บลานธรรมเท่านั้น
    ฉะนั้นก็อย่าแปลกใจถ้าเจอหน้าแล้วรู้สึกคุ้นเคยกันดี
    ในเมื่อไม่ใช่ใครอื่น ต่างเป็นญาติธรรมที่จะร่วมเรียงเคียงกันไปนิพพานทั้งสิ้น

    เก็บตกรูปในงานมาให้ดูกัน โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้ไปในวันนั้น
    ทั้งที่ไม่อยากไปและไม่อยากโดดงานให้เจ้านายเพ่งเล็ง

    [​IMG]

    ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณสองท่านที่ให้เกียรติไปร่วมงาน
    ท่านแรกคือคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ (คนยืนขวาสุด)
    เพิ่งทราบว่าท่านก็เป็นสมาชิกจดหมายข่าวอยู่ด้วย
    ได้ใกล้ชิดแล้วไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียว
    ว่ากำลังอยู่กับนักการเมืองผู้ใหญ่
    แต่เหมือนท่านเป็นผู้หญิงเก่งที่มีใจแสวงทางพ้นทุกข์มากกว่า
    เป็นนักการเมืองแล้วไม่ถูกเสน่ห์แห่งอำนาจการเมืองดึงดูดให้จมไปทั้งชีวิตนั้น
    แปลได้อย่างเดียวคือเป็นผู้พร้อมจะมีใจยืนอยู่เหนืออิทธิพลของกิเลสในกาลต่อไป

    ท่านต่อมาคือคุณพี่กิเลน ประลองเชิง (คนยืนกลาง)
    หัวหน้าทีมข่าวและคอลัมนิสต์หน้า ๓ ของไทยรัฐ
    กล่าวได้ว่ามีคนจำนวนมากรู้จักหนังสือของผมจากพี่กิเลน
    เดิมที่พี่กิเลนไม่ได้รู้จักผมมาก่อน
    แต่ก็เขียนเชียร์ให้ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์
    ผมเพิ่งไปเยี่ยมคารวะท่านเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง
    ท่านเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและใช้ชีวิตสมถะสันโดษเสียจนน่าแปลกใจ
    ไม่เอาอะไร ไม่เข้าข้างใคร ไม่สนใจเงินทองที่กองแค่เอื้อม
    แต่ละวันมีนักการเมืองและนายทุนใหญ่หยิบยื่นอะไรให้ก็ไม่เอา
    ใครจ้างให้เขียนเชียร์แค่ไหนก็ไม่รับ
    แต่กลับจะเชียร์นักเขียนต๊อกต๋อยฟรีๆ
    เหมือนเช่นที่ล่าสุดก็ ช่วยประโคมเกี่ยวกับหนังสือมีชีวิตที่คิดไม่ถึงให้
    กราบขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งใจมากครับ

    ต้องขอบคุณคุณน้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์
    (ยืนอยู่ตรงไหนในรูปคงไม่ต้องบอก)
    ที่ช่วยเอาเสน่ห์นางเอกมาช่วยทำให้งานแถลงข่าวน่าสนใจ
    นั่งคู่คุณน้ำผึ้งแล้วไม่ต่างอะไรกับชาวนากับคุณหนู
    ใครไม่รู้คิดว่าเอาคุณหนูมาสัมภาษณ์ชาวนา
    เรื่องผลผลิตตกต่ำหรือความสามารถในการส่งออก อะไรทำนองนั้น
    หลังจากวันงานมีหนุ่มบางคนเสียดายใจแทบขาดที่ลืมไปร่วมงาน
    ไม่ใช่เพราะอดฟังผมพูดเรื่องหนังสือใหม่
    แต่พลาดไปไม่ได้เจอตัวจริงคุณน้ำผึ้ง

    ขอบคุณคุณดนัยคนกันเอง (คนยืนซ้ายสุด)
    ที่ช่วยทำให้งานแถลงข่าวมีขึ้นอย่างอบอุ่นและพรักพร้อมสมบูรณ์แบบ
    ตั้งแต่กลางปีที่แล้วผมส่งสารบัญหนังสือใหม่ให้
    และคุณดนัยเป็นคนบอกว่าชื่อบทหนึ่งของหนังสือ
    น่าจะนำมาใช้เป็นชื่อหนังสือได้เลย
    ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือ "มีชีวิตที่คิดไม่ถึง" นี่แหละครับ
    ชื่ออันเหมือนสัญญาที่รักษาได้ยากนี้
    ทำให้ผมต้องรอไอเดียอยู่กว่าครึ่งปี
    กว่าจะได้รูปแบบการนำเสนอพร้อมเนื้อหาที่แข็งแรงพอจะรับกับชื่อหนังสือไหว

    [​IMG]

    มีแต่คนชมผมและน้องวิวว่าตัวจริงหน้าอ่อนทั้งคู่
    ใครจะไปคิดว่าถ่ายรูปออกมาดูอ่อนอยู่คนเดียว
    คล้ายปู่กับหลานไม่มีผิด
    อันที่จริงผมเองเป็นหนึ่งในแฟนคลับของน้องวิวอยู่ก่อน
    การได้พบเธอในวันงานเป็นสิ่งหนึ่งที่คิดไม่ถึง
    จริงๆผมไม่ได้ดูน้องวิวแข่งมากนัก
    แต่ผมชอบอ่านสัมภาษณ์ของใครต่อใคร ซึ่งก็รวมถึงน้องวิว
    เลยได้รับรู้ความเป็นคนเก่งที่มีจุดยืนที่แข็งแรง
    ไม่หลงลาภยศตั้งแต่อายุยังน้อย
    นั่นเองที่จับใจและทำให้ผมเป็นแฟนคลับของน้องวิวคนหนึ่ง
    ดีใจที่เธอเป็นสมาชิกจดหมายข่าวอยู่ด้วย
    วันงานเมื่อมีคุยกันแค่ไม่กี่คำในเรื่องส่วนตัวของเธอ
    ก็บอกได้เลยว่าเธอจะเป็นอีกคนที่เอาดีทางธรรมต่อไปอย่างแน่นอน

    ต้องขอขอบคุณพรรคพวกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องทั้งหลาย
    ที่ไปช่วยกันนั่งยืนกันสลอนโดยไม่มีใครรับค่ารถกลับบ้าน
    แถมยังอุตส่าห์เลี้ยงอาหารนักเขียนหลังเลิกงานอีก ใจบุญกันจริงๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    และพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการซีดี-ดีวีดีวันงานนะครับ
    มีคนใจดีจ้างตากล้องไปบันทึกเหตุการณ์ในงานไว้ด้วย
    ขอรับฟรีได้ อ่านรายละเอียดในกระทู้ของ น้องเกด

    รูปอื่นๆถ้ายังอยากดูต่อก็ไปที่ กระทู้วันงานแถลงข่าว แล้วกันนะครับ


    --------------------------------------------------------------------------------


    สำหรับดังตฤณวิสัชนาอาทิตย์นี้
    หลังจากส่งจดหมายข่าวแล้ว
    ผมจะตอบคำถามของคุณ น้องริน เกี่ยวกับบุญที่ตกไปอยู่กับคนอื่น
    คุณ 2 เกี่ยวกับวิธีป้องกันไม่ให้มิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้นในตน
    และ คุณ P.Nao เกี่ยวกับการสร้างเสน่ห์ให้เป็นที่รัก


    --------------------------------------------------------------------------------


    สำหรับ คอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวสัปดาห์นี้
    เป็นคำถามเกี่ยวกับ

    กรรมที่ทำให้ตัวเตี้ย

    จะทำอย่างไรกับคนร้อนๆที่เข้ามาใกล้

    จะง้อลูกชายอย่างไรดี

    ปิ๊งกันแล้วรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดเพราะอะไร

    ถ้าเจอสามีในชาตินี้เมื่อเป็นชายด้วยกันในชาติหน้า


    --------------------------------------------------------------------------------


    หากต้องการอ่านจดหมายข่าวย้อนหลัง
    และแสดงความเห็นเกี่ยวกับจดหมายข่าวปัจจุบัน
    หรือมีคำถามเกี่ยวกับกรรมวิบากและการปฏิบัติธรรม
    ขอให้ไปที่เว็บบอร์ด ดังตฤณวิสัชนา
    ขอจำกัดการรับข้อความเฉพาะวันพฤหัสบดี
    และขออนุญาตไม่รับข้อความส่วนตัวทางอื่น
    เพื่อการสื่อสารสองทางที่เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

    สวัสดีครับ พบกันใหม่พฤหัสบดีหน้า
    ดังตฤณ
     
  11. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    อนุโมทนาสาธุค่ะ...
     
  12. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ยินดีเสมอครับ

    รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ผมกับเฟิร์นก็ช่วยๆกันถอดเทป

    ก็อยากให้คนที่ไม่ได้ไปแล้วก็คนที่ไม่ชอบฟัง หรือ ไม่มีเวลาฟังได้เก็บไว้อ่าน

    ถ้าการถอดเทปครั้งนี้เป็นประโยชน์ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ :)

    ขอบคุณอาตุลย์ที่ทำหนังสือดีๆมาให้ผมและทุกๆคนได้อ่านครับ

    ถ้ามีอะไรเล็กๆน้อยๆที่ผมพอช่วยได้ ก็ยินดีครับ ขอบคุณพี่แก้วด้วยนะครับ :)
     
  13. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ตอนนี้ ฉบับสมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ

    ทุกท่านสามารถอ่านได้จากที่นี่ ' มีชีวิต ที่คิดไม่ถึง '

    ปล. แฟลชสวยดีครับ :)
     
  14. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG].....ขออนุญาตช่วยยืนยันอีกแรงจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • newlife004.jpg
      newlife004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35 KB
      เปิดดู:
      239
  15. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    พี่แก้วขออนุโมทนาน้องไอซ์และน้องเฟิร์นด้วยค่ะ

    พี่ก็ลืมบอกไปอีกเรื่องนึงค่ะ พี่ตุลย์หรืออาตุลย์ของน้องไอซ์
    ท่านให้บอกด้วยว่า จะขอนำลิงค์กระทู้นี้ขึ้นเวบดังตฤณดอทคอมด้วยค่ะ

    ไม่แน่ใจว่าน้องไอซ์และน้องเฟิร์นจะเห็นแล้วยัง ลองคลิกดูนะคะ

    http://dungtrin.com/interview.html
     
  16. ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5

    ผู้พ่ายแพ้ขันธ์ 5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2004
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +64
    สาธุ

    ได้เห็นอริยบุคคลแล้ว
     
  17. เฟิร์น

    เฟิร์น สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณพี่แก้วที่แจ้งมาค่ะ
     
  18. โจโฉ คร้าบบบ

    โจโฉ คร้าบบบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,550
    ฮั่นแน่ เจอตัวหล่ะ นึกว่าใคร ..ดีใจด้วยนะครับ
    อายุยังน้อย แต่ว่าขยันสร้างบารมีจัง..

    จะมาบอกว่า เสียงอ่าน ครบแล้วนะครับ ไปโหลดได้
    แล้วก็บีบไฟล์เล็กมาก จนเน๊ตธรรมดา ก็โหลดสบายครับ

    อ้อ ขอเอาไฟล์ สัมภาษณ์ ไปแปะในซีดีเสียงอ่านด้วยนะ

    เจริญในธรรม. นะคร้าบบบบบบบ

    http://www.palungjit.org/club/jochokrub/4516/

    อันนี้ของแถม ช่วยเอาไป กระจายได้นะคับ ..

    เสียงจากงานแถลงข่าว หนังสือ มีชีวิตที่คิดไม่ถึง แผ่นแรก (จาก dvd -ตัดภาพออก)

    http://www.palungjit.org/club/uploads/jochokrub_dungtrin_life1.0.zip
    http://www.palungjit.org/club/uploads/jochokrub_dungtrin_life1.2.zip
    http://www.palungjit.org/club/uploads/jochokrub_dungtrin_life1.3.zip
    http://www.palungjit.org/club/uploads/jochokrub_dungtrin_life1.4.zip

    อันนี้เป้นไฟล์ แผ่นแรกตั้งแต่เริ่มสัมภาษณ์พี่ตุลย์
    ผมอัพในโฮสถาวรแล้วอะคับ ตกไฟล์ละเมกกว่าๆ เอง
    คุณภาพเสียง ผมว่าตกแต่งแล้ว
    แล้วแปลงเป็น wma แบบนี้ ก็ได้ไฟล์เล็กกว่ามาก

    ตกไฟล์ละ 11 นาที กว่าๆ นะคับ แต่ความจุแค่ ประมาณ เมกกว่าๆ เอง

    ไม่แน่ใจนะคับ เพราะฟังจากลำโพงผม ก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นฟังเป้นไง


    [​IMG]
    ข้าน้อยจะคุกเขาจนกว่า.. อากู๋ กับเฮีย ฮ้อ จะรับเข้าพรรค

    ห้าๆๆๆๆๆ....
     
  19. poramase

    poramase เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +592
    คือ อยากถามว่าประวัติพี่เค้าเป็นใครมาจากไหนเหรอครับ ถึงได้ดังจนเขียนหนังสือออกมา แล้วเนื้อหานี่มาจากการนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำให้ดูง่าย หรือ จากตาในเป็นหลักครับ
     
  20. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ขุดกระทู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...