อนาคตวงศ์ เชื่อถือได้หรือไม่

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย mabilar, 20 พฤศจิกายน 2009.

  1. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนแล้วกันครับ
    เวลาที่เราศึกษาพระไตรปิฎกนั้นอย่าไปเหมาเอาว่า จริงทั้งหมด หรือไม่จริงทั้งหมด หรือว่า จริงก็ใช่ ไม่ใช่จริงก็ใช่
    แต่ให้เรียนรู้จากสาระที่มีอยู่ จะจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะว่าไม่มีใครเกิดทันพุทธองค์ แต่ให้ศึกษาสาระที่เป็นอยู่ ก็เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อการบรรลุพุทธภูมิได้เช่นกันครับ
    พระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญเรื่องปัญญาเป็นหนึ่งในบารมี ดังนั้นต้องพิจารณาด้วยปัญญาอันรอบ
    แต่สุดท้ายหากบำเพ็ญเพียรด้วยความถือมั่นในพระไตรปิฎกก็ไม่มีทางที่จะเต็มเปี่ยมบารมีได้ครับ ดังนั้น ช่างเถอะว่าจะจริงหรือไม่จริง แต่ตอนนี้เรารู้หรือเปล่า จิตใจอันเต็มเปี่ยมอย่างพระโพธิสัตว์นั้น เต็มแล้วหรือยัง มีอะไรที่พร่องบ้าง ต้องเติมอะไรบ้าง ดีกว่ามานั่งเถียงกันว่า อันไหนจริง อันไหนไม่จริง
    พระโพธิสัตว์เมื่อเข้าถึงความว่าง และอนัตตาแล้ว ก็ย่อมรู้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ย่อมรู้ว่าต้องเดินทางอย่างไร และต้องนำผู้อื่นไปนิพพานอย่างไร
    ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายที่บำเพ็ญเพียรบารมีอยู่ ได้เห็นแจ้งให้ความว่าง เพื่อสามารถโปรดสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ครับ
    สาธุ
     
  2. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    สวัสดีครับ คุณต้นละ

    ทำไม่จึงคิดไปว่า ท่านโชติปาละโพธิสัตว์ เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิเล่า?

    ในเมื่อท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่หรือ?

    ถ้าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิจริง เมื่อได้ฟังธรรมและเหตุผลตามธรรมแล้ว ก็ย่อมยังมีมิจฉาทิฏฐิ เช่นเดิมจนตาย ไม่ใช่หรือ?

    ผมได้เสนอธรรมตามธรรมที่ควรแสดงแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่การพิจารณา การทำในใจอย่างแยบคายของคุณต้นละ เองแล้วครับ.
     
  3. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    สวัสดีครับคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->linake119<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2639577", true); </SCRIPT>

    การปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ นั้นต้องยังศึกษาต้องยังเรียนรู้ ต้องสร้างคุณสมบัติแห่งตนตามบารมี 30 ทัศอยู่ไม่ใช่หรือ?

    จึงต้องยังเรียนยังศึกษากับบัณฑิตที่รู้ธรรมตามธรรมจริงๆ กับพระอริยะเจ้า ในที่สุดกับพระพุทธเจ้า และแม้กับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงจะได้ชื่อว่า เดินตามทางที่ควรเดินตามทางที่ถูก.

    แต่ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า ข้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ข้าต้องรู้เอง ข้าไม่ยึดมั่นธรรมที่บัญญัติทั้งหลาย เพราะข้าไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นธรรมสิ่งใดไม่เป็นธรรม สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ไม่สนใจเพราะไม่จำเป็นสำหรับข้า เมื่อเข้าถึงความว่าง และอนัตตาแล้ว ก็ย่อมรู้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ความคิดข้าย่อมตรงย่อมถูกเป็นธรรมแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้เป็นการเห็นผิดเป็นการเข้าใจผิดอย่างหนึ่งนะครับ.

    เพราะแม้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสทำนองว่า ผู้ประสงค์เป็นบัณทิตมีปัญญา ต้องเข้าหาบัณทิตผู้ทรงธรรม(บัญญัติ)มีปัญญาอย่างเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นต้น เพื่อได้ฟังได้ยินธรรมอันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ตามธรรม เพื่อน้อมนำมาพิจารณาน้อมนำมาปฏิบัติ.

    ดังนั้นแค่ตั้งตัวปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ไม่ต้องศึษาตามบัณทิตหรือพระอริยะและพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้วหรือ?

    เสนอให้พิจารณา อย่างรอบคอบนะครับ.
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    คุณ ตติยะ ครับ ผมคิดแบบนั้นเหรอครับ ผมบอกกว่าเริ่มแรกไม่ใช่เหรอครับ ลองอ่านดูใหม่สิครับ
     
  5. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ทำไงได้ละครับ คุณตติยะ ในเมื่อผมไม่เชื่อ ฐานะอันไม่สมควร ๑๘ ประการก็ต้องหาอะไรมาแลกเปลี่ยนนะครับ ก็เหมือนที่คุณไม่เชื่อเรื่องอนาคตวงศ์ นั้นละครับ ก็ต้องหาอะไรมาแลก ว่าไม่เชื่อ (อนาคตวงศ์ )เพราะอะไร
     
  6. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ส่วนเรื่องความ ว่าง นะครับ ผมเองไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรหรอกครับ เพราะผมยังไม่หมดกิเลส ตามที่ได้ศึกษามาเรื่องความ ว่าง จะเป็นระดับจอมอรหันต์สอนอรหันต์ ส่วนองค์นิตยะโพธสัตว์ทุกๆๆ องค์ท่านมีปกติ ๑.ไม่โลภ ๒.ไมโกรธ ๓.ไม่หลง ๔.ชอบออกบวช ๕.ชอบความเงียบ ๖.ชอบออกจากความทุกข์ อยู่แล้ว ผมเองเลยไม่แน่ในเรื่องความ " ว่าง " ขององค์นิตยะโพธิสัตว์
     
  7. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    อ่านแล้วก็เป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูตรทั้งคู่ เลยอ่ะ
    พวกคุณทั้งสองเชื่อในพระปัญญาของพระพุทธเจ้าอยู่ใช่ไหมครับ
    ผู้รู้กล่าวไว้ว่า บัณฑิต โต้แย้งด้วยเหตุผล คนพาลโต้แย้งด้วยกำลัง(ทั้งกายและวาจา)
    ท่านทั้งสองก็ ทำตามคำสอนของพระศาสดาแล้ว(กาลามสูตร) น่าชมเชย น่าชมเชย

    ท่านทั้งสอง ความรู้ก็ดี ปัญญาก็มีอยู่ แต่อ่านๆดูก็มีทิฐิและมานะทั้งคู่
    พยายามหาเหตุผลมาเป็นข้อๆเปรียบเทียบแล้วยอมความกันบ้างนะครับ
    (ความจริงผมดูอยู่ห่างๆ นานแระ หลายๆคนก็คงอ่านแล้วก็อมยิ้ม หลายคนอ่านแล้วได้ความรู้มากมาย ผมอ่านแล้วชมเชย แต่มันตะหงิดๆที่ทิฐิมานะ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าท่านมีจิตเมตตาปราณีอยู่แล้วผมขออดโทดด้วย สงสัย เจ้ากิเลสในใจผมจะ ครอบงำจิตปรามาสผู้อื่นเข้าแล้ว 555 )

    ในส่วนของผม ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็ยังเชื่อว่า มีอนาคตยวงศ์ จะเป็นใคร ก็ไม่สำคัญนะครับ แต่เชื่อว่าจะมีผู้มาตรัสรู้หลังพระพุทธเจ้าพระองค์นี้อยู่
    ไม่ต้องถามถึงพระรามเจ้าหรอกมั้งครับ
    พระศรีอาริยเมตไตรยนั้นก็อีกนานเลย เรื่องที่เป็นอนาคตก็ยังไม่มาถึง เราเอามาพูดก็คงเถียงกันไม่จบ พระพุทธเจ้าอาจตรัสไว้จริง แต่ผู้เล่าต่อ อาจจำผิดจำถูก จับแพะชนแกะ แหม๋ สัญญาไม่เที่ยงนี่เน้อ ใช้ไหมครับ 55

    แต่ถ้าถามว่าเชื่อไหมผมเชื่อครับ เพราะเชื่อแล้วผมก็ศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือถ้าไม่เชื่อผมก็ศรัทธาในพระพุทธเจ้าเช่นเดิม ทิฐิในการปฏิบัติก็ไม่ได้เปลี่ยน(ไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติเลย ไม่ได้เชื่อแล้วเลิกปฏิบัตฺธรรม หรือเลิกรักษาศีล เลิกให้ทานใช่ไหมครับ)

    ส่วนฐานะแห่งความอาภัพ สิบแปดอย่าง จะมีไม่มีในพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่เป็นนิตยโพธิสัตว์นั้น
    ท่านจะมีเหตุให้เกิด ก็คงต้องเกิดแบบนั้น
    ถ้าทราบเหตุ และรู้ว่าท่านเหล่านนั้นไม่มีเหตุที่จะเกิดในฐานะนั้น ก็ย่อมทราบว่า ท่านจะไม่เกิดในฐานนะนั้นเอง
    หากไม่มีเหตุท่านก็ไม่ตกอยู่ในฐานะนั้นๆ ก็อย่าไปคิดแทนท่านเลย(ผมเองก็คงห้ามพวกคุณไม่ได้ 55) เอาเป็นว่า เมื่อท่านทำดีก็ไปดี ถ้าถามผม ผมว่า เป็นไปได้ แต่อาจชั่วคราวอย่างที่คุณๆได้กล่าวมา เพราะเชื่อว่าศีล สติ สมาธิ ศรัทธา ปัญญา ของท่านนิตยนั้นๆกล้าเเข็งแล้ว เรื่องชื่อพ้อง คนละคนหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยหลักฐานหลักล้างกันอีก นาน55 (คิดเล่นๆ ก็กะว่า จะเก็บเอาไว้ถามพระศรีย์อาริยะเมตตรัย 55 พระองค์นี้มีชัวร์ เที่ยงชัวร์ 555)
    และที่สำคัญคือเชื่อใน คำสอนที่ว่า ธรรมทั้งหลาย่อมเกิดแต่เหตุ สาธุ

    เรื่องความว่าง ผมเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องของพระอรหันต์ ไม่ใช่เรื่องที่จิตปุถุชนจะไปพิจารณา เพราะจิตปุถุชนเด๋วจะไปเจอเอา ข่ายดักพรหมเข้าจะติดอยู่ในภพพรหม ความ ว่างๆ นิ่งๆ ซะสิ ไม่รุดิ เราต้องทำเหตุ ต้นทางไม่ใช่ไปดูปลายทาง เหมือนไปขึ้ต้นไม้ทางยอด หรือทำการบ้านดูเฉลยก่อน แบบนั้น อ่ะนะ

    พระไตรปิฏกเป็นคำภีร์สำคัญ แต่ก็ไม่ได้ตรัสว่าให้ยึดมั่น แต่ก็ไม่ให้ลบล้างบัญญัตินะครับ(สมัยหน้าเช่นพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ อาจมี หลายคำภีร์หรือน้อยกว่าก็ได้นี่ครับ หรือแม้กระทั้งพระพุทธเจ้าเป็นผู้เขียนเองก็ได้ หรือเป็นผู้ตรวจสอบก็ได้นะครับ ไม่แน่ๆ ข้อความในนั้นอาจแตกต่างไปก็ได้ แต่การบรรลุก็อยู่ที่จิตเหมือนเดิมใช่ไหมครับ)

    อ้อ แล้วก็ยินดีที่ได้สนทนาท่านผู้รู้ทั้งสอง ผมเป็นผู้เดินทางไกล ปัญยาก็อ่อน ความรู้ก็ไม่ค่อยมี เพียงแต่ผ่านทางมาพบ น่าสนใจ
    เลยเข้ามาแสดงความคิดเท่านั้นเห็นดี
    ไม่เห็นด้วยประการใด ก็โปรดชี้แนะด้วยครับ
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  8. Attila 333

    Attila 333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +716
    การถกปัญหากันก็เป็นส่วนหนึ่ง เหมือนเรามาเถียงกันที่ป้ายบอกทาง แต่การปฏิบัติจะเป็นคำตอบที่จะทำให้ถึงที่สุด หากเทียบกำลังใจของพระอริยะเจ้าขั้นสูงแล้ว ผมยอมรับว่าเรายังห่างไกล ยังต้องเรียนรู้อีกมาก และจะต้องพัฒานาตนเองไปจนถึงท้ายที่สุดของชีวิต สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักแยกแยะ และติติงตนเองให้เป็นเพื่อที่จะได้พัฒนาตนเองต่อไป หนทางยังไกลโข แต่ก็บ่ยั่น ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง แด่ท่านผู้แสวงหาสัจจะทุกท่าน
     
  9. สมภาพธรรม

    สมภาพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +845
    ผมคิดว่าการมาถกเถียงเรื่อง นิตยโพธิสัตว์และอนิตยโพธิสัตว์นั้น เป็นเรื่องที่ไกลจากตนเองเกินไป และอีกอย่างท่านทั้งหลายนำเอาข้อมูลจากตำรามาถกเถียงกัน ไม่ได้รู้จากการปฏิบัติ รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง คงจะถกเถียงกันไม่ที่สิ้นสุด เพราะต่างคนก็ไม่รู้ตามเป็นจริง เพียงแค่รู้ตามตำตา ตามคำบอกเล่า เข้าทำนองที่ว่า ....ฉันอ่าน ฉันฟัง เขาเล่ามาว่า.... ฉันเลยคิดอย่างนี้....
     
  10. สมภาพธรรม

    สมภาพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +845
    การบำเพ็ญเพียร การเวียนว่ายตายเกิดของโพธิสัตว์นั้นมีวิบากกรรมเป็นเหตุ และการบำเพ็ญบารมีที่ยังไม่บริบูรณ์จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ทำไมโพธิสัตว์บางองค์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ยังต้องเกิดในนรกบ้าง ในเดรัจฉานภูมิบ้าง ก็เพราะวิบากกรรมอันไม่ดียังติดตามอยู่ ยังต้องเสวยอยู่ แม้ว่าการเกิดเป็นพระยามาร ก็ล้วนเกิดเพราะวิบากแห่งกรรมอันไม่ดีที่เคยกระทำไว้

    บุญไม่สามารถทดแทนบาป บาปไม่สามารถทดแทนได้ด้วยบุญ การกระทำทุกอย่างมีผลติดตามเสมอ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม การได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ไม่ได้หมายความว่า วิบากกรมชั่วจะหมดตามไปด้วย ยังคงอยู่เหมือนเดิม โพธิสัตว์เหล่านั้นก็ยังต้องรับวิบากอันไม่ดีตามปกติ

    เมื่อเสวยวิบากกรรมอันไม่ดีหมดสิ้นแล้ว นั่นแหละ ฐานะ 18 อย่าง จึงจะเข้ามารองรับ

    เรื่องมิจฉาทิฏฐิ เราต้องเข้าใจคำว่า มิจฉาทิฏฐิให้ถูกต้อง ซึ่งก็หมายถึงความเห็นหรือความเชื่ออันไม่เป็นไปตามหลักธรรมคืออริยสัจและปฏิจจสมุปปบาท ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณถึงแม้จะได้รับพุทธพยากรณ์แล้วว่าจะได้ตรัสรู้แน่นอนในอนาคตข้างหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะแจ่มแจ้งในหลักธรรมทั้งหมด ย่อมมีความสงสัยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้นความเป็นมิจฉาทิฏฐิจึงมีแน่อน จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อบำเพ็ญจิตให้แจ่มแจ้งในหลักธรรมทั้งปวง แจ่มแจ้งยังไม่พอ ต้องมั่นคงตลอดไปจนกว่าจะได้ตรัสรู้ ถึงแม้ชาตืที่ตรัสรู้ ก็ต้องบำเพ็ญจิตให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ดี จึงจะสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    ด้วยการบำเพ็ญทางจิตโดยฝ่ายเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้จิตเปลี่ยนจากมิจฉาเป็นสัมมา การพูด การฟัง การอ่านยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ ถึงเปลี่ยนไดก็ชั่วครั้งชั่วคราว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  11. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    คุณปรมิตรครับ
    เท่าที่ผมได้ติดตามอ่านการเขียน และการตอบปัญหานั้น ขอชื่นชมในสิ่งที่ท่านได้รู้ครับ ก็ขอให้บำเพ็ญเพียรต่อไป เป็นกำลังใจให้ครับ

    คุณตติยะครับ
    สำหรับการบำเพ็ญบารมีนั้น เราบำเพ็ญเพื่ออะไร เพื่อช่วยสัตว์ทั้งหลาย
    แต่ปัญหาของการที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายท้อ และไปไม่ถึงก็เพราะการบำเพ็ญบารมีแล้วติดบารมี หากเป็นเยี่ยงนั้นไฉน จะได้บรรลุอภิเษกพระโพธิญานได้ครับ
    อย่างที่กล่าวไปแล้ว คือ การบำเพ็ญเพียรนั้นหากไม่ว่างแล้วเราจะมีกำลังได้อย่างไร ที่จะไปโปรดสัตว์ ก็ในเมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอด การที่เราบำเพ็ญบารมี เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ได้ไม่ต้องทำ
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเห็น เพราะเห็นภัยของโลก และความกรุณาในจิตที่มีของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ดังนั้น จึงบำเพ็ญบารมีในความว่าง บารมีนั้นจะเต็ม เพราะในความว่างนั้น
    การบำเพ็ญบารมี ก็ไม่ได้ว่า ไม่ปรารถนานิพพานครับ หากไม่งั้น การบรรลุอภิเษกพระโพธิญานก็ไม่มีความหมาย และเกิดไม่ได้ เพราะไม่ได้สอนเขาให้พ้นทุกข์

    ดังนั้นขอเตือนท่านที่บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นในบารมี
    เราไม่ได้บำเพ็ญเพื่อตัวเรา แต่เราบำเพ็ญเพื่อผู้อื่น
    และที่สำคัญ การบำเพ็ญเพียรทางจิต ขาดไม่ได้เลย การดำเนินตามมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 อิทธิบาท 4 เป็นต้น ต้องรู้ทั้งหมด ไม่งั้นจะเอาอะไรไปสอนเขา เพราะพระพุทธองค์คือครูของโลก หากบำเพ็ญแต่บารมี 10 แต่ไม่เอาการบำเพ็ญเพียรทางจิต การบำเพ็ญบารมีที่เข้มข้นขึ้นจะเป็นไปได้อย่างไร

    ความถือมั่นในตัวยังไม่ทิ้ง แล้วเราจะสละอวัยวะน้อยใหญ่ และร่างกายให้กับผู้อื่นได้อย่างไร
    ความถือมั่นในทิฐิ ว่าเราเท่านั้นที่ถูก ผู้อื่นผิด แล้วจะมีปัญญาบารมีได้อย่างไร(เพราะไม่อาจเรียนรู้สิ่งที่เป็นธรรมได้)
    ความถือมั่นในขันธ์ 5 ยังไม่ทิ้ง แล้วขันติบารมีจะมีได้อย่างไร
    ความถือมั่นในขันธ์ 5 ยังไม่ทิ้ง แล้วเมตตาบารมีจะเต็มได้อย่างไร
    ความถือมั่นในขันธ์ 5 ยังไม่ทิ้ง แล้วอธิษฐานบารมีจะเกิดได้อย่างไร (เพราะไม่บำเพ็ญเพียรทางจิตจนได้เห็นความเป็น ทุกขัง อนิจจัง และ อนัตตา)
    ความถือมั่นใน กาย เวทนา จิต และธรรม ยังไม่ทิ้ง ยังไม่เข้าใจ แล้วจะได้อุเบกขาบารมีได้อย่างไร (เพราะมีอะไรมาก็หวั่นไหวโดยตลอด)
    ความถือมั่นในขันธ์ 5 ยังไม่ทิ้งแล้วจะบำเพ็ญทานบารมี ได้อย่างไร เพราะยังถือว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นของเรา

    กล่าวโดยสรุปแล้ว เราไม่เห็นสิ่งเรานี้ แล้วเราจะได้เห็นทางเดินได้อย่างไร
    แต่ที่ผมได้กล่าวนั้น ไม่ได้หมายถึงเราไม่ศึกษาอะไรเลย
    แต่อย่าลืมการบำเพ็ญเพียรทางจิต เพราะตัวหนังสือ ไม่ใช่ความจริง
    ไม่ใช่ทางไป ไม่ใช่ทางเดิน ครับ

    แต่ต้องรู้ไว้ครับว่า พระพุทธองค์ไม่ได้เกิดได้อยู่ตลอด ดังนั้นหากไม่บำเพ็ญเพียรทางจิตเลย การจะสืบต่อเนื่องของบารมีจะเกิดได้อย่างไร

    ลองอ่านเรื่องของสุเมธดาบสครับ ท่านเองบำเพ็ญเพียรมานาน
    แล้วหลังจากที่ท่านได้รับพยากรณ์แล้วจากพระทีปังกรพุทธเจ้า จึงได้ไปหาสถานที่วิเวก แล้วก็พิจารณาบารมี 10 อย่างที่ต้องบำเพ็ญเอง (พระพุทธองค์ไม่ได้สอน แต่พระโพธิสัตว์ เป็นผู้พิจารณาเอง)

    ดังนั้นที่ผมกล่าวนั้น ไม่ได้ต้องการให้ละการเรียนรู้ครับ แต่ให้ทำให้ครบครับ
    หากเป็นส่วนที่ไม่ถูก ผมขอรับไว้เอง หากเป็นส่วนที่ถูก ก็ขอให้เป็นทานครับ

    แต่ที่สำคัญคือ อย่าไปสนใจเรื่องอื่น สนใจว่าใจที่กำลังบำเพ็ญบารมีตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว เจอสิ่งต่างๆ ยังหวั่นไหวที่จะบำเพ็ญเพียรหรือไม่ หากเป็นอย่างงั้น ก็ต้องเร่งทำบารมีเอง
     
  12. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    ทั้งอนาคตวงศ์และก็อาภัพฐานะ18 ที่ท่านยกมาก็ดูเหมือนสอดคล้องกันดีอยู่

    แต่ที่มีปัญหามีเพียงองค์เดียวคือ หน่อพุทธลำดับที่4 ผมได้เคยอ่านตำนานอนาคตวงศ์ บางเล่ม ไม่ได้บอกว่า พระยามาราธิราชจะมาตรัส แต่คนเขียนท่านบอกว่า เป็น เทวดาที่ชื่อ อภิภู จะมาตรัส

    จึงมีเพียงหน่อพุทธ ลำดับนี้เท่านั้น ที่เป็นข้อถกเถียงกัน

    แต่มีความเห็นนิดนึงคือ ถ้าท่านไม่ได้กำเนิดเป็นมาร แต่เป็นโดยตำแหน่งละ ข้อถกเถียงทั้งหมดก็เป็นที่ยุติ
     
  13. ตติยะ

    ตติยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +127
    สวัสดีครับทุกท่าน


    และคุณต้นละครับ "ธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความคิดเห็นหรือทิฏฐิ เป็นของตนเองเป็นธรรมดา"

    คุณต้นละ ก็ได้กระทำตามความคิดเห็น(ทิฏฐิ)และข้อมูลของคุณแล้ว ผมก็ได้แสดงตามความคิดเห็น(ทิฏฐิ)และข้อมุลแห่งตนแล้ว จะถูกผิดคลาดเคลื่อนอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงที่เป็นสัจจะจริงก็ย่อมเป็นอยู่อย่างนั้น

    ความคิดของคุณต้นละ หรือความคิดเห็นของผม ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นจริงไปได้ เพราะสัจจะจริงนั้นก็ย่อม ไปตามสัจจะจริงอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา.


    ***********************************

    สวัสดีครับคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->linake119<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2643082", true); </SCRIPT> การแสดงความคิดเห็นด้านบนนั้นดีครับ อ่านแล้วดีครับ เป็นการแสดงข้อคิดเห็นที่ดีครับ (ตามความเข้าใจของผมนะครับ).
     
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ถูกต้องแล้วครับ ยังงัยความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่แล้ว คุณ ตติยะ ....
    คุณปรมิตร พิมพ์ได้ดีครับ " เหตุให้เกิด "
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิทานิ ภันเต เย สัตตา สัตตานัง หิตะการะกา
    พุทธการะกัง ปูเรนตา กิตตะกา พยากะตา ตะยา
    เถรัสสะ วะจะนังสุตวา ภะคะวา เอตะทัพระวิ
    สาธุ สาธุ มหานันทะ ตะมะหัง ปุจฉิโต ตะยา
    ทะสุตตะรา ปัญจะสะตา โพธิสัตตา สะมูหะตา
    เอเต อนุกกะมา เจวะ อะวะเสสา นานุกกะมา
    เก เต ภันเต โพธิสัตตา ทะสะ เจวะ อะนุกกะมา
    กะเถถะ โว มะหาวีระ วะจะนัง เต สุโณมะหัง
    เตนะ เหวัง มหานันทะ สุโณหิ วะจะนัง มะมะ
    เย เต ทะสะ โพธิสัตตา พุชฌิสสันติ อนุกกะมา
    เมตเตยโย อุตตะโม ราโม ปะเสโน โกสะโล ภิภู
    ทีฆะโสณี จะ จังกี จะ สุโภ โตเทยยะ พราหมโณ
    นาฬาคิริ ปาลิเลยโย โพธิสัตตา อิเม ทะสะ
    อนุกกะเมนะ สัมโพธิ ปาปุณิสสันติ นาคะเตติ
    อทัง สุตวานะ โส เถโร พุทธะเสฏฐัสสะ พยากะตัง
    สาธุ สาธุ มหาวีระ อัชชะ นิกกังขตัง คะโตติ...............
     
  16. yoottapong

    yoottapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +761
    คาถาอะไรครับ คุณต้นละ
     
  17. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    โอ้ หามิได้ๆ หามิได้ คุณlinake119
    ผมก็ยังเรียนอยู่ในสำนักครูบาอาจารย์ถึงจะขี้เกียจก็เหอะ555(ไม่ได้ไปรู้แจ้งอะไรมาจากไหนเลย ก็เรียนมา รู้มาทั้งนั้นนะครับ )
    และที่สำคัญที่เข้าใจอยู่รู้อยู่เห็นอยู่ก็ยังไม่เที่ยง
    จิตก็เป็นปุถุชนเต็มร้อย กิเลสยังเข็กหัวอยู่ทุกวัน
    ยังไม่สมควรแก่การรับคำชื่นชมหรือสรรเสริญดอกท่าน ขอบคุณมากมายแต่ไม่ขอรับไว้นะครับ 555 (ยังไงก็ขอบคุณมากที่ทำให้ผมเห็น ตัว กูดี กูเก่ง ที่ผุดขึ้นมาเว๊ปนึงอ่ะ 555 )
    ยังไงซะเราผู้สนใจพระพุทธวจนะ สนใจพุทธประวัติหรือสนใจพระพุทธธรรม ก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกันหมด เราก็พึงสนทนาอย่างพี่น้องหรือเพื่อนนักเดินทางไกล(ในวัฎฎะ)ดีกว่านะครับ

    อนุโมทนาครับ ท่านทั้งสอง ถูกต้องที่สุดว่า ไม่ว่าผู้ใดถูกก็ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงความจริงได้
    และคนที่เดินทางไกลก็ย่อมมีความเข้าใจในบุคคลและสถานที่แตกต่างกันตามประสบการณ์ มีความเข้าใจ(ทิฐิ)ของตน ก็ถูกแล้วครับ เห็นด้วยมากๆ
    เรื่องที่ท่านทั้งสองสนทนาก็น่าสนใจดี แต่ก็ไม่ใช่หลักธรรมที่จะมาเอาจริงเอาจังซะขนาดถ้าเข้าใจผิดไปนรก หรือปิดอบาย หรือปฏิบัติผิดไปเลย

    จำเดิมแต่ไรมาธรรมเนียมผู้เดินทางไกลเมื่อสนทนาแล้วย่อม แสดงทิฐิของตนโดยไม่กล่าวว่าดีกว่า ไม่แสดงวาจาโอ้อวดในทิฐิของตน หรือกล่าวด้วยโทสะ(เด๋วจะตีกันซะปล่าวๆ และคนที่ทำแบบนั้นก็ใช่ว่าจะดูเป็นผู้รู้หรือน่าสรรเสริญ กลับรังแต่จะ ทำให้มีผู้รู้จริงตำหนิ)
    แต่เราจะกล่าวด้วยเมตตา กล่าวด้วยวาทะเพื่อให้คิดเพราะเคารพในทิฐิ ปัญญาผู้อื่น
    หรือกล่าวถามด้วยสงสัยจริงๆซะมากกว่าใช่ไหมครับ

    ผมว่านะ หากท่านทั้งสอง ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน(ได้บวชเรียนและปฏิบัติ)
    ก็คงจะเป็นกำลังของพระศาสนาได้ดีเป็นแน่ (เพราะ ไม่ได้เชื่ออย่างงมงาย มีหลักการและเหตุผล)
    ขออนุโมทนาล่วงหน้าในโอกาสนั้นนะครับ


    (ว่าแล้วก็ออกจากกระทู้ไปด้วยใจปริ่มเอม เพราะเห็นบัณฑิต สมานกันดีด้วย ปัญญา
    สาธุ สาธุ จริงที่ผู้รู้ได้ตรัสไว้ว่า คนดีสมานกันง่ายเหมือนหม้อที่ปั้นยังไม่แห้งตก คนชั่วสมานกันยากแตกแล้วแตกเลย เหมือนหม้อที่ปั้นที่อบไฟแล้วแห้งฉนั้น )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  18. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    เห็นด้วยๆๆ อย่าเชื่อตามๆกันมา ..
     
  19. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    คุณ yoottapong ลองแปลดูสิครับ แล้วจะรู้
    อิทานิ ภันเต เย สัตตา สัตตานัง หิตะการะกา
    พุทธการะกัง ปูเรนตา กิตตะกา พยากะตา ตะยา
    เถรัสสะ วะจะนังสุตวา ภะคะวา เอตะทัพระวิ
    สาธุ สาธุ มหานันทะ ตะมะหัง ปุจฉิโต ตะยา
    ทะสุตตะรา ปัญจะสะตา โพธิสัตตา สะมูหะตา
    เอเต อนุกกะมา เจวะ อะวะเสสา นานุกกะมา
    เก เต ภันเต โพธิสัตตา ทะสะ เจวะ อะนุกกะมา
    กะเถถะ โว มะหาวีระ วะจะนัง เต สุโณมะหัง
    เตนะ เหวัง มหานันทะ สุโณหิ วะจะนัง มะมะ
    เย เต ทะสะ โพธิสัตตา พุชฌิสสันติ อนุกกะมา
    เมตเตยโย อุตตะโม ราโม ปะเสโน โกสะโล ภิภู
    ทีฆะโสณี จะ จังกี จะ สุโภ โตเทยยะ พราหมโณ
    นาฬาคิริ ปาลิเลยโย โพธิสัตตา อิเม ทะสะ
    อนุกกะเมนะ สัมโพธิ ปาปุณิสสันติ นาคะเตติ
    อทัง สุตวานะ โส เถโร พุทธะเสฏฐัสสะ พยากะตัง
    สาธุ สาธุ มหาวีระ อัชชะ นิกกังขตัง คะโตติ..............
     
  20. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ถึคุณ สมภาพธรรม


    " เรื่องมิจฉาทิฏฐิ เราต้องเข้าใจคำว่า มิจฉาทิฏฐิให้ถูกต้อง ซึ่งก็หมายถึงความเห็นหรือความเชื่ออันไม่เป็นไปตามหลักธรรมคืออริยสัจและปฏิจจสมุปปบาท ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณถึงแม้จะได้รับพุทธพยากรณ์แล้วว่าจะได้ตรัสรู้แน่นอนในอนาคตข้างหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะแจ่มแจ้งในหลักธรรมทั้งหมด ย่อมมีความสงสัยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้นความเป็นมิจฉาทิฏฐิจึงมีแน่อน จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อบำเพ็ญจิตให้แจ่มแจ้งในหลักธรรมทั้งปวง แจ่มแจ้งยังไม่พอ ต้องมั่นคงตลอดไปจนกว่าจะได้ตรัสรู้ ถึงแม้ชาตืที่ตรัสรู้ ก็ต้องบำเพ็ญจิตให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ดี จึงจะสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ " คุณ พุดถึงมิจฉาทิฏฐิ ได้ดีครับ ขอนับถือครับ (ตรงตามที่ผมคิดเลย )
     

แชร์หน้านี้

Loading...