ผมทำสมาธิผิดวิธีหรือเปล่าครับ ขอคำปรึกษาด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 28 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    คือวันนี้เป็นวันพระใหญ่ ผมเลยสวดมนต์บทหลัก ๆ แล้วก็นั่งสมาธิ ปกติผมเป็นคนที่นั่งสมาธิได้ยากมาก เพราะใจจะฟุ้งซ่านตลอด แต่วันนี้นั่งได้นานที่สุดเท่าที่เคยนั่งมา วิธีการที่ใช้คือ หายใจเข้า-ออก นับเป็น 1 ก็นับไปจนถึง 120 ก็เริ่มสงบ จนกระทั่งนับไปได้ประมาณ 280 ก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ คือ มีอา่การจี๊ดที่สมองส่วนหลัง แล้วเหมือนมีอะไรซักอย่างวิ่งตรงกลางหลังลงไปข้างล่าง แล้วก็เกิดความรู้สึกเสียว เหมือนกับตอนที่อยู่ใกล้ผู้หญิงหรือกำลังจะหลั่งครับ เป็นความรู้สึกทางเพศแต่ไม่ได้อยากร่วมเพศ แค่รู้สึกแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนนั่งไม่ได้คิดเรื่องดังกล่าวเลย นับลมหายใจอย่างเดียว ก็พยายามไม่สนใจ นั่งนับต่อไป ความรู้สึกที่ว่าก็มาเป็นช่วง ๆ ผมก็อดทนนับได้ถึง 490 แล้วก็ออกจากสมาธิเพราะปวดหลัง ตอนออกมารู้สึกมึนงงไปพักนึง แล้วหลังจากนั้นก็มีความต้องการทางเพศสูงมาก อยากทำเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็นั่งข่มใจอดทนประมาณเกือบสองชั่วโมง โดยไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป

    อยากถามว่า ผมนั่งผิดวิธีหรือเปล่าครับ ผมนั่งเพื่อให้สงบ แต่กลับมีอาการแบบนี้เกิดขึ้น :'( ผมควรจะทำยังไงถึงจะนั่งได้โดยไม่มีความรู้สึกนี้ครับ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    เข้าไปอ่านในกระทู้นี้ได้เลยครับ จขกท จะได้รู้วิธีปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องครับ อนุโมทนาครับ

    อุปสรรคและวิธีแก้ไขในการทำสมาธิ
     
  3. พรม

    พรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +163
    อาการบางอย่างที่เกิดจากการปฏิบัติ ที่แปลกๆจากที่มีการแสดงไว้ ส่วนมากเป็นกรรมที่ก่อไว้เอง ..และส่วนมากก็นึกไม่ออกว่าทำอะไรไว้กับใคร วิธีแก้ที่เคยได้ยินมาคือถ้านึกรู้ได้ว่าทำกรรมอะไรไว้กับใครก็ให้ไปขอขมา เช่นบิดา มารดา ท่านว่าถ้าทำกรรมกับบิดามารดาไว้ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า - ไม่มีผลเลย
    แต่ถ้า....
     
  4. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    นั่งเก่งจัง นับเก่งจัง ยังไม่มีผู้รู้มาตอบเลย ใคร่รู้คำตอบด้วยคน

    อนุโมทนาสธุค่ะ
     
  5. รำมะนาด

    รำมะนาด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +251
    กามราคะ เป็นนิวรณ์ เป็นเครื่องกั้นไม่ให้เข้าถึงฌาน
    คือ ปฏิบัติสมาธิ หากเข้าถึงฌาน นิวรณ จะต้องหายไป

    ความทะยานอยากในกาม เป็น หนึ่งในนิวรณ์


    การสามารถทรงฌานได้ จะทำให้ภาวนาง่าย โดนไสยศาสตร์ ก็แก้ได้ง่าย
    คือหากสามารถทรงฌานได้ ชีวิต จะง่ายขึ้นแบบ ฟ้า กับเหว

    การปฏิบัติสมาธิตามอย่างนิกายตันตระ จะทำให้เข้าฌาน ได้ยากมาก
    ในขณะที่หากหัดกรรมฐานแบบตันตระ ก็คือจงใจจะไม่เข้าถึงฌานอีก
    เพราะจะใช้กำลังจากภายนอก เข้าแทรกแซง คืออย่างน้อยยั่วให้เกิดกำหนัดในกาม

    ซึ่งหากให้ไคร่ครวญอย่างละเอียด จะพบว่าการก่อกวนไม่ให้คนทรงฌาน
    เป็นเรื่องไม่ฉลาด ทั้งผู้ทำและผู้ถูกกระทำ

    ในฐานะชาวพุทธนิกายเถรวาท
    เราปฏิบัติธรรม เพื่อให้พ้นไปจากความกำหนัดยินดี ในกาม

    ชาวพุทธนิกายเถรวาทจึงควรตอบว่าให้ภาวนาให้ถึงฌาน
    เรื่องที่กวนใจจะหายไปเอง

    ส่วนกำหนัดในกาม หมู หมา กาไก่ที่ไหนก็กำหนัด
    ไม่ต้องไปลงทุนนั่งสมาธิให้กำหนัดหรอกนะ
    เอามือเขี่ยๆ กเสร็จแล้ว ทำให้มันวุ่นวาย
    สุดท้ายก็ลงอเวจีไปเลย

    ชาวพุทธนิกายเถรวาทไม่ได้ห้าม เรื่องกาม นะ
    ก็มีได้ตามปรกติ

    แต่จะภาวนาเพื่อกาม มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
     
  6. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    -นิวรณ์เข้า แปลว่ากำลังจะก้าวสู่อารมณ์ฌาณ ถ้าแพ้นิวรณ์คือจบเห่

    -อารมณ์ฌาณ คืออารมณ์สบายๆ ไม่เคลียด ถ้าเคลียด แปลว่าไม่ใช่ฌาณ เพราะไม่มีการปล่อยวางหรืออุเบกขา

    ถ้าเคลียดน้อย ก็ใช้อานาปานต่อสู้กับมัน ถ้าสู้ไม่ไหวก็พักไปก่อน ดูหนังฟังเพลงหรือทำอะไรก็ได้ตามสบาย อารมณ์ดีแล้วค่อยจับลมหายใจต่อ
     
  7. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ใช้หลักสังขยา(นับเลข) ก็ไม่ผิดนะครับ ทำให้สงบถึงขั้นฌานได้ครับ
    แต่ปฏิบัติสมาธิภาวนา แล้วรู้สึกเหมือนจุดสุดยอดของการเสพเมถุน
    นี่มันยังไงๆชอบกลอยู่นะครับ เพราะสุขจากสมาธิกับสุขจากการเสพเมถุนเนี่ย
    มันต่างระดับกันมากเลยครับ ไม่น่าจะมารวมกันได้เลย ระหว่างหยาบมากๆกับละเอียด คุณลองตรวจดูว่าคุณหมกมุ่นเรื่องนี้อยู่ลึกๆหรือเปล่า ความต้องการมันจึงเรียกร้อง... หรือว่าคุณอาจจะเคยผูกพันกับอะไรพวกในอดีต หรือเคยก่ออกุศลกรรมเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ในอดีต... ไม่แน่ก็มาจากมารครับ ฯลฯ
    ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ขอให้คุณใช้ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ ปัญญา
    ข่มตัวคุณไว้ครับ แต่อย่าให้เครียดหละครับ ทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกเบาสบายที่สุด...

    สาธุ ขอให้คุณมีความสุขกับการภาวนา
     
  8. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    รบกวนขยายความทีได้มั้ยครับ? ผมไม่ได้นั่งสมาธิในแบบยันตระหรือใครทั้งนั้น และก็ไม่ได้นั่งเพื่อให้เกิดกำหนัดด้วย ผมบอกแล้วว่าในขณะที่นั่งไม่ได้คิดเรื่องดังกล่าวเลย และก็ไม่ได้คาดว่าจะเกิดด้วย ไม่ได้ยั่วอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อมันเกิดผมก็สงสัยมันคืออะไร ผมมาถามตรง ๆ เพราะไม่รู้ครับ

    ผมไม่รู้ว่าตีความหมายคุณผิดหรือเปล่า แต่ที่คุณพูดมา คือการด่าว่า ผมนั่งสมาธิเพื่อกาม ภาวนาเพื่อกาม ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ? ถ้าเข้าใจผิด ผมขอโทษครับ แต่ถ้าเข้าใจถูก ผมว่าทัศนคติคุณนี่แย่มากครับ ถ้าจะทำจริงมีวิธีเยอะแยะที่ไม่ต้องมานั่งทำสมาธิภาวนาครับ
     
  9. รำมะนาด

    รำมะนาด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +251
    ไม่ต้องขอโทษ คุณเข้าใจถูก
    แต่ผมไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ผมใช้ฌานโลกีย์กดเอาไว้ได้
    ผมเก่ง

    หัดฌานโลกีย์ หากยังไม่เสื่อม
    ต่อให้คนทั้งโลกเห็นพระอาทิตย์ ขึ้นทางทิศตะวันออก
    คนทรงฌาน จะเปลี่ยนมาให้ขึ้นทางทิศตะวันตกก็ได้
    แต่ในเบื้องต้น จะหลอกได้แต่ตัวเอง

    หากจะหลอกคนอื่น ต้องไปหัดเอาตามสำนักต่างๆ

    ผมหลอกคนอื่นไม่เก่ง
    แต่หลอกตัวเองเก่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2010
  10. s.orr

    s.orr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +327
    ลมปราณ
    พลังมันวิ่งลง
    เข้าไปจุดอวัยวะเพศ
    มันเลยเกิดอาการนั้นๆ
    เกิดโดยไม่ตั้งใจ เกิดเอง
    นั้นแหละพลังของร่างกาย
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เคยเล่นไหมครับ เรื่องพวกจุดรวมปราณ หรือไม่ก็จักกระทั้งหลาย ที่บางท่านกล่าวว่า ทำจุดท้องน้อยได้เท่านี้ ทำจุดกลางท้อง กลางอก กลางกระหม่อมได้ขั้นนั้น ทำบางจุดตรงกลางอวัยวะเพศกับรูทวาร ใจจริงไม่อยากจะเอยเรื่องพวกนี้เท่าไร เพราะมันไม่ใช่ทาง แต่ก็รู้ไว้บางก็ดีครับ

    มันก็มีประโยชน์ไว้ฝึกรวมจิต ไม่ว่าจะย้ายไปตรงไหน จะรวมไว้ตรงไหน ถ้าชำนาญก็จะเอาไว้ตรงไหนก็ได้

    มันไม่ได้บอกขั้นว่ากลางกระหม่อมได้อรหันต์ กลางหน้าผากได้อนาคามี มันเป็นตำราที่ไม่ควรใช้เป็นแบบ เพราะยังเป็นโลกีย์อยู่

    สรุปฝึกได้ ในการหัดรวมสมาธิ แต่จะให้ดีดูลมจะเลิศกว่า

    ปล. ถ้าจะศึกษาลองเรื่องปราณหรือจักกระต่าง ๆ โยคี แต่ก็เลือกตำราหน่อย เพราะตำราที่ไม่ใช่ทางเยอะมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2010
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ส่วนเรื่องว่าจะนั่งอย่างไรไม่ให้เกิดอาการอย่างนั้น ตอบได้เลยตรง ๆ ว่า "ก็อย่าไปสนใจมันสิ"
     
  13. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอตอบคุณปลาแมวดังนี้

    สาเหตุของอาการทางร่างกาย และความรู้สึกทางเพศดังกล่าวเกิดขึ้นได้หลายเหตุปัจจัยครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ผู้ชายนั้นจะมีเป็นประจำได้โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ในเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้า ยกตัวอย่างสาเหตุให้ทราบ เช่น อากาศที่เย็นสบาย พอเหมาะมากระทบร่างกาย, อายุและฮอร์โมน, เสื้อผ้าที่สวมใส่, สถานที่ปฏิบัติ, จิตใจคิดปรุงแต่งเรื่องราวจากความจำไปทางกามารมณ์ เป็นต้น สาเหตุต่างๆ ที่ยกตัวอย่างไปบางส่วนนี้ ล้วนทำให้เกิดอาการ และความรู้สึกดังกล่าวได้ทั้งสิ้น บางทีเกิดขึ้นอย่างละเอียดละออ รวดเร็วมาก...

    แต่ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม สภาวจิตที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า "กามฉันทะ" หรือจะเรียกว่า "จิตมีราคะ" ก็ได้...

    - กามฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นต้น

    - จิตมีราคะ คือ จิตที่เกิดพร้อมโลภะ ๘ อย่าง (โลภมูลจิต ๘ ดวงตามในอภิธรรม)

    เมื่อสภาวจิตดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติมีหน้าที่กำหนดรู้และขจัดออกไปจากใจเสีย พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนวิธีเอาไว้ว่า...

    การละกามฉันทะ
    - - - - - - - - - - - -

    " [๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้
    กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือน
    อศุภนิมิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจอศุภนิมิตโดยแยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด
    ย่อมไม่เกิดขึ้น และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วอันบุคคลย่อมละได้ ฯ"

    ที่มา : ����ûԮ������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ������� ��


    การละจิตมีราคะ
    - - - - - - - - - - -

    "ถ้าเขาถามอีกว่า ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
    และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า อสุภนิมิต คือ
    ความกำหนดหมายว่าไม่งาม เมื่อบุคคลทำไว้ในใจโดยแยบคายถึงอสุภนิมิต ราคะ
    ที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็น
    เหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้"

    ที่มา : ����ûԮ������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ������� ��


    จริงอยู่คุณสามารถใช้วิธีการจัดการกับกามฉันทะ หรือจิตมีราคะด้วยการไม่สนใจ แล้วการกลับไปนับลมหายใจต่ออย่างที่เล่ามาได้ แต่วิธีการนี้ หาใช่วิธีการที่ดี และเหมาะสมไม่ เพราะจิตคุณผละออกมาได้ก็จริง แต่กามฉันทะ/ราคะหาได้ถูกละให้ดับไปไม่ กามฉันทะ/ราคะยังเกิดขึ้นอยู่ ยังเป็นไปอยู่ จิตคุณจึงตั้งอยู่ในกรรมฐานต่อไปไม่ได้ ต้องถูกรบกวนอยู่เนื่องๆ จนกระทั่งครบเวลา และแม้จะครบเวลาแล้วยังกลายเป็นความทุกข์กายใจต่ออีกจนคิดไปว่าปฏิบัติผิดหรือไม่ และมาตั้งกระทู้ถามในที่สุดนี้

    แต่ถ้าหากคุณนำวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้นี้ไปใช้ เวลาที่กามฉันทะหรือราคะเกิดขึ้น คุณจะละได้โดยง่าย ใช้เวลาไม่นาน ด้วยการพิจารณาอสุภะในร่างกายตนเองหรือผู้อื่นสัก ๑ รอบ หรือมากกว่า เพียงชั่วครู่เท่านั้น กามฉันทะหรือจิตมีราคะจะดับไป...

    เมื่อกามฉันทะหรือจิตราคะดับแล้ว สังเกตได้ด้วยสภาวจิตจะเกิดความสะอึดสะเอียน เห็นร่างกายตนเองหรือผู้อื่นว่าเป็นสิ่งไม่สวยงามน่าเกลียดเป็นของปฏิกูลขึ้นมาแทน ต่อจากนั้นคุณค่อยกลับไปนับลมหายใจต่อ ทีนี้จะปฏิบัติได้อย่างสบายโดยไม่ถูกรบกวนง่ายๆ อีก ยิ่งคุณหมั่นทำบ่อยๆ กามฉันทะหรือราคะยิ่งเกิดยาก เป็นการสร้างผู้คุ้มกันไปด้วยในตัวครับ

    การปฏิบัติกรรมฐานที่ถูกต้อง เราควรมีกรรมฐานหลักอยู่ ๑ อย่าง กรณีของคุณ คือ อานาปานสติด้วยการนับลมหายใจ แต่คุณจะต้องรู้จักใช้กรรมฐานอื่น หรือวิธีการอื่นเพื่อนำมาใช้ละนิวรณ์ หรือละอารมณ์อันเกิดจากอกุศลจิตด้วยครับ เมื่อถึงคราวจำเป็นด้วยครับ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณปลาแมว นั่งสมาธิไม่ผิดหรอก แถมยังทำได้ดีพอสมควรแล้ว

    โดยเฉพาะ ตอนที่หยุดทำสมาธิแล้วพบว่าเกิดความอยากแทบจะระเบิด เสร็จแล้ว
    คุณก็ไม่ได้ทำอะไร อันนี้ต้องชื่นชม(ตามเทคนิค) เพราะแปลว่า คุณไม่ได้ใช้สมาธิ
    เข้าตัด แต่คุณใช้บารมี10เข้ารำงับ โดยเฉพาะขันติบารมี คุณจะเห็นใจที่มันเร้าร้อน
    อยากจะกระทำแต่ก็ขันติ คือ แลมองความอยากนั้นด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่เคืองที่มัน
    เกิด และก็ไม่คล้อยตามมันไป นี่แหละอาการ ขันติบารมี

    และพอใช้ขันติบารมีอย่างสมควรแก่ธรรม ไม่แทรกแซงการพิจารณา การชำเลืองแล
    เห็นความอยากจนกระทั่ง เห็นมัน ดับไป คลายไป-สลายตัวไป หรือ ลืมมันไปแล้ว
    ตรงนี้เรียกว่าปฏิบัติด้วยขันติจนสภาพธรรมตัณหานั้นมันแสดงตัว แสดงความเป็นจริง
    ของมันที่ แม้แต่ตัวตัณหาเองก็มีสามัญลักษณ์ คือ ตั้งอยู่ไม่ได้ แปรปรวนไปตามเหตุ
    ปัจจัยหรือเชื้อ ไม่เที่ยง(จะเติม หรือไม่เติม บางครั้งมันก็มี หรือ จะไม่มี เอาแน่นอน
    ไม่ได้) และบังคับบัญชาอะไรไม่ได้(คือ แม้จะนั่งสมาธิแล้วมันก็กำหลาบตัณหาไม่ได้
    จริง) แต่เมื่อเราใช้ขันติสู้ ใช้สัจจสู้ ใช้การนึกถึงความดีทั้งหมด(บารมีอื่นๆ)สู้ เราจะ
    ทนต่อการเห็นได้ จนมันเผยไต๋แสดงสามัญลักษณ์นั่นแหละ เรียกว่า ภาวนาเจริญปัญญา

    ก็สรุปว่า คุณได้กระทำกิจในการศึกษาคือ ภาวนาเจริญสมถะสมาธิ และ ภาวนาเจริญ
    ปัญญา อันเป็นธรรมสองอย่างที่ภาวนาเป็นงานคู่ ด้วยปัญญาอันยิ่ง(บารมีที่เรามีเรา
    ขนมาใช้)

    * * * * *

    มาดูกันเล็กน้อย ในรายละเอียด ข้อความส่วนนี้เป็นประสบการณ์ที่จะแชร์กัน
    ดังนั้น หากอันไหนไม่ตรงสภาวะ อย่าได้อ่านจำไว้

    1. ตอนที่ทำสมาธิ จับลมหายใจ แม้จะฝุ้งซ่าน เห็นจิตฝุ้งซ่านไหลไปคิด แต่ขณะ
    เดียวกันก็ดูเหมือนระลึกรู้ว่า กำลังฝุ้งซ่าน ...ตรงนี้ หากเราดำเนินจิตทำสมาธิแล้ว
    อีกใจหนึ่งก็มองเห็นอาการฝุ้งไปคิดของจิตด้วย อันนี้ เรียกว่า ตั้งมั่นรู้อยู่ในที่ตั้ง
    ของจิต คือ กำลังทำ จิตตานุสปัสนาสติปัฏฐาน ....ทำดีแล้ว

    2. ตอนที่ทำสมาธิ จิตไปเห็นความคิด คล้อยตามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ระลึกได้
    ที่จะกลับมาจับที่ลม แม้ใจจะไม่ตั้งมั่นตลอด แต่เรายังเพียรไม่เลิก ตรงนี้ให้น้อม
    เห็นฉันทะ อันเป็นองค์ธรรมของอิทธิบาทสี่ไว้ แต่ให้แลเห็นด้วยความเป็นกลาง
    เมื่อแลเห็นอิทธิบาท4แล้ว หากเห็นอย่างไม่ปรุง ไม่จงใจ ไม่เติมความคิดเสียเอง
    ว่าเห็นอิทธิบาท4 จิตจะเกิด ปิติ ซาบซ่านขึ้นมา .....ซึ่งดีแล้ว...แต่ตรงนี้มีเทคนิค
    จะต้องพิจารณาสิ่งเฉพาะหน้า คือ

    2.1 หากคุณเป็นคนที่คลุกในกามมามาก 1 หรือ เป็นคนที่ตั้งความคิดเอาไว้ว่าสมาธิ
    จะช่วยข่มกามราคะได้ 1 ตรงนี้หากเกิดปิติแล้ว เนื่องจากมิจฉาทิฏฐิ อกุศลที่ปู้พื้นไว้
    ในจิตมาก่อนเก่า จะเข้าครอบงำอาการปิตินั้น แล้วทำให้ คุณคิดว่าเป็นอาการทางกาม
    ราคะ เกิดการเปรียบเทียบ หยิยอาการไปเปรียบเทียบ หลังจากนั้น จะแสดงอาการต้าน
    ไม่ชอบใจอาการปิตินั้น พอเกิดการต่อต้าน อาการปิติจะเหล่านั้นจะทำให้รู้สึกเสียวๆ
    หวิวๆ และหลังจากเสียวๆ และหวิวๆ ก็เกิดอาการคล้าย เข่าอ่อนขาอ่อน พอเกิดอาการ
    เข่าอ่อนขาอ่อน ตรงนี้ ความอยากในกามก็จะผุด จะเกิดการชักชวนไปคิด จะพาไปกระ
    ทำกิจให้ได้ หากเผลอตามความคิดนั้นไปก็มักจะเสร็จมัน ...ตรงนี้ คุณแก้ด้วยการใช้
    บารมีตามที่แก้ไปแล้ว ก็ถือว่าทำดีแล้ว....แต่หากเห็นความคิดทางกามผุด แล้วไม่เชื่อ
    มัน คือ ไม่ตามไปปรุงความคิด ก็จะจบ ตรงนี้ถ้าเห็นได้ว่า กามก็เป็นเพียงความคิดเท่า
    นั้นก็จะเห็นตรงกับพระพุทธองค์ที่กล่าวเย้ยกามราคะ "แค่ไม่ดำริ เจ้าก็ครอบงำเราไม่ได้"

    2.2 อาการจะเกิดคล้ายๆที่อธิบายใน 2.1 แต่ ตอนที่เกิดปิติ แล้วเกิดความไม่ชอบใจ
    ก็ให้รู้ทันความไม่ชอบใจอาการปิติที่ปรากฏนั้น ตรงนี้จะลัดเข้าสู่กรรมฐานที่ยิ่งกว่าทาง
    สมถะขั้นไปได้ ซึ่งจะแก้ได้ต้องเลิกเข้าใจผิดกกับการหมายใช้สมาธิข่มกาม มันข่มไม่
    ได้จริงหลอก หากละการอิงอาศัยความเชื่อเรื่องสมาธิอย่างผิดๆได้(เรียกแบบห่ามๆหน่อย
    เรียกว่า โดนมันสับขาหลอก) คุณก็จะไม่ต้านการเห็นปิติ แถมปล่อยให้ปิติมันเกิดขึ้น
    แม้จะกวัดแกว่ง ไหลไปไหลมาทั่วร่างไปหมด ก็ปล่อยมันไป เราเรียกว่า อาบปิติให้เหมือน
    ดั่งการอาบน้ำ ปล่อยให้ปิติมันผุดๆๆๆๆ อย่างกับน้ำพุ หาที่ตั้งไม่ได้ หาที่หายไปไม่ได้
    มันกวัดแกว่ง เกิดตรงนั้นที ตรงโน้นที ไหลไปทางนู้นด้วย ไหลไปทางนี้ด้วย ก็ให้แลเห็น
    อาการนั้นด้วยใจตั้งมั่น และช่วยมันน้อมไหลไปไหลมาก็ได้ แต่ต้องไม่ลิงโลดใจ ไม่คิด
    ว่ากำลังบังคับบัญชามัน เพียงแต่เราเติมเหตุเท่านั้น มันมีเหตมันก็เกิด เมื่อวางอารมณ์ถูก
    ใจจะเป็นกลางต่อการเห็นปิติ แรกๆจะเห็นมันไหลไปไหลมา แต่พอชำนาญจะเห็นว่ามัน
    เกิดตรงไหน ก็ดับตรงนั้น ที่เห็นว่าไหลไปไหลมา เพราะเราเกิดอุปทานขันธ์5 หากคุณ
    จขกททำได้ตรงนี้ อย่าไปอ่านเรื่อง การกำหนดจุดเปิดลมปราณ เปิดจักระของลัทธินอก
    ศาสนา แต่ให้เลือกอ่าน จตุวัตรธาตุกรรมฐาน4 แทน คือ ให้เห็นปิติที่เกิดแต่ละชนิดซึ่ง
    มี5ลักษณะ เป็นเรื่องของการแสดงตัวของธาตุ4 ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วอย่าไปหลงกับการ
    จะสร้างฤทธิ์ปาฏิหาร์ย เพราะจะทำให้เกิดอุปทานเผลอทำสมถะ แทนที่จะเดินขึ้นสู่
    "ธรรมานุปัสสนา" เพราะถ้าเกิดถูกในตำราพุทธ อีกไม่นานคุณจะไปพิจารณานิวรณ์5
    พิจารณาธรรมบรรพอื่นๆ และจะทำให้ชาตินี้มีผลสำเร็จได้ แต่ถ้าเผลอไปอ่านลัทธินอก
    ตำราเน้นฤทธิ์ก็จะต้องเสียเวลาไปอีกนาน กว่าจะกลับมาระลึกได้ว่า ต้องกลับมาเดิน
    ตรงนี้

    * * * *

    อุบายธรรมอื่นๆ

    เนื่องจาก จขกท ระบุว่า เป็นคนฝุ้งซ่านง่าย ซึ่งกำลังสมาธิทำมาเท่าไหร่ จะเห็นเลยว่า กามก็ฉุดเรา
    ไปสนใจได้ไม่ยาก ดังนั้น ให้แลเห็นไตรลักษณ์ในจิตที่มันไม่ใช่ของๆเรา จิตไม่ใช่เรา จะเกิดการวาง
    จิตให้ห่างไปจากผู้รู้ ตรงนี้ช่วยได้

    ถ้ายังไม่ได้ แต่ก็เห็นแล้วว่า กามราคะเกิดจากการเผลอไปคิด ไม่ใช่เพราะกาย ดังนั้นให้บั่นทอนกำลัง
    การเห็นกายเป็นเหตุลงอีก เรียกว่า ได้ทีชี่แพะไล่ ซึ่งก็คือ ให้งดอาหารให้น้อยลง จะน้อยมือลง หรือ
    น้อยระดับความอิ่มลง ก็ได้ จะทำให้เราไม่เผลอเอากายขึ้นมาอุปทาน จำทำให้เราเห็นกามราคะคือ
    ความคิดดีๆนี่เองได้ง่ายขึ้น เราก็จะไม่หลงไปคิดได้มากขึ้น แถมทำให้เห็นอีกว่า กามราคะนั้นในแง่
    ของกายแล้วมันเป็นความเห้น็ดเหนื่อยที่เปล่าประโยชน์ ประโยชน์ของมันทางกายที่โทษมากกว่าคุณ
    ที่มีเพียงชั่วเวลาไปกี่วินาทีเท่านั้น เพราะเคมีบางอย่างมันเกิดขึ้นแล้วก็แทบสลายไปในทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2010
  15. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    เคยอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่งฃึ่งผู้เขียนเคยบวชเป็นพระอยู่วัดเทพศิรินทร์
    ได้เล่าว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ได้สอนให้เจริญอานาปานสติ
    แต่การตามดูลมหรือรู้ลม ท่านให้กำหนดถึงแค่ทรวงอก อย่าให้ต่ำลงมากว่านั้น
    เพราะอาจทำให้เกิดกำหนัดได้ ลองพิจารณาดูนะครับ
     
  16. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    พอเราจะหนีจากการควบคุมของกิเลส
    กิเลสมันก็แสดงอาการของมันออกมาครับ
    ทำทุกวิถีทางไม่ให้เรา หลุดพ้นจากอำนาจของมัน

    ที่ผมบอกมาคุณอาจไม่เชื่อ
    และหลายท่านคงไม่เชื่อ

    แต่ถ้าใครได้ขึ้นเวทีต่อสู้กับกิเลสมาแล้ว
    ถ้ายังแยกระหว่างเรากับกิเลสไม่ออก
    เราก็ไม่รู้จะฆ่ากิเลสได้ยังไง เพราะไม่เห็นว่าอะไรเป็นกิเลส

    เมื่อกิเลสมันแสดงตัวออกมาอย่างนี้ก็ดีครับ
    จะได้รู้ว่า อืม..กิเลสมันเล่นเราขนาดนี้เลยเหรอ
    ขนาดนั่งสมาธิเพื่อให้สงบใจ ให้กิเลสสงบตัว
    แต่กิเลสมันยังกล้า มาแสดงตัวท่ามกลางการทำสมาธิของเราเลยเหรอ

    ถ้าเคยขึ้นเวทีต่อสู้กับกิเลสมาแล้ว
    จะรู้ว่ากิเลสนี่มันร้ายกาจมาก
    ทั้งมารยา สาไถย ตลบแตลง กลับกลอก
    ไม่มีอะไรเกินมันครับ ในโลกธาตุ

    แต่กิเลสมันกลัวอย่างเดียวครับ
    กลัวธรรม
     
  17. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ผมเคยฝึกขนาดอันนั้นดีดขึ้นดีดลงตามจังหวะการหายใจเลยนะ ผงกหัว 5 5 5

    นั่งแล้วความร้อนแผดขึ้น

    เรากำหนดจิตดึงพลังขึ้นตามจักระ
    ความรู้สึกทางเพศที่เกิดนี้กลับขึ้นไปที่จักระศีรษะพุ่งออกไปข้างบน
    ที่ผมฝึกคือ ความต้องการทางเพศหายไปเลยนะครับ

    ที่จริงถ้ามือไม่ไปโดนไงมันก็ไม่ออก เต็มที่ก็ฝันเปียก

    ในหนังสือกุณฑาลิณี บอกว่าฝึกสิ่งนี้เพื่อการมีญาณการรู้แจ้ง

    ในหนังสือประสบการณ์นั่งสมาธิของท่านแม่ชีทศพร
    เองท่านก็เป็นท่านว่าเป็นเรื่องกรรมเก่า
     
  18. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    เอ่อ พี่น้องครับ...
    ฝึกกุณฑาลิณีมันอันตรายนะครับ...
    ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เตือนเฉยๆ
    ว่ามูลธารจักระต้องแข็งแกร่งทีเดียว

    ถ้าเดินกุณฑาลิณีเป็น... ก็เป็นผลดีไม่น้อยเลยครับ

    แต่ฝึกสมาธิแบบโยคะนั้น พูดตรงๆนะครับ
    ว่าเทียบกับกรรมฐาน 40 กองไม่ได้เลยครับ
    เพราะละเอียด นุ่มนวล สงบ และลึกซึ้งกว่ามาก
    ที่สำคัญที่สุดคือ นำไปพัฒนาเป็นปัญญาได้อย่างลึกซึ้ง
    โอ การภาวนาคือ การเปิดรับความรู้ที่ยิ่งใหญ่...
     
  19. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    [​IMG]
     
  20. runandyaow

    runandyaow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +65
    ผมขอพูดอะไรไรหน่อยนะครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ตอบกระทู้เว้นแต่ติดขัดหรือสงสัยอะไร แต่เห็นตรงนี้ขอหน่อยแล้วกัน เท่าที่ผมเห็นหลายคนในบอร์ดใจคับแคบมากเรื่องการฝึกของผู้อื่น ศาสนาอื่น ต้องพุทธ
    อย่างนั้น ฝึกอย่างนั้นผิด อย่างนั้นมาร ผมถามคุณหน่อยตัวคุณเข้าใจมากแค่ใหน
    ว่าโลกนี้มีคนที่ กรรม บุญ บารมี สร้างมาไม่เท่ากัน แล้วกี่คนเล่าที่ บุญบารมีถึง
    พร้อมซึ่งความเป็นพุทธ แล้วกี่คนที่บารมีไม่ถึง สัดส่วนนี้ 1:1000 หรือ 1:1000000
    ลองคิดดู พระพุทธเจ้าท่านตรัจไว้แล้วว่าเกิดเป็นมนุษย์ ยากนัก แต่เกิดมาแล้วพบ พุทธศาสนายากยิ่งกว่า แล้วคนที่บารมีไม่ถึงล่ะ ถ้าเขาไม่มี คริส เต๋า พรามณ์ ฮินดู เซน อิสลาม ฯลฯเขาจะเป็นอย่างไง ก็เหมือนกับพุทธเป็นมหาวิทยาลัย คุณจับเด็ก 4 ขวบไปเรียน เขาจะรู้เรื่องใหม เด็กเรียน ป.3 เรียนได้เปล่า ตัวผมคิดอยู่เสมอว่า
    ตัวเอง เป็นพุทธ 100% เป็นศิษย์ พระคถาคต ถึงจะเป็นศิษย์ที่เลว ที่ชั่วอยู่ก็ตาม
    เพราะผมก็ฝึกนอกคำสอนอยู่ จักระ เอย พลังจักรวาลเอย ตันตระ ก็ฝึก ลมปราณก็ฝึก ไท้เก็ก ก็ฝึก ใบไม้นอกกำมือทั้งนั้น แต่สิ่งที่พุทธเจ้าสอนก็ฝึก อาณา พุทธา มรณา กายา นุสติ กสิน แม้จะหย่อนอยู่ก็เหอะ ไหว้พระ ภาวนา พยายามรักษาศิล 5 วิปัสนา หากเปรียบตัวผมผมก็เหมือน หมาที่เจอ ปลากระป๋อง
    พยายามแกะกินแต่ก็แกะไม่ได้ กัดแทะจนปากฉีก ก็เปิดไม่ออก ยังดีที่ยังมีรอย
    รั่วให้ได้ลิ้มรสน้ำของมันมั้ง ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ก็ต้องหาเศษอาหารอื่นมากินก่อน
    กันตาย พอมีแรงก็มาแกะต่อ ผมยังโง่อยู่มั้งเลยไม่คิดดูถูกคนอื่น การฝึกแบบอื่น
    พอผมฉลาดขึ้นผมอาจเป็นแบบพวกคุณหลายคนก็ได้ (ผมพูดนี้ตัดพ้อบางคนนะครับคนที่ให้คำแนะนำที่ดี และผู้ที่เข้าใจก็เยอะผมอนุโมทนาด้วยครับ) ผมว่าทุกศาสนาดีทุกศาสนา
    เข้าถึงแค่ใหนก็แล้วแต่ กำลังของศาสนานั้น แต่ทุกศาสนาเป็นสิ่งปูทาง ให้จิตวิญญาณ
    ขึ้นไปถึงพุทธ เพราะท้ายที่สุดทุกดวงจิตก็มุ่งสู่นิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...