ท่องคาถาแบบอ่านเอา จะไม่ขลังจริงหรอครับ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย kamakura, 20 มีนาคม 2006.

  1. kamakura

    kamakura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +210
    คือเราสวดมนต์ทุกวันน่ะครับ แต่ต้องให้หนังสืออยู่ แต่เพื่อนเราบอกว่าท่องหรือสวดจากการอ่าน จะไม่ขลัง อ่ะครับ เลยอยากถามผู้รู้ว่าจริงรึเปล่าครับ
     
  2. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,588
    ขลังหรือไม่ขลัง ขึ้นอยู่กับสภาวะจิต ขณะนั้นๆ หากเราอ่านเอาแต่เต็มไปด้วยความศรัทธา เชื่อมั่น บุญได้เกิดแก่เขาแล้วอย่างแน่นอน การสวดมนต์โดยการวางจิตของเราให้ตามพลังอันเกิดจากการเปล่งเสียงสวดมนต์ออกมาแล้วน้อมเข้ามาในกายของเราแล้วความเป็นมงคลของพระคาถา ก็จะเกิดแก่ตัวเราแน่นอน ขณะสวดมนต์ควรทิ้งความคิดอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องไปให้หมดครับ....... ยิ่งอยาก ยิ่งไม่ได้ครับ
     
  3. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    อันนี้ต้องถาปู่ NiNe เดี่ยวนี้แกหายไปไหนเเล้วก็ไม่รู้ไม่ได้เล่นนานงง
     
  4. ศิษย์น้อย

    ศิษย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    427
    ค่าพลัง:
    +3,047
    สวดมนต์

    สวดมนต์ น่าจะมีอานิสงค์เป็น 3 ประการใหญ่ๆ

    1. เพื่อเป็นพุทธบูชา

    - ถ้าเพื่อพุทธบูชา กางหนังสือ หรือไม่กาง ก็มีผลไม่ต่างกัน อยู่ที่จิตของเรา สวดด้วยศรัทธา ตั้งมั่น ย่อมเป็นผลเท่าเทียมกัน

    2. เพื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    - ถ้าเพื่อจิตเป็นสมาธิ ถ้าสวดแบบดูหนังสือ ให้ตั้งใจให้อยู่ในหนังสือตลอดการสวด
    - ถ้าสวดโดยไม่ดูหนังสือ จิต จะเป็นสมาธิอย่างดี เพราะว่าถ้าไม่เป็นสมาธิ จะสวดไม่ได้เลย

    ดังนั้น คือ ได้ ทั้ง 2 แบบ แต่ ตั้งใจให้เป็นสมาธิให้ได้ ถ้าไม่ดูหนังจะมีสมาธิมากกว่า

    3. เพื่อฝึกญาน (เฉพาะบางสาย)

    - จริงๆ ด้านนี้ ไม่ใคร่อยากอธิบายสักเท่าไหร่ แต่ครูบาอาจารย์บอกว่า หากต้องการฝึกญาน เช่น ตาทิพย์ เป็นต้น ให้หลับตาสวดมนต์แล้วกำหนดจิตให้มองเห็นตัวหนังสือที่เราสวดให้ชัดเจนแจ่มใส คือปากสวดไป ใจก็เห็นคำที่สวดไปด้วย


    จะเห็นว่า สวดแบบใด ก็ได้ อานิสงส์ทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ ถ้ามีเป้าหมายการสวดที่เฉพาะแตกต่างกัน ก็ต้องเลือกสวดให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการฝึกครับ ....
     
  5. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    เฮ้อ!!!เอาอีกแล้ว คนโพสกระทู้แบบนี้ ผมจะบอกอารัยให้นะครับ ไม่ว่าคุณจะสวดมนต์จะดูหรือไม่ดูก้อตามแต่ หรือจะท่องคาถาต่างๆก้อตามแต่ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นนะครับ ฟังนะครับพวกที่คิดแต่เรื่องพวกคาถา ต่างๆทั้งหลายแต่ไม่ได้ฝึกจิตเลยสักนิดมั่วแต่หวังพึ่งแต่คาถาอย่างเดียวจงฟังไว้ให้หมดทุกคน
    การที่เราสวดมนต์นั้นหรือจะท่องคาถานั้นนะครับ ไม่ว่าคุณจะสวดเสียงดังหรือสวดเบาก้อตามแต่ ถ้าสภาวะจิตของคุณมีสมาธิจะเกิดกำลัง ทำให้เสียงของคุณที่สวดอยู่นั้นจะส่งไปถึงเทพต่างๆแล้วพวกเทพก้อจะมาอนุโมทนากับคุณ แต่ในทางกลับกันถ้าคุณสวดหรือท่องโดยที่แบบว่าหวังจะให้มันจบๆไปไวๆ
    หรือคุณท่องอยู่แต่จิตคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วมันก้อไม่ได้เกิดประโยชน์มากสักเท่ารัยหรอกครับ แบบที่เพื่อนคุณบอกว่าเปิดหนังสือท่องจะไม่ขลัง มันเกี่ยวกันไหมครับ ตัวหนังสือก้อตัวเดียวกัน จะเปิดหรือจะปิด มันก้ออ่านเหมือนกัน ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของจิต จิตที่ฝึกดีแล้วนั้น สามารถทำได้เกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาจะหยั่งถึง
     
  6. kamakura

    kamakura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +210
    เฮ้อ...........กระทู้ด้านบนนี้อาจจะมีความหมายกับผมก็เมื่อตอนที่โพสครั้งแรกเท่านั้นแหละครับ เพราะมันไม่มีความหมายอะไรหรอก กับตอนที่ผมค่อนข้างที่จะพัฒนามากขึ้นแล้ว เอ้า เริ่มกันเลยดีกว่า
    1.ผมสวดมนต์คาถาเพิ่อสร้างสมาธิ และเพื่อขอความเป็นศิริมงคล ไม่เคยต้องการความขลัง หรือไม่ขลัง หมาน หรือไม่หมาน และอีกอย่างนึงคุณตีความหมายของคำถามผมผิดไปมากจนผมไม่ทราบว่าคุณใช้ปัญยาอ่านหรือเปล่า เพราะผมบอกว่า เพื่อนผมบอกมา ไม่ใช่ผมเป็นคนบอกเอง นั่นก็หมายความว่าในตอนนั้นผมเชื่อเพื่อนซะจนไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว เลยคิด(ผิด)มาพึ่งคนบางคนในบอร์ดนี้ ในขณะที่อีกหลายท่านก็ช่วยอย่างเต็มที่ และตีความหมายของคำถามได้ถูกต้อง
    2.การที่เทพเทวดาจะได้ยินเสียงสวดมนต์ของเราหรือไม่นั้น นั่นก็ตอบได้เลยว่าได้ยินอย่างแน่นอน เพราะทั่วไปบนโลกก็ย่อมมีรุกขเทวดาอยู่ทั่วไป และจะบันทึกกรรมดีของแต่ละบุคคลไว้ ไม่จำเป็นต้องดังถึงหูเทวดาบนสวรรค์หรอก
    3.การสวดมนต์ไวหรือช้าก็ไม่เกี่ยวกันอีกนั่นแหละ พระก็ใช่ว่าจะสวดช้าซะเมื่อไร และถ้าสวดเร็ว สวดไว เทวดาของคุณจะถึงกับฟังไม่ทันเชียวรึ
    4.จะใช้หนังสือประกอบการสวดมนต์หรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่เราสวดไปล้วนเป็นหัวใจของพระสูตรทั้งสิ้น ไม่ได้อ่านหนังสือโป๊หรือแฮรี่พ็อตเตอร์ อานุภาพของการสวดก็ได้เท่ากับคนที่ไม่ใช้หนังสือ เพราะหนังสือก็เปรียบเหมือนอาจารย์ใหญ่ที่แนะแนวทางสว่างให้
    และ 5.ถ้าคุรรำคาญกระทู้แล้วใช้ประโยคว่า "เฮ้อ!!!เอาอีกแล้ว คนโพสกระทู้แบบนี้" ผมว่าคุณอย่าตอบเลยดีกว่า ปล่อยให้คนที่เค้ามีจิตเมตตามอบธรรมปัญญาเป็นวิทยาทานอย่างเต็มใจดีกว่าที่จะมาบ่นโน่นบ่นนี่
    .........................................
    ผู้รู้ย่อมไม่พูดมาก
    ผู้ที่พูดมาก คือผู้ไม่รู้
    คนดีไม่ต้องแสดงออก
    แต่คนที่แสดงออกเพื่อหวังคำสรรเสริญ นั่นไม่ใช่คนดี
     
  7. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    ผมว่านะครับ คุณยังมีอคติมากนะครับ คุณ Kamakura คุณยังไม่เข้าจัยความหมายที่ผมพูดนัก การทีผมพูดออกไปนั้นเพื่อไม่อยากให้คนมัวเมาแต่เรื่อง คาถา มากนัก ผมคงชี้แนะคุณได้แค่ คุณลองลงมือปฎิบัตินั่งพระกรรมฐานเองดีกว่าครับ แล้วสักวันคุณจะเข้าจัย ว่า นรก-สวรรค์ และการเกิด-ดับ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
     
  8. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    จิตเป็นญาณ 4 มีความเคารพครูบาอาจารย์ สวดไปให้ได้ 108 จบยิ่งดี คำแปลของพระคาถาบางบทผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเคารพครูบาอาจารย์ แล้วขอให้มีความตั้งใจแบบสบายๆ คือไม่ใช่ทำเล่นๆ และไม่ใช่เครียดเกินไป อิอิ แต่โดยปกติท่านจะบอกไว้อยู่แล้วว่าเป็นคาถาสำหรับด้านไหน เมื่อเราคล่องตัว ให้นำจิตขึ้นไปข้างบนแล้วกล่าวคาถาให้จิตเห็นเป็นอักษร เลย แล้วกล่าวพระคาถาต่อหน้าพระพุทธองค์ท่านพ่อท่านแม่ท่านย่าท่านปู่ ทำอย่างนี้นะจ๊ะ
     
  9. kamakura

    kamakura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +210
    คุณคิดว่าผมไม่เคยทำกรรมฐานเลยเรอะ โอ้ว...ประเมินผมต่ำเกินไปแล้วครับ และอีกอย่าง การมัวเมาเรื่องคาถา เฮอะๆ แล้วคนอื่นล่ะครับ ขอคาถาโน้น คาถานี้ สะเดาะกลอน เสกใบไม้เป็นผึ้ง ทำไมคุณไม่ไปว่าอะไรเค้ามั่ง ผมหรือคุณหรือแน่ที่อัคติ แล้วเรื่องนรก-สวรรค์มันมาเกี่ยวอะไรด้วยกับเรื่องคาถา จะเบนความสนใจก็เอาให้เนียนหร่อยสิครับ โถ "นั่งปฏิบัติกรรมฐาน" คำชี้แนะของคนที่ดูถูกคนอื่นด้วยความที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าแล้วอวดความรู้จนเวอร์ ผมไม่ชอบครับ เกือบทุกคนในบอร์ดนี้อาจจะมีสมาธิ มีสติ จิตใจเยือกเย็น แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมไม่ได้เป็นคนธาตุไฟ แต่เป็นคนธาตุลม เวลาที่ลมมันแรงขึ้นมาเนี่ย อะไรก็ต้านไม่อยู่หรอกครับ เพราะงั้น ประโยคนี้ "เฮ้อ!!!เอาอีกแล้ว คนโพสกระทู้แบบนี้" มันคือคำพูดแบบสุนัขสำรอกอาหารเสียครับ อย่าใช้กับคนที่อ่อนเมื่ออดีต
     
  10. chue27

    chue27 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,358
    ต้องสวดด้วยศรัทธา
     
  11. P Banglampoo

    P Banglampoo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +64
    ถือว่าเว็บบอร์ดนี้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นแล้วกัน
    ความคิดเห็นแตกต่างกันไปได้ แต่อย่าถึงขั้นทะเลาะกันเลยนะพี่นะ
    หนูขอร้อง หนูกลัวจ๊ะ
    (f)
     
  12. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    สวดด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์...จิตที่เป็นสมาธิ...มีความตั้งใจตั้งมั่น...
    จะมีหนังสือหรือไม่ก็ได้ครับ...

    โมทนาบุญด้วยครับ...สาธุ
     
  13. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    สวดสบายๆ ครับ ท่องจำไม่ได้ก็อ่านเอาครับ ของดีทั้งนั้นครับ ......
     
  14. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    สุดท้ายคุณก้อยัง ไม่เข้าใจ สัจธรรม คนเราต่างจิตต่างใจ ในเมื่อคุณเข้าใจแบบนี้ผมคงไปบอกให้คุณเข้าใจอีกแบบไม่ได้หรอกครับ แล้วอีกอย่างผมไม่เคยดูถูกใครด้วยซ้ำ ผมก็แค่บอกให้คุณลองนั่งพระกรรมฐานดู เผื่อคุณสงสัยอะไรจะรู้ด้วยตนเอง พระพุทธองค์ ตรงตรัสว่า "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา"
    ผมไม่ถือคุณหรอกครับ ในวันนี้คุณยังไม่เข้าใจเพราะอารมณ์ร้อนก็เหมือนกับผมในอดีต ผมมองคุณแล้วรู้สึกถึงอดีตของผมเมื่อก่อนเลยครับ เมื่อก่อนเราไม่ต่างกันมากหรอกครับ ผมจึงเข้าใจความคิดคุณ แต่ขอให้คุณลองเปิดใจสักนิด ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่นบ้าง แล้วสักวัน คุณจะพบหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง คนเราเกิดมาไม่มีใครไม่รู้จักคำว่าตายหรอกครับ จะทะเลาะกันไปแล้วได้อะไรขึ้นมา สู้ปล่อยเขาไป แล้วให้ กรรม เป็นตัวกำหนดดีกว่าครับ
    ส่วนที่ผมบอกว่าเรื่อง นรก-สวรรค์ นั้นคุณไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่คุณ ผมไม่ได้อวดลูกพระพุทธเจ้าทุกคนเขาไม่อวดกันหรอกครับ เพราะของแค่นี้คนที่ตั้งใจจริงย่อมไปได้ทุกคน ผมแค่เสนอความคิดให้ในเมื่อคุณไม่ยอมรับ ผมขอโทษ
    ผมขอ"อโหสิกรรม"ให้กับคุณครับ
     
  15. kamakura

    kamakura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +210
    1.คุณแน่ใจหรอ ว่าผมเหมือนคุณ คุรรู้จักผมดีแล้วหรอ
    2.เปลี่ยนเรื่องได้เรื่อยนะ รู้สึกจะเลื้อยเก่งเหลือเกิน
    3."อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา" หลอกด่านี่ งั้นผมก็ใช้ว่า "โดนตบหัวแล้วลูบหลัง ก็ถือว่าฟังเสียงหมาหอน"
    4."นรก-สวรรค์" ผมเชื่อ และศึกษาด้วยความสนใจ
    5.การยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น ผมจะทำก็ต่อเมื่อเหตุผลนั้นมันฟังดูดีและมีเหตุผล ไม่งั้นผมไม่เอามาใส่ให้รกสมองหรอก
    6."อโหสิกรรม" ไม่ต้องก็ได้ เพราะผมยังไม่ตาย แต่ที่จริงมันก็ใช้กับคนเป็นได้น่ะแหละ แต่ผมถือ คุณจะจองเวรผมไปเรื่อยๆก็ได้ แต่ผมก็ไม่เลิกง่ายๆเหมือนกัน
    7.อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมคนธาตุลม ไม่ใช่ธาตุไฟ ผมใจเย็น บางครั้งก็ใจร้อน แต่ถ้าร้อนก็มอดยาก โกรธง่าย หายยาก ไม่เป็นมิตร ก็คือศัตรู และนี่คือเหตุผลที่ผมเข้ามาหาวิธีควบคุมอารมณ์ในเว็ปนี้
    8.ขอขอบคุณเหตุผลดีๆของทุกคนที่แนะนำมา
    9.ไม่รู้จะพูดอะไร พอละ............เดี๋ยวเส้นมาม่าจะอืดซะหมด
     
  16. nemesis_2523

    nemesis_2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +1,002
    อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ เป็นชาวเวปเดียวกัน ไม่ต้องรักกันก็ได้แต่ก็อย่าแตกคอกันเองเลยนะ
     
  17. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    ธรรมะจันทสาโรบูชา จากหลวงปู่หลุย จันทสาโร

    48. ทุกคนหนีโลกธรรมไม่พ้น จึงอย่าหนีมัน เพราะมันเป็นของธรรมดา คนส่วนใหญ่คิดว่าตนฉลาด (พระองค์ตรัสว่า เป็นคนโง่ตั้งแต่เริ่มคิด เพราะเป็นอารมณ์หลง) ดังนั้น เมื่อถูกด่า-ว่า-หรือติ หรือนินทา จะมีอารมณ์ไม่พอใจ โกรธ เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง เกิดอาฆาต-พยาบาท-จองเวร เพราะอารมณ์โง่ โมหะหรือหลง หรือมิจฉาทิฏฐิ จึงทำร้ายตนเอง เผาตนเอง เบียดเบียนตนเอง ขาดเมตตาต่อตนเอง เหมือนกินยาพิษ เพราะโมหะ (โง่) แต่ใครเชื่อพระองค์ก็เป็นสุข เพราะถือเป็นของธรรมดา ให้ตั้งไว้ในอารมณ์ช่างมัน หรือวางเฉย หรือสักแต่ว่า หรืออุเบกขา จนถึงสังขารุเบกขาญาณในที่สุด

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=49331
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2006
  18. คุณ 4

    คุณ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +5,159
    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    ปล่อยวางจากสิ่งทั้งปวง

    แล้วเมื่อเราพยายามทำไปๆ เห็นโทษในอารมณ์ที่ว่า มันชอบใจหรือว่ามันไม่ชอบใจ หรือเห็นโทษในสรรเสริญ เห็นโทษในการนินทา สม่ำเสมอกันอยู่ นั้นแหละ ไม่มีอะไรแปลกกัน นินทาก็สม่ำเสมอกันสรรเสริญมันก็สม่ำเสมอกัน
    เมื่อพูดถึงจิตคนเราในโลกนี้ ถ้านินทาละก็ไม่ได้บีบหัวใจเรา ถ้าถูกสรรเสริญมันแช่มชื่นสบาย มันเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติของมัน เมื่อมันรู้ตามความเป็นจริงเสียแล้วว่าอารมณ์ที่เขานินทานั้นมันก็มีโทษ อารมณ์ที่เขาสรรเสริญนั้นมันก็มีโทษ ติดในสรรเสริญมันก็มีโทษ ติดในการนินทามันก็มีโทษ มันเป็นโทษทั้งหมดทั้งนั้น ถ้าเราไปหมายมั่นมันอย่างนั้น
    เมื่อความรู้อย่างนี้เกิดขึ้นมา เราก็จะรู้สึกอารมณ์ถ้าไปหมายมั่นมันก็เป็นทุกข์จริงๆ มันทุกข์ให้เห็น ถ้าไปยึดดียึดชั่วมันก็เป็นทุกข์ขึ้นมา แล้วก็มาเห็นโทษนั้นว่าความยึดทั้งหลายนั้นมันเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ เพราะชั่วก็ตะครุบ ดีก็ตะครุบ ทำไมจึงเห็นโทษมัน? เพราะเราเคยยึดมั่นมันมา เคยตะครุบมันมาอย่างนี้ จึงเห็นโทษ มันไม่มีสุข ทีนี้ก็หาทางปล่อยมัน จะปล่อยมันไปตรงไหนหนอ?
    ในทางพุทธศาสนาท่านว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นแต่เราฟังไม่จบไม่ตลอด ที่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นนั้นคือว่าท่านให้ยึดอยู่แต่อย่าให้มั่น เช่นอย่างนี้ อย่างไฟฉายนี่น่ะ นี่คืออะไร ไปยึดมันมาแล้วก็ดู พอรู้ว่าเป็นไฟฉายแล้วก็วางมัน อย่าไปมั่นยึดแบบนี้ ถ้าหากว่าเราไปยึด เราจะทำได้ไหม? จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ต้องยึดเสียก่อน
    ครั้งแรกจะว่ามันเป็นตัณหาก็ได้ แต่ว่าต่อไปมันจะเป็นบารมี อย่างเช่นท่านชาคโร จะมาวัดป่าพง ก็ต้องอยากมาก่อน ถ้าไม่รู้สึกว่าอยากมาก็ไม่ได้มา โยมทั้งหลายก็เหมือนกัน ก็มีความอยากนั่นแหละจึงได้มานี้จึงมาด้วยความอยาก เมื่อมีความอยากขึ้นมา ท่านก็ว่าอย่ายึดมั่นคือมาแล้วก็กลับ อย่างที่สงสัยว่านี่อะไร แล้วก็ยึดขึ้นมา เออ มันเป็นไฟฉายนะ นี่น่ะแล้วก็วางมัน นี้เรียกว่ายึดแต่ไม่ให้มั่น ปล่อยวาง รู้แล้วปล่อยวาง พูดง่ายๆก็ว่ารู้แล้วปล่อยวาง จับมาดูรู้แล้วปล่อยวาง
    อันนี้เขาสมมติว่ามันดี อันนี้เขาสมมติว่ามันไม่ดีรู้แล้วก็ปล่อยทั้งดี ทั้งชั่ว แต่ว่าการปล่อยนี้ไม่ได้ทำด้วยความโง่ ไม่ได้ยึดด้วยความโง่ ให้ยึดด้วยปัญญาอย่างนี้อันนี้อิริยาบถนี้เสมอได้ ต้องเสมอได้อย่างนี้ คือจิตมันเป็น ทำจิตให้รู้ ทำจิตให้เกิดปัญญา เมื่อจิตมีปัญญาแล้วอะไรมันจะเหนือไปกว่านั้นอีกเล่า ถ้าหากจะยึดมา มันก็ยึดไม่มีโทษยึดขึ้นมาแต่ไม่มั่น ยึดดูแล้วรู้แล้วก็วาง
    อารมณ์เกิดมาทางหู อันนี้เรารู้โลกเขาว่ามันดีแล้วมันก็วาง โลกเขาว่ามันไม่ดี มันก็วาง มันรู้ดีรู้ชั่ว คนที่ไม่รู้ดี รู้ชั่ว ไปยึดทั้งดีทั้งชั่วแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น คนรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ได้ยึดในความดี ไม่ได้ยึดในความชั่ว คนที่ยึดในความดีความชั่ว นั่นคือคนไม่รู้ดีรู้ชั่ว และคำที่ว่า เราทำอะไร ตลอดที่ว่าเราอยู่ไปนี้ เราอยู่เพื่อประโยชน์อะไร เราทำงานอนี้เราทำเพื่อต้องการอะไร แต่โลกเขาว่าทำงานอันนี้เพราะต้องการอันนั้น เขาว่าเป็นคนมีเหตุผล แต่พระท่านสอนยิ่งไปกว่านั้นอีก ท่านว่าทำงานอันนี้ทำไปแต่ไม่ต้องการอะไร ทำไมไม่ต้องการอะไร? โลกเขาต้องทำงานอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น ทำงานอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้ นี่เป็นเหตุผลอย่างชาวโลกเขา

    พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ทำงานเพื่อทำงาน ไม่ต้องการอะไร ถ้าคนเราทำงานเพื่อต้องการอะไร ก็เป็นทุกข์ ลองดูก็ได้ พอนั่งปั๊บก็ต้องการความสงบ ก็นั่งอยู่นั่นแหละ กัดฟันเป็นทุกข์แล้ว นั่นลองคิดดูซิ มันละเอียดกว่ากันอย่างนี้ คือทำแล้วปล่อยวางๆ อย่างเช่นพราหมณ์เขาบูชายันต์ เขาต้องการสิ่งที่เขาปรารถนานั้นอยู่ การกระทำเช่นนั้นของพราหมณ์นั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์ เพราะเขามีความปรารถนาจึงทำ ทำแล้วก็ทุกข์ เพราะทำด้วยความปรารถนา ครั้งแรกเราทำก็ปรารถนาให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไปๆ ทำจนกว่าที่เรียกว่าไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ทำเพื่อปล่อยวางมันอยู่ลึกซึ้งอย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการอะไร? เพื่อต้องการพระนิพพานนั่นแหละ จะไม่ได้พระนิพพาน ความต้องการอันนี้เพื่อให้มีความสงบ มันก็เป็นธรรมดาแต่ว่าไม่ถูกเหมือนกัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องคิดว่าจะต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นอะไรมันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=49432
     
  19. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เราเป็นพลังงานขับเคลื่อนความขลัง = ถ่านอันตราย(อังคะลาย)
     
  20. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    อืม.....ผมหาข้อสรุปให้เองนะครับ ด้วยหลักธรรมนี้:-

    อนุปุพพิกถา 5 (เรื่องที่กล่าวถึงตามลำดับ,ธรรมเทศนาที่แสดงเนื้อความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จนพร้อมที่จะทำความเข้าใจในธรรมส่วนปรมัตถ์)

    1.ทานกถา (เรื่องทาน,กล่าวถึงการให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือกัน)
    2.สีลกถา (เรื่องศีล,กล่าวถึงความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม)
    3.สัคคกถา (เรื่องสวรรค์,กล่าวถึงความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกาม ที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น)
    4.กามาทีนวกถา (เรื่องโทษแห่งกาม,กล่าวถึงส่วนเสีย ข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงไหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้)
    5.เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งความออกจากกาม,กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น)

    ตามปกติ พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คฤหัสถ์ ผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมพิเศษ ทรงแสดงอนุปุพพิกถานี้ก่อน แล้วจึงตรัสแสดงอริยสัจจ์ 4 เป็นการทำจิตให้พร้อมที่จะรับ ดุจผ้าที่ซักฟอกสะอาดแล้ว ควรรับน้ำย้อมต่างๆ ได้ด้วยดี

    จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)


    ปล.การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปตามลำดับขึ้นอยู่ที่ระดับอินทรีย์ของแต่ละคน อย่างตอนแรกท่านก็สอนให้เห็นอานิสงส์ของความสุขจากกามที่ประณีตกว่ากามสุขในโลกมนุษย์ ก็คือความสุขบนสวรรค์ นั่นคือให้คนน้อมจิตไปในการทำความดีหมั่นให้ทานรักษาศีลเพื่อหวังกามสุขในสวรรค์ซะก่อน จากนั้นเมื่ออินทรีย์แก่กล้าขึ้นแล้วท่านจึงค่อยชี้ให้เห็นโทษของกามและอานิสงส์ของการออกจากกามไปตามลำดับ

    การสวดมนต์ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพรากจิตออกจากเรื่องของกาม ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี จัดอยู่ในข้อที่5 แต่การปฏิบัติตามหลักธรรมในข้อที่5 และไปต่ออริยสัจจ์ 4 จะได้ผลดีมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ พื้นฐานจากข้อที่ 1-4 เป็นสำคัญด้วยล่ะครับ _/\_
     

แชร์หน้านี้

Loading...