สงสัยครับว่า พระพุทธเจ้าท่านบรรลุนิพพานไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาปรากฎให้เห็นอะครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย eak_430, 24 เมษายน 2010.

  1. eak_430

    eak_430 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    สงสัยครับว่า พระพุทธเจ้าท่านบรรลุนิพพานไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาปรากฎให้เห็นอะครับ ผมได้ฟังธรรมเทศนาจากพระ หลายรูป พระบางรูปก็บอกว่า ท่านนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า ถ้าเช่นนั้น ท่านก็รู้ซิครับว่าหน้าตาพระพุทธเจ้าเป็นยังไง แต่สงสัยว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ท่านก็ไม่น่าปรากฎมาให้เห็นนะครับ หรือผมไม่เข้าใจความหมายของนิพพานกันแน่ครับ
     
  2. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    คนพูดไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ตีความผิดไปไปเรื่อยลองดูการระลึกชาตินะครับ ตัวเราเองยังมาให้เราเห็นได้เลยทั้งๆที่เราก็มาเกิดใหม่แล้ว และยังเห็นตัวเองในอานาคตได้อีกต่างหากทั้งๆที่ยังไม่ตาย
     
  3. eak_430

    eak_430 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    แต่พระท่านหรือคนที่เห็นพระพุทธเจ้า ก็บอกรูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า ไม่เห็นเหมือนกันสักคนเลยครับ บางท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับสาวก พระสารีบุตร พระโมกคลา แล้วรู้ได้ยังไงว่าพระรูปนั้นคือ พระสารีบุตร พระโมกคลา หรือจะเป็นเพราะจิตที่คนเราศึกษาธรรมะ แล้วจิตจดจำ จึงจินตนาการเองระหว่างที่นั่งสมาธิ ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ครับ
     
  4. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ขออนุณาตตอบขอรับ
    ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของกระผม คิดว่า

    ผู้ใดที่มีจิตที่ศัทธาในพุทธศาสนา อย่างยิ่งยวด และฝึกฝนตนจนถึงระดับข้ามขีดจำกัดของการรับรู้ ย่อมสื่อถึงกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ช่วงเวลาใด เป็นสิ่งที่เหนือกาลเวลา เหนือจินตนาการมนุษย์ผู้ที่ยังอยู่ภายไต้ขีดจำกัด ผู้ที่ได้สัมผัสคือผู้ที่บรรลุแล้ว เป็นผู้ที่ข้ามขีดจำกัดนั้น และจิตแห่งพระพุทธเจ้าท่านทรงสถิตอยู่ทุกอนูแห่งสรรพสิ่ง ทุกช่วงแห่งกาลเวลา ท่านผู้ปฎิบัติจึงสามารถสื่อถึงพระองค์ท่านได้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าท่านจะนิพพานไปนานแสนนานแล้วก็ตาม การนิพพานไม่ได้ดับสุญทุกอย่างยังเหลือไว้ซึ่งจิตที่เป็นอมตะ และทรงอยู่เหนือการเวลาในทุกสรรสิ่ง

    เป็นเีพียงความเข้าใจของกระผม ที่พยายามจะช่วยให้ท่านผู้สงสัยได้คลายข้อสงสัยลงไปบ้าง หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยท่านผู้ที่รู้มา ณ ที่แห่งนี้ด้วย สาธุ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ลองฟัง หลวงปู่พุธ ฐานิโย

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.938637/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    พระนิพพาน เป็นสถานที่ที่ชี้ที่ตั้งไม่ได้ เป็นอนัตตา สุญญตา อย่างแท้จริง มีแต่ฝ่ายอสังขตธาตุหรือฝ่ายโลกุตตระที่เข้าถึง ไม่ตกอยู่ในภพภูมิของวัฏฏะสังสารใดๆ

    ชี้ได้แต่ธรรมกาย

    ธรรมกาย แม้ไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่ก็เป็นอายตนะนิพพาน ที่ฝ่ายโลกุตตระใช้ติดต่อกับฝ่ายบัญญัติ (ฝ่ายตกอยู่ในสังสารวัฎฎ์) เพราะไม่เช่นนั้นก็ติดต่อกันไม่ได้ เพราะฝ่ายบัญญัติยังตกอยู่ในขันธ์ห้า ตกอยู่ในความคิด (ต้องคิดต้องสื่อสาร) ยังมีการติดต่อกันผ่านบัญญัติ (ขบวนการสังขาร - ความเข้าใจความคิด)

    แต่ฝ่ายโลกุตตระไม่ใช่ตัวตนอย่างที่เราจะนึกเอาได้ เพียงแต่มาปรากฏโดยต้องอาศัยบัญญัติเพื่อการสื่อสารกับฝ่ายบัญญัติ แต่เราจะไปนึกว่าท่านยังเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ไม่ได้

    ธรรมกาย ดินแดนนิพพาน หรือ พุทธนิมิต ไม่ใช่พระนิพพาน
    เป็นเพียงอายตนะนิพพานของฝ่ายโลกุตตระ ที่สามารถติดต่อกับฝ่ายบัญญัติได้ คือเป็นพุทธนิมิตขึ้นมา

    แต่ไม่ง่ายหรอก ที่ใครจะได้พบ ส่วนใหญ่อุปาทาน หรือนำมาหากินหลอกกัน เป็นส่วนมาก

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ใช้มโนมยิทธิ คือใช้กำลังพระมาช่วยลูกิษย์ที่เข้าฌานสี่เองไม่ได้ ไปแดนนิพพาน หรือแดนสวรรค์ต่างๆ
    หลวงปู่ดู่ ก็เมตตาพาลูกศิษย์ไปแดนนิพพานได้เช่นกัน (กำลังของหลวงปู่ดู่มากมายมหาศาล ขอให้วางจิตดีๆ ) หลวงปู่ดู่เรียกว่าพุทธนิมิต ที่เห็นน่ะไม่จริงนะ แต่ก็ไม่ใช่ไม่จริงเช่นกัน
    หลวงพ่อสด (ยากกว่ามโนฯมากมาย) คือต้องใช้ฌานสี่นะ เข้าดูธรรมกายตัวเอง (แม้นยังไม่ได้เป็นพระอริยะก็เห็นได้ แบบข่มด้วยสมาธิ เพราะทุกคนมีพุทธะหรือจิตหนึ่งในตัวทุกท่าน)

    แม้นแต่เหล่าพระโพธิสัตว์ ก็สามารถไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ได้ (ได้ทุกพระองค์) แต่ตามมารยาท ย่อมไปเข้าเฝ้าองค์ปัจจุบันและพระศรีอารยเมตตรัย ซึ่งต้องฝึกฌานกันพอสมควร ใครไม่มีฌานก็ต้องอาศัยกำลังพระเช่นกัน


    การไปพบพระ ไม่สำคัญเท่าปฏิบัติตามคำพระ คือทำลายกิเลสให้ได้
    นอกนั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น

    ไม่ว่าจะมาสายสัทธา หรือสายปัญญา ก็ต้องวางมันลงจึงจะเข้าถึงปัญญาญาณที่แท้จริง หลุดจากสมมุติทั้งปวง

    ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สาธุ ......
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรื่องนี้เมื่อก่อนเคยคิดสงสัยอยู่
    พระพุทธเจ้าเหล่าพระอรหันตขีณาสพ
    ท่านบรรลุนิพพานแต่ทำไมปรากฏให้เห็นได้

    เมื่อท่านปฏิบัติถึงระนาบของการ บรรลุธรรม
    ท่านจะเห็นสสารและพลังงาน ที่ไม่สูญหายไปจากโลก

    สิ่งเหล่าเป็นคุณธรรมที่จับต้องไม่ได้ สัมผัสได้ที่ใจ
    แต่ให้รู้ว่าจิตทุกดวงแล้วไซร์ ล้วนว่างเปล่า

    จะต้องไปแสวงหาจิตด้วยจิต

    ให้ยุ่งยากไปทำไม
     
  9. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ขนาดเทวดา ยังเหม็นมนุษย์แทบตาย นี่แค่กายนะ
    แล้วจิตที่เต็มไปด้วยกิเลสแน่นหนา ใครจะอยากใกล้
    คนด้วยกัน ยังไม่อยากใกล้กันเลย

    แล้วจิตเช่นใดกัน
    จึงจะได้พบธรรมกายของพระพุทธเจ้าได้ พระมหาโพธิสัตว์ได้ พระอรหันต์ได้ ฯลฯ


    ดังนั้น อย่าไปหวังพบพระราชา ถ้าไม่ได้ทำคุณงามความดีใด

    :boo:
     
  10. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    พวกพุทธภูมิจะต้องรับคำสอนจากพระพุทธเจ้าทุกคน แม้ครูบาอาจารย์ก็ยังสอนไม่ได้ พูดจากประสบการณ์นะครับ

    ยกตัวอย่างเช่น พระอานาคามีชั้นสุทธาวาส พอตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนพรหมโลก แล้วก็บรรลุพระนิพพานในชั้นนี้เลย แต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้จะอยู่ในฐานะพระอรหันต์อีกนานมาก ข้อสังเกตุก็คือว่า ท่านเหล่านี้ไม่มีร่างกาย คือธาตุ ๔ เหมือนอย่างมนุษย์ หมายความว่ากายทิพย์เป็นกายพระอรหันต์ กล่าวคือเปลี่ยนจากกายสีทองใสระยิบระยับ เป็นสีแก้วใสแจ๋ว วิมานของท่านซึ่งมีมากกว่าเม็ดทรายในพระมหาสมุทรเสียอีก ก็กลายเป็นแก้วใสระยิบระยับเช่นกัน นี่ก็คือดินแดนพระนิพพานนั่นเองครับ

    อนึ่งพระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาสอนผม ประมาณ ๘ ครั้งด้วยกันที่จำได้นะครับ นอกนั้นท่านมาในลักษณะ อรูปฌานธรรมกาย นับครั้งไม่ถ้วนเพราะไม่ได้บันทึกเอาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อย่าไปเดา อย่าไปสงสัย เพราะตนยัง ไม่รู้ไม่เห็น ก็คาดไปต่างๆ นาๆ ว่า เป็นเพราะเหตุใด

    แต่ ให้พิจารณาดังนี้

    การเห็นพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันตสาวก เป็น นิมิต ซึ่งนิมิตนั้น มีเหตุ อาจจะมาจากบารมีของพระพุทธองค์ ที่ดลให้เกิดก็ได้ หรือ บารมีของพระอรหันตสาวกดลให้เกิดก็ได้ ท่านนิพพาน แต่ ท่านสูญไปเสียเมื่อไร บารมีท่านก็มีอยู่

    คำว่า พระนิพพานเป็น อายตนะ ผู้ลิ้มรสพระนิพพานแล้ว ก็เห็น พระพุทธเจ้าได้ พระอรหันตสาวก ก็เห็นได้

    เปรียบเหมือน คนสัมผัสรสหวาน แล้ว นึกถึงน้ำตาลก็ได้
    ใครสัมผัสรสเปรี้ยว แล้วนึกถึงมะนาวก็ได้ ไม่มีใครห้าม

    นึกถึงมะนาว ก็ไม่ได้ทำให้ ความเปรี้่ยวหมดไป คนละส่วนกัน

    มะนาว เป็นส่วนสมมติ ความเปรี้ยวเป็นส่วนจริง ที่รับกันขณะนั้น

    เรื่องนี้ มีคนไม่เข้าใจก็ไปปรามาส พระ ว่า เขาเห็นไม่จริง

    เขาเห็นจริง และ ไม่ได้หมายความว่า การเห็นของพระท่านเป็นเรื่องเหลวไหล
     
  12. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ผมก็สงสัยจัง ว่าทำไมคุณจึงสงสัยท่าน เป็นวิจิกิจฉาอนุโมทนา สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    เป็นประเด็นคำถามที่ดีมาก และตอบได้ยากมากเช่นกัน และผู้ตอบจะมีความเสี่ยงในการตอบว่าจะก่อให้เกิดการไม่ถูกใจกันขึ้นได้ แต่เมื่อเราเป็นชาวพุทธปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระศาสดาโดยเฉพาะเรื่อง "โยนิโสมนสิการ" แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรตรวจสอบสิ่งต่างๆ คำสอนต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีว่าจริงเท็จประการใด? ตามหลัก "กาลามสูตร" ก่อนจะเชื่อหรือไม่เชื่อถ้อยคำ คำสอน ประสบการณ์ต่างๆ

    ประเด็นที่ถามมานี้ ขออธิบายตามความเห็นส่วนตัวว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงปรินิพพานไปแล้วนั้น ย่อมจะชื่อว่าไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์ได้อีก ดังพุทธพจน์ต่อไปนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
    ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
    ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
    ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

    ทั้งนี้สืบเนื่องจากว่า เมื่อปรินิพพานไปแล้ว รูปนามจะไม่ก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิต ในภพภูมิใดๆ ได้อีกนั่นเอง ตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท เป็นต้นว่า เมื่ออวิชชาดับ สังขารจึงดับ เมื่อสังขารดับ วิญญาณ(รวมถึงปฏิสนธิวิญญาณ)จึงดับ เมื่อวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เป็นต้น ไม่มีจิตเหลือตั้งอยู่อีกแต่อย่างไร

    จึงเป็นอันสรุปได้ในเบื้องต้นว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนั้น ย่อมจะไม่มีใครเห็นพระองค์อีกได้ แต่เพราะอะไรเล่าจึงมีท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเห็นพระพุทธเจ้าได้ ตรงนี้เมื่อตรวจสอบดูให้ถ้วนถี่แล้ว จะมีกุญแจอยู่อย่างหนึ่งที่จะไขปัญหาได้ นั่นก็คือ "ปฏิปทาของการปฏิบัติ"

    ปฏิปทาของการปฏิบัติในที่นี้ มุ่งหมายถึงการเจริญสมถกรรมฐานเท่านั้น ว่าท่านได้บำเพ็ญด้วยวิธีอะไร จากที่ศึกษามา ผู้ที่ได้รับการยอมรับกันว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าจริงๆ จะเจริญสมถกรรมฐานด้วย "พุทธานุสติ" ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น ที่นิยมกันคือระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยการบริกรรม "พุทโธ" ซึ่งตรงนี้เอง ที่เป็นจุดทำให้เกิดการสั่งสมสัญญาภาพของพระพุทธเจ้าอยู่สม่ำเสมอ บางคนก็จะฝึกโดยนึกภาพว่าตนเองได้นั่งสมาธิอยู่หน้าพระพุทธรูปก็มี ซึ่งเมื่อได้ทำไปบ่อยๆ แล้วจิตสงบลงไปจะปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้ามาปรากฏตรงหน้าจริงๆ เรื่องดังกล่าวนี้มีปรากฏหลักฐานมาแล้วในชั้นพระไตรปิฏกขอยกมาให้อ่านดังนี้

    รังสิสัญญกเถราปทานที่ ๕ (๒๑๕)
    ว่าด้วยผลแห่งการได้สัญญาในพระพุทธเจ้า
    [๒๑๗] เราได้เห็นพระพุทธเจ้าสว่างจ้าดังพระอาทิตย์อุทัย เปล่งปลั่งดังพระจันทร์
    องอาจดังเสือโคร่ง ประเสริฐ มีสกุล ในระหว่างภูเขา อานุภาพของ
    พระพุทธเจ้ารุ่งเรืองอยู่ในระหว่างภูเขา เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระรัศมี
    แล้ว บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัลป ในกัลปที่เหลือ เราก่อสร้างกุศล
    ด้วยจิตเลื่อมใสนั้น และด้วยการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ใน ๓ หมื่นกัลป
    แต่กัลปนี้ เราได้สัญญาใด ในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จัก
    ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการได้สัญญาในพระพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๕๗
    แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง เป็นจอมแห่งชน
    มีนามว่าสุชาติ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔
    วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้
    ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระรังสิสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

    จบ รังสิสัญญกเถราปทาน.

    - - - - - - - - - - -

    โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส
    ว่าด้วยปัญหาของมาณพทั้ง ๑๖ คน

    [๖๒๔] ท่านพราหมณ์ อาตมาย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ด้วยใจ เหมือนเห็นด้วยจักษุ. อาตมาเป็นผู้ไม่ประมาท
    ตลอดคืนและวัน นมัสการอยู่ตลอดคืนและวัน. อาตมาย่อม
    สำคัญ การไม่อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล.
    [๖๒๕] คำว่า อาตมาย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยใจ เหมือนเห็นด้วยจักษุ
    ความว่า บุรุษผู้มีนัยน์ตาพึงแลเห็น มองดู แลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ซึ่งรูปทั้งหลาย
    ฉันใด อาตมาแลเห็น มองดู แลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว
    ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาตมาย่อมเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยใจ
    เหมือนเห็นด้วยจักษุ.

    ที่นำพระสูตรบางส่วนมาให้อ่านไปข้างต้น แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้าได้นั้นเกิดจากการฝึกฝนให้เกิดระลึกถึงพระพุทธเจ้า จนกระทั่งได้สัญญาในพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าได้ดุจเห็นด้วยตาเนื้อ ตรงนี้จะว่าไปคล้ายๆ กับการฝึกกสินที่เพ่งรูปกสิณจนติดตา หรือจะเป็นการเพ่งซากศพ การเพ่งพระพุทธรูปในปัจจุบันก็ได้

    นอกไปจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่มีผู้เห็นพระพุทธเจ้ามาปรากฏซึ่งจะแตกต่างจากการเห็นด้วยฝึกสมถกรรมฐาน เป็นการเห็นจากการที่มารจำแลงมาหลอกนั่นเอง ขอยกมาให้อ่านจากประวัติอุบาสก เอตทัคคะจาก จากเว็ป 84000.org ดังต่อไปนี้

    มารแปลงร่างเป็นพุทธเจ้า

    ขณะนั้น มารตนหนึ่งคิดว่า “สูรอัมพัฏฐะนี้เป็นสมบัติของเรา แต่วันนี้พระสมณโคดม
    เสด็จมาทำให้เขาดำรงอยู่ในอริยภูมิเสียแล้ว สมควรที่เราจะรู้ว่าเขาพ้นจากวิสัยของเราแล้วหรือ
    ยัง จึงเนรมิตรูปร่างให้ละม้ายคล้ายกับพระทศพล พร้อมทั้งทรงบาตรและจีวรมีสีสันฐานดุจ
    เดียวกัน แสดงท่าเสด็จพระราชดำเนินด้วยอากัปกิริยาของพระพุทธองค์ทรงด้วยพระลักษณะ
    ๓๒ ประการมาประทับยืนที่ประตูบ้านของสูรอัมพัฏฐะ
    ฝ่ายสูรอัมพัฏฐะ ได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาอีกก็คิดว่า “ธรรมดาการเสด็จไป
    ในที่ไหน ๆ แบบไม่แน่นอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นไม่มีเลย เหตุไฉนหนอ พระพุทธองค์
    เพิ่งจะเสด็จกลับไปได้ไม่นาน จึงเสด็จกลับมาประทับยืนดังเดิมอีก” เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็รีบออก
    ไปถวายการต้อนรับกราบถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่อันสมควรแก่ตน พลางกราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงกระทำภัตกิจในเรื่องของข้าพระองค์แล้ว เพราะ
    เหตุไรพระองค์จึงเสด็จมาอีกพระเจ้าข้า ?”
    มารในรูปของพระพุทธองค์กล่าวว่า
    “ดูก่อนสุรอัมพัฏฐะ เรากล่าวธรรมแก่ท่านไม่ทันได้พิจารณาโดยได้กล่าวไปว่า
    ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมายถึงทุกอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็น
    อย่างนั้นทั้งหมด เพราะว่า ขันธ์บางอย่างบางพวก ที่เป็นของเที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ก็มีอยู่”

    แต่ว่าในชั้นอรรถกถาจารย์เอง ก็ได้มีการกล่าวเอาไว้ถึงการเห็นพระพุทธเจ้าเอาไว้เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นการเห็นด้วยอำนาจการอธิษฐานของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงอธิษฐานเอาไว้ก่อนปรินิพพานว่าจะให้พระบรมสารีริกธาตุต่างๆ มารวมกันเป็นพระพุทธลักษณะครบทั้ง ๓๒ ประการในช่วงที่จะสิ้นสุดพระพุทธศาสนา ขอยกมาให้อ่านดังต่อไปนี้

    อรรถกถาวรรคที่ ๑๐

    ชื่อว่า อันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี้ :- ปรินิพพานมี
    ๓ คือกิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส, ขันธปรินิพพาน
    การปรินิพพานแห่งขันธ์, ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ
    บรรดาปรินิพพาน ๓ อย่างนั้น กิเลสปรินิพพาน ได้มีที่โพธิบัลลังก์.
    ขันธปรินิพพาน ได้มีที่กรุงกุสินารา ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต
    จักมีอย่างไร ? คือครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับสักการะ และ
    สัมมานะในที่นั้น ๆ ก็ไปสู่ที่ ๆ มีสักการะ และสัมมานะ ด้วยกำลัง
    อธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เมื่อกาลล่วงไป ๆ สักการะและ
    สัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง. เวลาพระศาสนาเสื่อมลง พระธาตุ
    ทั้งหลายในตามพปัณณิทวีปนี้ จักประชุมกันแล้วไปสู่มหาเจดีย์
    จากมหาเจดีย์ ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นั้นจักไปสู่โพธิบัลลังก์. พระธาตุ
    ทั้งหลายจากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง
    จักไปสู่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์
    ผักกาดจักไม่หายไปในระหว่าง. พระธาตุทั้งหมดจักประชุมกันที่
    มหาโพธิมัณฑสถานแล้ว รวมเป็นพระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระ
    ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิมัณฑสถาน. มหาปุริสลักษณะ ๓๒
    อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีประมาณวาหนึ่ง ทั้งหมดครบบริบูรณ์
    ทีเดียว. แต่นั้นจักกระทำปาฏิหาริย์แสดง เหมือนในวันแสดงยมก
    ปาฏิหาริย์. ในกาลนั้น ชื่อว่า สัตว์ผู้เป็นมนุษย์ ไม่มีไปในที่นั้น.
    ก็เทวดาในหมื่นจักรวาฬ ประชุมกันทั้งหมด พากันครวญคร่ำรำพัน
    ว่า วันนี้พระทสพลจะปรินิพพาน จำเดิมแต่บัดนี้ไป จักมีแต่ความมืด.
    ลำดับนั้น เตโชธาตุลุกโพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ ทำให้พระสรีระนั้น
    ถึงความหาบัญญัติมิได้. เปลวไฟที่โพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ พลุ่ง
    ึขึ้นจนถึงพรหมโลก เมื่อพระธาตุแม้สักเท่าเมล็ดพรรณผักกาดยัง
    มีอยู่ ก็จักมีเปลวเพลิงอยู่เปลวหนึ่งเท่านั้น เมื่อพระธาตุหมดสิ้นไป
    เปลวเพลิงก็จักขาดหายไป. พระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่
    อย่างนี้แล้ว ก็อันตรธานไป ในกาลนั้น หมู่เทพกระทำสักการะ
    ด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรีทิพย์เป็นต้น เหมือนในวันที่พระ
    พุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน กระทำปทักษิณ ๓ ครั้ง ถวายบังคม
    แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ จัก
    ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต ดังนี้แล้วก็กลับไปที่
    อยู่ของตน ๆ นี้ ชื่อว่า อันตรธานแห่งพระธาตุ.


    ที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้เห็นแล้วว่า การเห็นพระพุทธเจ้าหลังที่ทรงปรินิพพานสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ สรุปอีกครั้งได้แก่

    ๑. เห็นเพราะเป็นนิมิต เช่น จากพุทธานุสติ, การเพ่งพระพุทธรูป เป็นต้น
    ๒. เห็นเพราะเป็นอำนาจแห่งมารจำแลง
    ๓. เห็นเพราะเป็นอำนาจการอธิษฐานของพระพุทธเจ้า


    ซึ่งในข้อ ๓ นี้เอง โดยส่วนตัวคิดเห็นว่า หากจะกล่าวในอีกมุมมองหนึ่ง ที่นอกเหนือจากหลักฐานที่ปรากฏในชั้นต่างๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ครูอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างๆ ที่ปฏิบัติไปแล้วได้เห็นพระพุทธเจ้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า หรือได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้นอาจจะเห็นด้วยอำนาจการอธิษฐานของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงอธิษฐานเอาไว้หรือไม่อย่างไร แต่ไม่ได้มีการจารึกเป็นหลักฐานก็อาจจะเป็นไปได้

    แต่ถึงอย่างไร พระพุทธเจ้าที่เห็นนั้นย่อมจะไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนอยู่ เนื่องจากมีพุทธพจน์ที่ทรงตรัสเอาไว้เองรองรับเอาไว้ และพระพุทธเจ้านั้นก็ได้ทรงปรินิพพานไปแล้ว หาไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จะกลายเป็นว่า นิพพานในพระพุทธศาสนาเป็นดินแดนอมตะที่เป็นลักษณะเดียวกับ "อัตตามัน"

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงหลักฐานและการวิเคราะห์ส่วนบุคคล ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยตนเองเถิด

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  14. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    --> ผีทั่วไป มีคุณวิเศษมีฤทธิ์น้อย จึงสามารถปรากฎกายให้มนุษย์เห็นได้อย่างจำกัด
    --> เทวดา พรหม มีคุณวิเศษมีฤทธิ์มากกว่าผี จึงสามารถปรากฎกายให้มนุษย์เห็นได้
    มากกว่าผี ตามแต่โอกาสที่ท่านต้องการให้เห็น
    --> พระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นระดับอาจารย์ของเทวดา พรหม แม้เข้าพระนิพพานไปแล้ว แต่
    ท่าน มีคุณวิเศษ มีฤทธิ์มีพุทธคุณมากไม่มีประมาณ จึง...ปรากฎกายให้มนุษย์เห็นได้

    ท่านคิดเอาเองละกันนะครับ
     
  15. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราคถาคต ประโยคนี้ วลีนี้ ตรัสโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้เมื่อ สองพันกว่าปี ล่วงมาแล้ว

    ใครที่เห็นธรรม เข้าถึงธรรมจริงๆ ก็จะเป็นอย่างทีพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสไว้

    ธรรมะของพระองค์ท่านเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลเวลา ถ้าทุกคน ทำได้ถูก ทำได้พอเหมาะ
    โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตร ต้องมีอย่างแน่นอน ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ก็จะเป็นดังที่องค์สมเด็จบรมครู ได้ทรงตรัสไว้ว่า

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู็นั้นเห็นเรารคถาคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2010
  16. manussanun

    manussanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +202
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราคถาคต"

    ตามนั้นเลยครับ
    ใครไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ดูนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...