น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    แวะเข้ามาดู

    เดี๋ยวจะมีคำถามกลับมาว่า

    "แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า องค์ไหนเป็นพระอรหันต์ ?"
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    แวะเข้ามาดู

    เดี๋ยวจะมีคำถามกลับมาว่า

    "แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า องค์ไหนเป็นพระอรหันต์ ?"

    --------------------------------------

    ยังเหมือนเดิมนะคุณ manson810

    คงเป็นคำถามที่แทงใจดำมาก เลยพยายาม พูดดักหน้าเอาไว้ก่อน

    ก็ลองตอบมาให้ได้หน่อยเป็นไร

    หรือคุณพบพระอรหันต์จริงๆแล้ว?

    หรือเราจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดว่าใครเป็นพระอรหันต์?

    เดาเอา หรือเชื่อตามตำรา หรือเชื่อตามคนอื่น หรือดูจากคนส่วนมากเขาเชื่อ??
     
  3. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมเคยเห็นพระอรหันต์แล้วครับ
    มีอยู่ตั้งหลายองค์
     
  4. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    อย่ามองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นสิคร๊าบ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ

    ก็ไม่ได้เป็นคำถามที่ทิ่มแทงอะไรครับ
    ผมกลับมองว่าเป็นคำถามที่มีเหตุผลดีออก

    เรื่องบางอย่าง มันเป็น "ปัจจัตตัง" พิจารณาด้วยตนเอง โดยเทียบเคียงกับอะไรหลายๆอย่าง ประกอบกัน
    ต่างมุมมอง ต่างทัศนคติ

    ส่วนที่ว่าจะ ใช่หรือไม่? จะถูกหรือผิด? มันก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

    หลักตัดสินว่าอันไหนธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง อันไหนไม่ใช่ ในพระไตรปิฏกก็มีเขียนไว้แล้วนะครับ อยู่ใน เล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฏก อังคุตตรนิกาย "สังขิตตสูตร" (ขอยกมาหน่อย อย่าพึ่งเบื่อนะครับท่านเตชะ)


    "พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า

    ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
    เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก
    เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
    เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
    เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด
    เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
    เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

    ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย
    ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ

    ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า
    ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด
    เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้
    เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก
    เป็นไปเพื่อสันโดษไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ
    เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
    เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก

    ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ"

    ----------------------------------------------------------------------
    จะว่าไปแล้วผมเองก็เริ่มจะเบื่อๆ พุทธศาสนาแบบผสม ของไทยอยู่เหมือนกัน

    รู้สึกว่าจะ ยึดติดกับสิ่งสมมุติซะมาก (จนเกินเลย) เช่นเครื่องรางของขลัง, สิ่งศักดิ์สิทธ์, พิธีรีตอง, ทำอะไรก็ดูฤกษ์ยาม หาหมอดูดวง ฯลฯ

    ธรรมะของพระพุทธเจ้า เ้น้นการดับทุกข์โดยการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก พิจารณาตัวเราเอง แต่ปัจจุบันกลายไปเป็นเทวนิยมไปเรียบร้อยแล้ว อยากรวย อยากสวย อยากได้นู้นได้นี่ ต้องไปกราบไหว้ รูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอกันอย่างเดียว......

    จนหลายๆ ครั้งผมรุ้สึกว่านี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือ ?

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2010
  5. nadrda

    nadrda สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ยังเป็นเรื่องที่ต้องตีความกันค่ะ

    ตามที่มีการใช้คำว่า ตายแล้วสูญ (อันที่จริงไม่อยากใช้คำว่าสูญค่ะ แต่อยากใช้คำว่ากลับคืนสู่ธาตุเดิมตามธรรมชาติ เพราะคำว่าสูญ เหมือนกับยึดว่ามีตัวตนของบางอย่างอยู่ เมื่อมีตัวตน จึงมีการสูญของตัวตนนั้นๆ) และสอนเรื่องตายแล้วสูญนั้น ใคร่แสดงความเห็นดังนี้ค่ะ

    การตีความเรื่องนี้ปัจจุบันยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ มีการแยกการตีความเป็น สามแนวทาง

    แนวทางหนึ่งยึดตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค คือมีชาตินี้ ชาติปัจจุบัน ชาติหน้า (โดยตัดแบ่งสายปฏิจจสมุปบาทเป็นสามส่วน ส่วนต้นเป็นชาติก่อน ส่วนกลางและส่วนของกรรมภพเป็นชาติปัจจุบัน และส่วนท้ายเป็นชาติหน้า)

    ท่านพุทธทาสไม่เห็นด้วยกับการแบ่งสายปฏิจจสมุปบาทเช่นนี้ ท่านว่าเกิดสายเดียวตลอดในชีวิตนี้ (เกิดในขณะจิต) บุญกรรมที่ทำ ไม่ว่าจะอะไร เราจึงรับผลกันในชาตินี้ค่ะ เมื่อกายแตก คือเหตุปัจจัยดับ ทุกสิ่งก็ดับ กลับคืนสู่ธาตุเดิม ท่านไม่เห็นด้วยกับการมีชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า เพราะความเชื่ออย่างนี้ทำให้คนเราหมดหวังที่จะพัฒนาตน เพราะทุกอย่างเป็นผลมาจากกรรมเก่า แก้ไขอะไรไม่ได้ (ธรรมสภาตัดคำบรรยายของท่านมาพิมพ์เป็นเล่มเล็กลง ชื่อ ปฏิจจสมุปบาท เรื่องที่ชาวพุทธต้องรู้ค่ะ)

    อีกแนวทางเห็นว่าปฏิจจสมุปบาทเกิดได้ตลอดสายทั้งในชาตินี้ตามความเชื่อของท่านพุทธทาส และเกิดได้แบบแบ่งเป็นสามสายตามความเชื่อเดิม เพราะถ้าปฏิเสธความเชื่อเดิม เราอาจต้องปฏิเสธหลายเรื่องราวในพระไตรปิฎก เช่น ดร.วัชระ งามจิตต์เจริญ (ท่านแสดงความเห็นไว้ในหนังสือพุทธศาสนาเถรวาทค่ะ)

    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) แสดงความเห็นว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธต้องศึกษาและตีความกันต่อไป (ท่านแสดงความเห็นไว้ในหนังสือ พระพุทธศาสนากับโลกธุรกิจ)

    ดังนั้นคงบอกได้ยากค่ะ ว่าผู้แต่งหนังสือแบบเรียนมีมิจฉาทิฏฐิค่ะ เพียงแต่ท่านเลือกการตีความแบบท่านพุทธทาสมาฟันธงเท่านั้น

    อันที่จริง เราน่าจะเขียนแบบเรียนในลักษณะชักชวนให้มีการศึกษา และตีความมากกว่านะคะ เพราะอย่างไรก็ยังไม่มีข้อตัดสิน

    แต่การตีความก็ชวนให้แตกแยกค่ะ ที่ศาสนาแตกเป็นนิกายต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากการตีความด้วยเหมือนกัน

    เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับชาวพุทธเลยค่ะ
     
  6. Teetab

    Teetab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +4,659
    ส่วนตัวผม ยังมีสติรู้ตัวว่า ผมยังเลว ยังโง่อยู่ แต่ปรารถนาจะรู้จริง แต่ ณ ตอนนี้ผมยังไม่มีความรู้ที่แท้จริงที่จะตอบครับ

    และไม่กล้าออกมายืนยันคำตอบ เพราะผมยังไม่รู้จริง แค่จำ ๆ มาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้จากการปฏิบัติ

    สิ่งที่ผมต้องระวังอยู่เสมอ คือ การที่ผมมีมานะของตัวเองสูง อาจทำให้ตกนรกได้โดยง่ายครับ

    ขอขมาท่านหากผมได้เคยล่วงเกินต่อท่าน

    สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดผมมีเจตนาที่ดีต่อท่าน หากผมคิดไม่ดีกับท่าน ผมจะไม่กล่าวในสิ่งที่พูดไปครับ

    ด้วยความปรารถนาดี ............คนแวะมาอ่าน (ที่ยังมีสติรู้ว่าตัวเองเลว และยังโง่อยู่)<!-- google_ad_section_end -->



    สุดท้าย

    เพราะสิ่งที่ผมหวังดีได้พูดกับท่านไปหมดแล้ว

    หากความหวังดีของผมทำให้ท่านตาสว่างขึ้นได้ผมก็อยากเตือนสติท่าน

    หากความหวังดีของผมมันไม่มีค่าอะไร ผมก็ขอจบกรรมกับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขออุเบกขา ครับ
     
  7. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ใกล้จะครบ100หน้าแล้ว...(รอลุ้นๆ)
     
  8. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    ขอสนทนาธรรมกับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ และกัลยาณมิตรทั้งหลาย

    ตามที่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้น ประมาณ สิบกว่าหน้า จึงได้ทราบจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายนั่น
    คือความต้องการที่ให้อีกฝ่ายเข้าใจ ในความเข้าใจต่อความรู้ทางธรรม หรือภูมิธรรมของตน

    แรกเริ่มเดิมที่ ที่ท่านบอกว่า พวกฤทธิ์นี้ไม่ควรเชื่อ เป็นการสร้างมโนภาพของตนเองให้เป็นสมาธิ แล้วส่งไปให้กับผู้รับ ได้เห็นภาพนั้น ซึ่งมันก็มีส่วนถูกอยู่ คนที่บอกว่าท่านผิดแล้ว ก็อย่าพึ่งไปประมาทท่าน
    เช่นเดียวกับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ก็อย่าพึ่งไปประมาทอีกฝ่าย ในเมือตนรู้เห็นมาเท่านี้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี อย่าพึ่งปฏิเสธ เพียงเพื่อเอาหน้าพวกต่างชาติมัน เขาจะหัวเราเยาะ ก็ให้เขาหัวเราะไปก่อน อย่าตามใจเขา อย่าตามใจกิเลส เพราะศาสนาของเราแก่นสำคัญเรียกได้ว่า สอนให้เป็นผู้ไม่ตามใจกิเลส

    ท่านพุทธทาส เคยกล่าวไว้ในเหตุการณ์หนึ่ง มีเนื้อความดังนี้

    เมื่อมีคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่
    ได้เดินทางไปนมัสการท่านพุทธทาส
    โดย นำสังฆทานพร้อมพระพุทธรูปที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่
    เพื่อนำไปถวาย พร้อมคำถามที่จะกราบเรียน
    ถึงเรื่องลึกลับต่างๆ ว่าจะมีจริง
    หรือ เป็นตามคำเล่าลือหรือไม่
    ว่าท่านไม่เชื่อเรื่อง เหล่านี้

    ผู้คนไปนมัสการท่านมาก เป็นปกติของพระผู้ใหญ่
    คณะที่ไปจัดแจงนำสังฆทาน เข้าไปถวาย
    เมื่อเห็นว่าปลอดคน ท่านพุทธทาสรับสังฆทานเสร็จเรียบร้อย
    ท่านถามว่า "พระนำมาจากไหน"
    เมื่อได้รับคำตอบจากคณะ ศิษย์ ท่านพูดขึ้นมาว่า
    "เรื่องนี้ต้องคุยกัน นาน ไว้ตอนกลางคืนมาคุยกันใหม่"
    สรุปว่ายัง ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
    เพราะภายในวัดสวนโมกข์
    ไม่ค่อยมีการสร้างพระพุทธรูปและวัตถุมงคลต่างๆ

    ตกกลางคืนตามที่ท่านนัดหมาย
    เมื่อ คณะศิษย์ของหลวงปู่เข้าไปกราบท่าน
    ท่านจึงพูด ขึ้นว่า

    "เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
    จะปฏิเสธเรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ได้
    นรก สวรรค์นั้น ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริง
    ชาตินี้ ชาติหน้า แม้แต่ยุคพระศรีอาริย์ก็มีจริง
    แต่เรา เล็งเห็นความหยาบของจิตในมนุษย์เหล่านี้
    เรา เลยไม่สอน สอนแต่บรมธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น"

    คณะที่ไปกราบรับฟังและพร้อมกับขอขมาโทษในองค์ท่าน
    เพราะทุกคนไม่คิดจะได้ฟังประโยคเหล่านี้ ทำให้หมดสงสัย


    ลองหาอ่านดูได้

    ส่วนคำสอนของท่าน พุทธทาส ผมจะขอยกมาส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายลองอ่านดู ในลิงค์นี้ครับ ฤทธิ์-ปาฎิหาริย์

    อ่านดูแล้ว เห็นว่า ท่านพุทธทาสท่านยังสงสัยอยู่มากเรื่อง ฤทธิ์ แต่อย่างไรเสีย ท่านก็ไม่ได้ประมาท ท่านไม่ได้บอกว่ามันมีแค่นั้น แค่ส่งมโนภาพของตน ไปใส่ในความคิดคนอื่น ให้คนอื่นเขาคิดแบบตน เห็นแบบตน แต่ส่วนมากจะเป็นเพียงการ อนุมาน ตามความเข้าใจของท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้ประมาท ที่จะบอกว่า มันไม่มีจริงหรอก แม้ว่ามันจะเอนเอียงไปทางด้าน ไม่น่าจะมีจริง ไปหน่อยเท่านั้นเอง
    เหมือนกับว่า ผมไม่เคยหุงข้าวเลย เคยเห็นแต่เมล็ดข้าว ไม่เคยเห็นข้าวที่เขาหุงเสร็จแล้วด้วย เห็นเขาบอกว่าหุงแล้วข้าวจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ผมก็ยังเชื่อเขาไม่ได้หรอก แต่ผมไม่ประมาทว่า ข้าวที่หุงเสร็จแล้วจะเป็นแบบนั้น แต่ลึกๆก็เชื่อว่า มันไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้

    เรื่องฤทธิ์ กับเรื่อง นรก สวรรค์ ที่อยู่ีสถานที่นั้นๆ อยู่จริง ในกระทู้นี้ อาจจะกล่าวเป็นเรื่องเดียวกันได้ ถ้าจะจัดหมวดหมู่ ในลักษณะเรื่องที่ไม่มีใน วิทยาศาสตร์ กับเรื่องที่มีในวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่พิสูจนทั้งคู่ เพราะรู้แล้วมันก็เขียนให้คนอื่นเชื่อตามไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถเขียนออกมาเป็นสูตรหรือตรรกะที่แน่นอน ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์สิ่งที่ได้รู้ได้ หรือรู้แล้ว หัวหน้าหรือคนที่สนับสนุนเงินวิจัย เขาก็ไม่สนใจตรงนี้ เขาสนใจเฉพาะเรื่องที่จะสามารถต่อยอดให้เขาได้ผลิตสิ่งที่จะสามารถสนองกิเลส หรืออำนวยความสะดวกในชีวิต หรือมีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
    เรื่องเหล่านี้ อาจจะพิสูจน์ได้ ถ้านักวิทยาศาสตร์มานั่งปฏิบัติกรรมฐานทั้ง 40 กอง แต่เขาไม่ทำแน่ ผมรู้จักนักวิทยาศาสตร์ดี ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์แท้ ที่เขาต้องการค้นพบอะไรบางอย่างใหม่ๆ จริงๆ ไม่ได้สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ คนนั้นชื่อพีทหรือปีเตอร์ เป็นพี่ของแฟนผมเอง เขาเป็นคนอังกฤษ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อายุไม่มากนัก ยังไม่ถึง 30 แต่เขาเก่งมาก เชี่ยวชาญทางด้านพิสิกส์นิวเคลียร์ อย่างมาก ฉลาดถึงกับขั้นที่อเมริกาเคยจ้างไป ออกแบบ-วิจัย-ผลิตหัวรบ ที่สามารถเจาะเข้าไปในดินได้เป็นหลายร้อยเมตรกับอเมริกา(เดี๋ยวสงครามโลกครั้งที่สามคงได้เห็นสักลูกเพราะเขาทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว มีตัวเป็นๆ ให้ยืนยัน) กำลังการทำลาย มากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ลูกใดๆ ที่เคยผลิตมา และยัง เคยทำงานที่นาซ่า ตอนนี้อยู่ที่ไทย เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และฝึกกรรมฐานอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในชลบุรี
    เขาเป็นคนประหลาด ที่ชอบเห็นอะไรแปลกๆ ชอบบอกว่า มีสัตว์ที่คนมองไม่เห็น อยู่แทบทุกที่ พวกนั้นเขากินพลังงานอย่างหนึ่งที่บริสุทธิ์ และยังสามารถรู้ได้ คนๆนี้ จะตายเพราะอะไร ตายเมื่อไหร่ แต่ไม่สามารถควบคุมความรู้ของตนได้ เพราะไม่เคยฝึกอะไรเลย และเขาก็พยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาอธิบาย แต่ก็ถูกคนรอบข้างหาว่าบ้า
    เขาเลยไม่อยากกลับไปอังกฤษ และไม่คิดจะกลับไปอีกเลย

    นี่แหละ คือคำตอบว่า ทำไมนักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ไม่ได้

    นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ผมรู้จักดี คือแฟนของผมเอง แต่ก่อนผมเถียงเรื่องนี้กับพวกเขาบ่อยมาก หลายเรื่อง มากเรื่อง กว่าในบอร์ดนี้มาก
    บางเรื่องก็เช่น การที่พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจ และยอมรับในเรื่องกฎแห่งกรรม แล้วเค้าก็ถามว่า แล้วทำไมต้องมีหมอล่ะ งั้นหมอก็ผิดสิ
    ผม : พวกเขาก็ทำตามหน้าที่ ไม่มีใครผิดถูกหรอก
    เธอ : ฉันรอดมาได้เพราะหมอ (เธอเป็นมะเร็งระยะที่สอง) ถ้าไม่ทำอะไรคงตายไปแล้ว
    ผม : กรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ คนที่จะเข้าใจได้ทั้งหมดคือพระพุทธเจ้า และท่านก็สอนให้เราทำแต่กรรมดี
    เธอ : งั้นทุกวันนี้มันก็ไม่มีอะไรสำคัญเลยสิ ในเมื่อทุกอย่างมาจากกรรม ถูกการบันดาลให้เป็นไปทุกอย่าง

    เถียงกันอย่างไรก็ไม่จบ แม้มีเหตุผลแค่ไหนก็ตาม คนที่ไม่ืได้มีประสบการณ์เหมือนกันมา ก็ย่อมไม่มีทางที่จะเห็นตรงกันได้ทั้งหมด

    ผมพูดได้เต็มปาก ว่าเธอคือนักวิทยาศาสตร์ เธอจบ ป.ตรี พันธุศาสตร์ จากอังกฤษ ตั้งแต่อายุ 17 จบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่ไทย ตอนอายุ 20 ทำวิจัยต่างๆ หลายอย่างที่ได้ลงนิตยสารวิทยาศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน

    แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ผมดูรายการหนึ่ง เห็นเขาใช้พลังสมาธิ เอากระดาษตัดดินสอ ผมก็เลย เอ๊ะ เล่นกลรึเปล่า ผมก็เลยลองดู ปรากฎว่า ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด ก็เลยเอาไปสอนแฟน บอกว่า ให้จินตนาการว่ากระดาษนี้คือมีดนะ เคล็ดลับคือต้องเชือว่ามันเป็นมีดจริงๆ แล้วตัดลงไป ปรากฎว่า ก็ไม่ได้อยู่ดี(แล้วจะพูดมาทำไมตั้งยาวเหยีด เดี๋ยว อย่าพึ่งหงุดหงิดครับ)
    จากนั้นก็ไม่ละความพยายาม งั้นลองขยับของดู ปรากฎว่า ผมลองดู ก็เคลื่อนได้ แต่เบามาก ผมก็เลยยังไม่ค่อยเชื่อ แล้วเอาไปสอนแฟน ปรากฎว่า ภายในสองสามวัน เขาก็เคลื่อนของได้ ของที่ไม่หนักมาก เช่นดินสอ จนมาถึงทุกวันนี้ เขาสามารถนึกให้หนังสือเล่มใหญ่ๆ ขยับไปมาได้ เคลื่อนได้ แล้วก็เลื่อนประตูเปิดปิดได้ โดยเฉพาะเวลาโกรธ จะทำได้รุนแรงมาก เราก็แปลกใจว่า เราทั้งสองคน เพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า อาจจะเป็นการนึกไปเอง โดยที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ แต่ก็แปลก ที่เปิดปิดประตู ทุกคนที่บ้านก็เห็นแบบนั้น

    เลยลองไปถามพ่อของเธอ นึกว่าท่านจะแปลกใจ ท่านกลับบอกว่า กระจอก!
    สรุปว่า ท่านทำได้มากกว่านั้น ทำได้แม้กระทั่ง เดินหลับตาลงจากโต๊ะกินข้าว เหมือนลงบันไดได้ แต่ไต่ขึ้นไม่ได้ ไต่ลงได้ แล้วก็ยกนั่นยกนี่ที่ไม่หนักมาก เช่น จาน

    จากนั้นเธอก็ยังสงสัย ว่ามันจะจริงเหรอ ผมก็เลยลองให้เธอคิดตามว่า นี่ เขาเรียกว่าพลังจิตใช่ไหม ถ้าไม่ใช่แล้วมันพลังอะไร เธอตอบว่าใช่
    ผม : ถามต่อว่า แล้วสัตว์ มันจะมีพลังจิตไหม
    เธอ : ในเมื่อมีการเกิดการาย มีความนึกคิด มีอารมณ์ พลังจิตก็ต้องมี
    ผม : พลังจิตมันมี มันก็ต้อมีจิตสิ

    แล้วถ้าตายแล้วล่ะ จิตมันตายไปด้วยหรือเปล่า หรือมันหายไปไหน ?
    คำถามนี้ ผมเองก็ไม่กล้าตอบ เพราะผมก็ยังไม่เคยเห็น ได้เข้าใจด้วยตนเองจริงๆ
    แต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเลือกปฏิเสธในบางอย่าง โดยที่เราไม่ได้รู้จริงๆ กับตัวเอง เพียงเพื่อรู้จากการวิเคราะห์เอาเท่านั้น

    การที่แพนผมขยับของได้ด้วยจิตนั้น หาท่านใดต้องการพิสูจ อีก 2 เดือนก็นัดเจอกันได้ โดยเฉพาะท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ มันอาจไม่ใช่คำตอบในเรื่อง ตายแล้วไปไหน แต่มันอาจจะตอบท่านได้ เกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์ ที่บางที หรือบางท่าน อาจจะดูถูกเอาไว้ ต่างๆ นาๆ
    แต่ถ้าเขาขยับของด้วยจิต แล้วหล่นใส่เท้าท่านใดท่านหนึ่ง รับรองว่า มันเจ็บจริงๆ แล้วก็ทำได้ทุกเวลา เพราะเธอไม่ใช่พระ สามารถทำได้โดยไม่ผิดข้อห้าม ที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ และถ้าไม่แน่ใจ พกกล้างมาถ่ายด้วย เพราะกล้องมันไม่มีจิต มันไม่มีสมอง หลอกมันไม่ได้ แสงกระทบวัตถุเข้ามาอย่างไร กล้องมันก็ถ่ายออกมาอย่างนั้น

    ที่ผมตั้งใจเขียนอยู่หลายชั่วโมงนี้ ไม่ใช่อยากจะเข้ามาแจมเพื่อหาความสนุก
    ไม่ได้จะอวดตน ว่าดี หรือเลวอย่างไร ตอบตามตรงว่ายังเลวอยู่มาก
    แต่เป็นเพราะ เห็นว่า เรื่องนี้ มีผลกระทบกับคนหมู่มาก โดยเฉพาะลูกหลานของพวกเราในอนาคต และยิ่งถ้าเผยแพร่สู้ต่างประเทศเมื่อไหร่ มันก็จะแก้ไขได้ยากยิ่ง

    เรื่องอะไรที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น จะบอกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ เชื่อโรคเรามองไม่เห็น สมัยก่อนคนก็บอกว่ามันไม่มี เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ ท่านว่าจริงไหม

    ผมเข้าใจว่า ท่านพยายามเผยแพร่ธรรมะ ให้เป็นสากล เป็นธรรมะ ที่ทันสมัย อันนี้ผมก็ขอโมทนาด้วย แต่เรื่องการไปกั้นขอบเขตไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีเท่านี้แหละ มีเท่าที่ฉันพิสูจน์ได้เนี่ยแหละ อันนี้ผมคิดว่า ท่านประมาทเกินไปอย่างยิ่ง ถ้าเกิดมันมีจริง อันตรายตกอยู่กับท่านอันนี้ผมห่วงเท่าไหร่ แต่จะพาลูกหลานไปด้วยโดยที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นยังไง ผมและคาดว่ากัลยาณมิตรในที่นี้ คงจะยอมไม่ได้แน่ๆ

    ธรรมะที่จริงไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ต่างหากที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ ความรู้ของวิทยาศาสตร์ตอนนี้ยังนับว่าน้อยมาก เพราะมันจะถูกหักล้างลงไปเรื่องๆ ถึงแม้ว่าทฤษฎีนั้นจะถูกต้องเพียงไร แต่ก็จะถูกต้องแค่ปัจจุบัน อนาคตก็จะมีทฤษฏีใหม่มาหักล้างเรื่อยๆ เพราะอะไร? ก็เพราะมันเป็นเพียงความรู้ของคนธรรมดา ปัญญาของคนธรรมดา ที่จะหาความสบายใส่ตัวเท่านั้นเอง ถ้าท่านเคยสัมผัสการศึกษาเมืองนอก จะรู้ว่า มาตรฐานการศึกษาของเมืองนอกนั้น ต่ำกว่าของเราค่อนข้างมาก(เขาจะค่อนข้างซื่อบ้อกว่าเราหน่อย) เพียงแต่เขาทำอะไรเป็นระบบ และมีวินัย นี่คือข้อดีและเป็นปัจจัยในความสำเร็จหลายๆ อย่างของเขา แฟนผมเรียนที่อังกฤษ เรียกได้ว่าอยู่ในขึ้นระดับอัฉริยะ แต่พอมาเรียนที่เมืองไทย สู้คนไทยไม่ได้ อยู่ได้แค่ระัดับกลางๆ

    เรื่องอภิญญา พระท่านว่า 5 ตัวแรกมันของเด็กเล่น มันสำคัญที่ตัวสุดท้าย เรื่องฤทธิ์บางคนไม่ชอบ ก็เอาแก่นมาศึกษาเลย บางคนชอบ เขาก็ยังได้เกาะสะเก็ด ยังพาเข้าวัดเข้าวาได้
    พระเครื่อง ของขลัง ก็เช่นเดียวกัน จริตคนมันต่างกัน คนเรามันมีหลายแบบ ท่านก็ให้ธรรมะไว้หลายทางปฏิบัติ อะไรที่ไม่ถูกจริตตัวเอง ก็ไปดูถูกเขาเสีย แบบนี้ก็ไม่ถูก

    กระผมในฐานะพุทธศาสนิกาชนคนหนึ่ง ขอทัดทานหลักสูตรของท่านไว้ ว่าอย่าพึ่งใจร้อนเผยแพร่ อยากจะขอให้ท่าน หรือ คณะสงฆ์ ตรวจทานให้ดีก่อน ไม่เสียหายนะครับ มิเช่นนั้น หากพลาดไปก็แก้ไขลำบาก

    สุดท้ายนี้ ก็ขอฝากไว้ว่า ตัวเราเองรู้มาเท่านี้ ก็อย่าพึ่งไปประมาทเขา ของจริงมันมีอยู่ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่รู้ทั้งหมด ที่รู้ทุกอย่าง และทำอะไรม่ผิดพลาดเลย เห็นจะมีแต่พระพุทธเจ้า
    พระธรรมคำสอนนั้นของสูง จะถูกแก้ไข หรือบิดเบือนนั้น ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ธรรมใกที่ท่านคิดว่าดี ก็โปรดหยิบไปใช้ แต่ก็อย่าพึ่งไปปฏิเสธธรรมข้ออื่นที่ท่านไม่เคยใช้ หากว่าท่านยังสงสารเด็กๆ อยู่บ้าง

    กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2010
  9. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    ถ้าหากว่า ผมเคยค้ายาบ้า เสพสุขเป็นเจ้าพ่อ หาความทุกข์ไม่มี อยู่อย่างสบายใจในเกาะส่วนตัว แบบนั้นแสดงว่า ผมทำถูกแล้วใช่หรือไม่ ไม่ต้องละอายในกรรมที่ตนได้ทำไว้ ไม่ต้องไปสนใจใครจะตายช่างคุณ ผมเฉยๆ แบบนี้ผมนิพพานใช่ไหมครับ

    ได้อ่านหลังๆ มา ผมรู้สึกว่าท่านมองโลกแคบเหลือเกิน ท้อใจ
     
  10. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    จากคำครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านเคยสั่งสอนมา
    การที่คนเราจะเห็นผีได้ จะต้องอยู่ในช่วงอุจารสมาธิครับ(อันนี้ผมไม่ทราบนะ ว่าท่านจะเข้าใจรึเปล่าว่าอุปจารสมาธิคืออะไร) กับตอนทรงฌาน 4 คือจิตออกจากร่าง

    ท่านถามท่านคงอยากรู้คำตอบ ผมทราบว่าท่านไม่รู้จริงๆ ผมจึงจะพยายามตอบ ตอบที่ได้อ่านมาบ้าง ท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเ่าก็ได้ แต่ฟังไว้หน่อยก็จะดี ถือว่าสนทนากันเล่นๆ ฟังสนุกๆ ก็แล้วกันครับ เพราะเป็นแค่ความรู้ที่ไม่มีสาระ หรือมีน้อย สาระสำคัญคือ อริยสัจ 4 อันนี้คาดว่า ผมและท่าน น่าจะเห็นตรงกันนะครับ

    -ใช้การติดต่อสื่อสารกันอย่าง ไร?
    สื่อสารกันทางจิต รู้ว่าเขาพูดอะไรโดยอัตโนมัติ

    -อยู่ที่ไหน?
    ผีเนี่ย ถ้าท่านยังไม่รู้ผมจะบอก ว่าคือวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่หมดอายุไขของเขา คือตายก่อนจะหมดอายุไข หรือตายโหงนั่นเอง
    แล้วต้องวนเวียนอยู่บนโลก จนครบอายุไข แล้วค่อยรับผลจากกรรมของตัวเอง ทำกรรมดีมากก็ขึ้นสวรรค์ แต่ละชั้นมันก็มีเหตุปัจจัยต่างกัน นรกก็เหมือนกัน ส่วนพวกพรหม ก็จะเป็นพวกที่เข้าฌานตาย ส่วนมากจะมาจากศาสนาพราหมณ์ มี 20 ชั่น

    -แต่งตัวอย่างไร?
    เนรมิตรเอาเอง แล้วแต่ต้องการ ถ้าเป็นคนไทย ส่วนมากจะแต่ตัวเหมือนนางรำสมัยก่อน มีชฎา มีอะไรก็ว่ากันไป ถ้าเป็นจีน ก็เหมือนงิ้ว ถ้าเป็นฝรั่ง ก็ชุดขาว มีปีก มีวงกลมบนหัว ที่เขาแต่งแบบนี้ เขาอาจจะชอบแบบนี้ แต่มีหลวงพ่อท่านหนึ่งไปถามว่า เฮ้ย ทำไมแต่งแบบนี้ฟะ เทวดาท่านก็ตอบว่า ถ้าผมไม่แต่งแบบนี้ท่านจะรู้เหรอว่าผมเป็นใคร

    -ทำงานอะไร?
    เขาก็มีงานของเขาอยู่ เพียงแต่งานพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่เป็นหน้าที่
    ส่วนมากแต่ละชั้น งานจะไม่เหมือนกัน อันนี้ท่านลองไปหาดูเอง พูดมาก็ยาว
    อ่านสนุกๆก็ได้ ท่านไม่ต้องเชื่อหรอก ผมก็เขียนสนุกๆเหมือนกัน ผมก็ยังไม่เชื่อ 100% เพราะผมยังไม่เคยเห็นกับตา
    เรื่องที่ท่านบอกว่า ที่ไปเห็นๆกัน เป็นการจินตนาการต์ของตนเอง ความจริงที่ท่านพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด มีส่วนถูก เขาเรียกพวกนั้นว่า อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นของกิเลส หรือเรียกง่ายๆ ว่า นึกเอาไว้แล้ว แต่พวกที่ได้จริงๆก็มีอยู่ คือไม่เป็นตามที่นึกไว้ อันนี้ท่านอย่างพึ่งเชื่อ จงปฏิบัติและพิสูจน์เอาเอง

    -อยากได้อะไร?(ชอบกินอะไร? มีโรคเบาหวานหรือเปล่า?>>
    บุญ ส่วนที่ท่านวงเล็บ ไม่รู้ว่าท่านจะกวนไปทำไม มันทำให้ผมเกือบลืมตัวว่าท่านเป็น พระ

    -กลัวอะไร?
    ท่านจะถาม ผีอะไรล่ะ ผีบนโลก ผีนรก ผีเทวดา ผีพรหม หรือผีนิพพาน ทั้งหมดกลัวความทุกข์ ชอบความสุขเหมือนกับท่าน ยกเว้นผีนิพพาน เพราะไม่ต้องเกิดอีกแล้ว

    -พูดภาษาอะไร?(ต้องเรียนภาษาหรือเปล่า? หรือใช้ภาษาใบ้?)>>
    ตอบเอาไว้ข้อแรก เกือบลืมไปอีกแล้ว ว่าท่านสงสัยจริง หรืออยากทำอะไร

    -ใครเป็นผู้ควบคุม?(หัวหน้าใจดีหรือเปล่า?)>>
    พวกสัมภเวสี หรือผีบนโลก ผู้ความคุมก็คือลูกน้องท่านพยายมราช ควบคุมไปสอบสวน
    พวกเทวดา ก็ได้ยินว่า พระอินทร์ใหญ่สุด
    พวกพรหม อันนี้ผมไม่เคยอ่านเจอ
    ส่วนนิพพาน ได้ยินว่าเท่ากันหมด คือหมดกิเลสเท่ากัน แต่บารมีต่างกัน

    -สืบพันธุ์อย่างไร?(มีโรคติดต่อทางเพศสำพันธุ์หรือ เปล่า? พวกโรเอดส์น่ะ?)>>
    พึ่งรู้ว่า พระ ก็อยากรู้อะไรแบบนี้ด้วย

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2010
  11. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    เรียนท่านกัลยาณมิตรั้งหลายและท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เนื่องจากวันนี้หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไตร่ตรองดีแล้ว จึงได้ตัดสินใจว่า จะไม่ตอบกระทู้นี้อีก หลังจากที่ได้อ่านเพิ่มเติมหลายประการ เพราะเป็นการเสียเวลายิ่ง

    หลวงพ่อชาเคยกล่าวไว้

    " จะต้องให้รู้ด้วยตนเอง ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอ๊ปเปิ้ล เรื่องรสของแอ๊ปเปิ้ล เราฟังดูเฉยๆก็ไม่รู้ จะไม่รู้ว่ามันหวานหรือมันเปรี้ยวอย่างไร? นอกจากเราลองชิมแอ๊ปเปิ้ลนั้นแล้ว นั่นแหละ... จึงจะรู้แจ้งว่า รสของมันเป็นอย่างไร? อร่อยไหม? ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้ว ปัญหามันจบที่ตรงนั้นเอง "


    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
    ผู้ถาม : เชื่อ
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
    ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?
    แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด


    ชาติหน้ามีจริงหรือ ? : BioLawCom.De

    หลวงพ่อชาพูดไว้สะอาดมาก "ถ้าเชื่อคุณก็โง่" แต่ว่าท่านก็เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง

    อันที่จริงผมก็อยากให้ท่านพิสูน์เหมือนกัน ผมเห็นหลายท่านในนี้ที่มีฤทธิ์จริงๆ เช่นพี่ปานโสม ท่านนั้นสามารถเรียกฝนให้ตกเป็นเม็ดๆ มาได้จริงๆ แล้วก็ทำให้หยุดได้ เป็นผลมาจากการฝึกกสินน้ำ ซึ่งเทียบกับพลังจิตเล็กๆ น้อยๆ ที่แฟนผมเขาสามารถทำได้ มันคนละเรื่องเลย แต่ทำไมหลายๆ ท่าน เขาไม่ชวนท่านไปพิสูจน์ ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นผมตอนนี้ ต้องตอบว่าเสียเวลา อ่านไปหลายๆหน้าแล้วก็เหลือเชื่อ กับคนที่บอกว่าตยเป็นผู้มีปัญญา รู้สึกหนังใจแทนอุบาสก อุบาสิกา แถววัดนั้นอย่างบอกไม่ถูกครับ


    ผมแปลกใจที่ท่านบอกว่าเรื่องราวต่างๆ แต่งหลังพุทธปรินิพพาน ท่านรู้ได้แม้กระทั่งท่านอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ ท่านไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร มีประวัติศาสตร์เล่นไหนเขาบอกไว้ หรือท่านอนุมานเอาเอง(อีกแล้ว)ตามนิสัยเดิมๆ นักประวัติศาสตร์ที่เขียนประวัติศาสตร์ เขาเชื่อได้มากกว่าพระอรหันต์ น่าแปลกที่พวกนั้นอาจจะตายไปหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้ถูกจารึกไว้ว่า คนเหล่านั้น เชื่อถือได้มากกว่าพระอรหันต์



    แล้วเรื่องที่ท่านไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือไม่ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ ท่านก็บอกว่ามันน่าหัวเราะ เออ หัวเราะไปเถอะ ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้จักวิทยาศาสตร์ดีพอ


    วิทยาศาสตร์ น่ะหรือคืออะไร
    วิทยาศาสตร์ก็คือ ความจริงนั้นๆ ในเวลานั้นๆ หรือความจริงสัมพัทธ์ ก็คือความจริงในเวลาหนึ่งๆ พวกเขาไม่ยอมรับด้วยซ้ำ ว่าสสารทุกอย่าง ย่อมมีวันเสื่อมสลาย แม้แต่อะตอม ที่ลูกหลานเราเรียนอยู่ทุกวันนี้ มันก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เป็นเพียงการคาดเดาว่ามันจะเป็นแบบนั้น แล้วก็สร้างแบบจำลองขึ้นมา ยังไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆ ของอะตอมด้วยซ้ำ เพราะกล้องจุลทรรศ์ยังไม่มีความละเอียดถึงขนาดนั้น
    นักวิทยาศาสตร์พยายามอย่างมาก ให้คำว่าวิทยาศาสตร์ คือ สัจธรรม หรือความจริงแท้ ที่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปมากเพียงไร ความจริงในเรื่องนี้ก็เถียงไม่ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตลอดอายุไขของวิทยาศาสตร์ตลอด 400 ปี ก็ยังมีทฤษฎีเกิดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ แม้แต่ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ ก็ยังใช้อธิบายอันโด่งดังที่สุดตั้งแต่โลกมีมา ก็ยังอธิบายบางอย่างไม่ได้(ถ้าสงสัยเรื่องนี้ก็ถามผมต่อได้)
    เนี่ยแหละ วิทยาศาสตร์ที่พวกฝรั่งเขาภูมิใจ วิทยาศาสตร์ที่ท่านภูใจนักหนา


    ท่านถามว่า
    ***ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า จิตก็ต้องเกิดมาจากเหตุ ****

    ***แล้วอะไรคือเหตุให้เกิดจิต ????****


    เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ตอบ ท่านบอกว่าอจินไตย รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร รู้ไปก็แค่รู้เท่านั้น มี 4 อย่าง เรื่องแค่นี้ท่านก็ไม่รู้หรือ เช่นนั้นท่านก็ควรศึกษาไว้เสียบ้าง เผื่อญาติโยมถามจะได้ไม่มั่วตอบเขาไป ตามความรู้สึก หรือการอนุมานเอาเอง ของตน หรือบิดเบือนคำสั่งสอนอีก เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้บอกไว้แล้ว


    ท่านถาม

    **แล้วเราเข้าใจ "อนัตตา" ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วหรือยัง?***


    ผมก็อยากรู้ อนัตตา ตามหลักวิทยาศาสตร์ ท่านช่วยอธิบายอย่างละเอียดได้หรือไม่ ผมขอฟังธรรมของท่าน และจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง หากท่านจะฟังข้อโต้แย้ง หรือเห็นด้วย อย่างมีเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ของผมบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  12. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    http://www.whatami.net/lum/lum98.html

    ในลิงค์นี้เป็นประวัติศาสตร์อีกแง่มุมหนึ่ง ที่ท่านนำมา เชื่อ และเผยแพร่เพราะเห็นว่า และควรเชื่อแบบนี้ ผมจึงอยากจะขอทราบรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ว่า ใครเป็นผู้เขียน มีหลังฐานอ้างอิงจากอะไรบ้าง หาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จากที่ใด อยากจะขอให้ท่านนำมาชี้แจงด้วยครับ เพราะเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ไม่ควรเป็นสิ่งที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

    ผมกะจะไม่เข้ามาเขียนแล้ว แต่ก็ทนวางเฉยไม่ได้ที่เห็นใครทำลายพระธรรมได้ถึงขนาดนี้
    ผมจึงจะขอเข้ามาโพสเพิ่มเติมเรื่อยๆ ครับ

    บางอย่างที่วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้แต่หาข้อสรุปไม่ได้ก็มีเยอะ หากท่านเคยเข้าไปคลุกคลีงานวิจัยระดับประเทศ ของอังกฤษ หรืออเมริกา ท่านจะเห็นว่า เขค้นเจอน่ะเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เป็นไปได้อย่างไร ก็ยังอีกเยอะมาก เพราะความรู้ยังไม่ถึง แม้แต่เรื่องดวงจันทร์เกิดขึ้นได้ยังไง ยังหาข้อสรุปไม่จบ หรือทฤษฎีกำเหนิดจักวาลก็ตาม เรารู้แค่อย่างเดียวคือมันขยายตัวตลอด เลยเดาเอาว่า มันน่าจะระเบิดออกมาก แต่ถามว่ารู้จักมันแค่ไหน ยังห่างไกลความจริงมาก

    เรื่องพลังจิต ก็มีวิจัยกันเยอะและแพร่หลายมาก แต่มีการบรรจุในหลักสูตรที่สอนในวิแคบเท่านั้น เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเท่าไรนัก มีบ้างก็พวกเรียนมาเพื่อบำบัดคนไข้โรคจิตเท่านั้น นั่นก็เป็นเพียงแขนงหนึ่ง

    แขนมนุษย์ต่างดาว ที่ศูนย์วิจัยเขาเอามาผ่ากันสดๆ ที่นั่นทุกคนรู้ว่ามันมีจริง แต่ทำไมเขาไม่เอามาลงในหลักสูตรให้นักเรียนได้ศึกษากันบ้าง ท่านก็พิจารณาดู

    พระเครื่องทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ก็คนพบ ที่พบในที่นี้หมายถึงพบพลังงาน ออร่า มหาศาล บางองค์รัศมีไกลถึง 100 เมตร แ่ต่ก็แค่พบ แต่ไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น

    ที่กล่าวมา ผมพยายามให้ทุกท่านได้เห็นว่า วิทยาศาสตร์เอามาพิสูจน์พุทธศาสทั้งหมดยังไม่ได้ เพราะความรู้มันยังแค่นี้เอง พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงแม้กระทั่งนรก สวรรค์ ที่มันเหนือโลกวัตถุ แต่วิทยาศาสตร์ แม้โลกวัตถุอย่างเดียว เขายังรู้ไม่ถึง 1% เลย น่าซ่าที่ว่ายิ่งใหญ่ อัจฉริยะที่สุด ดาวอังคารเขาก็ยังไม่เคยเหยียบสักครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2010
  13. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    แก้ข้อกล่าวหา เรื่องที่ ๒ เรื่องความเชื่อเรื่องเวียนว่าย ตายเกิด หรือนรก-สวรรค์ที่เป็นสถานที่

    “หลักกาลามสูตร” ที่ท่านนำมาอ้าง เขาไม่ได้บอกว่า อย่าเชื่อตำราเล่มนี้ แล้วจงไปหาตำราเง่มอื่นมาอ่านซะ หรือไม่ก็ อย่าเชื่อพระไตรปิฎก แล้วจงไปหาหนังสือที่นักประวัติศาสตร์แต่งซะ เช่นนี้คือคนที่มีปัญญาแล้วหรือ


    ท่านบอกไม่ให้เชื่อ ถ้าเชื่อโดยที่ยังไม่พิสูจน์ มันก็โง่เท่านั้น หลักในการพิสูจน์ท่านก็มีไว้ให้ 84000 พระธรรมขันธ์ ท่านเคยปฏิบัติมาบ้างไหมล่ะ พระนักปฏิบัติกับพระนักเทศมันก็ต่างกันตรงนี้แหละ หรือท่านคิดว่า พระนักปฏิบัติที่ท่านเห็นนรกสวรรค์เหล่านั้น ท่านเพี้ยนไปแล้วทั้งนั้น อยากให้ท่านเอาเวลาไปปฏิบัติเสียบ้างก่อนจะมาเขียนหลักสูตร ดีกว่าจะมานั่งจับแพะชนแกะ แล้วอนุมานเป็นพระไตรปิฎกประจำตัวขึ้นมา

    "
    พวกที่ชอบอ้างว่า"ให้ไปปฏิบัติแล้วจะเห็นเอง"นั้นตัวเองปฏิบัติได้จริงแล้ว หรือยัง ? หรือพูดตามครูอาจารย์เท่านั้น หรือแอบอ้างว่าตัวเองเห็นแล้วรู้จริงแล้ว แล้วมาหลอกคนอื่น สอนคนอื่น ขออย่าได้ใช้คำพูดแบบนี้ มันเหมือนคนสิ้นหนทางจะโต้แย้ง เอะอะก็อ้างว่าให้ไปปฏิบัติ หรืออ้างว่าครูอาจารย์สอนไว้อย่างนี้ พอคนอื่นไม่เชื่อตามก็โกรธ
    <dd>พุทธศาสนาที่ แท้จริงควรเป็นสากล หรือเป็นของจริงๆที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่มีเหตุผลพร้อมมูล ที่ชนต่างชาติที่มีสติปัญญาเขาจะรับได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องแคบๆเฉพาะคนบางกลุ่มอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในประเทศไทย ที่พอคนต่างชาติเขาจะมาศึกษา ก็เจอแต่เรื่องเพ้อเจ้อ ไร้เหตุผล ทำให้เขาหัวเราเยาะเอาได้ว่าเราไม่ยอมใช้สติปัญญาในการนับถือ</dd><dt>
    </dt><dd> เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือเรื่องนรก-สวรรค์ที่เป็นสถานที่นั้นก็คงไม่ ต้องอธิบายอะไรมาก มันเหมาะสำหรับเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่รู้หลักวิทยาศาสตร์ สมัยนี้ผู้คนมีความรู้มากแล้ว จะมาเอาวิธีเก่าๆไปสอนเขานั้นทำไม่ได้แล้ว เราต้องเอาของจริงมาสอนเขาให้เขาโต้แย้งไม่ได้ คือสอนว่าเมื่อทำความดีมันก็เป็นสวรรค์ในใจทันที แต่ถ้าทำชั่วมากๆมันก็เป็นนรกในใจทันที ถ้าสอนอย่างนี้จะไม่มีใครโต้แยงได้ ถ้าหากนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่มีจริง ถ้าเราทำความดี เมื่อตายไปเราก็ต้องได้รับผลดีอยู่แล้ว ถ้าทำชั่วในตอนนี้ ตายไปก็ต้องตกนรกนั้นอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ถึงแม้มันจะมี เราก็ยังต้องทำดีและไม่ทำชั่วในปัจจุบันอยู่ดี จึงจะได้ขึ้นสวรรค์และไม่ไปตกนรก แต่ถึงมันจะไม่มีเราก็ได้รับอยู่แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ </dd><dd>ส่วนที่จะอ้างว่าถ้าไม่สอนเรื่องนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่จะ ทำให้ผู้คนไม่ทำความดี จะทำแต่ความชั่วเพราะไม่กลัวนรกและไม่มีสวรรค์ให้ขึ้นนั้นคงไม่จริง เพราะคนที่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่นั้นก็ยังทำความชั่วกัน อยู่มากมาย ส่วนคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้เขาก็ยังทำความดีกันอยู่มากมาย ถ้าไม่สอนเรื่องนี้คนที่จะเดือดร้อนก็คงเป็นพวกที่ขาดรายได้จากการให้ผู้คน ที่เชื่อมาทำบุญเสียมากกว่า คนสอนความจริงนั้นอาจอดตาย หรือถูกทำร้ายได้ แต่เพื่อความจริงอาตมายอมอดตายหรือถูกทำร้าย ดีกว่าจะมา"เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่" เพื่อให้ตนเองร่ำรวบสุขสบาย"</dd>


    ที่ท่านพูดมาก็ถูก ท่านมีเจตนาดี ผมนับถือในเจนาที่อยากเผยแพร่พระุธรรมให้ชาวโลกได้รู้ และเข้าใจในส่วนที่พิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่พิสูจน์ ยัง ไม่ได้ก็อย่าพึ่งไปบอกเขาว่ามันไม่มี เพราะมันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวเอาไว้ ถ้าท่านยังนับถือพระพุทธเจ้าอยู่

    พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่อแม้แต่พระองค์ท่านเอง แต่ท่านสอนด้วยหรือ ว่าอย่าทำในสิ่งที่ท่านสอน ทุกสิ่งที่ท่านสอนได้จริง ถ้าเอาไปทำจริง ก็จะเห็นผลจริง เมื่อเห็นผลแล้ว ท่านค่อยเอามาบอกว่า มันมีผลตามนั้นจริงหรือเปล่า แบบนี้จะดีกว่าไหม ไม่ใช่คัดทิ้งเลย

    แม้แต่ถ้าคิดแบบคนโง่ๆ แบบผม
    ถ้าผมทำดี ถ้านรกสวรรค์ไม่มี ผมก็เท่าทุน แต่ถ้ามี ก็กำไร
    ถ้าผทำชั่ว ถ้านรกสวรรค์ไม่มี ผมก็เท่าทุน แต่ถ้ามี ก็ขาดทุน
    แล้วคนมีปัญญาอย่างท่านน่ะ จะเลือก เท่าทุนกับกำไร หรือเท่าทุน กับขาดทุน

    คนเขาจะเชื่อแบบนี้ มันก็ดีแล้ว เขาอาจไม่ได้เชื่อเพราะเห็นจริง แต่อาจจะเชื่อว่าทำไว้ดีกว่าไม่ทำ ถ้ามันเกิดมีจริงๆ หรือเชื่อเพราะศรัทธาในพระพุทธเจ้า ที่ท่านกล่าวหลักธรรมอะไรไว้ไม่เคยผิด แล้วท่านก็สอนเรื่องบาปบุญ ก็เป็นความเชื่อของเขา อย่างน้อยก็จะกลายเป็นผู้ละอายชั่ว กลัวบาป
    แล้วท่าน ผู้เป็นพระ ท่านจะสอนหรือไม่สอน ก็ไม่มีใครว่า แต่ทานกลับปฏิเสธไปเลย แล้วยังไปพาดพิงพระที่ท่านสอน ท่านบอกว่ามี ก็ถ้าหากท่านเคยเห็นมาจริงๆ ล่ะ แล้วท่านก็สอนไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ท่านไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ

    การปฏิบัติต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านก็วางลำดับขั้นไว้แล้ว คือ ทาน ศีล ภาวนา คือเริ่มจากง่ายไปหายาก เริ่มจากการทำจิตให้เป็นกุศล ต่อจากนั้นก็คือเป็นมิตรกับทุกคน ต่อจากนั้นก็ต่อยอดจนเข้าถึงสัจธรรมอันแท้จริง ถึงตอนนี้ปัญญาก็เกิด

    " พอคนต่างชาติ เขาจะมาศึกษา ก็เจอแต่เรื่องเพ้อเจ้อ ไร้เหตุผล ทำให้เขาหัวเราเยาะเอาได้ว่าเราไม่ยอมใช้สติปัญญาในการนับถือ "

    ข้อแรก ท่านจะกลัวเขาว่าทำไม สนใจคนอื่นทำไม ในเมื่อท่านไม่มีตัวกู ของกู ไม่มีตัว มีตน มาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีความยึดมั่น ถือมั่นแล้ว

    ขอสอง หากเขามีปัญญาจริง ก็จะเห็นส่วนที่มีเหตุมีผลที่เป็นสากล พิสูจน์ได้ง่าย ส่วนที่พิสูจน์ได้ยาก ไปบอกเขาว่ามันไม่มีจริงๆหรอก มันสมควรแล้วหรือท่าน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2010
  14. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    "แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๓ เรื่องอภิธรรมปิฎกว่าแต่งขึ้นภายหลัง <dd> เรื่องนี้อยากให้ลองสอบถามท่านผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ว่ามันจริงแท้แค่ไหน หรือจะลองอ่านดูและวิเคราะห์ดูง่ายๆก็ได้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมานั่งจำแนก จิตออกเป็นดวงๆให้เสียเวลาตั้งมากมายทำไม?ซ้ำส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ เรื่องการดับทุกข์เลย </dd><dd> การเชื่อจากตำรานั้นหลักกาลามสูตรก็บอกอยู่แล้วว่าอย่าด่วนเชื่อจากตำรา เพราะตำรามันอาจถูกเขียนขึ้นใหม่ และบอกว่าใครพูด ใครเขียนก็ได้ ยิ่งถ้าคนเขียนโง่ ตำรานั้นก็จะมีแต่เรื่องโง่ๆทั้งนั้น ขอให้ทุกคนเป็นผู้ใหญ่รู้จักใช้ความคิดกันบ้าง อย่าเอาแต่เชื่อตะพึดโดยไม่ใช่สมองคิด เหมือนเด็กๆ"</dd>

    เหอๆ ผมอยากจะบอกว่า ก็มีแต่เด็กๆเท่านั้นแหละที่เอาแต่คิด คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วจะเสียเวลาทำทำไม ใช่ไหมครับ

    ท่านบอกว่า ตำรานี้เขียนขึ้นมาภายหลัง มันก็อาจจะถูก เพราะผมก็ไม่ได้เห็นกับตา และท่านก็ไม่ได้เห็นกับตา และโปรดอย่ากล่าวอ้างว่า เห็นและรู้ด้วยปัญญา เพราะตั้งแต่เห็นท่านเขียนมา มันอนุมานเอาล้วนๆ ประวัติศาสตร์นั้น

    เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับการดับทุกข์ แล้วส่วนน้อยล่ะ ท่านดูถูกความดีเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร

    อภิญญา 6 อย่าง 5 อย่างแรกไม่ใช่ทางแห่งการดับทุกข์โดยตรง หรือ ใช้แก้ขัด หรือแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น สำคัญที่ตัวที่ 6
    คนบางคนเขาชอบมาในด้านนี้ มันก็สามารถดับกิเลสได้ ถ้าทำจนถึงที่สุดของมันแล้ว
    เมื่อมีคนชอบด้านนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักในการปฏิบัติไว้
    แล้วท่านก็ไปบอกว่า คนเชื่อของพวกนี้ โง่บ้าง เด็กบ้าง เพ้อเจ้อบ้าง ทำไมถึงได้ดูถูกคนอื่นขนาดนี้นะ ผิดวิสัยของพระจริงๆ

    มีคนมากมาย ที่บอกว่า ตำราบางตำราไม่ควรเชื่อ ซึ่งมันก็จริง
    แต่มีคนน้อยคนที่จะเอามาพิสูจน์

    พวกแรกบอกว่า ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นตำราขนาดนี้ อ่านแล้วเราก็ควรจะเชื่อเขา พวกนี้ สมควรแล้วที่ถูกหาว่าโง่
    พวกสองก็บอกว่า ตนเป็นผู้มีปัญญา แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันผิด เลยไม่สนใจจะทำอะไรต่อ
    พวกที่สามเขาไม่ประมาท คนเขาอุตส่าเขียนขึ้นมา อาจจะมีดีบ้าง หรือไม่มีเราก็ยังไม่อาจรู้จริงได้ ต้องเอามาทดลอง ทดสอบ จนถึงที่สุดก่อน ถ้าอันไหนไม่เป็นสาระก็ทิ้งไป
    ถ้าอันไหนพอจะหาประโยชน์ได้ ก็กำไร

    ผมไม่รู้ว่าท่านอยู่กลุ่มไหน แต่ไม่ใช่กลุ่มที่ 3 แน่ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ
    ท่านถามว่า พระอรหันต์ รู้ได้อย่างไรว่าท่านนั้นท่านนี้คือพระอรหันต์
    ท่านไม่ต้องไปรู้หรอก รู้ตนเองก็พอ ยังโยชน์ 3 ข้อแรก ท่านยังละไม่ได้เลย

    ถามว่ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็รู้จากที่ท่านเขียนมา 90 กว่าหน้เนี่ยแหละ ดูไม่ยาก
    แค่ดูถูกผู้อื่น ดูถูกความดีเพียงเล็กน้อย ดูถูกการให้ทาน ถือศีลว่าไม่ใช่ตัวปัญญาที่แท้จริง แค่นี้ก็รู้ได้แล้ว มีอีกเยอะถ้าจะจับผิดกันจริงๆ
     
  15. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    " แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๔ เรื่องสอนว่านิพพานสูญ <dd> น่าแปลกที่ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เขาเชื่อว่านิพพานนั้นคือตายแล้วสูญไปเลย แต่ทางอาจารย์บางท่านกลับสอนว่านิพพานนั้นเป็นนคร หรือเมืองที่เป็นอมตะนิรันดร ที่มีแต่ความสุข ซึ่งก็มีผู้คนเชื่อถือกันอยู่แต่ไม่มากเท่าพวกแรก ซ้ำนิพพานนั้นยังอาจซื้อได้ด้วยเงินอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นวิจรณะญาณของทุกท่านว่าจะเชื่อกันอย่างไร เชื่อแล้วมีประโยชน์หรือโทษอย่างไร การที่บางคนบอกว่าไม่สนใจหรือไม่เชื่ออะไรเลยก็ยังไม่ถูกต้อง เพราะนั่นเท่ากับไม่ยอมศึกษาอะไรบ้างเลย เอาหลักเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย ก็เลยทำให้ไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วก็ลูบๆคลำๆศาสนากันไปวันๆโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากศาสนาอย่างแท้จริง เลย </dd><dd>ส่วนอาตมาไม่ได้สอนอย่างนั้นเลยทั้งสองอย่าง(เพราะไม่สอนเรื่อง หลังจากตายแล้ว) อาตมาสอนให้ทำจิตให้ว่างจากกิเลสในปัจจุบันนี้ แล้วจิตก็จะสงบเย็น ซึ่งทางศาสนาเขาเรียกว่า นิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เองว่า "ที่ใดไม่มีกิเลส ที่นั่นมีนิพพาน"ใครที่จิตไม่เคยว่างจากกิเลสบ้างเลยจึงไม่รู้จัก นิพพานจึงเป็นสภาวะที่ว่างจากกิเลส หรือความรู้สึกว่ามีตัวตนมันหายไปในขณะที่จิตกำลังนิพพาน ส่วนเรื่องที่ว่านิพพานต่อเมื่อตายไปแล้วนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เราใน ปัจจุบันเลย ช่วยดับทุกข์ในปัจจุบันก็ไม่ได้ มีแต่จะให้เราเพ้อฝันถึงเท่านั้น </dd><dd>ส่วนเรื่องการกล่าวว่าให้ไปปฏิบัติดูแล้วจะรู้ได้เองนั้นก็จริง เมื่อรู้แล้วก็จะหายสงสัยและมีดวงตาเห็นธรรม แต่ไม่ควรตัดบทบอกให้ไปปฏิบัติโดยไม่สอนเหตุผลหรือหลักเกณฑ์ก่อน ถ้าหากรู้มาผิด การปฏิบัติก็จะผิดตามไปด้วย ถ้ายังยึดติดอยู่ไม่ยอมละวางก็จะติดอยู่อย่างนั้นจนตาย เรียกว่าเสียชาติเกิด"</dd>

    นิพพานซื้อได้ด้วยเงิน ท่านไปเอามาจากไหนมาเขียน

    หนังสือร่มเงาพุทธฉัตร พระอาจารย์ศุภรัตน์เป็นผู้เขียน

    "
    มีคำพูดของหลวงปู่ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกับสาย มโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความกังขาข้องใจของผู้เขียนมาก หลวงพ่อดู่ท่านคงรู้ความคิด ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย” ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ววิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็นพระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม” นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน “แสดงถึงว่าเมื่อความเป็นพระอรหันต์แล้วถึงวิมุติธรรมคือความเสมอภาคของธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธประเพณี นิมิตนั้นก็แสดงอีกโดยพระพุทธเจ้านั่งเป็นประธานตามด้วยพระอัครสาวกและพระ ผู้ใหญ่ตามลำดับอาวุโส


    วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าถึงการ ปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”"
    หลวงปู่ดู่ กล่าวถึง แดนพระนิพพาน

    นี่อาจทำให้ท่านได้เข้าใจนิพพานที่พวกนักปฏิบัติที่เขาหมายถึงได้มากขึ้น
    ทั้งนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มันขึ้นอยู่กับสภาพของจิต จะได้ไม่ต้องไปกล่าวหาเขาอีก เพราะที่พูดนั่นก็ไม่มีใครผิด

    ส่วนตอนที่จิตว่าง สงบนั้น ก็อย่างไม่ใช่นิพพาน ถ้ายังไม่ได้ตัดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบพระอรหันต์ คนที่เข้ามาศึกษาธรรมะใหม่ๆ เขาก็จะคิดได้ว่า เวลาฉันไม่ทุกข์ นั่นก็นิพพานสินะ แบบนั้นผมก็นิพพานอยู่ทุกวัน ผมเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ?

    กิเลสทียังตัดไม่ขาด แต่โดนอารมณ์อื่นกลบไว้ หรือโดนอารมณ์สมาธิกดไว้มันก็ยังมีอยู่ หรือเอาหินไปทับหญ้าไว้ พอเอาหินออก มันก็ไม่นิพพานแล้ว

    แล้วยังมีที่ละเอียดกว่านั้น มันก็มีอยู่ ดังเช่นตัดต้นไม้ก็ยังเหลือราก ยิ่งขุดลึกรากยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียดตามระดับ

    "
    ส่วนเรื่องการ กล่าวว่าให้ไปปฏิบัติดูแล้วจะรู้ได้เองนั้นก็จริง เมื่อรู้แล้วก็จะหายสงสัยและมีดวงตาเห็นธรรม แต่ไม่ควรตัดบทบอกให้ไปปฏิบัติโดยไม่สอนเหตุผลหรือหลักเกณฑ์ก่อน ถ้าหากรู้มาผิด การปฏิบัติก็จะผิดตามไปด้วย ถ้ายังยึดติดอยู่ไม่ยอมละวางก็จะติดอยู่อย่างนั้นจนตาย เรียกว่าเสียชาติเกิด "
    หลักเกนฑ์มันมี ท่านไฝ่หาบ้างหรือเปล่า ถ้าจะไฝ่หาได้อย่างไร ก็ท่านตัดบทไปแล้วว่ามันเพ้อเจ้อ นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เขาไม่ใจแคบเช่นนี้หรอกท่าน เขาพร้อมที่จะเรียนรู้"


    บอกว่าผู้อื่นรู้มาผิดซะหมด บอกว่านักประวัติศาสตร์รู้มาถูกซะหมด สอนให้คนอื่นยึดติดไม่ยอมละวาง ตนเองกลับยึดตำรานักประวัติศาสตร์ บอกว่าเชื่อครูบาอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้า ตัวท่านเองยึดใครอยู่
    ท่านพุทธทาสเป็นครูคนแรกของผม ท่านมีส่วนดีของท่าน ผมก็ขอเก็บเอามาใช้ แต่ผมคงเชื่อทั้งหมดไม่ได้ เพราะผมเชื่อในพระพุทธเจ้ามากกว่า

    ทุกอย่างที่ท่านพูดมา มันเข้าตัวเองหมด ผมล่ะงงวยกับท่านผู้อัจฉริยะจริงๆ
    พุทธศาสนา ต้องพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ได้จึงจะเชื่อได้ ผมว่ามันตลกมาก
    พวกที่พยายามยัดพุทธศาสนาเข้าไปในวิทยาศาสตร์ มันยัดยังไงก็ไม่มิด เหมือนกับยัดยัดโลกทั้งใบเข้าไปไว้ในหัวของคน นึกภาพออกมั้ยท่าน แต่พุทธศาสนา มันกว้างใหญ่กว่าโลกทั้งใบมาก


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2010
  16. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    "
    <dd> แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๕ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มีจริง
    </dd><dd>เรื่องนี้ก็เด็กเกินไป ถ้าสอนเหตุผลเด็กจะรับไม่ได้ ถ้าสอนว่าเดี๋ยวผีหลอก เด็กก็จะกลัวและไม่กล้าไปในที่มืดที่อาจมีอันตรายได้ ซึ่งก็เพียงเอาไว้หลอกให้เด็กปลอดภัยโดยพ่อแม่ไม่ต้องคอยดูแลให้ลำบากเท่า นั้น แต่ว่ากลับปลูกฝังทำให้เด็กโง่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งพ่อแม่ก็ต้องโง่มาก่อนด้วย"</dd>


    อันนี้ท่านพูดถูกบางส่วน คือสอนให้ไปไหนก็อย่าไปที่ที่มันดูท่าจะไม่ปรอดภัย ไปกลางค่ำกลางคื่น ประโยชน์มันก็มีอยู่ ท่านพุทธทาสท่านก็สอน

    เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา

    จง เลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่

    เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู

    ส่วน ที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

    จะหาคน มีดี อยู่ส่วนเดียว

    อย่า มัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย

    เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย

    ฝึก ให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ

    ท่านพุทธทาส ภิกขุ...

    อาจารย์ท่านก็สอนไว้ ส่วนดีๆน่ะ ขอให้ท่านเอามาให้บ้าง ศิษย์ที่อยากเด่นดังกว่าครู ย่อมนำความอัปยศแก่ครู ศิษย์ที่ถ่อมตน ย่อมนำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ครู

    "<dd>ส่วนเรื่อง เครื่องรางของขลังหรือเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นขอให้คิดดูง่ายๆว่า ถ้าทำได้จริงป่านนี้ประเทศไทยคงส่งเครื่องรางของขลังออกไปขายต่างประเทศกัน จนร่ำรวยกันหมดแล้ว เพราะลงทุนน้อยนิด แต่กำไรมหาศาล หรือชาวต่างประเทศเขาคงมาแอบจดลิขสิทธิ์เอาไปผลิตขายตัดหน้าเรากันหมด แล้วอย่างที่เคยทำกับสินค้าบางอย่างของเรา"</dd>

    พิสูจน์ได้นะท่าน ท่านเคยลองแล้วหรือ ถ้าพระ ท่านคิดจะหาแต่เงินแบบที่ท่านว่า ท่านก็คงำขายส่งออก รวยเละแล้วล่ะ
    แล้ว พวกที่ลองเลียนแบบไปทำขาย อย่าคิดว่าไม่มี ของปลอมน่ะเยอะมาก ท่านเคยไปลองเดินดูหรือยัง คนต่างประเทสเอาไปทำขาย ท่านคิดว่าจะขายได้หรือ บริษัทนั้น บริษัทนี้ปลุกเสก คนเชื่อ คนซื้อ ก็แย่แล้วล่ะ ถ้าคิดได้แบบท่านล่ะก็ โอ้โห อัจฉริยะมาก เหอๆ


    "เรื่องของเรื่อง ก็คือ"มันทดลองให้เห็นจริงไม่ได้" มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เอาเข้าจริงมันพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย มีแต่เรื่องเล่าๆปากต่อปาก แล้วปากคนก็ยาวกว่าปากกาเสียด้วย คนเชื่อก็เชื่อโดยไร้เหตุผล แต่มันก็มีส่วนดีตรงที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนที่อ่อนแอได้บ้างในบาง โอกาส และทำให้คนผลิตร่ำรวยไปตามๆกัน ถ้าใครต่อต้านก็ต้องถูกด่าหรืออาจถูกทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เพราะไปขัดผลประโยชน์ของเขาโดยตรง"

    ท่านจะเอาทดลองแบบไหนล่ะ ผมจัดให้ได้ คนที่จะกล้าทดลอง ต้องประกอบด้วยความเคารพต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่งั้นอาจจะตายฟรี เอาไปให้คนนอกศาสนาเขาห้อย ก็ไม่เกิดผลอะไรหรอก นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม เขาไม่ทำส่งออกกัน
    อยากทดลองดูพลังงาน ก็ลองหากล้องออร่ามาถ่ายดู หยิบพระขลังๆสักองค์ไปที่สถาบันวิทยาศาสตร์ก็ได้ เห็นท่านพูดถึงวิทยาศาสตร์บ่อย ผมคิดว่าท่านคงรู้จักคนใหญ่คนโต คนอัจฉริยะที่นั่น


    ส่วนดีที่ท่านว่ามีบ้างนิดหน่อย นั่นมันไม่หน่อยเลยนะท่าน นึกถึงภาพพระอยู่เสมอ เป็นกรรมฐาน กองหนึ่ง ท่านศึกษาไว้บ้างก็ดีนะครับ
    <dd>
    </dd>


    ขอให้ท่านอย่าให้แคบให้มากนัก ท่านเป็นพระ เป็นที่เคารพบูชา เปิดตาให้กว้าง
    ใครผ่านไปผ่านมาจะได้ไม่หาว่า พระอะไรใจแคบจัง เรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ ยึดอัตตาตนเองเป็นใหญ่ มีทิษฐิมากกว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปซะอีก แบบนี้น่ะหรือจะสอนให้เราละวาง
     
  17. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    "แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๗ เรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนว่าไม่มีจริง
    คนไทยเราเชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนกันมาช้านาน แล้ว ดังนั้นเมื่อใครมาสอนว่านี่ไม่จริงก็ต้องหาว่าสอนผิดเป็นธรรมดา ซึ่งลองไปศึกษาคำสอนของศาสนาพราหมณ์ดูก็จะเห็นว่ามันเหมือนกับของเราเป๊ะ ลองคิดดูง่ายๆว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ตามที่พวกพราหมณ์เขาสอนกันมาก่อน หรือ?มันง่ายเกินไป พระพุทธเจ้าจะต้องตรัสรู้อะไรที่มันสูงกว่านี้ (ตามประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าต่อสู้กับลัทธิพราหมณ์มาโดยตลอด แต่มารุ่นเรากลับรับเอาลัทธิพราหมณ์มาเชื่อและปฏิบัติเสียเอง น่าเศร้ามาก)"

    ข้อนี้สำคัญมาก

    อยากจะบอกกับท่านว่า เหนื่อยหน่ายใจจริงๆ ในเรื่องนี้ผมอ่านแล้วตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีพระที่...ได้ถึงขนาดนี้อยู่บนโลก เป็นความอัปยศที่สุด น่าอับอายที่สุด

    ข้อ 1 ที่ท่านบอกว่าศาสนาพราหมณ์ก็มี ท่านพูดถูก แล้วท่านก็มีนึกเอาเองอีก ว่าพระพุทธเจ้าท่านน่าจะทำเช่นนั้นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 ในพระไตรปิฎกก็เขียนไว้ ส่วนเรื่องบุญกรรม มันก็คือกฎพื้นฐานธรรมดา ที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้

    ข้อ 2 ท่านรู้ได้จากตรงไหน ว่าพระพุทธเจ้า ท่านต่อสู้กับลัทธิพราหมณ์ ท่านเพียงบอกว่า สิ่งที่ท่านทำก็ดี แต่สิ่งที่ดีกว่านี้ก็มีอยู่ นั่นคือหนทางสู่นิพพานที่แท้จริง

    ข้อ 3 แม้มันจะเป็นความเชื่อของพราหมณ์เขา มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาผิดเราถูก อย่างน้อยๆ สิ่งที่พิสูจน์ว่าศาสนาพราหมณ์เขามีดีจริงๆ ก็คือเรื่อง ฌานสมาบัติ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เรื่อง ฌาน แต่ท่านก็ใช้ แล้วก็สอนให้ลูกศิษย์ท่านใช้ เพราะมันมีประโยชน์ มันเป็นของดี ข้อดีหลายอย่าง เขารู้แค่นี้ พระพุทธเจ้ารู้มากกว่าเขา มันไม่ได้แปลว่าเขาผิด
    เหมือนกับวิทยาศาสตร์รู้ของท่านรู้แค่นี้ พราหม์รู้มากกว่า ก็ไม่ได้แปลว่าวิทยาาสตร์ผิด
    พราหมณ์รู้แค่นี้ พุทธรู้มากกว่า ไม่ได้แปลว่าพราหม์ผิด

    ท่านพุทธทาส อาจารย์ของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ บอกว่า พระพุทธเจ้าเอออวยไปตามพราหมณ์ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดเขา ท่านก็ลองอ่านพุทธพจน์นี้ดูนะครับ

    ๑. วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น
    ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ๒. วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น
    ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

    ๓. วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น
    ตถาคตรู้เวลาที่จะกล่าววาจานั้น
    ๔. วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่พอใจของบุคคลอื่น
    ตถาคตจึงจะกล่าววาจานั้น

    อ่านแล้วท่านลองพิจารณาดู แบบผู้มีปัญญาสักหน่อย
    สิ่งที่ท่านพุทธทาสสอน ผมก็รับไว้ส่วนหนึ่ง เพราะท่านเป็นครูคนแรก แต่ไม่กล้ารับไว้ทั้งหมด เพราะผมไม่เชื่อครูบาอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้าตามที่ท่านกล่าวหาไว้(กลัวอเวจีด้วย)

    ยิ่งอ่านดูแล้ว ยิ่งบรรทัดล่างผมไม่อยากตอบเลย น่าหดหู่จริงๆ ไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2010
  18. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    <dd>"การสอนให้ทำ ความดีนั้นศาสนาไหนๆเขาก็มีสอนกันอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่พ้นให้รักษาศีล ให้ทาน มีความกตัญญูกตเวที มีเมตตาเหล่านี้เป็นต้น ส่วนการสอนให้ละเว้นความชั่วก็สอนไม่ยาก คือเอานรกมาขู่ก็กลัวกันไม่กล้าทำชั่วแล้ว เพราะคนสมัยนั้นยังโง่กันอยู่มาก(ซึ่งก็ยังพอมีหลงเหลือมาถึงปัจจุบันด้วย เหมือนกัน) เรื่องเหล่านี้มันต่ำเกินไปที่พระพุทธเจ้าจะมาสอน </dd>"


    ขอถามข้อ 1 ท่านแตกฉานในศาสนาอื่นมากแค่ไหน คริส อิสลาม พราหมณ์
    เขาสอนให้ทำความดี แต่มันดีคนละอย่าง
    เขาสอนให้ถือศีล ศีลก็คนละอย่างกัน
    กรุณาอย่ามาบอกว่า ศีลเหมือนกัน ทำดีเหมือนกัน บางศาสนา ทำดีของเขาคือฆ่าเองกินเอง บางศาสนาเขาล้างบาปโดยลงไปอาบน้ำในแม่น้ำศักสิทธิ์ ของเราไม่มีดีแบบนั้น
    บางศาสนาเขาทำดีโดยการเกรงกลัวต่อพระเจ้าของเขา ขอเราไม่มีแบบนั้น มีแต่เคารพ

    ข้อ 2. กรุณาอย่ามองคนอื่นให้โง่ แล้วอวดตัวเองฉลาดให้มากนัก โลกแคบๆของท่านยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านยังไม่รู้

    ข้อ 3. ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าพระพุทธเจ้าควรจะสอนอะไร เรื่องศีลมันต่ำหรือ แค่นี้ สังโยชน์ข้อ 3 ท่านก็ไม่ผ่านแล้ว ความดีเพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ ความชั่วเพียงเล็กน้อยก็อย่าทำ อย่าไปดูถูก เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านก็สอน



    " เราก็รู้อยู่ ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ จึงกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ เรื่องอริยสัจ ๔ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ดังนั้นเราที่ปฏิญาณตนว่านับถือพระพุทธเจ้า ก็ควรที่จะสนใจศึกษาอยู่แต่ในเรื่องอริยสัจ ๔ เท่านั้น เรื่องอื่นที่ไม่สำคัญอย่าเพิ่งไปสนใจ แต่นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรามัวงมโข่งศึกษาและปฏิบัติกันอยู่แต่ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการดับ ทุกข์กันเสียมากกว่า แล้วเราจะไปเข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? "

    เออ ท่าน เช่นนั้นพระไตรปิฎกท่านจะเขียนให้ยาว ให้คนอ่านปวดตาทำไม เขียนแค่อริยสัจ 4 ก็พอแล้ว แล้วทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา คงไม่ต้องมีกัน เหมือนกับ ฉันจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของบันได ฉันไม่ต้องการบันไดขั้นแรก เพราะฉันปีนเก่ง กระโดดเก่ง
    คนที่มาศึกษาธรรมะกับฉัน ก็ควรจะปีนเก่ง กระโดดเก่งแบบฉัน บันได้ขั้นแรก ขั้นสอง ไม่ต้องไปใส่ใจมัน แบบนี้ใช่ไหม เหมือนกับ ฉันจะกินข้าว ฉันก็กินแต่ข้าว แค่นี้ฉันก็อิ่ม พวกกับข้าวไม่ต้อง มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ ขอแค่อิ่มก็พอ แล้วพอเห็นคนอื่นกินกับ ด้วย ก็บอกว่า กินทำไมไร้ประโยชน์


    "เราอาจจะมีข้ออ้างมากมายที่จะยกมาเป็นเหตุผลว่านี่เป็นผลกรรมจาก ชาติปางก่อน ซึ่งมันไม่มีเหตุผลและไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย อย่างเช่นอ้างว่าคนเรายากจนและร่ำรวยก็เพราะทำกรรมดีและกรรมชั่วเอาไว้ ตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมจากชาติปางก่อนคนเราก็จะไม่แตกต่างกัน เป็นต้น "

    อืม วิทยาศาสตร์กันเข้าไป วิทยาศาสตร์ทำทุกอย่างเพื่อสนองความอยาก
    ส่วนพุทธศาสนา ทำทุกอย่างเพื่อไม่ตามใจความอยาก สวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด
    ส่วนท่าน ตามใจวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสเขาต้องการอะไร ก็ต้องตามใจเขา
    เฮ้อ...สังคม...ข้อธรรมขอพระพุทธเจ้าถูกทับถมหมด เพราะต้องตามวิทยาศาสตร์
    น่าละอายที่สุด


    "ในความเป็นจริงที่เราเห็นอยู่จริงๆ ก็คือคนที่เกิดมามีพ่อแม่รวย เขาก็เลยพลอยรวยไปด้วย คนที่เกิดมามีพ่อแม่จนเขาก็เลยพลอยจนไปด้วย แต่ถ้าคนรวยแล้วประมาท ไม่รู้จักทำมาหากิน ฟุ่มเฟือยก็อาจกลายเป็นคนจนได้ ส่วนคนจนที่ขยันประหยัดก็อาจร่ำรวยได้ นี่เป็นเพราะกรรมหรือการกระทำของแต่ละคนที่จะส่งผลให้ใครเป็นอย่างไรได้ใน ปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้จริงและเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริง ไม่มีใครโต้แย้งได้ "

    ธรรมข้อนี้ท่านกล่าวได้ดี ผมก็เห็นด้วย ทำตอนนี้มันก็เห็นผลตอนนี้
    ส่วนกฎแห่งกรรม ยังไม่เคยเจอมัน ก็อย่าพึ่งไปดูถูกหาว่ามันไม่มี แบบนั้นประมาทไป
    อย่าลืมว่า เราจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ มันก็มีอิธิพลจากหลายอย่าง

    "เรามักเชื่อว่าเรามีกรรมหรือพระพรหมมาคอยตามดลบันดาลชีวิตให้กับ เรา นี่เองที่ทำให้เราท้อถอย งอไม้งอมือ ไม่ยอมทำการงานให้เต็มที่ เพราะเชื่อว่าถึงทำไปถ้าไม่มีบุญหรือดวงไม่ดีก็ไม่มีวันร่ำรวยหรือสุขสายได้ นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยยังคงยากจนและล้าหลังประเทศบางประเทศ ที่เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่ทุกวันนี้ "

    เรามักเชื่อ? ท่านพูดถึงใคร ถึงทุกคน หรือคนที่ท่านบอกว่าเป็นพวกโง่เง่า แต่ไม่ใช่ผมแน่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน ไม่เคยสอน ว่าจะมีใครมาคอยบันดลบันดาลชีวิตให้กับเรา เรื่องนี้ท่านทึกทักเอาเองอีกแล้ว
    เรื่องประเทศไทยจน ท่านรู้ได้อย่างไร
    เรื่องประเทศไทยล้าหลัง ท่านรู้ได้อย่างไร

    มีเงินน้อยกว่าเขาแปลว่าจนหรือ?
    งั้นก็ลองให้ใครก็ได้ ยืมเงินมาสัก 65 ล้าน ล้าน บาท เอามาแจกไปเลยคนละ 1 ล้าน
    แล้วถามว่า ประเทศไทยคนรวยเพิ่มขึ้นไหม ถ้าท่านตอบใช่ ผมก็จะถามว่า แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าวจะไม่ขึนเป็นกระสอบละ 2-3 หมื่น ไข่ฟองละ 300 ในเมื่อทุกคนมีเงินล้าน ขี้เกียจก็ไม่ต้องทำงาน ส่วนหนึ่งก็ออกไปอยู่ต่างประเทศ เอาเงินเอาแรงงานออกไป เงินเพิ่มราคาของก็เพิ่ม เพราะมันไม่สำคัญที่คนจะมีเงินมากแค่ไหน มันสำคัญที่สภาพคล่อง สภาพค้าขายคล่องตัว จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจ

    ประเทศอังกฤษ ประเทศค้าน้ำมัน มันรวยกว่าไทยตั้งกี่เท่า ทำไมเขาลำบากกว่าคนไทยซะอีก คนตกงาน คนจอนจัด ก็ยังมีเยอะ แต่เขาก็มีดีอย่างที่คนไทยไม่ค่อยมี คือจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เขาอุดหนุนสินค้าที่เขาผลิตเองแม้ว่ามันจะไม่อร่อย หรือไม่สวยทันสมัย

    คนไทยล้าหลัง?
    ประเทศไทยทุกวันนี้มาตรฐานการศึกษาสูงมาก คนไทยบางคนถูกส่งไปเรียนเมืองนอก กลับมากลายเป็นคนจิตต่ำไปเลยก็มี กลับมามาด่าในหลวงก็มี ใครมันล้าหลังกว่ากันท่านลองตรองดูเอาเิิองเถิด ส่วนเรื่องวัตถุ ปล่อยให้เขานำหน้าไปเถิดท่าน
    อีกอย่าง เรามีพุทธศาสนาที่ไม่เคยล้าหลัง ทันสมัยอยู่ตลอด แม้จะผ่านไปกี่พันปีก็ตาม
    ผมภูมิใจนะ แม้ว่าท่านจะเป็นส่วนที่ผมคัดออกไว้ต่างหากก็ตาม

    "ถ้าเราจะมาหาคำสอนของพุทธศาสนาที่แท้จริงที่สอนว่าชีวิตเป็นสิ่งพัฒนาได้ ไม่ใช่ของตายตัวหรือถูกกำหนดมาแล้วจากชาติปางก่อนหรือจากดวงชะตาราศรี เราก็จะเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะเรียน ที่จะศึกษาที่จะทำงาน เพื่อให้เกิดความเจริญและมั่นคงขึ้นในชีวิตและสังคมของเรา "

    โอ้...ประโยคนี้ท่านเอาไปสอนใครก็ได้ทั้งนั้น ท่านเอาไปกล่าวสุนทรพจน์ยังได้เลยครับ เอาประโยคนี้ไปสอนใคร ไม่มีใครเขาคัดค้านแน่นอน มีแต่คนสรรเสริญ

    การไม่จำยอมแก่โชคชะตา เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่การปฏิเสธกฎแห่งกรรม
    กรรมเลวมันจะมีอิธิพลหนุนเสริมให้เราทุกข์แค่ไหนก็ช่าง เราไม่ยอมซะอย่าง เราก็ยังมีโอกาสดีได้

    สาธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2010
  19. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    แก้ข้อกล่าวหาเรื่องที่ ๘ เรื่องสมาธิสูงๆจะทำให้มีอิทธิฤทธิ์ได้หรือไม่?
    "นี่ก็เป็นเรื่องเด็กๆอีกเหมือนกัน คือพอจนตรอกที่จะสอนเข้าก็เลยต้องใช้วิธีบอกให้ไปปฏิบัติเอาเองจึงจะเห็น จริง ใครสอนผิดจากหลักของตน ก็กล่าวหาว่าปฏิบัติไม่ถึงขั้น หรือไม่ได้ปฏิบัติ ส่วนตนเองนั้นกลับปฏิบัติไม่ได้ พอปฏิบัติไม่ได้ก็กลัวคนอื่นว่าโง่ เลยจำต้องบอกว่าเคยปฏิบัติได้แล้วบ้าง เสื่อมไปแล้วบ้าง คนที่ไปลองปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติต่อแล้วไม่ได้อีกก็กลัวเขาหาว่าโง่อีก ก็เลยต้องใช้วิธีเดิมอีก เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย เป็นจิตวิทยาที่ล้ำลึกมาก "

    โอ้ ท่านอนุมานได้เป็นขั้นเป็นตอนมาก เสียอย่างเดียว จินตนาการณ์เอาเองล้วนๆ
    ท่านที่ได้จริงๆ น่ะ เยอะนะครับ ถ้าจะไฝหาจริงๆ ส่วนเวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนท่านไม่เคยบอกว่าลูกศิษย์โง่ หรือปฏิบัติไม่ถึงขั้น ท่านอย่าพึ่งจินตนาการณ์ไปก่อน ถ้าใครติดตรงไหน ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ทั้งนั้น ว่าควรทำอย่างไร ถึงจะไปต่อได้ สำหรับคนที่ความอดทนไม่พอ ก็จะตำหนิครูบาอาจารย์แบบท่านนั่นแหละ ภูมิใจเสียเถิดเป็นคนส่วนมาก



    "ตามความจริงที่ปรากฏ เคยมีใครมาแสดงอะไรที่เป็นพวกอิทธิปาฏิหาริย์ หรือแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นกันจริงๆบ้าง? ไม่มีเลย มีแต่เรื่องเล่าลืบๆกันมาเท่านั้น แล้วก็อ้างว่าสมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว ถ้าสมมติว่ามีใครทำได้จริง ป่านนี้คงโด่งดังกันไปทั่วโลกแล้ว คงมีคนมานับถือกันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว "

    ข้อแรก ถ้าท่านอยากเห็น อีก 3 เดือนนัดกันอีกทีได้ งานที่อังกฤษ คงเสร็จแล้วตอนนั้น ตอนนี้ไม่ได้ ทำได้แต่มันอาจจะมีกำลังไม่มากนัก ทำได้นิดๆหน่อยๆ เช่นนึกกดปุ่มเปิดทีวี
    หากท่านกลัวเขาฉายมโนภาพใส่ความคิดท่าน ท่านก็ลองหยิบกล้องมาด้วย กล้องมันไม่มีความคิด มันช่วยได้ อีกอย่าง คนที่ทำ เขาไม่รู้หรอกว่า รายการทีวีวันนี้เขาจะพูดอะไรบ้าง ถ้าใครจินตนาการณ์ได้ขนาดนั้น เขาคนนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ ท่านว่าจริงไหม

    ข้อสอง ครูบาอาจารย์ท่านไหนหรือ ที่ไปอ้างกับท่าน ว่าสมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว ที่ท่านทำให้เห็นไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ "ห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม คือ สิกขาบทที่มิให้ภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่ชาวบ้าน ภิกษุใดแสดงภิกษุนั้นมีความผิด ต้องอาบัติทุกกฎ " ท่านศึกษาไว้บ้างก็ดี ส่วนจะห้ามเพราะอะไร ท่านอ่านพระไตรปิฎกเอาเองจะดีกว่า เพราะผมคิดว่าท่านเป็นพระที่ห่างเหินพระไตรปิฎกมาก เหลือเกิน มิหนำซ้ำยังคัดคำพระพุทธเจ้าออก มิหนำซ้ำยังอนุมานตีความเอาเอง มิหนำซ้ำ ยังเขียนหลักสูตรพระพุทธศาสนาให้ลูกหลานเรียนอีกด้วย

    "ลองคิดง่ายๆ ว่าพวกนักเล่นกลเขาทำสิ่งที่ดูว่าเหนือธรรมชาติได้อย่างไร? ซึ่งเราก็ทึ่งเขามาก แต่เราก็รู้อยู่ว่าเขาเล่นกล เราจึงไม่ไปศรัทธาเชื่อถือเขาเป็นศาสดาของเรา ถ้าเกิดเขาหลอกเราว่าเขาทำได้จริง ก็คงเกิดลัทธิอะไรแปลกๆขึ้นมาในโลกอีกมากเป็นแน่ "

    มันไม่ได้เหนือธรรมชาิติหรอกครับ ความจริงมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพียงแต่มันยัดเข้าวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ ก็จากที่ผมบอก พุทธศาสนา ถ้าปฎิบัติจริงๆ รู้อะไรมากกว่าวิทยาศาสตร์มาก วิทยาศาสตร์มันยังแคบมาก สมัยหลายปีก่อน แฟนผมเขาเอาเซลล์หูของคน ไปปลูกบนกระดูกสันหนังของหนู มันก็เติบโตเป็นใบหู เพื่อเอาไว้สำหรับคนพิการใบหูไม่มีหรือแหว่ง เอาไปเปลี่ยนได้ สมัยนั้นเขาคัดค้านกันเยอะมาก ส่วนสมัยนี้ วิ่งหาซื้อลิขสิทธิ์กันให้ควัก ทำได้ทั้งตับเทียม เครื่องในเทียม ทำได้หมด ขายแพงซะด้วย

    "สมาธิสูงๆจะทำให้มีอิทธิฤทธิ์ได้หรือไม่นั้นไม่ได้มีความสำคัญเลย เพราะพุทธศาสนาสอนให้ใช้สมาธิมาช่วยดับทุกข์ ไม่ได้สอนให้ทำสมาธิเพื่อสร้างอิทธิฤทธิ์เลย ถ้าสมมติมีอิทธิฤทธิ์ได้จริง แล้วไม่นำมาใช้ดับทุกข์ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ ซ้ำยังจะกลับมาทำให้เกิดทุกข์ขึ้นอีกเสียด้วยซ้ำ แต่ดูว่าใครๆก็อยากจะมีสมาธิสูงๆเพื่อมีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจอย่างที่ครู อาจารย์สอนไว้ เพื่อที่จะนำมาใช้สร้างชื่อเสียงลาภยศให้กับตนเองตามอำนาจกิเลสที่แอบแฝง อยู่ในจิต คือเท่ากับเพิ่มกิเลส ไม่ได้ลดกิเลส "

    ท่านพูดถูก สรุปได้ดีในเรื่องนี้ แ่ต่ผมเสียใจอยู่อย่างหนึ่งที่ท่านชอบจะไปพาลครูบาอาจารย์ท่านอื่น ท่านที่สอนเรื่องฤทธิ์ ที่ดีๆ ก็มีมากที่สอนแฝงหลักธรรมเข้าไป เช่นจะท่องคาถาบทนี้ ต้องถือศีล 5 ด้วยนะ ศีลต้องบริสุทธิ์ คาถาถึงจะมีผล

    เรื่องฤทธิ์นั้นมันเป็นของเล่น แต่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสมอไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ได้ ใช้ให้เกิดโทษก็ได้ เหมือนไฟฟ้า เหมือนความรู้ จึงไม่ควรดูถูกความรู้เปหล่านี้อย่างยิ่ง
     
  20. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    แก้ข้อกล่าวหา เรื่องที่ ๙ เรื่องถ้าสอนว่าไม่มีชาติหน้าคนจะทำชั่วเพราะไม่ต้องรับผล

    เรื่องนี้ อ่านแล้ว ผมก็พอจะเข้าใจท่านนะ เห็นเจตนาของท่าน แต่บางสิ่งที่ท่านสอน ที่ตัดนู่นตัดนี่ออกไปเสีย มันส่งผลเสียไม่ใช่แค่ท่าน พระไตรปิฎกหลายๆเล่ม แต่ละเล่มหนาๆ คนที่เขียนเพิ่มเติมทีหลัง เขาก็ต้องเป็นผู้รู้พอสมควร แต่จะถึงจะเขียนเก่งอย่างไร คงไม่ถึงขนาดเปลี่ยนไปเยอะมากจนกระทั่งเชื่ออะไรไม่ได้เลย
    ผมเป็นห่วงท่านนะ เพราะบางคนเขาไปดูมา ท่านพุทธทาสตอนนี้ท่านก็ไม่สบายนักหรอก แค่บอกว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ ก็ผิดมากแล้ว ผิดเจตนาของพระพุทธเจ้าท่าน ท่านไม่ให้เชื่อ แต่ท่านต้องการให้พิสูจน์ แล้วท่านก็ให้แนวทางเอาไว้ 84,000 พระธรรมขันธ์ เป็นวิธีปฏิบัติที่ท่านได้บอกเอาไว้
    ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์
    ไม่มีธรรมข้อไหนขัดแย้งกัน เป็นคนธรรมดา เขียนได้คงใช้เวลาหลายชาติ
    หากท่านคิดว่าเขียนขึ้นมามั่วๆ และยังไม่ไว้ใจในครูบาอาจารย์ที่อาจจะสอนท่านได้
    ก็ยากนักที่ท่านจะพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองได้

    ผมพูดได้เต็มปากว่าท่านยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง และถึงแม้พวกที่เขาเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง หากไม่ได้มาพิสูจน์ตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ให้ไว้ ก็ยากที่จะมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมาพิสูจน์ได้

    หากจะมีสิ่งใดที่ผมปราถนาในการสนทนาธรรมในครั้งนี้ กับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมขอแค่ ธรรมที่ท่านจะเขียนเป็นหลักสูตรการศึกษา หรือเผยแพร่ให้กว้างขวาง ขอให้มีกรรมการตรวจทานก่อน จะเป็น มหาเถรสมาคม หรือองกรสงฆ์ที่เป็นสากลสักหน่อย เสร็จแล้วค่อยเผยแพร่ จะได้หรือไม่ครับ

    ผมขอแค่นี้ เท่านั้น
    กราบนมัสการ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...