รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ไม่ได้พิมลงเสียนาน ช่วงนี้ผมกำลังหาที่ยึดเหนี่ยวอยู่
    เมื่อเกิดปัญญา มันจะมีปัญหาตามมาเสมอ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งสงสัย จนบัดนี้เริ่มสงสัยใน นิพพาน สงสัยในตนเอง สงสัยในสิ่งที่รู้มา สงสัยไปหมด
    - นิพพานคือสิ่งใดควรคิดต่อไหมครับ
    - ตัวเอง จะไปทางไหนกันแน่ บางวันก็หมกหมุ่น บางวันก็สบายๆ จนมึนไปหมด
    - ความรู้บางอย่างมันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

    ตอนนี้บางวันผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับการไปนิพพาน บางวันผมรู้สึกกระตือรือล้นที่จะไปนิพพาน บางวันรู้สึกอยากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยค้นหาความจริงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
    บางวันรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนไม่อยากทำอะไร งงกับชีวิตตัวเองมากครับ

    ช่วงนี้ผมก็ยังฝึกสมาธิอยู่เช่นเดิมเพียงแต่รู้สึกมันไม่เข้าที่เข้าทาง อาจจะเป็นเพราะคิดมาก กับนอนไม่พอครับ

    ให้เราขึ้นไปข้างบน แล้วกราบทุกๆท่าน ทุกๆพระองค์
    ตั้งจิตว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อ สมเด็จองค์ปฐม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าทุกๆพระองค์

    หากสภาวะพระนิพพานที่ข้าพเจ้าเข้าถึงนี้ เป็นของจริง

    ขอกระแสพุทธเมตตาแห่งพระพุทธเจ้า ยังดวงจิตของข้าพเจ้าให้ได้สัมผัสอารมณ์ความสุขชุ่มเย็น อิ่มเอิบ ประดุจสายน้ำทิพย์ ชะโลมล้างดวงจิตของข้าพเจ้า จากความวุ่นวายใจทุกประการ
    ขอให้จิตของข้าพเจ้าได้สัมผัส เสวยสุข ในอารมณ์แห่งพระนิพพาน ณ ขณะนี้ด้วยเทอญ

    แล้วทำใจสบายๆ ซักพัก ความเย็น อิ่มเอิบ สุขล้นจากพระนิพพานจะปรากฏขึ้นแก่จิตของเรา
    แล้วให้เราแผ่เมตตา ควบในอารมณ์พระนิพพานนี้ สาดส่อง เป็นรัศมีเพชร ไปยังทุกๆดวงจิต
    ประดุจดั่งพระอาทิตย์ แห่งความชุ่มเย็น สาดส่อง กระทบ สัมผัสถึงทุกดวงจิตซึ่งอารมณ์พระนิพพานเสมอกัน

    เมื่อนั้น เราจะคลายจากความสงสัยทุกประการ

    หลังจากนี้ทุกครั้งที่ขึ้นมา ให้ตั้งจิตในลักษณะเดียวกัน เราจะสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ตลอด<!-- google_ad_section_end -->

    ขอให้จิตสิ้นจากวิจิกิจฉา ผ่านวิบากครั้งนี้แล้ว
    ขอให้ก้าวหน้าอย่างฉับพลันทันใด มีแต่ความแน่วแน่ในพระรัตนตรัยสูงยิ่งขึ้นไป
    ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Hierophant ครับ

    พอนั่งสมาธิไปได้ซักระยะหนึ่ง แล้วจะมีความรู้สึกเหมือนว่าลมหายใจเข้า-ออก สั้นลงเรื่อยๆ แล้วมีความรู้สึกวูบเข้ามาที่ใจเรา ล้มหายใจที่เข้าออก ก็หายไปเลยครับ ไม่รู้สึกว่าหายใจอีกแล้ว รู้สึกนิ่งเฉยๆ เหลือเพียงแค่ใจเรา เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ มีความรู้สึกแผ่กว้างออกไป ตอบหน่อยครับคืออะไร

    ฌาณ4 ละเอียดครับ
    ลมหายใจหยุดนิ่ง จิตหยุดนิ่ง จิตแยกจากร่างกายโดยสมบูรณ์ รู้สึกคล้ายไม่มีร่างกาย
    มีแต่ความเบา สุข นิ่ง เย็น โปร่งโล่ง คล้ายลอย อยู่นิ่งๆ ที่ไหนซักแห่ง

    ให้เราอธิษฐาน กำกับเอาไว้ด้วยว่า

    ขอให้ข้าพเจ้ามีความคล่องตัวในการเข้าออก ซึ่งสภาวะของฌาณ4ละเอียดนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    ย้ำไปสามรอบ ก่อนออกจาสภาวะนี้

    แล้วเราจะมีความคล่องตัวมากขึ้น เข้าออกได้ดั่งใจ ยิ่งกว่าเดิม

    เราก็เน้น พยายามทรงในอารมณ์นี้ให้คล่อง เข้าออกให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง
    หรือมากกว่านั้น

    แล้วก็หันมาฝึกในการเจริญเมตตา พรหมวิหาร4ต่อไป คิดว่าน่าจะแผ่เมตตาได้เย็นเป็นพิเศษครับ

    เคยทำมาดีแล้วก็ทำดีต่อไปครับ มีสมบัติแล้ว ต้องเอามาต่อยอดนะครับ

    ขอให้รู้ตื่นขึ้น ซึ่งคำอธิษฐาน ซึ่งปฏิปทา ซึ่งวิสัย ที่ได้อธิษฐานมา
    และมีกระแสแห่งเมตตาจิต ส่องนำทาง มุ่งลัดตัดตรงเข้าสู่มรรคผลนั้น
    ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  3. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    สมาธิที่น่ากลัวที่สุดคืออุปจารสมาธิเพราะมีสิ่งปรุงแต่งหลอกล่ออยู่มากมาย

    ขอบคุณที่ได้กรุณาอธิบายให้ทราบครับ

    ที่แท้แล้วโครตภูญาณคือารมณ์ที่ใช้ในการเจริญมโนมยิทธินั่นเอง พอเข้าใจแล้วครับ

    ตามที่ได้ตอบให้ทราบนั้น

    "พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเข้าถึงซึ่งสภาวะพระนิพพานแล้ว มีสภาวะ มีอารมณ์ความสุข ความชุ่มเย็นเพียงไร
    ขอภาพพระพุทธองค์นี้ เปลี่ยน เป็นภาพสภาวะของพระองค์บนพระนิพพาน

    อันสว่าง ชัดเจน งดงาม และบังเกิดอารมณ์อันสุข อิ่มล้น ชุ่มเย็น อย่างถึงที่สุดด้วยเทอญ

    จากนั้นทำใจสบายๆ จะบังเกิดภาพ สภาวะของพระองค์บนพระนิพพานขึ้น พร้อมกับอารมณ์ความชุ่มเย็นแห่งพระนิพพาน ปรากฏขึ้นแก่ดวงจิตของเรา

    ทำได้แน่ครับ แต่ต้องศรัทธาพระพุทธเจ้าให้สุดหัวใจ
    เพราะตัวศรัทธาในพระรัตนตรัย และปรารถนาพระนิพพาน คืออารมณ์ที่ตัดสังโยชน์

    แต่ผมแนะนำให้ลองหา ไฟล์ของหลวงพ่อฤาษีที่ท่านนำมโนมยิทธิ หรือของคุณแม่รัมภา หรือหาเวลาไปฝึกมโนด้วยตัวเอง

    หรือถ้าไม่อยู่ในสถานที่ที่จะฝึกได้
    ลองติดต่อมาทาง pm ครับ เดี้ยวผมจะหาเวลานำให้ผ่านทาง msn หรือ skype ให้"


    เรื่องมโนมยิทธินั้น ผมเคยไปฝึกมาตามที่เจ้าของกระทู้แนะนำแล้วครับ ไปที่บ้านสายลม ที่จริงเป็นของไม่ยาก เพราะอาศัยการคิดและจำอารมณ์ในขณะนั้นให้ได้ แล้วก็หมั่นซ้อมบ่อยๆ ก็จะชินกับมโนมยิทธิไปเอง

    ตอนฝึกที่บ้านสายลม มีครูนำให้หมดทุกอย่าง ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ทำตามที่ครูบอกหมดทุกอย่าง ก่อนครูจะนำก็ให้ภาวนาไปจนกว่าใจสงบ ประมาณ 20 นาที ผมก็ทำตาม หลังจากนั้นให้เลิกภาวนา ครูก็จะนำในเรื่องของวิปัสสนา ผมก็พิจารณาตามไป จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการท่องเที่ยวแดนต่างๆ ผมไม่มีปัญหา เพราะจับภาพพระพุทธรูปเป็นปกติ ประจำอยู่แล้ว ก็อธิษฐานขอให้ท่านนำไป ตามที่ครูท่านบอกให้ไป ไปเรื่อย ไปดาวดึงส์ ไปแท่นประทับพระอินทร์ ก็ตามครูไปได้หมด

    เจอพระอินทร์ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ครูบอกว่าท่านแสดงตัวในแบบที่เราคุ้นเคย ให้ขอให้ท่านแสดงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ก็ได้เรื่องเลย

    ครูบอกให้น้อมนำใจตามไปอย่างเดียว เห็นภาพหรือไม่เห็นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อาศัยความรู้สึกอย่างเดียว ให้จับความรู้สึกที่ปรากฏครั้งแรก อย่างนี้ถือว่าเป็นของง่ายๆ เสร็จผมล่ะแบบนี้

    ปัญหาจริงๆ อยู่ที่แดนนิพพาน ครูท่านนำไป ผมก็ไปกับท่าน ตอนนั้นไม่ได้คิดสงสัยอะไร เพราะฝึกมโนมยิทธิต้องฝึกแบบไม่รู้อะไร ห้ามคิดสงสัยเป็นเด็ดขาด ครูท่านบอกให้ทำอะไร ผมก็มีหน้าที่ทำตามลูกเดียว

    ทีนี้ฝึกเสร็จแล้วความสงสัยจึงบังเกิด แต่เดิมผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า จิตของผมนั้นเกาะอยู่กับอบายภูมิเสียมาก เวลาจิตมีสมาธิ มันก็นิ่ง ไม่สอดส่าย เพราะอำนาจของสมาบัติกดทับเอาไว้ แต่พอไม่ได้มีสมาธิ จิตก็ไปไต่อยู่ที่ขอบนรกเสียอย่างนั้น อีกอย่างวิปัสสนาที่ฝึกอยู่ ก็ยังไม่เข้าขั้นเท่าใดนัก ยังห่างไกลจากความเป็นพุทธะอยู่มาก

    ด้วยเหตุดังกล่าว ผมพิจารณาตัวเองว่าจิตยังมีความเศร้าหมองอยู่มาก ยังไม่สมควรที่จะไปสัมผัสนิพพานด้วยประการทั้งปวง แต่ที่ตอนฝึกมโนมยิทธิ ไปกับครูเขาได้ นั้นเพราะอะไร?

    ประเด็นปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ ที่สงสัยว่าตอนฝึกมโนมยิทธิ แล้วไปถึงแดนนิพพานกับครูท่านได้นี่ จิตของเราอุปทานไปเอง ปรุงแต่งไปเองหรือเปล่า ? พูดง่ายๆ คือยังไม่เชื่อถือ ในสิ่งที่พบ ที่เห็นในขณะนั้นน่ะครับ

    ทางแก้ก็คือ ต้องขยันซ้อมมโนมยิทธิบ่อยๆ เวลาฝึกซ้อมเองที่บ้าน จึงทำเองหมด ไม่ต้องมีครูนำ จับภาพพระพุทธรูป แล้วอธิษฐานขอให้ท่านนำไปแดนต่างๆ โดยตรง อาศัยกำลังใจระดับฌาณ 4 (ใช้กำลังมากกว่าฝึกกับครู ที่ใช้เพียงอุปจารสมาธิ) ควบคู่ไปกับการฝึกวิปัสสนาอย่างเข้มงวด

    ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงติดตามผลว่าสิ่งที่ได้รับทราบนั้น จะเป็นของจริง หรือว่าอุปทาน หรือมารล่อหลอกให้เราหลงใหลไปเองกันแน่ครับ

    มารนี่ก็แปลก ชอบมาล่อหลอก ให้ไขว้เขว นอกลู่นอกทางเสียเรื่อย รบกวนผู้ปฏิบัติเพื่อความดีเสียจริงๆ หรือว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องมาทดสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติก็ไม่อาจจะทราบได้

    เพราะอย่างนี้จึงหันมาใส่ใจกับวิปัสสนา กะจะเปิดศึก ท้ารบกับมารให้รู้แล้ว รู้รอดไปเสียที (เจอมารแล้วผมสู้ครับ ไม่เคยคิดปล่อยผ่านหรือให้มารได้ทำตามสิ่งที่ต้องการเป็นเด็ดขาด)

    จริงๆ แล้วมโนมยิทธิยังไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุด สิ่งที่ปารถนาที่สุดคือ การไปยังแดนต่างๆ ทั่วทั้งไตรภูมิโดยยกเอาทั้งกายเนื้อไปทั้งหมดเลย (ตามวิสัยของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญานะครับ) ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรอภิญญาใหญ่ยังไม่มา ยังไม่ยอมมารวมตัวกันเสียที ก็เล่นอภิญญาน้อย คือมโนมยิทธิคือฤทธิ์ทางใจไปตามเรื่องตามราวก่อนล่ะกัน

    แต่อภิญญาใหญ่จะมาหรือไม่มาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะตอนนี้ไม่อยากเกิดอีกแล้ว ถ้าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายได้ ก็จะดีมากๆ
     
  4. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    การอุทิศส่วนกุศลให้คนเป็น

    คือคุณพ่อทำอาชีพค้าขายเนื้อสัตว์และต้องท่านฆ่าเองด้วย
    ดิฉันอยากอุทิศบุญในการนั่งสมาธิของตัวเองให้ท่านและให้
    กับสัตว์ทั้งหลายที่พ่อได้ฆ่าไป.....จะต้องทำอย่างไรค่ะ

    ดิฉันแอบนั่งสมาธิแอบรักษาศีลเอง....บางครั้งรู้สึกสับสนในตัวเองมากค่ะ
    บางครั้งก็ดูเหมือนตัวเองจะเป็นเอามากๆ...เช่นรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าท่านช่างมีเมตตามาก...
    ประมาณว่าเวลาตัวเองอยู่หน้าพระพุทธรูปแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนท่านเมตตาเราอย่างนั้นแหละค่ะ.....
    หรือบางครั้งที่ทะเลาะกับเพื่อนพออ่านหนังสือธรรมมะก็จะรู้สึกดีโปร่งเบาสบายหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง...อ่านไปยิ้มไปก็มี..
    ....เวลาที่เอาแมวที่ถูกรถชนไปหาหมอ...แค่ถามหมอว่าแมวมันจะรอดใหม
    ...ก็รู้สึกเย็นๆขนลุก...เวลานั่งสมาธิก็ดูเหมือนลมหายใจจะหายไปเหมือนหลายคนในที่นี้...ในห้องนอนมีแต่หนังสือธรรมะ

    ที่พูดมานี้ไม่ได้เอามาอวดว่าตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้....
    ดิฉันไม่อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...
    กลัวว่าถ้าเขารู้..จะว่าดิฉันโอเว่อร์เปนคนที่จิตผิดปรกติ...
    หรืออุปทานคิดไปเอง..หรือตั้งตัวเปนผู้วิเศษ...กลัวถูกหมั้นใส้..กลัวเขาว่าดิฉันกระแดะ..
    เพราะดิฉันเปนเอามากๆๆ อาการหนัก
    เวลาที่เพื่อนสนิทชวนไปปฏิบัติธรรมก็กลัวชาวบ้านจะรู้แล้วเอาไปพูดให้พ่อให้แม่....
    อยากไปนะค่ะ..แต่ก็พูดไปว่าขอคิดดูก่อน ...ฟอร์ม
    ดิฉันเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆออกมามากขึ้น..จนพวกเขาเริ่มสงสัยแล้ว(เก็บอาการไม่อยู่).....ดิฉันจะทำไงดีค่ะทั้งทีทำความดีแท้ๆทำใหมถึงกลัวนักไม่มั่นใจเลย
     
  5. Hierophant

    Hierophant สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณ ท่าน Xorce ครับ
     
  6. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    ยินดีด้วยนะ

    ลุยต่อไป สู้ๆ
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ทุกท่านคะตอนนี้น้องชัชเดินทางไปกับอ.คณานันท์สอนสมาธิที่เชียงใหม่หลายวัน ท่านใดมีข้อสงสัยในการปฏิบัติลงโพสในกระทู้ก่อนค่ะ รอน้องชัชกลับมาตอบให้ค่ะ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    คำถามที่ถามเข้ามาทางpm

    ผมกำลังฝึกกสินน้ำอยู่ครับที่ผมฝึกกสินน้ำไปสักระยะ
    เลยสงสัยว่าอุคคหนิมิตร สามารถที่จะลืมตาเห็น
    และหลับตาเห็นได้หรือไม่ครับ
    หรือเป็นแค่ปฏิภาคนิมิตรอย่างเดียวครับ
    สงสัยครับ เพราะว่ากลัวจะปฏิบัติผิด

    นิมิต ทั้งต้น กลาง ละเอียด

    ล้วนทรงได้ทั้ง หลับตาและลืมตาครับ

    เพราะกสิณทรงกันที่ใจ
    ไม่ได้ทรงกันที่ตา

    จึงทรงได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถที่พึงปรารถนา

    แต่กสิณที่มีความสำคัญที่จะต้องทรงให้ได้
    ก็คือ กสิณภาพพระยิ้ม

    เราจะฝึกที่จะทรงกสิณในภาพพระพุทธรูปซึ่งแย้มยิ้ม

    จนกระทั่งเห็นพระองค์ เป็นเนื้อเพชร ใส ประกายพรึก
    มีฉัพพัณรังสีสาดส่อง มีรอยแย้มด้วยความอิ่มใจในภาพพระ

    เมื่อภาพพระยิ้มให้เรา จิตของเราก็แย้มยิ้มตามภาพพระองค์ท่าน

    กสิณทุกกองก็เช่นกัน
    เมื่อทรงแล้ว ต้องให้ใจของยิ้ม ให้ใจของเราชุ่มฉ่ำเหมือนมีน้ำทิพย์แห่งธรรมะหล่อเลี้ยงในดวงจิต

    กสิณน้ำ ต้องทำน้ำทีเราเห็น และน้ำในใจของเราให้เป็นเพชร

    เมื่อใจของเรามีน้ำ มีรอยยิ้ม มีธรรมปีติหล่อเลี้ยง

    เราก้จะสามารถทรงภาพกสิณได้ไม่รู้จักเบื่อ
    ยิ่งทรงยิ่งยิ้ม ยิ่งทรงยิ่งจิตแย้ม ยิ่งทรงใจยิ่งเบิกบาน

    นี่แหละคือเคล็ดลับในการทรงภาพกสิณ

    ทรงแล้วจิตต้องเแย้ม กายต้องยิ้ม

    กสิณทุกกองต้องยังจิตให้ยิ้ม ให้ได้

    ขอให้เข้าถึงซึ่งกสิณทุกกอง เป็นปฏิภาคนิมิต
    ทรงด้วยอาการของจิตที่เอิบอิ่ม แย้มยิ้มเบิกบาน

    ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  9. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    มีคำถามมารบกวนครับ
    ตอนนี้ผม ถ้านั่งที่บ้านใช้การพิจารณาลมหายใจ แต่ถ้าทำกิจวัตรประจำวัน จะใช้การนิมิตภาพพระอยู่ตรงหน้าผาก
    ..ตอนนั่งที่บ้าน ช่วงแรก ภาวนา นะมะพะทะ แต่ช่วงหลังๆลองเลิกภาวนา ใช้การจำอารมณ์ตอนออกจากสมาธิแทน โดยการดูลมหายใจ เข้า-ออก ผลคือ เข้าสมาธิได้ไวขึ้น แต่ช่วงหลังๆ นั่งๆไปแล้วความรู้สึกมันหายไปเลย แบบว่า มารู้สึกตัวก็ตอนได้ยินเสียงมากระทบ ดูแล้วไม่น่าจะใช่การนั่งหลับ สัปหงกก็ไม่มี ( ผมใช้การนั่งบนเตียง แล้วหย่อนขาลง เพราะนั่งสมาธิขัดสมาธิแล้วมันปวดขา ลิมิตไม่เกินครึ่งชม. แต่หย่อนขานั่งได้นานตามต้องการ ) ...บางครั้งนั่งๆอยู่ทั้งๆที่มีสติ มันก็ตกภวังค์ต่อหน้าต่อตาเลย คือ อาการวูบน่ะคับ บางครั้งก็รู้ตัวล่วงหน้าแว๊บนึงว่ากำลังจะตกภวังค์ บางครั้งก็วูบแรงมากๆ เหมือนมีคนมากดตัวเราลงไปทั้งตัวเลย . .แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ก็ไม่ได้สนใจ มันเกิดก็ปล่อยมัน ดูมัน แล้วก็ผ่านไป. . ขอถามครับว่า
    1.อาการที่ความรู้สึกหายไป เหมือนเราหลับ ไม่รู้สึกรับรู้อะไรทั้งภายใน หรือภายนอก มันคืออะไรครับ แก้ไขอย่างไร
    2. พอเรารู้สึกตัว ก็มีสติขึ้นรู้สึกว่ามันสว่าง มันกระจ่างกว่าเดิม ก็มาดูลมหายใจใหม่ สักพักก็เอาอีกแล้ว ไม่รู้ตัว เป็นแบบนี้สลับกันไป
    3. หลังจากนั่งเสร็จ ลมหายใจละเอียดตอนนั่งสมาธิ ก็ติดมาด้วย แล้วก็ค่อยๆหยาบขึ้น
    ตามเวลา จนเหลือใช้ในชีวิตประจำวันประมาณ 60 - 70 % ของตอนที่นั่งสมาธิ
    4. ที่ผมนิมิตภาพพระไว้ตรงกลางหน้าผาก เป็นมโนมยิทธิ ด้วยหรือไม่ครับ


    ------------------------------------------------------------------------
    " จงรักเสียเมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนักให้แสนรักก็ต้องลา "
     
  10. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ช่วงที่ไปอบรม แต่ตัวเองดันนั่งหลับไปซะงั้น อิอิ ก็มันง่วงอ่ะนะ ช่วงที่เคลิ้มๆใกล้จะหลับ
    รู้สึกว่าจะมีนิมิตเกิดขึ้น ตัวเองนั่งหลับตา แต่กลับมองเห็นเพื่อนๆที่นั่งประชุม แต่ไม่ชัดเท่าไหร่นะครับ มันเลือนลาง
    เลยเกิดความสงสัยครับ คิดว่าน่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำสมาธิมา เลยอดตื่นเต้นไม่ได้
    พอคิดแบบนี้ ภาพก็หายไป สมาธิตกเลย เสียดายชะมัด อิอิ พอเวลาที่หลับจริงๆ รู้สึกว่า
    ร่ายกายมันหลับ แต่จิตมันตื่น เลยได้โอกาสเรียนรู้ซะที เพราะเท่าที่จำได้เคยเกิดตอนนอน
    ไม่เคยเกิดตอนนั่ง(หลับ)
     
  11. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    มือใหม่หัดนั่ง

    ขอโทษนะค่ะรบกวนอีกแล้ว
    ตัวดิฉันเองเพิ่งจะหัดนั่งสมาธิจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ประมาณต้นเดือนมีนาคม
    ก่อนหน้านี้ทั้งปีเข้าวัดหนเดียวคือตอนไปทำบุญวันเกิดเท่านั้นนอกนั้นก็ทำแต่งาน...ดิฉันมีเรื่องไม่เข้าใจคือ

    ดิฉันเห็นหนังสือธรรมมะก็เอามาอ่านเล่นๆ..หน้าปกเขียนว่าโพชฌงค์...ก็อ่านไปเอ้..ไม่เข้าใจ..อ่านอีก พลิกไปพลิกมาจนรู้สึกว่าตัวเองเข้าบ้างเล็กน้อย...แล้วดิฉันก็รู้สึกเย็นมาก เบาสบาย มีความสุขมากๆใครพูดใครว่าอะไรให้ก็นิ่ง...เปนอย่างนั้นอยู่ประมาณ 7 วันแล้วค่อยหายไป...ก็เพราะมันมีความสุขมากๆก็เลยเอามาอ่านอีกที ก็แค่รู้สึกตัวเบาเท่านั้น...ดิฉันเป็นอะไรหรือค่ะทำใมพอมาอ่านอีกทีถึงไม่เหมือนเดิม(ตอนนั้นยังไม่สนใจนั่งสมาธิ)

    ดิฉันหัดนั่งเองที่บ้านไม่บริกรรมอะไรเลย คือนั่งดูลมหายใจอย่างเดียวไม่ใช้ตาค่ะคือใช้จิต(มั่ง)...ดิฉันรู้สึกว่าถ้าบริกรรมแล้วสมาธิเกิดช้า....เปนมิจฉาสมาธิหรือเปล่าค่ะ

    ดิฉันไม่ชอบสวดมนต์เพราะทุกครั้งที่สวดมนต์ก่อนนอนมักจะฝันร้ายเสมอๆเห็นผีปีศาจเห็นภาพสยองขวัญ..ยิ่งสวดชินบันชร(ไม่รู้สะกดผิดป่าว)ยิ่งฝันร้ายหนัก..เช่น ฝันเห็นตัวเองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อมองแหงนมองข้างบนมีแต่แต่ศพคนแขวนคอตายแถบจะทุกกิ่งก้านก็ว่าได้...หรือฝันเห็นตัวเองพายเรือแต่ในแม่น้ำนั้นมีแต่ศพคนลอยตามน้ำมามองไปบนฝั่งก็มีแต่ศพ....ทุวันนี้ดิฉันนั่งสมาธิแต่ไม่สวดมนต์ จะแก้ไขอย่างไรดีมันเปนเพราะอะไรค่ะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ก้รู้สึกว่าเห็นน้องหมาคือไม่ได้เห็นด้วยตาค่ะ คือจิตมันเห็นมั่งค่ะ ก็เดินไปเดินมาแถวนั้นก็บอกตัวเองว่าไม่มีหรอกเราก็นั่งอยู่ในห้องน้องหมาไม่มีหรอกก้สำรวจร่างกายตัวเองว่าอยู่อริยาบทใหน น้องหมาก็หายไปสักพักก็มาอีกแล้ว..ก้เลยปล่อยเลยตามเลยเห็นก็เห็น น้องหมาเดินไปเดินมาก้น่าเอนดูก็เลยลองแผ่เมตตา...แล้วเกิดอาการวู๊บหนักมากและรู้สึกว่ามีอะไรมาชนแถบหงายหลัง เกือบรับไม่ได้ ลมละเอียดเหมือนไม่มีลมหายใจ ซ่าไปทั้งตัว โดยเฉพาะปลายมือปลายเท้าแรงมาก.....ดิฉันทำผิดวิธีหรือเปล่าค่ะ หรือเปนเพราะไม่สวดมนต์ก่อนนั่ง

    ถ้าเราไม่ต้องการอภิญญา ไม่ต้องฝึกกสิญก็ได้ใช่ใหมค่ะ...คือถ้าเปนโทรศัพท์ก็ขอแค่โทรเข้าโทรออก ส่งsmsได้ก็พอ

    นั่งสมาธินั่งอย่างไรให้ถูกต้องค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2010
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    ขอบคุณที่ได้กรุณาอธิบายให้ทราบครับ

    ที่แท้แล้วโครตภูญาณคือารมณ์ที่ใช้ในการเจริญมโนมยิทธินั่นเอง พอเข้าใจแล้วครับ

    ตามที่ได้ตอบให้ทราบนั้น

    "พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเข้าถึงซึ่งสภาวะพระนิพพานแล้ว มีสภาวะ มีอารมณ์ความสุข ความชุ่มเย็นเพียงไร
    ขอภาพพระพุทธองค์นี้ เปลี่ยน เป็นภาพสภาวะของพระองค์บนพระนิพพาน
    อันสว่าง ชัดเจน งดงาม และบังเกิดอารมณ์อันสุข อิ่มล้น ชุ่มเย็น อย่างถึงที่สุดด้วยเทอญ

    จากนั้นทำใจสบายๆ จะบังเกิดภาพ สภาวะของพระองค์บนพระนิพพานขึ้น พร้อมกับอารมณ์ความชุ่มเย็นแห่งพระนิพพาน ปรากฏขึ้นแก่ดวงจิตของเรา

    ทำได้แน่ครับ แต่ต้องศรัทธาพระพุทธเจ้าให้สุดหัวใจ
    เพราะตัวศรัทธาในพระรัตนตรัย และปรารถนาพระนิพพาน คืออารมณ์ที่ตัดสังโยชน์

    แต่ผมแนะนำให้ลองหา ไฟล์ของหลวงพ่อฤาษีที่ท่านนำมโนมยิทธิ หรือของคุณแม่รัมภา หรือหาเวลาไปฝึกมโนด้วยตัวเอง

    หรือถ้าไม่อยู่ในสถานที่ที่จะฝึกได้
    ลองติดต่อมาทาง pm ครับ เดี้ยวผมจะหาเวลานำให้ผ่านทาง msn หรือ skype ให้"


    เรื่องมโนมยิทธินั้น ผมเคยไปฝึกมาตามที่เจ้าของกระทู้แนะนำแล้วครับ ไปที่บ้านสายลม ที่จริงเป็นของไม่ยาก เพราะอาศัยการคิดและจำอารมณ์ในขณะนั้นให้ได้ แล้วก็หมั่นซ้อมบ่อยๆ ก็จะชินกับมโนมยิทธิไปเอง

    ตอนฝึกที่บ้านสายลม มีครูนำให้หมดทุกอย่าง ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ทำตามที่ครูบอกหมดทุกอย่าง ก่อนครูจะนำก็ให้ภาวนาไปจนกว่าใจสงบ ประมาณ 20 นาที ผมก็ทำตาม หลังจากนั้นให้เลิกภาวนา ครูก็จะนำในเรื่องของวิปัสสนา ผมก็พิจารณาตามไป จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการท่องเที่ยวแดนต่างๆ ผมไม่มีปัญหา เพราะจับภาพพระพุทธรูปเป็นปกติ ประจำอยู่แล้ว ก็อธิษฐานขอให้ท่านนำไป ตามที่ครูท่านบอกให้ไป ไปเรื่อย ไปดาวดึงส์ ไปแท่นประทับพระอินทร์ ก็ตามครูไปได้หมด

    เจอพระอินทร์ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ครูบอกว่าท่านแสดงตัวในแบบที่เราคุ้นเคย ให้ขอให้ท่านแสดงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ก็ได้เรื่องเลย

    ครูบอกให้น้อมนำใจตามไปอย่างเดียว เห็นภาพหรือไม่เห็นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อาศัยความรู้สึกอย่างเดียว ให้จับความรู้สึกที่ปรากฏครั้งแรก อย่างนี้ถือว่าเป็นของง่ายๆ เสร็จผมล่ะแบบนี้

    ปัญหาจริงๆ อยู่ที่แดนนิพพาน ครูท่านนำไป ผมก็ไปกับท่าน ตอนนั้นไม่ได้คิดสงสัยอะไร เพราะฝึกมโนมยิทธิต้องฝึกแบบไม่รู้อะไร ห้ามคิดสงสัยเป็นเด็ดขาด ครูท่านบอกให้ทำอะไร ผมก็มีหน้าที่ทำตามลูกเดียว

    ทีนี้ฝึกเสร็จแล้วความสงสัยจึงบังเกิด แต่เดิมผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า จิตของผมนั้นเกาะอยู่กับอบายภูมิเสียมาก เวลาจิตมีสมาธิ มันก็นิ่ง ไม่สอดส่าย เพราะอำนาจของสมาบัติกดทับเอาไว้ แต่พอไม่ได้มีสมาธิ จิตก็ไปไต่อยู่ที่ขอบนรกเสียอย่างนั้น อีกอย่างวิปัสสนาที่ฝึกอยู่ ก็ยังไม่เข้าขั้นเท่าใดนัก ยังห่างไกลจากความเป็นพุทธะอยู่มาก

    ด้วยเหตุดังกล่าว ผมพิจารณาตัวเองว่าจิตยังมีความเศร้าหมองอยู่มาก ยังไม่สมควรที่จะไปสัมผัสนิพพานด้วยประการทั้งปวง แต่ที่ตอนฝึกมโนมยิทธิ ไปกับครูเขาได้ นั้นเพราะอะไร?

    ประเด็นปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ ที่สงสัยว่าตอนฝึกมโนมยิทธิ แล้วไปถึงแดนนิพพานกับครูท่านได้นี่ จิตของเราอุปทานไปเอง ปรุงแต่งไปเองหรือเปล่า ? พูดง่ายๆ คือยังไม่เชื่อถือ ในสิ่งที่พบ ที่เห็นในขณะนั้นน่ะครับ

    ทางแก้ก็คือ ต้องขยันซ้อมมโนมยิทธิบ่อยๆ เวลาฝึกซ้อมเองที่บ้าน จึงทำเองหมด ไม่ต้องมีครูนำ จับภาพพระพุทธรูป แล้วอธิษฐานขอให้ท่านนำไปแดนต่างๆ โดยตรง อาศัยกำลังใจระดับฌาณ 4 (ใช้กำลังมากกว่าฝึกกับครู ที่ใช้เพียงอุปจารสมาธิ) ควบคู่ไปกับการฝึกวิปัสสนาอย่างเข้มงวด

    ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงติดตามผลว่าสิ่งที่ได้รับทราบนั้น จะเป็นของจริง หรือว่าอุปทาน หรือมารล่อหลอกให้เราหลงใหลไปเองกันแน่ครับ

    มารนี่ก็แปลก ชอบมาล่อหลอก ให้ไขว้เขว นอกลู่นอกทางเสียเรื่อย รบกวนผู้ปฏิบัติเพื่อความดีเสียจริงๆ หรือว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องมาทดสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติก็ไม่อาจจะทราบได้

    เพราะอย่างนี้จึงหันมาใส่ใจกับวิปัสสนา กะจะเปิดศึก ท้ารบกับมารให้รู้แล้ว รู้รอดไปเสียที (เจอมารแล้วผมสู้ครับ ไม่เคยคิดปล่อยผ่านหรือให้มารได้ทำตามสิ่งที่ต้องการเป็นเด็ดขาด)

    จริงๆ แล้วมโนมยิทธิยังไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุด สิ่งที่ปารถนาที่สุดคือ การไปยังแดนต่างๆ ทั่วทั้งไตรภูมิโดยยกเอาทั้งกายเนื้อไปทั้งหมดเลย (ตามวิสัยของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญานะครับ) ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรอภิญญาใหญ่ยังไม่มา ยังไม่ยอมมารวมตัวกันเสียที ก็เล่นอภิญญาน้อย คือมโนมยิทธิคือฤทธิ์ทางใจไปตามเรื่องตามราวก่อนล่ะกัน

    แต่อภิญญาใหญ่จะมาหรือไม่มาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะตอนนี้ไม่อยากเกิดอีกแล้ว ถ้าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายได้ ก็จะดีมากๆ<!-- google_ad_section_end -->

    ให้เราไล่ฌาณ4 อรูป ตามที่ถนัด จับวิปัสสนาญาณ และขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าท่านอีกครั้งนึง

    จากนั้นให้ตั้งจิตต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ว่า

    ขอพระพุทธบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์
    หากสภาวะพระนิพพานที่ข้าพเจ้ากำลังสัมผัสอยู่นี้ เป็นสภาวะที่แท้จริงของพระนิพพาน
    ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้สัมผัส ในกระแสความชุ่มเย็น อิ่มเอิบ เบิกบานในธรรม อารมณ์ที่พ้นทุกข์อย่างถาวร ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ได้ ณ ขณะจิตนี้ด้วยเทอญ

    จากนั้นประคองจิตเอาไว้สบายๆ ต่อหน้าพระท่าน

    ความชุ่มเย็น คล้ายกับหยาดน้ำทิพย์แห่งพระนิพพาน จะบังเกิด ปรากฏ สว่าง หลั่งไหลออกมาจากกลางอก กลางดวงจิตของเราเอง

    จะเย็นขึ้นตามสังโยชน์ที่เราละได้ ยิ่งละสังโยชน์ได้มาก พิจารณาวิปัสสนาได้ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเย็นมากขึ้นเท่านั้น

    พอสัมผัสได้บ้างแล้ว

    จากนั้นให้เราแผ่เมตตา ในอารมณ์พระนิพพาน เป็นรัศมีเพชร อันใสสว่าง มีประกายเพชรระยิบระยับ
    ส่องสว่างไปยังทั้งจักรวาล แผ่จากพระนิพพาน ลงมายังพรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
    ส่องสว่างไปยังทั้งสังสารวัฎ

    ตั้งจิตว่า ขอให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งความสุข ชุ่มเย็น เอิบอิ่ม แห่งพระนิพพาน เสมอกันได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ

    เมื่อนั้นเราก็จะปราศจากซึ่งความลังเล สงสัย ทุกประการ ที่มีเหลืออยู่


    ให้เราเสวยสุขอยู่ในอารมณ์พระนิพพาน จนชุ่มฉ่ำ และฝึกทรงในอารมณ์นี้ให้ได้ ตลอดเวลา
    ตั้งจิตว่าตายเมื่อไหร่ ขอมาอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้นด้วยเทอญ

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์อันเป็นบรมสุข ชุ่มเย็น หมดภาระหน้าที่ การเวียนว่ายตายเกิดอย่างถาวร แห่งพระนิพพาน ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ นามิกา ครับ
    <O:p
    คือคุณพ่อทำอาชีพค้าขายเนื้อสัตว์และต้องท่านฆ่าเองด้วย
    ดิฉันอยากอุทิศบุญในการนั่งสมาธิของตัวเองให้ท่านและให้
    กับสัตว์ทั้งหลายที่พ่อได้ฆ่าไป.....จะต้องทำอย่างไรค่ะ

    ดิฉันแอบนั่งสมาธิแอบรักษาศีลเอง....บางครั้งรู้สึกสับสนในตัวเองมากค่ะ
    บางครั้งก็ดูเหมือนตัวเองจะเป็นเอามากๆ...เช่นรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าท่านช่างมีเมตตามาก...
    ประมาณว่าเวลาตัวเองอยู่หน้าพระพุทธรูปแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนท่านเมตตาเราอย่างนั้นแหละค่ะ.....
    หรือบางครั้งที่ทะเลาะกับเพื่อนพออ่านหนังสือธรรมมะก็จะรู้สึกดีโปร่งเบาสบายหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง...อ่านไปยิ้มไปก็มี..
    ....เวลาที่เอาแมวที่ถูกรถชนไปหาหมอ...แค่ถามหมอว่าแมวมันจะรอดใหม
    ...ก็รู้สึกเย็นๆขนลุก...เวลานั่งสมาธิก็ดูเหมือนลมหายใจจะหายไปเหมือนหลายคนในที่นี้...ในห้องนอนมีแต่หนังสือธรรมะ

    ที่พูดมานี้ไม่ได้เอามาอวดว่าตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้....
    ดิฉันไม่อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...
    กลัวว่าถ้าเขารู้..จะว่าดิฉันโอเว่อร์เปนคนที่จิตผิดปรกติ...
    หรืออุปทานคิดไปเอง..หรือตั้งตัวเปนผู้วิเศษ...กลัวถูกหมั้นใส้..กลัวเขาว่าดิฉันกระแดะ..
    เพราะดิฉันเปนเอามากๆๆอาการหนัก
    เวลาที่เพื่อนสนิทชวนไปปฏิบัติธรรมก็กลัวชาวบ้านจะรู้แล้วเอาไปพูดให้พ่อให้แม่....
    อยากไปนะค่ะ..แต่ก็พูดไปว่าขอคิดดูก่อน ...ฟอร์ม
    ดิฉันเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆออกมามากขึ้น..จนพวกเขาเริ่มสงสัยแล้ว(เก็บอาการไม่อยู่).....ดิฉันจะทำไงดีค่ะทั้งทีทำความดีแท้ๆทำใหมถึงกลัวนักไม่มั่นใจเลย<O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    ขอโทษนะค่ะรบกวนอีกแล้ว
    ตัวดิฉันเองเพิ่งจะหัดนั่งสมาธิจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ประมาณต้นเดือนมีนาคม
    ก่อนหน้านี้ทั้งปีเข้าวัดหนเดียวคือตอนไปทำบุญวันเกิดเท่านั้นนอกนั้นก็ทำแต่งาน...ดิฉันมีเรื่องไม่เข้าใจคือ

    ดิฉันเห็นหนังสือธรรมมะก็เอามาอ่านเล่นๆ..หน้าปกเขียนว่าโพชฌงค์...ก็อ่านไปเอ้..ไม่เข้าใจ..อ่านอีกพลิกไปพลิกมาจนรู้สึกว่าตัวเองเข้าบ้างเล็กน้อย...แล้วดิฉันก็รู้สึกเย็นมาก เบาสบายมีความสุขมากๆใครพูดใครว่าอะไรให้ก็นิ่ง...เปนอย่างนั้นอยู่ประมาณ 7 วันแล้วค่อยหายไป...ก็เพราะมันมีความสุขมากๆก็เลยเอามาอ่านอีกทีก็แค่รู้สึกตัวเบาเท่านั้น...ดิฉันเป็นอะไรหรือค่ะทำใมพอมาอ่านอีกทีถึงไม่เหมือนเดิม(ตอนนั้นยังไม่สนใจนั่งสมาธิ)

    ดิฉันหัดนั่งเองที่บ้านไม่บริกรรมอะไรเลยคือนั่งดูลมหายใจอย่างเดียวไม่ใช้ตาค่ะคือใช้จิต(มั่ง)...ดิฉันรู้สึกว่าถ้าบริกรรมแล้วสมาธิเกิดช้า....เปนมิจฉาสมาธิหรือเปล่าค่ะ

    ดิฉันไม่ชอบสวดมนต์เพราะทุกครั้งที่สวดมนต์ก่อนนอนมักจะฝันร้ายเสมอๆเห็นผีปีศาจเห็นภาพสยองขวัญ..ยิ่งสวดชินบันชร(ไม่รู้สะกดผิดป่าว)ยิ่งฝันร้ายหนัก..เช่นฝันเห็นตัวเองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อมองแหงนมองข้างบนมีแต่แต่ศพคนแขวนคอตายแถบจะทุกกิ่งก้านก็ว่าได้...หรือฝันเห็นตัวเองพายเรือแต่ในแม่น้ำนั้นมีแต่ศพคนลอยตามน้ำมามองไปบนฝั่งก็มีแต่ศพ....ทุวันนี้ดิฉันนั่งสมาธิแต่ไม่สวดมนต์จะแก้ไขอย่างไรดีมันเปนเพราะอะไรค่ะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ก้รู้สึกว่าเห็นน้องหมาคือไม่ได้เห็นด้วยตาค่ะคือจิตมันเห็นมั่งค่ะก็เดินไปเดินมาแถวนั้นก็บอกตัวเองว่าไม่มีหรอกเราก็นั่งอยู่ในห้องน้องหมาไม่มีหรอกก้สำรวจร่างกายตัวเองว่าอยู่อริยาบทใหนน้องหมาก็หายไปสักพักก็มาอีกแล้ว..ก้เลยปล่อยเลยตามเลยเห็นก็เห็นน้องหมาเดินไปเดินมาก้น่าเอนดูก็เลยลองแผ่เมตตา...แล้วเกิดอาการวู๊บหนักมากและรู้สึกว่ามีอะไรมาชนแถบหงายหลังเกือบรับไม่ได้ ลมละเอียดเหมือนไม่มีลมหายใจ ซ่าไปทั้งตัวโดยเฉพาะปลายมือปลายเท้าแรงมาก.....ดิฉันทำผิดวิธีหรือเปล่าค่ะหรือเปนเพราะไม่สวดมนต์ก่อนนั่ง

    ถ้าเราไม่ต้องการอภิญญาไม่ต้องฝึกกสิญก็ได้ใช่ใหมค่ะ...คือถ้าเปนโทรศัพท์ก็ขอแค่โทรเข้าโทรออกส่งsmsได้ก็พอ

    นั่งสมาธินั่งอย่างไรให้ถูกต้องค่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><!-- google_ad_section_end -->
    <O:p</O:p

    สัมมาสมาธิ คือ เมื่อเราเจริญไปแล้ว จะเกิดอารมณ์ ที่เบา เย็น สบายเอิบอิ่ม<O:p></O:p>
    ยิ่งฝึกยิ่งสุข ยิ่งฝึกยิ่งเกิดความตั้งมั่นนอบน้อมในไตรสรณคม<O:p></O:p>
    มีสติ มีอาการรู้ตัวทั่วพร้อม<O:p></O:p>
    แบบที่เราได้สัมผัสแล้วนั่นแหละครับ<O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    มิจฉาสมาธิ คือ เมื่อเราเจริญไปแล้ว จะเกิดอารมณ์ ที่เร่าร้อน กระด้าง<O:p></O:p>
    เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเก่งดีเลิศกว่าบุคคลอื่น<O:p></O:p>
    ไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมร่างกาย และจิตใจของตัวเองได้<O:p></O:p>
    ยิ่งฝึกยิ่งร้อน ยิ่งฝึกยิ่งทุกข์ยิ่งฝึกยิ่งรู้สึกว่าเราวิเศษกว่าผู้อื่น<O:p></O:p>
    <O:p</O:p
    และถ้าเราไม่อยากได้อภิญญา ก็ได้ครับไม่เป็นไร<O:p></O:p>
    อันนี้แล้วแต่คนครับบางคนก็ขอไปอย่างธรรมดาบางคนต้องให้ได้ออฟชั่นเสริมครบ<O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    แต่ลองถามตัวเองดูก่อน<O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    เราอยากที่จะเห็นสภาวะแห่งพระนิพพานได้ไหม<O:p></O:p>
    อยากจะเห็นพระพุทธเจ้า กราบพระพุทธองค์ด้วยจิตของเราได้ไหม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเราปรารถนาตรงนี้ ก็คือ เตวิชโช ไม่ถึงอภิญญา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเราจะฝึกเตวิชโชนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราเน้นฝึกไปเลย ทรงภาพพระพุทธรูปยิ้ม เป็นกสิณ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นึกถึงภาพพระทุกครั้ง เห็นพระองค์ยิ้มทุกครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอเราเห็นภาพพระท่านยิ้ม ใจเราก็ ยิ้ม ตามภาพพระ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วเราก็ควบตั้งจิตไปเลยว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ที่พระนิพพาน ณขณะนี้<O:p></O:p>
    ข้าพเจ้าตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับพระองค์บนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เราจะไปพระนิพพาน ทำแค่นี้เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นึกถึงภาพพระยิ้ม บ่อยๆแล้วตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ขอติตามพระองค์ไปพระนิพพาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทำแบบนี้ ทุกวันก่อนนอน ถ้าตายตอนนอนหลับเราก็ไปพระนิพพานเลย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ง่ายไหมครับ ปฏิบัติเท่านี้พอ

    <O:p>[​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    นึกถึงภาพพระพุทธรูป ยิ้ม ตั้งจิตว่าตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน<O:p></O:p>
    ด้วยอานิสงค์แห่งการระลึกถึงพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์<O:p></O:p>
    ด้วยบารมีแห่งพระพุทธองค์ด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  14. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอบคุณพี่ชัดมากครับ เมื่อผมได้ทำตามที่พี่ชัดบอกแล้ว เรื่องบางเรื่องมันหายไปเลย แต่เรื่องที่ว่านิพพานคือสิ่งใด ผมพึ่งทราบเมื่อกี้นี้เอง เลยแวะมาขอบคุณ ผมไม่น่าคิดให้มันปวดหัว เพื่อนได้เอาเรื่องมลินธปัญหามา ให้ได้อ่านผมเลยเอาสิ่งที่ผมรับรู้มาโดยมิได้ปรุงแต่งรวมเข้าไป จึงทำให้เห็นชัดว่านิพพานคือสิ่งใด ตอนนี้ผมปล่อยวางเรื่องต่างๆได้แล้วครับ ขอบคุณพี่ชัดที่คอยแนะนำมาตลอด
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ noolegza ครับ

    มีคำถามมารบกวนครับ
    ตอนนี้ผม ถ้านั่งที่บ้านใช้การพิจารณาลมหายใจ แต่ถ้าทำกิจวัตรประจำวัน จะใช้การนิมิตภาพพระอยู่ตรงหน้าผาก
    ..ตอนนั่งที่บ้าน ช่วงแรก ภาวนา นะมะพะทะ แต่ช่วงหลังๆลองเลิกภาวนา ใช้การจำอารมณ์ตอนออกจากสมาธิแทน โดยการดูลมหายใจ เข้า-ออก ผลคือ เข้าสมาธิได้ไวขึ้น แต่ช่วงหลังๆ นั่งๆไปแล้วความรู้สึกมันหายไปเลย แบบว่า มารู้สึกตัวก็ตอนได้ยินเสียงมากระทบ ดูแล้วไม่น่าจะใช่การนั่งหลับ สัปหงกก็ไม่มี ( ผมใช้การนั่งบนเตียง แล้วหย่อนขาลง เพราะนั่งสมาธิขัดสมาธิแล้วมันปวดขา ลิมิตไม่เกินครึ่งชม. แต่หย่อนขานั่งได้นานตามต้องการ )

    ถูกแล้วครับ ตรงที่ไม่ฝืนนั่งในท่าที่เมื่อย
    กฎข้อที่หนึ่งของผม คือ หาอิริยาบถที่เราทำแล้วสบาย
    ประคองสมาธิได้ยาวนาน
    ใครนั่งกับพื้นได้ก็นั่ง นั่งพื้นไม่ได้ก็นั่งเก้าอี้
    นั่งเก้าอี้ไม่ได้ก็โซฟา โซฟาไม่ได้ก็นอน
    เพราะเราทำสมาธิ เราฝึกที่ จิต
    ไม่ได้ฝึกกาย
    เราไม่ได้ต้องการฝึกให้นั่งได้ เป็น5-6ชั่วโมง
    แต่ต้องการฝึกให้จิตเป็นสมาธิได้ เป็นหลายชั่วโมง ต่อหนึ่งวัน

    ...บางครั้งนั่งๆอยู่ทั้งๆที่มีสติ มันก็ตกภวังค์ต่อหน้าต่อตาเลย คือ อาการวูบน่ะคับ บางครั้งก็รู้ตัวล่วงหน้าแว๊บนึงว่ากำลังจะตกภวังค์ บางครั้งก็วูบแรงมากๆ เหมือนมีคนมากดตัวเราลงไปทั้งตัวเลย . .แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ก็ไม่ได้สนใจ มันเกิดก็ปล่อยมัน ดูมัน แล้วก็ผ่านไป. . ขอถามครับว่า
    1.อาการที่ความรู้สึกหายไป เหมือนเราหลับ ไม่รู้สึกรับรู้อะไรทั้งภายใน หรือภายนอก มันคืออะไรครับ แก้ไขอย่างไร

    ไม่ต้องแก้ไขครับ
    เพราะมันคือ ฌาณ4ละเอียด
    จะรู้สึกว่าไม่มีร่างกาย ไม่มีการรับรู้ทางรางกายทั้งหมด
    จิตจะลอยตัว หยุดนิ่ง เบา โปร่ง โล่ง สบาย เป็นสมาธิ
    ลมหายใจก็ดับ การได้ยินเสียงก็ดับ

    เป็นจุด สภาวะที่เราต้องการจะเข้าถึงจากการทำสมาธิ ทำสมถะ
    เมื่อเราทำตรงส่วนนี้ได้แล้ว ต้องฝึกให้มีความคล่องตัวยิ่งๆขึ้นไปครับ

    2. พอเรารู้สึกตัว ก็มีสติขึ้นรู้สึกว่ามันสว่าง มันกระจ่างกว่าเดิม ก็มาดูลมหายใจใหม่ สักพักก็เอาอีกแล้ว ไม่รู้ตัว เป็นแบบนี้สลับกันไป

    อันนี้คือจิตถอนออกจากฌาณ4ครับ
    พอจับลมหายใจจิตก็กลับเข้าฌาณ4ต่อ

    3. หลังจากนั่งเสร็จ ลมหายใจละเอียดตอนนั่งสมาธิ ก็ติดมาด้วย แล้วก็ค่อยๆหยาบขึ้น
    ตามเวลา จนเหลือใช้ในชีวิตประจำวันประมาณ 60 - 70 % ของตอนที่นั่งสมาธิ

    การที่จิตเข้าถึงฌาณละเอียด แล้วถอนออกมา
    จิตจะทรงอยู่ในฌาณ เกือบจะตลอดทั้งวัน
    ถ้าเราจับลม หรือทรงอารมณ์ที่ลมหายใจดับเอาไว้ด้วย
    จิตก็จะเป็นสมาธิได้แทบจะทั้งวันเลยครับ

    ฝึกทรงลมดับ ลมสบาย ให้ได้ตลอดทั้งวันดูครับ

    4. ที่ผมนิมิตภาพพระไว้ตรงกลางหน้าผาก เป็นมโนมยิทธิ ด้วยหรือไม่ครับ

    ก็ถือเป็นการฝึกเพื่อมโนมยิทธิครับ
    โดยให้เราทำเพิ่มว่า
    1.ภาพพระท่านแย้มยิ้ม
    2.เห็นภาพพระท่านเป็นเนื้อเพชร ใส มีประกายเพชรสว่าง ระยิบระยับ
    3. พอเราเห็นภาพพระท่านปุ้ป น้อมจิตเห็นตัวเราอีกคนก้มกราบท่าน
    ค่อยๆกราบด้วยความนอบน้อม เคารพ สุดหัวใจ
    คิด ตั้งจิต เอาไว้ว่า

    ตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเท่านั้น ที่อื่นเราไม่ยอมไป

    แล้วภาพพระ กับสมาธิจะยิ่งตั้งมั่นมากกว่าเดิมครับ
    เพราะ ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพาน เป็นอารมณ์ที่ใช้ในการตัดสังโยชน์ โดยเฉพาะ
    มโนมยิทธิก็จะยิ่งแจ่มใส ตามความละเอียด ลึก ในการพิจารณาอารมณ์นี้

    แล้วก็ขอแนะนำเพิ่มอีกนิดนึงครับ ลองเปลี่ยน รูป ดิสเพลย์ดูครับ
    พยายามอย่าใช้รูปที่เป็นดวงตาครับ ส่วนมากมันจะแฝงความหมายที่ไม่โอเคครับ

    และเรามุ่งเน้นฝึกเพื่ออภิญญา เพื่อคุณสมบัติวิเศษ
    ก็ให้เราตั้งใจว่า

    ญาณรู้เห็นทั้งหมด อภิญญาทั้งหมด เกิดขึ้นบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่กำลังของเรา
    ดังนั้นยิ่งภาพพระยิ้ม ชัด สว่าง และเรานอบน้อมต่อพระองค์มาก
    ญาณยิ่งรวมตัว ยิ่งชัดเจน ยิ่งสว่าง ยิ่งแม่นยำ
    ถ้าอยากได้ทิพยจักษุญาณ ต้องเคารพพระพุทธเจ้าสุดหัวใจ

    ญาณเครื่องรู้ทั้งหมด ขอให้เรารู้เพื่อละ เพื่อวาง เพื่อเข้าใจในความไม่เที่ยง เพื่อสงเคราะห์บุคคลอื่น
    ยิ่งรู้ยิ่งละ ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งเคารพพระ ไม่เอายิ่งรู้ ยิ่งติด ยิ่งยึด ยิ่งเก่ง

    อภิญญาในพระพุทธศาสนา เป็นของบุคคลผู้ตั้งใจเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า
    เมื่อทรงจิตในอารมณ์พระอริยเจ้าได้ จึงคู่ควรแก่ญาณ อภิญญา
    เพราะเราจะไม่เสื่อมจากความดี ไม่เสื่อมจากคุณวิเศษ และนำไปใช้อย่างถูกวิธี เป็นสัมมาทิษฐิ

    ดังนั้น เอาไตรสรณคมให้ได้ สังโยชน์สามให้ขาด ตั้งใจไปพระนิพพาน

    ที่เหลือจะรวมตัวเอง

    ขอให้จิตเกิดความสว่าง ชุ่มเย็น ตื่นขึ้นในธรรมของพระพุทธองค์ สู่จิตใจที่งดงาม
    และรักษาสิ่งที่ได้เข้าถึงแล้วเอาไว้ได้ตลอดไป
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2010
  16. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอบคุณ คุณxorce มากๆค่ะ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ในวันนี้ ผมจะลงในการปฏิบัติ แบบง่ายๆ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอน ไม่ใช่ผมคิดขึ้นเอง

    เพื่อมุ่งเน้น ในการลัด ตัด ตรง เข้าสู่ยังพระนิพพาน เข้าถึงซึ่งพระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

    ท่านใด ณ ที่นี้ ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบันกันบ้างครับ

    คาดว่าแทบจะทุกๆท่าน ก็คงจะหวังพระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น

    แต่เราเคยทราบไหมว่า เคยเห็นหนทาง อย่างชัดเจนหรือไม่ว่า เราจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างไร

    สิ่งที่ผมจะมุ่งเน้นในวันนี้ ก็คือ การทำให้ทุกๆท่าน มองเห็นเส้นทาง การเดินทางเข้าสู่พระนิพพานของตัวเองอย่างชัดเจน

    โดยแรกเริ่มก่อนผมจะต้องอธิบายถึงเรื่องวิสัยในการปฏิบัติ
    ซึ่งทุกๆท่าน คงจะเคยได้ยิน ได้ฟังกันมาบ้าง

    ว่ามีวิสัยในการปฏิบัติใหญ่ๆ อยู่ สองวิสัย

    ก็คือ พุทธภูมิ และ สาวกภูมิ

    ผมจะอธิบายในส่วนของพุทธภูมิเสียก่อน

    สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยรื้อขนสรรพสัตว์ขึ้นสู่พระนิพพาน

    จะไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    จะไปพระนิพพานไม่ได้ เป็นพระอริยเจ้าโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงชาติที่ตรัสรู้

    ดังนั้น สิ่งที่พุทธภูมิสามารถทำได้ก็คือ
    สามารถเห็นสภาวะพระนิพพานได้ ถ้าได้มโน ก็ไปด้วยจิตได้ ถ้าได้อภิญญาก็เหาะไปกายเนื้อได้
    สามารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน หากจิตสะอาดจากสังโยชน์ชั่วขณะ

    แต่ไม่สามารถจะไปอยู่บนพระนิพพานอย่างถาวรได้
    คิดซะว่าไปได้แค่เที่ยว แต่อยู่เลยยังไม่ได้

    เมื่อเราอยู่เลยยังไม่ได้ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น
    ก็ไม่ใช่จะละเลย ซึ่งการระลึกถึงพระนิพพาน แต่ต้องยิ่งระลึกให้บ่อยมากกว่าคนปรกติทั่วไป
    เพราะเราจะต้องถือว่า เป็นสิ่งที่เราปรารถนาในบั้นปลาย
    และเรามีหน้าที่ มาช่วยรื้อขนสรรพสัตว์เข้าพระนิพพาน สืบทอดปฏิปทาเพื่อส่วนรวมจากพุทธภูมิท่านก่อนๆ มีสมเด็จองค์ปฐม ต้นพุทธวงศ์เป็นที่สุด ตราบจนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้าย ในกาลเวลายาวนานนับไม่ได้ในอนาคต
    หากเราผู้ประดุจหัวขบวนรไฟ หัวรถจักร ยังไม่แน่วแน่ในพระนิพพาน
    เราจะลากคนที่ตามมา ไปพระนิพพานได้อย่างไร

    และความแน่วแน่ในพระนิพพานนั้น คือ เครื่องวัดบารมีของเราว่าเข้าใกล้พระโพธิญาณมากแค่ไหน
    ยิ่งใกล้มากยิ่งทรงอารมณ์พระนิพพานได้มากเท่านั้น
    ถ้ายังทรงไม่ได้ เข้าถึงไม่ได้ แผ่เมตตาจากอารมณ์พระนิพพานไม่ได้
    ยังถือว่าห่างไกลนักกว่าบารมีจะเต็ม

    แต่ด้วยความที่เราไปพระนิพพานไม่ได้
    ดังนั้นเราต้องตั้งกำลังใจเวลาเราจะตายว่า
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในพระนิพพาน อย่างถึงที่สุด
    แต่ด้วยความเมตตา ที่ข้าพเจ้ามีแต่สรรพสัตว์มากมายนี้ ข้าพเจ้าขอยั้งอารมณ์ของข้าพเจ้าเอาไว้เพียงแค่ ความเป็นเทวดาหรือพรหม ชั้นนี้ๆ แล้วแต่จะเลือก

    ส่วนมากท่านจะไปดุสิต ไม่ก็รูปพรหม ชั้นใดชั้นหนึ่ง

    ตั้งใจว่าเราปรารถนาพระนิพพาน แต่ขอยั้งเอาไว้เพียงความเป็นเทวดา หรือพรหม เพื่อสงเคราะห์ สรรพสัตว์ต่อไป

    อันนี้คือ กำลังใจในการปรารถนาพระนิพพานของพุทธภูมิ

    ทีนี้ก็มาถึง สาวกภูมิ
    สาวกภูมินั้น คือ ผู้ปรารถนาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

    สาวกภูมิบางท่านอธิษฐานว่า ขอเข้าพระนิพพานเร็วที่สุด จะเข้าในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ได้
    ถ้าตั้งจิตแบบนี้ ท่านก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ในชาตินี้

    แต่สำหรับบางท่าน ที่ขอติดตามจะเข้าพระนิพพานในชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ๆ แบบเฉพาะเจาะจง เช่น ยุคของพระศรีอริยเมตตรัย หรือพระอนาคตวงศ์ทั้งสิบพระองค์
    ก็จะต้องรอไปเข้ายุคของท่านที่เราอธิษฐานตาม ยกเว้นเราจะถอนคำอธิษฐานแล้วขอไปชาตินี้

    ต่อมาจะมีสาวกภูมิที่มีคำอธิษฐานพิเศษ อีกประเภท คือมีภารกิจ ที่ถ้าทำไม่สำเร็จจะไม่ขอไปพระนิพพาน
    เช่น บางท่านอธิษฐานจะขอดูแลพระศาสนาจนครบ5000ปี แล้วจึงค่อยไปพระนิพพาน
    ท่านก็จะมาเกิด เพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนาเรื่อยๆ แม้แต่ ท่านปู่พระอินทร์ ท่านพญายมราช
    ท่านก็อธิษฐานว่าจะไปหลังจากหมดวาระ ภาระกิจที่ท่านอธิษฐานมา

    สำหรับสาวกภูมิที่จะไม่ไปพระนิพพานชาตินี้นั้น

    เราก็จะต้องทำจิตแบบพุทธภูมิ คือ เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    เวลาจะตาย จะซ้อมตาย ก็ต้องตั้งใจว่า
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในพระนิพพานอย่างถึงที่สุด แต่ขอยั้งเอาไว้เพียงความเป็นเทวดา หรือพรหม
    เพื่อรอไปเกิดยังสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ๆ หรือเพื่อสานภาระกิจนี้ๆ ของข้าพเจ้าจนเสร็จสิ้น

    สำหรับท่านที่อธิษฐานแบบนี้ ท่านก็ไปเที่ยวพระนิพพานได้
    สัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ เห็นได้ ไปได้ด้วยจิต จนถึงไปได้ด้วยกายเนื้อ
    แต่อยู่อย่างถาวรไม่ได้ เช่นเดียวกันกับพุทธภูมิ

    คราวนี้ ก็มาถึงสาวกภูมิที่เน้นขอไปพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

    เมื่อเราตั้งใจจะไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    ก็มีวิธีการเดินจิตแยก ออกไป ตาม วิสัยในการปฏิบัติของเรา
    คือ มี สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    จะให้สุกขวิปัสสโก มาตัดเข้าพระนิพพาน แบบเตวิชโชก็ไม่ได้
    จะให้ฉฬภิญโญ มาตัดแบบสุกขวิปัสสโกก็ไม่ได้

    เราต้องตัดเข้าพระนิพพาน ให้ตรงตามวิสัยของเราจึงจะเกิดมรรคผล

    เราก็มาเริ่มจาก สุกขวิปัสสโกก่อน ก็คือ การปฏิบัติอย่างไม่รู้ไม่เห็น เหมือนคนตาบอดเดินคลำทาง ไปจนถึงพระนิพพาน

    สามารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ แต่ไม่เห็นภาพ ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต

    เมื่อเป็นเช่นนี้

    วิธีการตัดอารมณ์ที่ง่ายที่สุดก็คือ

    ให้เราพิจารณา เอาไว้ประโยคเดียว ใช้ได้ทุกวิสัย ซึ่งผมจะใช้บ่อยๆ

    พระพุทธเจ้าทรงอยู่ที่ใด ตายแล้วขอไปที่นั่น ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น

    ในเมื่อเรามองไม่เห็น เราก็เกาะพระพุทธเจ้าเอาไว้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหนเราก็ไปที่นั่น

    เกาะเอาไว้แบบนี้ ถ้าอารมณ์แน่วแน่อย่างถึงที่สุด เคารพพระพุทธเจ้าสุดหัวใจ ไม่อยากเกิด อยากไปพระนิพพานอย่างถึงที่สุด
    ตายด้วยอารมณ์นี้แล้วก็ไปพระนิพพานได้เลย

    บางคนก็สงสัย คิดแค่นี้ก่อนตายแล้วมันจะไปได้จริงๆหรือ

    ผมก็กล้า ตัดหัวเป็นพยาน ว่าถ้าแน่วแน่จริงๆล่ะก็ไปได้แน่นอน และเขาไปด้วยวิธีนี้กันมานับไม่ถ้วนแล้ว
    เราลองพิจารณาว่า มีคนกี่คนที่ตายโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน
    แล้วมีบุคคลกี่คนบนโลกนี้ ที่ก่อนตายคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะไปไหน
    แล้วมีกี่คนที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานก่อนตาย
    มีกี่คนที่เวลาจะตาย คิดขึ้นมาได้ว่าขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

    ผู้ที่จะคิดได้ ก็คือ ผู้ที่ทรงอยุ่ใน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ และอุปสมานุสติ
    คือ ระลึกถึงความดีของพระรัตนตรัย ของพระนิพพานเป็นอารมณ์ และเป็นผู้ไม่ประมาทต่อความตาย

    ผู้ที่คิดอย่างนี้ได้ มีแต่ผู้ที่มีบารมี หรือกำลังใจเต็ม เพียงพอแก่การจะไปพระนิพพานได้เท่านั้น

    เพราะผู้ที่กำลังใจไม่เต็มนั้น ถึงได้ฟังอย่างนี้ ก็จะไม่เชื่อ
    เพราะคิดว่าง่ายเกินไป ท่านใดชอบปฏิบัติยากๆ ก็ไม่ว่ากันแล้วบุคคล
    ใครอยากไปยากๆ ก็ไปยากๆ ใครอยากไปง่ายๆ ก็ไปง่ายๆ
    มีแต่ผู้ที่มีกำลังใจเต็ม พร้อมจะไปพระนิพพานเท่านั้น
    ที่จะ 1. ฟังแล้ว นำมาพิจารณา
    2. พิจารณาแล้ว เกิดศรัทธา นำมาปฏิบัติ
    3. ปฏิบัติ แล้วรักษาเอาไว้ได้ ตราบจนวันตาย

    แล้วการตั้งใจไปพระนิพพานนั้น ก็คือตัวตัดอวิชชา โดยตรง

    เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ ว่าการเกิดมันทุกข์ ความอยากเกิด เป็นนู่น เป็นนี่ มันมีแต่ทุกข์ มันไม่เป็นเรื่อง
    เมื่อเราปรารถนาพระนิพพาน ตายเมื่อไหร่ ขอไปพระนิพพาน

    จิตมันเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ จึงไม่อยากเกิด พอจิตไม่อยากเกิด
    จิตก็ไม่มีอวิชชา พอไม่มีอวิชชา มันก็คือ อารมณ์ที่ใช้ตัดเข้าความเป็นพระอรหันต์

    แต่ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ได้บวชเป็นพระ ก็ทรงความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
    แต่ตอนเราจะตาย จิตมันทิ้งร่างกาย พอมันทิ้งร่างกายก็เหลือแต่จิต
    พอเหลือแต่จิต หากตอนนั้นจิตของเรามีอารมณ์คล้ายพระอรหันต์ ตายแล้วเราก็ต้องไปที่ๆพระอรหันต์ท่านไปกัน

    แล้วท่านไปไหน ท่านก็ไปพระนิพพาน
    เมื่อท่านไปพระนิพพาน เราอารมณ์คล้ายพระอรหันต์ก่อนตาย ท่านไปไหน เราก็ต้องไปด้วย

    หากไม่ถึงพระนิพพาน อย่างกลางก็เป็นรูปพรหม อย่างแย่สุดก็เป็นเทวดา
    ไม่เป็นมนุษย์ ไม่ลงอบายภูมิ

    ผู้ที่อธิษฐานเอาไว้ ทุกวัน ทุกคืน ว่าขอไปพระนิพพาน
    ตัวตั้งจิต ตัวแน่วแน่ในพระนิพพานนั้น ก็คือ อธิษฐานบารมี
    อธิษฐานบารมีในการเข้าถึงพระนิพพานมันเต็ม ไม่ปรารถนาอะไรนอกจากพระนิพพาน
    พอบารมีเต็ม มันก็ไปได้

    สุกขวิปัสสโกก็ทำแบบนี้ เกาะพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน

    เตวิชโช ได้วิชชาสาม ก็เพิ่มมานิดนึง
    ท่านใด เห็นพระนิพพาน ก็ทรงภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้
    ท่านใดไม่เห็นพระนิพพาน ก็ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเอาไว้
    เห็นพระองค์ยิ้ม อิ่ม เต็มไปด้วยความสุข แล้วตั้งใจ ตายเมื่อไหร่ขอเกาะพระองค์ไปพระนิพพาน

    ต่างจากสุกขวิปัสสโก ตรงที่เห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นพระนิพพานในจิต

    พอมาเป็นฉฬภิญโญ ท่านใดได้มโนครึ่งกำลัง ก็ขึ้นข้างบนด้วยครึ่งกำลัง
    ท่านใดได้เต็มกำลัง เวลาจะตายจิตจะรวมตัวออกเป็นเต็มกำลังได้ ก็ไปรอข้างบน
    ท่านใดได้อภิญญา ท่านจะเหาะขึ้นไปเลยก็ยังได้ หรือท่านจะไปแบบมโนเต็มกำลังก็ได้

    ก็ตั้งจิตแบบเดียวกัน ตายเมื่อไหร่พระนิพพานเท่านั้น ไปอยู่กับพระพุทธองค์ข้างบนเท่านั้น

    ส่วนปฏิสัมภิทัปปัตโต บางท่านก็จะไล่อรูปฌาณก่อน แล้วก็ขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยมโนมยิทธิ หรือจะแบบใดก็แล้วแต่ท่านถนัด
    ถ้าท่านเป็นปฏิสัมภิทัปปัตโตนี่ ท่านรู้อยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร

    เข้าอรูป เห็นว่า สังสารวัฏ สลายไปหมด หรือเพียงจุดเดียวที่เที่ยงคือพระนิพพาน จุดอื่นไม่ปรารถนา

    ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะปฏิบัติในวิสัยใด หรือจะพิจารณาธรรมมาแบบใด เชี่ยวชาญกรรมฐานกองใด

    สุดท้ายจริงๆ ก่อนตาย ทุกท่าน ก็จะต้องตั้งจิตในลักษณะเดียวกัน

    คือ ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน ขอเกาะบารมีพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน

    อันนี้คือ จุด คือ อารมณ์ที่ใช้ตัดเข้าความเป็นพระอริยเจ้า ความเป็นพระอรหันต์ ตัดเข้าพระนิพพาน

    ใครจะขี้เกียจไม่ทำอย่างอื่นเลย
    วันๆ จะภาวนา แต่ "ตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานๆๆ" ก็ได้

    ทำไปเลย
    แล้วจะถึงไม่ถึง เราไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปลังเลสงสัย
    คิดไว้อย่างเดียว
    ไม่ถึงพระนิพพาน ก็เป็นรูปพรหม ไม่เป็นรูปพรหม ก็เป็นเทวดา ไม่ต่ำกว่านี้แล้ว

    แล้วเวลาออกจากสมาธิทุกครั้ง ตั้งว่า อานิสงค์ของการเจริญสมาธิในวันนี้ ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพาน
    ทำบุญทุกครั้ง ตายเมื่อไหร่ ไปพระนิพพาน

    พิจารณาวิปัสสนาญาณ ทุกครั้ง ตายเมื่อไหร่ ไปพระนิพพาน

    หรืออยู่ในสถานการณ์ ที่คิดว่าชีวิตเราไม่ปลอดภัย
    ก็ภาวนาเลย
    "ตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้าเท่านั้นๆๆ"

    เล่นมันแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน สำหรับท่านที่เป็นสาวกภูมิ จับแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
    ถ้าเป็นพุทธภูมิ ก็ต้องทำให้เข้มยิ่งกว่านี้ ต้องทรงสมาธิในอารมณ์พระนิพพานให้มีความคล่องแคล่ว
    นึกจะเข้า ต้องเข้าได้ ในทันที ไม่ต้องตั้งท่า ลืมตากลับตา ทรงอารมณ์พระนิพพานให้ได้ตลอด

    ถ้าทุกๆท่าน ทรงอารมณ์ได้แบบนี้ คำว่าเกิดใหม่ ไม่มีแก่ทุกๆท่านอีกต่อไป
    ตายเมื่อไหร่ จะพ้นทุกข์อย่างถาวร เข้าถึงซึ่งสุขแห่งพระนิพพานอัน ไม่มีเสื่อม ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีความตาย
    มีแต่ความเย็น อันชุ่มฉ่ำ อันเบิกบาน อันเป็นอมตะแห่งพระนิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนโดยส่วนเดียว

    ขอให้ทุกๆดวงจิต ซึ่งมีวาระจะเข้าถึงซึ่งธรรมได้
    มีพระนิพพานเป็นที่สุดได้ในชาติปัจจุบันนี้
    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  18. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ถ้าอย่างนั้นก็คือ ทุกคนสามารถไปนิพพานได้ ไม่ใช่ว่าต้องบวช หรือเป็นพระอรหันต์

    อย่างนั้นใช่ไหมคับ แล้วเกี่ยวไหมว่า ต้องมีบารมีเต็มแล้ว ถึงจะไปได้


    --------------------------------------------------------------
    " ปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ วันหนึ่งทองก็จะล้นมาข้างหน้าเอง "
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ขอบคุณพี่ชัดมากครับ เมื่อผมได้ทำตามที่พี่ชัดบอกแล้ว เรื่องบางเรื่องมันหายไปเลย แต่เรื่องที่ว่านิพพานคือสิ่งใด ผมพึ่งทราบเมื่อกี้นี้เอง เลยแวะมาขอบคุณ ผมไม่น่าคิดให้มันปวดหัว เพื่อนได้เอาเรื่องมลินธปัญหามา ให้ได้อ่านผมเลยเอาสิ่งที่ผมรับรู้มาโดยมิได้ปรุงแต่งรวมเข้าไป จึงทำให้เห็นชัดว่านิพพานคือสิ่งใด ตอนนี้ผมปล่อยวางเรื่องต่างๆได้แล้วครับ ขอบคุณพี่ชัดที่คอยแนะนำมาตลอด<!-- google_ad_section_end -->

    ขอให้ไม่เสื่อมจากคุณธรรมที่ได้เข้าถึงแล้วตลอดไป
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริงด้วยเทอญ

    มีกิจอีกชิ้นนึงที่ อยากให้เราทำครับ คือให้เราให้อภัยต่อทุกๆดวงจิต อโหสิกรรมให้กับทุกๆดวงจิต

    ให้เราขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า และตั้งจิตต่อหน้าพระองค์ว่า
    ข้าพเจ้าขอให้อภัย ต่อกรรมใดก็ตามที่ผู้ใดได้เคยประมาสพลาดพลั้งต่อข้าพเจ้ามาทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต
    ข้าพเจ้าขอให้อภัยทาน อันเป็นทานสูงสุด เพื่อตัด เพื่อละ วิบากกรรมทั้งหลาย ให้เป็นโมฆะกรรมไป แก่ทุกๆดวงจิตด้วยเทอญ

    และกรรมอันใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาสพลาดพลั้งต่อผู้ใด ดวงจิตใด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
    ข้าพเจ้าก็ขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ต่อเจ้ากรรมนายเวร ต่อทุกๆดวงจิตทั้งสังสารวัฏ
    ขอทุกๆท่าน เมตตาอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้า ดั่งที่ข้าพเจ้าได้อโหสิกรรมให้กับทุกๆดวงจิตแล้วนั้นด้วยเทอญ

    ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ จะไม่กลับมาเกิดด้วยอำนาจแห่งความรัก โลภ โกรธ หลง ประการใดอีกต่อไป

    ขอให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เช่นเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าปรารถนาภายในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

    พออธิษฐานแล้วจะรู้สึกว่าวิบาก มันตัด มันสลาย มันบรรเทาลงไป
    แล้วเราจะตั้งมั่นในอารมณ์ของสมาธิมากกว่าเดิมครับ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ noolegza ครับ
    <O:p></O:p>
    ถ้าอย่างนั้นก็คือ ทุกคนสามารถไปนิพพานได้ไม่ใช่ว่าต้องบวช หรือเป็นพระอรหันต์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ใช่ กายไม่ต้องบวชเป็นพระ<O:p></O:p>
    แต่ทำใจให้เป็นพระอรหันต์ก่อนตาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเราตั้งใจจะไปพระนิพพานจริงๆ<O:p></O:p>
    ตอนวันที่จะตาย ส่วนมากจะทราบล่วงหน้า<O:p></O:p>
    หรือจะมีสติตอนจังหวะที่จะตาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ด้วยความที่เรา ซ้อมตายบ่อยๆซ้อมตั้งใจว่าขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวบ่อยๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จังหวะที่จะตายมันจะมีสติระลึกได้<O:p></O:p>
    รวมเข้ากับอารมณ์ที่มันกำลังจะตาย<O:p></O:p>
    มันจะมีกำลังตัด กิเลสตัดความอาลัยในการเกิด<O:p></O:p>
    จิตจะเป็นพระอรหันต์ตอนก่อนที่จะตายไม่กี่ขณะจิต<O:p></O:p>
    แล้วก็ไปพระนิพพานเลย<O:p></O:p>

    อย่างนั้นใช่ไหมคับ แล้วเกี่ยวไหมว่า ต้องมีบารมีเต็มแล้วถึงจะไปได้<O:p></O:p>
    บารมี แปลว่า กำลังใจ<O:p></O:p>
    กำลังใจที่จะไปพระนิพพานมันเต็ม มันก็ไปได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กำลังใจมันเต็มได้โดยการที่เราไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากพระนิพพาน<O:p></O:p>
    จิตของคนที่ปรารถนาจุดเดียวคือพระนิพพานขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น<O:p></O:p>
    ก็คือ จิตที่มีกำลังใจ บารมี เต็มนั่นเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เพราะพระอรหันต์ท่านก็ใช้อารมณ์นี้ คืออารมณ์ที่ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากพระนิพพาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เมื่อเรารู้ว่าพระอรหันต์ท่านตัดเข้าพระนิพพานด้วยอารมณ์นี้<O:p></O:p>
    แล้วเรานำมาใช้บ้าง มันก็คือการฝึกทรงอารมณ์พระอรหันต์นั่นเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าจะซอยย่อย อธิบายให้เข้าใจมากขึ้น เรามาคิดแบบนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดวงจิตในจักรวาลนี้มีกี่ดวงนับไม่ถ้วน<O:p></O:p>
    แล้วมีดวงจิตเท่าไหร่ที่ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ ก็น้อยลงมาเยอะ<O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่ได้เกิดในประเทศไทย ก็น้อยลงมาอีก<O:p></O:p>
    แล้วมีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวง ที่พบพระพุทธศาสนา แล้วเกิดศรัทธา ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน และรักษาศีล ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิ ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิจนเข้าถึงซึ่งเนื้อสมาธิจริงๆ ก็ลดลงมาอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิจนเข้าถึงซึ่งเนื้อสมาธิจริงๆและมาเจอว่าเพียงตั้งจิตอย่างแน่วแน่ว่าจะไปพระนิพพานทุกๆวันก็จักถึงได้ในชาตินี้ ก็เหลือน้อยเข้าไปใหญ่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีดวงจิตกี่ดวงที่พบพระพุทธศาสนา แล้วทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิจนเข้าถึงซึ่งเนื้อสมาธิจริงๆและมาเจอว่าเพียงตั้งจิตอย่างแน่วแน่ว่าจะไปพระนิพพานทุกๆวันก็จักถึงได้ในชาตินี้และนำมาตั้งใจปฏิบัติ จริงๆ<O:p></O:p>
    ก็เหลือไม่มากนัก></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นขอให้เชื่อเถอะครับว่า<O:p></O:p>
    ถ้าเราไม่มีบุญพอสมควร มันไม่ผ่านกลไกการกรอง ของสังสารวัฏ<O:p></O:p>
    จนกระทั่งมาถึงตรงประตูทางออกหรอกครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้เชื่อได้เลยว่า ถ้าบารมีไม่ใกล้เต็มจริงๆไม่มีใครเขาคิดกันหรอกว่า<O:p></O:p>
    ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเท่านั้น<O:p></O:p>

    การตั้งใจไปพระนิพพาน ทุกๆวัน จึงเป็นวิสัย ของผู้มีบารมีใกล้จะเต็มหรือเต็มแล้วเท่านั้น<O:p></O:p>
    ไม่ใช่วิสัยของคนที่ยังตั้งเกิดต่อไป<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    และมีพระอาจารย์ท่านนึง ขอไม่เอ่ยนามท่านนะครับ<O:p></O:p>
    ท่านมีโยมแม่ ซึ่งมาเป็นผ้าขาวที่วัด<O:p></O:p>
    ท่านก็สอนโยมแม่ของท่านว่า ให้ตั้งใจไปพระนิพพานทุกวันพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนตั้งใจไปที่นั่น<O:p></O:p>
    เผอิญโยมแม่ท่านได้มโนมยิทธิด้วยเลยยิ่งง่าย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ท่านก็ไปทุกคืนๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จนต่อมาโยมแม่ท่านก็หมดอายุขัย<O:p></O:p>
    พระอาจารย์ท่านก็จัดงานศพโยมแม่ตามปรกติ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ท่านก็เผาร่างของแม่ท่านและเก็บเถ้าอัฐิ เอาไว้<O:p></O:p>
    ต่อมาวันดีคืนดี ท่านก็มาเปิดเถ้าอัฐิของแม่ท่าน<O:p></O:p>
    ทีนี้ปรากฏว่าอัฐิ เปลี่ยนเป็น เนื้อเพชร ใสระยิบระยับกลายเป็นพระธาตุทั้งหมด<O:p></O:p>
    <O:p</O:p></O:p>
    ซึ่งเรื่องนี้ก็พิสูจน์ว่า ถึงแม้จะไม่ได้บวชพระแต่ถ้าปรารถนาพระนิพพานอย่างแน่วแน่<O:p></O:p>
    ก็ย่อมสามารถถึงได้จริง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ส่วนเรื่องจะถึงจริงไม่ถึงจริงนั้นการที่อัฐิเปลี่ยนเป็นพระธาตุก็คงจะเป็นคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นคราวนี้อย่างน้อยที่สุด ก่อนเราจะนอนหลับทุกคืนและตื่นมาทุกเช้า<O:p></O:p>
    ให้ตั้งใจเอาไว้เลย ว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าวันนี้คืนนี้เรานอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้นเกาะพระพุทธเจ้าเอาไว้เพียงจุดเดียว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทำแบบนี้เอาไว้สม่ำเสมอตายเมื่อไหร่ก็ถึงพระนิพพานอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...