หลวงพ่อโอภาสี พระอภิญญาบูชาไฟเผากิเลส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 14 พฤษภาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หลวงพ่อโอภาสี วัดพุทธบูชา (อาศรมบางมด ธนบุรี)

    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงพ่อโอภาสี เดิมชื่อ นายชวน มะลิพันธ์ บ้านเดิมอยู่ บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อายุ 5 ขวบ ก็บรรพชาเป็นสามเณรเล่าเรียนอักขระบาลีสันสกฤตจากสำนักวัดโพธิ์ในท้องถิ่น ทุกวันสามเณรชวนจะเล่าเรียนพระปริยัติด้วยความขยันขันแข็ง และฉลาดเฉลียวเป็นที่พอใจของเจ้าสำนักบาลีวัดโพธิ์ถึงกับออกปากจะส่งมาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะเห็นแววความเป็นนักธรรมอันยิ่งใหญ่ในตัวของสามเณรชวนนั่นเอง

    ครั้นเรียนจบสำนักวัดโพธิ์ สามเณรชวน ก็ถูกพามาถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรฌานวงศ์ ซึ่งทรงรับไว้ในพระอุปการะและทรงทำการอุปสมบทให้เป็นภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดบวรนิเวศมหาวิหาร โดยทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยพระองค์เอง พระภิกษุชวนเรียนพระปริยัติจนสอบได้เปรียญ 7 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดยศจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถูกขนานนามว่า มหาชวนเปรียญเอก
    แต่หลังจากเล่าเรียนปริยัติธรรมจนเชี่ยวชาญ มหาชวน เห็นว่าถึงแก่เวลาต้องศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อหา “ทางสว่าง”แห่งการพ้นทุกข์บ้างแล้ว จึงตัดสินใจจาริกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ผ่านป่าเขาลำเนาไพรมากมาย จนกระทั่งได้ยินชื่อเสียงของ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและมีกิจวัตรที่ไม่เหมือนใคร เสมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ มหาชวน ดั้นด้นเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อกบนานหลายเดือนก็กราบลาพระอาจารย์กลับไปพำนักที่วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร

    มีเรื่องเล่าขานกันว่า หลังจาก มหาชนวน เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อกบกลับวัดบวรนิเวศฯแล้ว มักชอบเก็บตัวนั่งวิปัสสนาตลอดทั้งวัน เช้าตื่นออกบิณฑบาตและฉันเช้าเพียงมื้อเดียว ช่วงบ่ายก็เปิดกุฏินำเอาสิ่งของต่าง ๆ มาเผาไฟ เริ่มจากทีละเล็กทีละน้อย ๆ ก่อนกลายเป็นชิ้นใหญ่ ๆ คนจีนแถวบางลำพูเห็นเข้าก็ศรัทธาพากันนำข้าวของมาถวายให้เผาเป็นการใหญ่

    นอกจากนี้จะมุ่งมั่นนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ท่านยังเผาสิ่งของควบคู่กันไปด้วย จนชื่อเสียงเริ่มขจรขจายไปทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างรวดเร็ว บางคนก็เห็นด้วยกับการกระทำนี้ แต่บางคนกลับมองว่าเป็นวิกลจริตหรือเป็น “พระบ้า”ซึ่งบางครั้งท่านจุดธูปเทียนบูชาพระจนควันไฟท่วมกุฎิจนพระในวัดและชาวบ้านเข้าใจว่าไฟไหม้หลายครั้งด้วย

    เคยมีคนไปถามท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมต้องเผาสิ่งของด้วย เพราะอะไร" ท่านก็ตอบว่า “ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง”ที่น่าประหลาดคือใครถามถึง “มหาชวน”จะได้รับคำตอบว่า “มหาชวนตายไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ โอภาสี เท่านั้น”

    แต่แล้วไม่กี่ปีต่อมา มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่พอใจในพฤติกรรมประหลาดของท่าน เริ่มเคลื่อนไหวและขับไล่ให้ออกไปจากวัดบวรนิเวศฯ ประมาณปี พ.ศ. 2484 หลวงพ่อโอภาสี จึงจาริกแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ไปแวะที่ไหนมักถูกขับไล่เพราะท่านจุดไฟเผาข้าวของเหมือนเดิม จนสุดท้ายหลวงพ่อโอภาสีได้ไปพำนักในสวนส้มของชาวบ้านย่านบางมด ฝั่งธนบุรี เจ้าของสวนและชาวบ้านศรัทธาท่านยิ่งนัก สร้างกุฏิเล็ก ๆ ถวายป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่สนใจ ยังคร่ำเคร่งกับการเผาไฟเป็นพุทธบูชาตามปกติ

    นับวันหลวงพ่อจะก่อกองไฟเผาปัจจัยและสิ่งของมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นธนบัตร เงินสกุลต่าง ๆ และข้าวของมีค่าทุกชิ้น ท่านเผาไม่เหลือ จนชาวบ้านแห่นำน้ำมันก๊าดไปถวายให้ใช้ก่อไฟเผากันจำนวนมาก

    หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2498 แต่สังขารของท่านลูกศิษย์นำบรรจุไว้ในโลงแก้วประดิษฐานในพระมหาเจดีย์ในสวนอาศรมบางมด หรือปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อโอภาสี หรือวัดพุทธบูชา บางมด ฝั่งธนบุรี เพื่อให้ผู้ศรัทธากราบไหว้และน้อมนำคำสอน-ธรรมะของท่านมาปฏิบัติเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


    ทำไมถึงต้องชื่อ “โอภาสี”

    มีผู้ศรัทธาพยายามสอบถามหลวงพ่อโอภาสีหลายครั้ง ต่างสงสัยว่า “ทำไมมหาชวนตายแล้วกลายมาเป็นโอภาสี” หลวงพ่อจะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า “มหาชวนตายไปแล้ว ที่อยู่คือโอภาสีผู้บูชาไฟถวายเป็นพุทธบูชา” และบางคนถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่ออายุเท่าไหร่แล้ว”ท่านจะนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกว่า “ในโลกมนุษย์ก็ 60 ปีแล้ว (สมัยนั้น) แต่อายุจริงป่านนี้ไม่รู้เลย มันนานมากแล้ว จำไม่ได้หรอก”สร้างความงุนงงให้ลูกศิษย์ทั่วหน้า ไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร

    แต่ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านมีหลายคนที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อกบแต่เดิม ภายหลังหลวงพ่อกบมรณภาพก็ติดตามมารับใช้และปรนนิบัติหลวงพ่อโอภาสีสืบมา ได้แปลคำพูดของท่านให้ฟังว่า “จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรม หมายถึงมหาชวนเกิดในโลกมนุษย์นี้มีอายุแค่ 60 ปี แต่ในความเป็นจริงต้องแยกให้ออกระหว่าง กาย และ จิต ตามแบบวิปัสสนากัมมัฎฐาน เมื่อกายในชาตินี้สลายตายไป เหลือเพียงดวงจิตก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ท่านจึงตอบว่าจำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวนเวียนตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมาแล้วกี่ชาติภพ"

    ที่น่าประหลาดใจคือ คนที่รู้จัก มหาชวน เดิมนั้นยืนยันว่า บุคลิกของมหาชวน เป็นพระเรียบร้อย พูดจาเสียงเบา ๆ และสำรวม น่าเลื่อมใสสมกับมหาเปรียญ 7 ประโยค

    แต่หลวงพ่อโอภาสีบุคลิกกลายเป็นอีกคน พูดจากระโชกโฮกฮาก ไม่เกรงใจใครและมีอารมณ์ร้อนแรงเหมือนไฟที่ท่านบูชา และที่หลายคนสงสัย ในกุฏิหลวงพ่อโอภาสีมีพระฉายาลักษณะหรือพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่มากมาย แทบทุกพระอิริยาบถก็ว่าได้ เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนคิดไม่ออกว่าเพราะอะไรอีกเช่นเดียวกัน แต่ก็มีคนพยายามแปลปริศนานี้ในทำนองว่า “หลวงพ่ออาจมีความผูกพันหรือปลาบปลื้มในพระจริยวัตรอันงดงามของรัชกาลที่ 5 เป็นพิเศษก็เป็นได้”


    ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

    พุทธสมาคมประเทศอินเดียทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อโอภาสีให้เดินทางไปมนัสการสังเวชนียสถานและเชิญชวนญาติโยมที่ศรัทธามารอนมัสการหลวงพ่อพร้อมหน้าพร้อมตากันในวันที่ 28 ต.ค. 2498 แต่หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดเขียนจดหมายตอบไปว่าขอเลื่อนไปวันที่ 31 ต.ค. 2498 จะสะดวกกว่า ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปตามความประสงค์ของท่าน

    ในครั้งนั้นพระภิกษุและญาติโยมหลายท่านขอเดินทางไปพร้อมหลวงพ่อโอภาสี แต่ท่านปฏิเสธ โดยบอกว่า “ไม่ได้หรอก คราวนี้อาตมาไปแบบพิสดารไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยได้สักคน" สร้างความสงสัยให้ทุกคน แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไร

    จนวันที่ 31 ต.ค. 2498 มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ นายกพุทธสมาคมประเทศอินเดีย กำลังนั่งพักผ่อนในบ้าน เหลือบเห็นกลุ่มควันปรากฏที่ผนังห้องเบื้องหน้าและมีใบหน้าหลวงพ่อโอภาสีลอยเด่นขึ้นมาก่อนสลายหายไป สร้างความแปลกใจให้เป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกสังหรณ์บางอย่าง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ไม่รอช้ารีบออกไปหน้าบ้าน คนรับใช้ก็บอกว่า มีพระจากประเทศไทยมานั่งรออยู่ในห้องรับแขกพบว่าเป็น หลวงพ่อโอภาสี จึงเข้าไปกราบเท้าท่านด้วยความศรัทธาและพูดว่า “ทำไมหลวงพ่อมาไม่บอกล่วงหน้า จะได้เอารถไปรับจากสนามบิน”หลวงพ่อบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก อาตมามาให้เห็นตามคำพูดที่รับปากไว้ อะไรก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้องวุ่นวายอะไร”จากนั้น มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ก็ขอตัวไปเตรียมนำชามาต้อนรับหลวงพ่อ กลับมาปรากฏว่าหลวงพ่อโอภาสีหายไปแล้ว ออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่มี เรียกคนใช้มาถาม คนใช้ยืนยันว่าไม่เห็นใครออกจากบ้านสักคนเดียว

    จากนั้นช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ได้รับโทรเลขด่วนจากประเทศไทยมีข้อความว่า...หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพแล้วเวลา 07.30 น. วันที่ 31 ต.ค. ของดกำหนดการทั้งหมด ทำเอา มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ถึงกับเข่าอ่อนน้ำตาไหลพรากและใจหายเป็นที่สุด พอตั้งสติได้ไม่รอช้านั่งเครื่องบินจากอินเดียมาประเทศไทย รีบไปอาศรมบางมดทันที พบสังขารหลวงพ่อโอภาสีนอนเหยียดยาวบนกุฏิ มีมุ้งกางกันแมลง เนื้อหนังอ่อนนิ่มคล้ายคนหลับอย่างน่าอัศจรรย์ มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ จึงเล่าปาฏิหาริ์ของหลวงพ่อให้ลูกศิษย์ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนร้องไห้โฮอีกครั้งด้วยความเสียใจ

    คาถาประจำตัวหลวงพ่อโอภาสี

    อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง

    (คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่าง ๆ จากเทวดา ภูติผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย อนุภาพขอคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว)

    หลวงพ่อโอภาสี พระอภิญญาบูชาไฟเผากิเลส (ปาฏิหาริย์2009)
     
  2. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291

    โมทนา กับข้อเขียน ด้วยครับ

    เอ องค์เดียวกับ ที่หลวงพ่อเคยเล่า หรือเปล่า หนอ ?

    “..เมื่อเช้าตรู่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ไปพระนิพพาน เมื่อไปถึงแล้วก็นมัสการพระตามลำดับที่เคยนมัสการเป็นปกติ

    เมื่อไหว้แล้วก็กราบถามท่านว่า “ท่านโอภาสีเป็นใคร” พระท่านเรียกพระแก้วองค์หนึ่งมาหาพระองค์นี้ตัวสวยเหมือนแก้วที่ถูกแสงอาทิตย์สาด สวยมาก ท่านชี้ให้ดูแล้วบอกว่า “องค์นี้แหละที่ชาวโลกเรียกว่า “โอภาสี” บอกท่านสวยสมชื่อจริงๆ “โอภาสี”แปลว่า “มีแสงสว่างเป็นปกติ” ท่านสว่างสมชื่อ เมื่อพบกันแล้วก็ถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียม ท่านตอบว่า “เมื่อเป็นพระคนท่านชื่อ ปุตตะภิกขุเป็นลูกชาวเมืองปาฐา เป็นหัวหน้าคณะพระ ๓๐ รูป ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระนางวิสาขาถวายกฐินเป็นรายแรกในศาสนานี้”<O:p
    เมื่อก่อนบวชท่านได้พบพระสารีบุตร เลื่อมใสท่านพระสารีบุตรแล้วบวชกับท่าน แต่อาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มีบารมีขั้นปรมัตถบารมีหลายอันดับ เป็นเหตุให้ท่านพระสารีบุตรไม่สามารถสอนให้บรรลุมรรคผลได้ ท่านพวกสาวกพุทธภูมินี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะสอนได้ เมื่อออกพรรษาท่านพระสารีบุตรพามาหาพระพุทธเจ้า เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านลาออกจากพุทธภูมิ ท่านศึกษาไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อนิพพานแล้วเพราะอาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนก็เลยโปรดคนตามอัชฌาสัย ให้นามตัวเองว่า “โอภาสี” แปลว่า “มีปกติฉายแสงสว่าง”
    ถามว่า “เมื่อเป็นพุทธสาวกทำไมเล่นเผาของ ทำให้ศาสนาเสื่อม คนหลงผิดกันตั้งหลายเมือง” ท่านบอกว่า “ท่านมาเฉพาะธรรม เรื่องเผาของเป็นเรื่องของคนอยากดัง เขาเล่นกลกันเอง” ถามว่า “บางวาระคนที่ทรงก็มีผีอื่นปลอม ทำไมไม่ห้ามผีอื่น” ท่านตอบว่า “ร่างของเขา เจ้าของมีสิทธิ์จะให้ใครทรงก็ได้ ท่านมาเฉพาะธรรม อย่างอื่นไม่เกี่ยว” ถามว่า “เรื่องกองทานมาจากใคร” ท่านบอกว่า “มาจากพวกอยากดัง” กลับลงมาบันทึกเมื่อเวลา ๐๔.๓๒ นาฬิกา..”

    พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.964958/[/MUSIC]<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2010
  3. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    ตามความคิดผม ที่หลวงพ่อฦาษีบอกองค์เดียวกันคับ
     
  4. ต้นบุญ

    ต้นบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +239
    ขออนุโมทนาสาธุ "อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภูมิมะเทวา ขะมามิหัง" สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana Sathu
     
  6. โพธิ์เพชร

    โพธิ์เพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +133
    สงสารคนที่ขับไล่ท่านจังเลยครับ
     
  7. โพธิ์เพชร

    โพธิ์เพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +133
    แต่ผมว่าคนละองค์นะ
    องค์นั้นสมัยพุทธกาลท่านนิพพานไปแล้ว
    องค์นี้ท่านสมัยปัจจุบัน นิพพานแล้วไม่เกิดนี่นา ใช่ไหมครับ
     
  8. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,276
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตทุกๆท่านครับ

    สาธุ
     
  9. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ร่วมอนุโมทนา สาธุกับกระทู้นี้อย่างสูงค่ะ สวดคาถาหลวงพ่อทุกวันค่ะ(deejai)
     
  10. เซาะปากดง

    เซาะปากดง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +62
    นมัสการหลวงพ่อครับ
     
  11. tong2496

    tong2496 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +29
    สมัยก่อนต้องนั่งเรือ ถนนตก กับที่บางประแก้วเพื่อที่จะไปกราบท่านครับ ถ้าค้าขายสวดพระคาถานี้ทั้งวัน ก็ขายได้ทั้งวันเช่นเดียวกันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...