ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เนี่ยะแหล่ะ คือ กลไกลสำคัญ
    จะบอกว่า ตอนนี้ที่ประเทศเราย่ำแย่ เพราะขาดความสามัคคีหนักๆ

    อย่างเรื่องกษัติรย์ลิดฉวี ไง :'(
     
  2. alone333

    alone333 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +65
    อยากได้บทสวดมน ธรรมโลกุตระ แบบนี้ ใครหาให้ผมได้มั้ง

    เรื่องเงินโทรมาได้เลย แต่ถ้าไม่คิดอะไรก็อนุโมทนาด้วยนะ

    นายดนัย ทรัพย์สมบุญ

    13 หมู่8 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

    เบอโทร 0825265906 เมลล์ผม alone.444@hotmail.com
     
  3. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ตึกถล่มในบังกลาเทศ!! ตาย-เจ็บเกือบ 80 คน <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="baseline" align="left">3 มิถุนายน 2553 13:38 น.</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="middle" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> อาคารสูง 5 ชั้น ในกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศพังถล่มลงมา และทำลายบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบ เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน สูญหายกว่า 10 คน และบาดเจ็บ 50 คน
    ทั้งนี้คาดว่า เกิดจากโครงสร้างไม่แข็งแรง เพราะสร้างผิดแบบ
     
  4. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    นักวิชาการเตือนภาคใต้เสี่ยงเกิดหลุมยุบ แบบกัวเตมาลา


    นักวิชาการด้านธรณีวิทยา ระบุพื้นที่ในภาคใต้ของประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดหลุมยุบเช่นเดียวกับ ที่เกิดขึ้นในกัวเตมาลา แต่มีขนาดเล็กกว่า เนื่องจากกายภาพของหินมีลักษณะเดียวกัน
    นายธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิชาการด้านธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงปรากฎการณ์หลุบยุบที่เกิดขึ้นที่ กัวเตมาลา ว่าเกิดจาก ชั้นหินใต้ผิวดินมีลักษณะเป็นหินปูน ที่เมื่อถูกน้ำฝนที่ตกหนักมากๆ หินจะค่อยๆละลาย ประกอบกับชั้นล่างของหินมีลักษณะเป็นโพรง เมื่อชั้นบนของผิวดินไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้จะยุบตัวลงมาเป็นหลุมขนาด ใหญ่ ซึ่งพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยมีลักษณะชั้นหินใกล้เคียงกับที่กัวเตมาลา ที่ชั้นตะกอนของหินจับตัวไม่แน่น จึงทำให้หลายพื้นที่ในภาคใต้มีโอกาสเสี่ยงเกิดหลุบยุบได้มากกว่าภาคอื่นๆ
    ส่วนวิธีการสังเกตก่อนที่จะเกิดหลุมยุบในพื้นที่เสี่ยง 19 จังหวัดในประเทศไทย คือ ให้คอยสังเกตว่าบริเวณใกล้เคียงมีหลุบยุบเกิดขึ้นและมีเสียงดังแปลกๆ เกิดขึ้นแถวบริเวณนั้นหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ในพื้นที่ จ.สตูล กระบี่ และตรัง เกิดหลุบยุบขนาดเล็กมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนมีนาคม เกิดหลุมยุบหลายจุดในพื้นที่ตำบลนาโยง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรณีเข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่า ที่จังหวัดตรังมีสภาพภูมิประเทศและธรณีวิทยาที่เป็นหินปูนที่เสี่ยงต่อการ เกิดหลุมยุบได้ง่าย


    ที่มา : นักวิชาการเตือนภาคใต้เสี่ยงเกิดหลุมยุบ แบบกัวเตมาลา
     
  5. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    3 ข้อสันนิษฐานเหตุ “หลุมยุบ” ในกัวเตมาลา <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">3 มิถุนายน 2553 09:53 น.</td></tr></tbody></table>
    หลายคนที่เห็นภาพ “หลุมยุบ” กลางสี่แยกในกัวเตมาลา อาจไม่เชื่อสายตาตัวเอง และสงสัยว่าเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน โดยนักธรณีวิทยารั้วจามจุรีเผย 3 ข้อสันนิษฐานของปรากฏการณ์ แต่ให้น้ำหนักกรณีหลุมยุบ เนื่องจากชั้นใต้ดินเป็นหินปูนมากที่สุด

    หลุมยุบที่เกิดขึ้นในกัวเตมาลาหลังพายุโซนร้อนอากาธา (Agatha) มีความกว้างถึง 18 เมตรและลึกประมาณ 30 เมตร ซึ่งเนชันนัลจีโอกราฟิกรายงานความเห็นของ เจมส์ เคอร์เรนส์ (James Currens) นักอุทกธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยเคนตัคกี (University of Kentucky) สหรัฐฯ ว่า ยังไม่ทราบกลไกที่เป็นสาเหตุของการยุบตัวครั้งนี้ และเมื่อปี 2007 เคยเกิดเหตุแผ่นดินยุบตัวในบริเวณใกล้เคียงกัน

    สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนี้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้สอบถามไปยัง ผศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งข้อสันนิษฐานถึงการยุบตัวของแผ่นดินไว้ 3 กรณี ซึ่งมีกรณีฝนตกหนัก เนื่องจากพายุเป็นตัวกระตุ้นให้ดินยุบตัว โดยพายุครั้งนี้มีปริมาณน้ำฝนมาถึง 300 มิลลิลิตรต่อ 30 ชั่วโมง ขณะที่ปริมาณฝนปกติอยู่ที่ 100 มิลลิลิตรเท่านั้น

    กรณีแรก อาจเกิดเนื่องจากชั้นหินปูนใต้ดินถูกน้ำเซาะ จนเกิดโพรงและดินด้านบนอุ้มน้ำปริมาณมากจนยุบตัวลง ซึ่งกรณีเช่นนี้พบได้ในหลายจังหวัดของไทย เช่น จ.กาญจนบุรี ที่มีภูเขาหินจำนวนมาก และมีถ้ำน้ำลอดซึ่งเกิดการหินปูนถูกน้ำเซาะ วันดีคืนดีฝนละลายหินปูนจนทำให้ชั้นดินที่ปกคลุมชั้นหินปูนถล่มลงไป หรือ จ.พัทลุงและสตูล ที่เกิดแผ่นดินยุบตัวหลังฝนตกหนัก

    กรณีที่สอง เกิดจากชั้นดินอ่อนหรือชั้นดินใหม่ มีชั้นทราย เมื่อฝนตกจึงเกิดการกระจุกตัวของน้ำฝนที่ซึมสู่ใต้ดินอย่างรวดเร็ว ทำให้ดินยุบตัว ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดที่เมืองไทยบริเวณ ถ.สุขุมวิทของพัทยา เนื่องจากมีชั้นดินเป็นชั้นทราย และกรณีสุดท้าย คือชั้นใต้ดินมีชั้นเกลือ เมื่อชั้นเกลือละลายจะเกิดหลุมยุบ พบกรณีนี้แถวภาคอีสานของไทย เช่น จ.นครราชสีมา เป็นต้น

    จากการสันนิษฐานเบื้องต้น ผศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า กรณีดินยุบตัวที่กัวเตมาลาน่าจะเป็น 2 กรณีมากกว่า และไม่น่าจะเกิดจากชั้นเกลือใต้ดินถูกละลาย โดยดูจากสภาพธรณีคร่าวๆ และบริเวณที่เกิดยังมีภูเขาไฟระเบิดเยอะ บริเวณดังกล่าวจึงไม่น่าจะมีหินเกลือ (Rock salt) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดพร้อมๆ กับหินทราย (Sand stone) ในยุคมีโซโซอิค (Mesozoic) แต่จะพบในจีน สหรัฐฯ หรือ จ.นครราชสีมาของไทยมากกว่า

    อย่างไรก็ดี นักธรณีวิทยาของไทยให้น้ำหนักการเกิดดินยุบตัวครั้งนี้กับข้อสันนิษฐานว่า เกิดจากชั้นหินปูนถูกละลายมากกว่า อีกทั้งบริเวณดังกล่าวยังเคยเกิดหลุมยุบมาแล้ว และจากการพิจารณาภาพหลุมยุบผ่านสื่อพบว่ามีชั้นดินปิดทับอยู่ประมาณ 10 เมตร และชั้นหินไม่เก่ามากซึ่งกำลังตรวจสอบว่าเป็นชั้นหินปูนหรือไม่ พร้อมๆ กับการค้นหาแผ่นที่ทางธรณีวิทยาซึ่งจะบอกได้ชัดเจนขึ้นว่าเกิดการยุบตัวจาก ชั้นหินปูนหรือไม่ แต่การตรวจสอบที่ชัดเจนจริงๆ ต้องลงไปสำรวจยังพื้นที่เกิดเหตุ

    สำหรับหลุมยุบที่เกิดขึ้นนี้ ผศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า มีโอกาสขยายวงยุบตัวเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากธารน้ำใต้ดิน และการที่ฝนตกหนักจะยิ่งเสริมให้ดินยุบตัวได้มากขึ้น เนื่องจากชั้นดินอุ้มน้ำมากทำให้น้ำหนักเพิ่มและถล่มลง โดยส่วนใหญ่น้ำมักเป็นตัวเร่งให้เกิดหลุมยุบ และหลุมยุบทุกกรณีเกิดจากฝนตกหนัก ยกเว้นหลุมยุบจากการพุ่งชนของอุกกาบาตซึ่งเป็นหลุมยุบอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ มีน้ำมาเกี่ยวข้อง ในกรณีของอุกกาบาตนั้นทำให้เกิดหลุมยุบที่สหรัฐฯ กว้างถึง 2 ตารางกิโลเมตร

    ทั้งนี้ 80-90% ของหลุมยุบมักเกิดจากชั้นหินปูน โดยลักษณะของหลุมยุบมักเป็นวงกลมแต่ไม่แน่นอนเสมอไป และ ผศ.ดร.ธนวัฒน์ ระบุด้วยว่า การสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ ควรต้องตรวจสอบด้วยว่า ตั้งอยู่บนพื้นดินที่มีชั้นหินปูนอยู่หรือไม่ ซึ่งเมืองไทยมีแผ่นที่ธรณีวิทยาที่ระบุว่าบริเวณใดบ้างมีชั้นหินปูน สำหรับการตรวจสอบชั้นหินปูนนั้นทำได้ด้วยเทคนิคทางธรณีฟิสิกส์ ด้วยการยิงกระแสไฟฟ้าลงดิน หากกระแสไฟฟ้าผ่านไม่ได้แสดงว่าชั้นใต้ดินมีโพลงอยู่
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ศรีสะเกษ-ห้วยสำราญเส้นเลือดใหญ่แห้งขอด

    [​IMG]

    ห้วยสำราญเส้นเลือดใหญ่ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ แห้งขอด เห็นทรายใต้ลำห้วยโผล่เป็นทางยาวหลายกิโลเมตร การประปาเตือนประชาชนให้ใช้น้ำอย่างประหยัด

    ที่บริเวณสะพานขาว ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำในลำห้วยสำราญไหลจากเทือกเขาพนมดงรัก ก่อนไหลผ่านกลางเมืองศรีสะเกษ พบว่าขณะนี้ระดับน้ำในลำห้วยแห้งขอด จนเห็นพื้นทรายโผล่เป็นทางยาวหลายกิโลเมตร มีเพียงน้ำให้เห็นเป็นหย่อมๆ เท่านั้น ขณะที่บ้านเรือนของชาวบ้านที่ตั้งอยู่ริมลำห้วยเริ่มขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินต่ำลงมาก ไม่สามารถขุดเจาะขึ้นมาใช้ได้

    นางสำราญ ชินวงศ์ อายุ 62 ปี ชาวอำเภอยางชุมน้อย กล่าวว่า ระดับน้ำในลำห้วยสำราญเริ่มแห้งขอดตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาถึงวันนี้น้ำยังแห้งขอดลงมาเรื่อยๆ ทำให้ชาวบ้านริมห้วยได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ และหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คงขาดแคลนน้ำอย่างแน่นอน

    ทางด้าน นางอนันต์พร รัตนคูหะ รักษาการผู้จัดการสำนักงานประปาศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้น้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปายังคงพอใช้ได้ แต่หากฝนไม่ตกหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานหลายเดือนอาจทำให้น้ำดิบที่จะใช้ผลิตน้ำประปาไม่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ประปาศรีสะเกษใช้แหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาจากแม่น้ำมูล แต่อย่างไรก็ตาม ฝากเตือนชาวศรีสะเกษว่าให้ใช้น้ำอย่างประหยัด โดยน้ำที่ใช้แล้วให้นำไปรดต้นไม้

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันพฤหัสบดี ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

    ที่มา http://www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ความรู้เพิ่มเติมที่ผมไปหาจากเว็ปนี้แหละครับเอามาให้อ่านดู

    กรณีศึกษาจากจีน อ้างอิงข้อมูลมาค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณ


    จีนกับแผ่นดินไหว (14 เมย.53)



    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT>​
    [​IMG]





    6.9 ริคเตอร์เจ็บกว่าหมื่นเสียหายกว้าง

    แผ่นดินไหว 6.9 ริคเตอร์ ในมณฑลชิงไห่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ติดกับเขตปกครองตนเองทิเบต เมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา ได้รับรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้ว 400 ศพ บาดเจ็บอีกกว่าหมื่นคน เผยความเสียหายกินอาณาบริเวณกว้าง ขณะที่ทางการระดมกำลังทหารเข้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบ ภัยแล้ว

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจาก กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่า สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐแจ้งว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.49 น. เช้าวันพุธตามเวลาท้องถิ่น หรือ 06.49 น. เช้าวันเดียวกันตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.9 ริคเตอร์

    โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 46 กม. และอยู่ห่าง 380 กม.ทางทิศใต้ถึงตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองโกลมุด ในเขตมณฑลชิงไห่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน และติดกับเขตปกครองตนเองทิเบต

    อย่างไรก็ตาม สำนักงานตรวจวัดแผ่นดินไหวของจีน ระบุว่า แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งนี้วัดได้ 7.1 ริคเตอร์ และ ยังสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง เช่นรอยร้าวกับตัว เขื่อนด้วย

    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนว่า บ้านเรือนราษฎรที่สร้างจากอิฐและไม้ได้รับความเสียหายพังถล่มลงมา เพราะอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว

    โดยเฉพาะที่เมืองจี้กู คิดเป็นตัวเลขประมาณร้อยละ 85 ของบ้านเรือนราษฎรที่พังถล่มลงมา อาคารใหญ่ เช่น โรงแรมยูซู สูง 4 ชั้นมีรอยร้าวเกิดขึ้น และโรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งพังถล่มลงมา

    มีเด็กนักเรียนติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ส่วนสถานีโทรทัศน์ซีทีทีวี ของทางการจีน รายงานการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่หน่วยสถานการณ์ฉุกเฉินของมณฑลชิงไห่ว่า ได้รับรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้ว อย่างน้อย 400 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 10,000 คน

    โฆษกหน่วยสถานการณ์ฉุกเฉินของมณฑลชิงไห่ แถลงว่า กำลังทหาร 700 คน ได้รับคำสั่งให้เดินทางมาช่วยเหลือในปฏิบัติการกู้ภัย เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังแล้ว และจะเสริมกำลังทหารอีก 1,000 คน

    แต่ก็มีอุปสรรคตรงที่ยังขาดอุปกรณ์การขุด รวมถึงเครื่องเวชภัณฑ์ นอกจากนั้น ความเสียหายที่เกิดกับระบบสาธารณูปโภคเช่น ถนนหนทาง ซึ่งถูกดินถล่มลงมาปิดเส้นทาง กลายเป็นอุปสรรคอีกเช่นกัน สำหรับการจัดส่งความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย

    โดยทางกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนแจ้ง ว่า เตรียมส่งเต็นท์ 5,000 หลัง ผ้าห่ม 50,000 ผืน และ ผ้าปูนอน 50,000 ผืนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย

    สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐระบุด้วยว่า เกิดอาฟเตอร์ช็อกหรือแรงสั่นสะเทือน ตามหลังแผ่นดินไหวหลายครั้งในพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรงของมณฑลชิงไห่ วัดแรงสั่นสะเทือนสูงสุดได้ที่ 5.8 ริค เตอร์ แรงสั่นสะเทือนยังรับรู้ได้ในพื้นที่ใกล้เคียง

    อาทิ เขตปกครองตนเองทิเบต เจ้าหน้าที่ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวของจีนในกรุงปักกิ่ง เกรงว่าจะมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในช่วงหนึ่งถึงสองวันนี้

    ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อไปยังรัฐบาลท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และ สนามบินในเขตยูซูของมณฑลชิงไห่ ใกล้กับศูนย์กลางแผ่นดินไหว แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งทางสื่อมวลชนของจีนแจ้งว่า การสื่อสารกับสนามบินถูกตัดขาด และเส้นทางสัญจรทางบกไปยังสนามบินก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน

    เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ในเขตพื้นที่ของเมืองโกลมุด เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.2 ริคเตอร์ ยังผลให้มีบ้านเรือนราษฎรพังถล่ม 30 หลังคาเรือน แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

    แต่ที่รุนแรงที่สุด เป็น แผ่นดินไหว 8.0 ริคเตอร์ เมื่อเดือน พ.ค. 2551 ที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิตและสูญหายรวมแล้ว 87,000 คน

    [​IMG]







    โดย 10 วัน ก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ในจีนเมื่อปี 2551 มีสัญญาณจากธรรมชาติหลายอย่างด้วยกันคือ


    1. เกิดหนองน้ำใหม่




    [​IMG]



    [​IMG]


    หนองน้ำประหลาด ? ก่อนหน้าเกิดเหตุแผ่นดินไหว 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันในเขต Enshi ห่างจากเมือง Wuhan ประมาณ 400 โล ชาวบ้านรายงานไปยังหนังสือพิมพ์ว่า อยู่ๆ วันหนึ่ง ตื่นมาตอนเช้าก็พบหนองน้ำประหลาด ไม่รู้ใครมาขุดตั้งแต่เมื่อไหร่

    เพียงแต่ช่วงบ่ายๆ ก่อนหน้าวันนั้น ชาวบ้านได้ยินเสียงครืนๆ แปลกๆ อยู่รอบๆ หมู่บ้าน สัก 4 ชั่วโมงได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งมาเจอบ่อที่ค่อยๆ มีน้ำผุดขึ้นมาเรื่อยๆ และจุได้ถึง 80,000 ตันเลยทีเดียว

    เมื่อถ่ายรูปหนองน้ำที่ยังแห้งผากลงข่าวในหนังสือพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วันถัดมา นักวิจัยที่กลับมาสำรวจก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าน้ำเต็มบ่อ แถมยังมีปลาตัวใหญ่เบ้อเร่อให้ชาวนาได้จับไว้กินอีกด้วย


    2.


    [​IMG]


    เมื่อสัตว์เคลื่อนทัพ ? หลายวันก่อนแผ่นดินไหว บริเวณที่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 60 ไมล์ มีคนตื่นตะลึงกับจำนวนผีเสื้อนับล้านตัว ที่พากันบินว่อน เกาะกลุ่มเคลื่อนทัพราวกับว่าจะย้ายที่อยู่อาศัยไปไหนก็ไม่รู้

    หลายวันถัดมา คือ วันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก่อนหน้าเกิดเหตุ 4 วัน ในมลฑล Jiangsu ก็พบฝูงกบนับพัน พากันออกจากทุ่งนามาข้ามถนนอย่างไม่กลัวตาย

    ในข่าวบอกว่าหลังจากบันทึกภาพไว้แล้ว พวกมันก็โดนรถทับเละ ไม่รู้ว่ามีกี่ตัวที่อพยพได้สำเร็จ (รูป) กบนับหมื่นตัวพากันข้ามถนนในจีน ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว 2 วัน


    3. แพนด้าไดเอท



    [​IMG]

    ภาพหมีแพนด้าที่ถูกบันทึกว่ามีท่าทีเศร้าสร้อยและไม่ยอมกินไม้ไผ่อาหารโปรด


    4.

    [​IMG]

    ภาพกบสามตัวที่เกาะกันแน่นไม่ยอมปล่อย รอดชีวิตอยู่ภายใต้เศษหินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว


    5. เมฆแผ่นดินไหว

    [​IMG]

    เรื่องเมฆแผ่นดินไหว ตามทฤษฎีของ Zhonghao Shou นักเคมีชาวจีนที่ศึกษามานานมาก จนยืนยันว่า 70% ของก้อนเมฆที่ถ่ายรูปไว้ มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามมา

    ในเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน มีนักถ่ายภาพคนหนึ่งถ่ายรูปเมฆเอาไว้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก็คือ 2 วันก่อนแผ่นดินไหว ในบริเวณ Linyi มณฑฉาตง (Shandong)

    [​IMG]




    จากนั้นเขาเอาภาพเหล่านี้ไปแปะไว้ในเวบไซต์ http://www.daqi.com
    และวิเคราะห์กันว่า เมฆประเภทคลื่นนี้ เป็นเมฆแผ่นดินไหวที่ชัดเจนที่สุดภาพหนึ่งทีเดียว มันมีลักษณะการเรียงตัวเป็นคลื่นและมีเส้นแสงบนเมฆ

    [​IMG]

    นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์แสงรุ้งบนก้อนเมฆ หรือ “เมฆเรืองแสง” ที่มณฑลชานซี ที่ฮือฮาในข่าวอยู่หลายวัน ซึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้า 30 นาทีถึง 10 นาทีก่อนเกิดเหตุ ตอนนี้ 200 กว่าเวบไซต์มีการพูดคุยเรื่องลางสังหรณ์เหล่านี้ทั้งอย่างวิเคราะห์

    และบางคนเชื่อว่า นี่คือลางบอกเหตุที่ชัดเจนมากๆ และบอกด้วยว่า ในช่วงหลายวันก่อนเกิดเหตุนั้น นาย Li Shihui นักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ทำนายและตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ในเวบบล็อกของเขาว่า น่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในสเกลที่ใหญ่ว่า 7.0 ริกเตอร์เป็นแน่แท้ จึงมีการเตือนให้รับมือครั้งใหญ่ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครสนใจมากนัก


    [​IMG]



    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=5&contentID=60057

    http://atcloud.com/stories/30113

    [​IMG]
     
  8. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    [​IMG] [​IMG]
     
  9. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ปรากฎการณ์เมฆสีรุ้ง เมืองไทยวันนี้ ใครได้ดูบ้าง<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->สวยมากๆเลย เหมือน id4 ว่าแต่ เห็นว่าเมฆสีแบบนี้ มันเป็นปรากฎการณ์แปลกๆที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ก่อนเกิดเหตุร้ายรึป่าว?

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
    copy มาจาก http://palungjit.org/threads/ปรากฎการณ์เมฆสีรุ้ง-เมืองไทยวันนี้-ใครได้ดูบ้าง.242227/
     
  10. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ชาวปากเมงเชื่อเป็นสัญญาณเกิดสึนามิ หลังพบแมงกระพรุนตายเกลื่อนชายหาด
    [​IMG]
    [​IMG]

    ชาวบ้าน ผู้ประกอบการร้านอาหาร นักท่องเที่ยว แตกตื่นปรากฏการณ์แมงกะพรุนในท้องทะเลตรัง ถูกคลื่นซัดตายเกลื่อนชายหาดปากเมง ชาวบ้านเชื่อเป็นสัญญาณเกิดสึนามิ ยอมรับแปลกใจไม่เคยเจอ ถึงมีแต่ก็น้อย ขณะที่รองอธิการบดี มทร.ตรัง ระบุอุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลง อาหารเป็นพิษ มรสุม ทำแมงกะพรุนตาย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบเร็วๆ นี้

    เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 2 มิ.ย.ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ได้เกิดปรากฏการณ์แมงกะพรุนจำนวนมากในท้องทะเลตรัง ถูกคลื่นซัดลอยตายเกยตื้นชายหาดปากเมง หมู่ 4 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ

    เมื่อไปถึงพบแมงกะพรุนทั้งตัวขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตายเกยตื้นจำนวนมาก และในทะเลมีคลื่นลมแรงสูง 1-<METRICCONVERTER w:st="on" productid="2 เมตร">2 เมตร</METRICCONVERTER> จากการสอบถาม น.ส.
    สุภาพร อ่อนชุลี</PERSONNAME> อายุ 28 ปี ผู้ประกอบการร้านอาหารชายหาดปากเมง บอกว่า รู้สึกแปลกใจกับปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างมาก เพราะทุกปีที่ผ่านมาจะมีแมงกะพรุนถูกคลื่นซัดมาตายเกยตื้นที่ชายหาดดังกล่าวบ้าง แต่ก็ไม่มากเหมือนเช่นในปีนี้


    ทำให้ทั้งชาวบ้าน ผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้า ที่อยู่บริเวณชายหาดปากเมง ต่างวิตกกังวลว่า การที่มีแมงกะพรุนตายเป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิซ้ำรอยอีกรอบหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ประกาศแจ้งเตือนการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ และต่อมาได้ประกาศยกเลิกไปในวันเดียวกัน

    ทั้งนี้จากความกังวลดังกล่าว ยิ่งทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่มั่นใจในระบบการแจ้งเตือนภัยของทางราชการที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะสามารถแจ้งเตือนภัยได้ทันท่วงทีหรือไม่ โดยในระหว่างช่วงนี้ชาวบ้านจะไม่รอให้ทางการประกาศแจ้งเตือน ต่างเตรียมที่จะอพยพไปหาที่อยู่ปลอดภัย เพราะถ้าหากมัวรอให้ทางการแจ้งเตือนก็จะไม่ทันการณ์ อย่างไรก็ตามอยากจะให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุการตายของแมงกะพรุนในทะเลตรัง เพื่อคลายความวิตกกังวลและความตื่นตระหนกตกใจแก่ชาวบ้าน เพราะขณะนี้กระแสข่าวลือเรื่องการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิมีมาอย่างต่อเนื่อง

    ขณะที่นาย
    จิโรจน์ พีระเกียรติขจร</PERSONNAME> รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง (มทร.ตรัง) นักวิชาการ กล่าวถึงสาเหตุการตายของแมงกะพรุนในท้องทะเลว่า มีอยู่ 2-3 สาเหตุด้วยกัน โดยประการแรกคือ อุณหภูมิของน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะโดยปกติอุณหภูมิของน้ำในทะเลจะอยู่ที่ระดับ 28-<METRICCONVERTER w:st="on" productid="29 องศาเซลเซียส">29 องศาเซลเซียส</METRICCONVERTER> แต่ปรากฏว่าขณะนี้อุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นถึง <METRICCONVERTER w:st="on" productid="31 องศาเซลเซียส">31 องศาเซลเซียส</METRICCONVERTER> มีผลทำให้แมงกะพรุนอ่อนแอ ประการที่สองเรื่องของอาหารที่แมงกะพรุนกินเข้าไป และสาม การเกิดมรสุม


    แต่ทั้งนี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เมื่ออุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแพลงตอนจำพวกไดโนแฟคเจอร์เรท หรือที่เรียกกันว่า ขี้ปลาวาฬ ซึ่งแพลงตอนจำพวกนี้จะมีสารพิษอยู่ในตัว หากแมงกะพรุน ปะการัง หรือสัตว์ทะเลชนิดอื่นกินเข้าไปก็จะเป็นอันตรายและตายในที่สุด และนอกจากอุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยังส่งผลให้แมงกะพรุนอ่อนแอและมีโอกาสรับสารพิษตัวนี้เข้าไปได้ง่าย

    รองอธิการบดี มทร.ตรัง กล่าวต่อไปว่า โดยปกติแล้วแมงกะพรุนเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนฤดูกาลมักจะตายเป็นประจำทุกปี แต่ไม่มากเหมือนเช่นปีนี้ ส่วนการที่ชาวบ้านกังวลว่าจะเกิดคลื่นยักษ์สึนามินั้น ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามตนจะส่งอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาขาสิ่งแวดล้อมของ มทร.ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของแมงกะพรุนต่อไป เพื่อคลายความตื่นตระหนกตกใจของชาวบ้าน และตรวจสอบว่าสารพิษในท้องทะเลตรัง ที่เกิดจากแพลงตอนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำชนิดอื่นรวมทั้งสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในท้องทะเลตรังมากน้อยแค่ไหน copy จาก
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    คำแจ้งเตือนวันชำระล้างโลก (พ.ศ.2549-2562)
    จากหลวงปู่เทพโลกอุดร แจ้งไว้แก่ หลวงปู่ภารตะฤาษี (บัวขาว)

    [​IMG]
    หลวงปู่เทพโลกอุดร

    ขอยกกลอน สอนใจ ในยามยาก ช่วงลำบาก ไว้เป็น อุทาหรณ์
    โลกทั้งโลก กำลัง จะสั่นคลอน เพื่อสะท้อน ผลกรรม คนทำมา
    จากวันนี้ ต่อไป ภายภาคหน้า ในไม่ช้า วิบากกรรม วิ่งเข้าหา
    ให้โหยหวน คร่ำครวญ แสนเวทนา คนทั่วหล้า ต่างล้มหาย ตายเป็นเบือ

    หากไม่เชื่อ ให้เผ้าดู จะรู้สึก ต้องสะอึก เมื่อไม่มี สิ่งใดเหลือ
    ทุกวันนี้ มีใช้ อย่างเหลือเพือ จะไม่เหลือ ให้ใช้ ในบัดดล
    คนหลายคน วกวน เพื่อเสพสุข ไม่เคยทุกข์ ร้อนใจ ให้ขัดสน
    เฝ้าเอาเปรียบ เบียดเบียน หมู่ผู้คน ไม่เคยสน เวรกรรม มันมีจริง

    ไม่ว่าใคร ใดใด ในโลกนี้ ชั่วหรือดี ทุกเยาว์วัย ชายหรือหญิง
    สัจธรรม เท่านั้น คือความจริง ทุกสรรพสิ่ง หนีไม่พ้น ผลของกรรม
    คนคิดดี ทำดี ย่อมมีสุข พ้นกองทุกข์ ชีวี ไม่แปรผัน
    พาพ้นทุกข์ สิ้นวิบัติ ในฉับพลัน บุญเท่านั้น ที่หนุนนำ คนทำดี

    ผิดกับคน ที่ทำผิด และทำพลาด ต้องถึงฆาต บาปกรรม ซ้ำเป็นผี
    ครั้งอยู่ดี มีสุข ไม่ใฝ่ดี พอจะม้วย ชีวี แล้วใฝ่บุญ
    กุศลหนุน บุญใด ไหนจะช่วย มีแต่ซวย เท่านั้น ที่เกื้อหนุน
    เกิดเป็นคน ไม่เคยคิด ตอบแทนคุณ จะเอาบุญ ที่ไหน มานำพา

    อีกไม่นาน ก็ถึง กึ่งพุทธะ เป็นจังหวะ รอยต่อ ศาสนา
    สิ่งทุกสิ่ง ย้อนกลับ สู่เวลา ทรัพย์ไร้ค่า คนยึดจิต อภิญญา
    ถิ่นกาขาว ยาวนาน จะผันผ่าน พระศรีอารย์ อริยะเมตไตร เข้ามาหา
    ศรีวิไล ใฝ่ธรรม ทุกเวลา เทวดา ปกป้อง ตลอดกาล

    อยากอยู่ดี มีสุข ถึงยุคนั้น ต้องช่วยกัน สร้างกรรมดี ไว้สืบสาน
    ภัยวิบัติ โลกสลาย อีกไม่นาน สิ้นคนพาล เหลือคนดี ไม่กี่คน
    คำยืนยัน ปู่ฤาษี ภารตะ ให้สละ อย่ายึดมั่น อย่าสับสน
    ให้รู้ไว้ ภัยจะถึง ทุกตัวตน ให้ทุกคน หลบลี้ หนีออกมา

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะบังเกิด จำไว้เถิด จะสิ้นยุค กลุ่มเศรษฐี
    ที่คดโกง ฉกฉวย จนได้ดี จะสิ้นที หมดท่า พาตรอมตรม
    บาปและกรรม ตามซ้ำ ไม่ย่อหย่อน กินหรือนอน เดินนั่ง ช่างขื่นขม
    ถึงรวยทรัพย์ เคยยิ่งใหญ่ ยิ่งระทม ก็จะล้ม จมดิ้น สิ้นกันไป

    จากสี่เก้า เข้าถึง ปีหกสอง ฟ้าจะร้อง คำราม สุดหวั่นไหว
    ธรณี จะโกรธ เป็นพื้นไฟ พระพรายไซร์ จะถามโถม โจมดีเรา
    พระคงคา จะไหลบ่า หุ้มเปลือกโลก ดาวนอกโลก พุ่งชน คนอับเฉา
    ให้รีบลุก และตื่น เถิดพวกเรา รีบเดินหน้า ถึงธรรม ค้ำชีวา

    ภาคกลางหนึ่ง ใต้หนึ่ง พีงจำไว้ จมอยู่ใต้ คงคา แน่นักหนา
    ผืนแผ่นดิน คลุมด้วยน้ำ สุดลูกตา ชาวประชา ไร้แผ่นดิน สิ้นชีพวาย
    เหนืออีสาน ตอนล่าง ต่างรันทด แผ่นดินลด หดหู่ ไม่รู้หาย
    เหลือก็น้อย คนบุญ ที่รอดตาย นอกนั้นไซร์ ไร้ชีวิต วิบัติภัย

    บนท้องฟ้า มืดมน ฝนห่าใหญ่ ห่อหุ้มไว้ เจ็ดราตรี อรุณฉาย
    สัตว์เล็กใหญ่ ดับดิ้น แทบวอดวาย ที่ไม่ตาย กลายมีพิษ ปลิดชีพกัน
    พายุลม สลาตัน นับว่าร้าย ก็ไม่ว่าย ต้องแพ้ ลมกรรมหันต์
    ฝนที่ไหน พัดที่ใด ตายฉับพลัน ไม่มีควัน มีแต่พิษ ชีวิตวอดวาย

    พลังจากนั้น คนที่เหลือ จะแปรเปลี่ยน บำเพ็ญเพียร ภาวนา ไม่ขาดสาย
    ทุกข์และโศก โลกมนุษย์ จะผ่อนคลาย ศรีอริยะเมตไตร จะบรรเจิด เกิดขึ้นพลัน
    สร้างมนุษย์ สร้างโลก ให้ผุดผ่อง ตามครรลอง ศรีวิไล ให้เฉิดฉันท์
    สิ้นทุกข์โศก โรคภัย ไม่โรมรัน จิตเท่านั้น ที่วัดใจ ให้อยู่ยืน

    ทรัพย์เงินทอง ก่ายกอง เต็มไปหมด ช่างรันทด ไม่มีค่า เท่าผ้าผืน
    สิ่งที่หา และใฝ่ ทุกวันคืน ที่ยั่งยืน คือจิต ผ่องอำไพ
    อาศัยกรรม ทำดี ช่วยชูค้ำ ให้ได้นำ สู่ภิญญา น่าสดใส
    ทั้งอิ่มเอิบ อิ่มกาย อิ่มจิตใจ พระยาธรรม นั่นไซร์ คือกฏเกณฑ์

    หากไม่เชื่อ สิ่งที่กล่าว ชาวโลกเอย จำไว้เลย นี่คือแท้ แน่นักหนา
    เฝ้าติดตาม การเปลี่ยนแปลง ทุกเวลา จะรู้ว่า เริ่มตั้งเค้า เข้าสู่กาล
    พายุโหม น้ำท่วม แผ่นดินไหว โลกทั้งใบ ไม่แน่น ไร้แก่นสาร
    ธาตุดินน้ำ ลมไฟ ถูกรุกราน จากวิญญาน กาลอดีต กรีดทำลาย

    คนทั่วโลก จะพบ ภัยพิบัติ สารพัด ปัญหา ให้แก้ไข
    ทั้งเรื่องโลก เรื่องคน จนวุ่นวาย แก้อย่างไร ก็ไร้ค่า พาล้มครืน
    เป็นด้วยเหตุ อาเพศ โลกใบนี้ ถูกย่ำยี จากมนุษย์ สุดทนฝืน
    มุ่งทำลาย ล้างผลาญ ทุกค่ำคืน ไม่อาจฝืน ขืนปล่อยไว้ ใจโลกตรม

    ****************************************************
    มอบให้เหล่าท่านทั้งหลายได้พิจารณา เห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ด้วยสติปัญญาของตนเอง จากหลวงปู่ ภารตะ ฤาษี (บัวขาว)

    ที่มา
    Buddhakhun.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_30245.jpg
      ID_30245.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      10,156
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    จากสี่เก้า เข้าถึง ปีหกสอง

    [​IMG]

    สัญญาณจากจักรวาล “วิกฤติมหันตภัยล้างโลก" โดย Dr.G.G.Junior


    มหันตภัยล้างโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่เกินอีก ๑๒ ปีข้างหน้าเป็นการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่

    ปัจจุบันนี้ ความเคลื่อนไหวของผิวเปลือกโลกแสดงการมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมฝนแล้ง พายุหิมะ ลมพายุ พายุฝน ไฟป่า สึนามิ และภัยพิบัติอื่นๆ นี่คือสัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกถึงความไม่สมดุลของวัตถุโลกและพลังงาน มนุษย์ยังไม่สนใจ เพราะจิตถูกใจที่ครอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความรุนแรงของภัยทั้งหลายทวีความรุนแรงขึ้นในทุกขณะ และในที่สุดมหันตภัยล้างโลกก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอัตราเร่งอย่างรวดเร็ว ตามกิจกรรมมนุษย์ที่ทำลายสมดุลแห่งธรรมชาตินั่นเอง

    อาการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่เคลื่อนเข้าใกล้ของมหันตภัยนั้น เริ่มจากหลายร้อยพันล้านปี จากการที่มนุษย์สร้างพลังงานเสียต่อสภาวะแวดล้อมเพิ่มขึ้น และต่อเนื่อง ผลทำให้เกิดความไม่สมดุลขนาดหนัก เกิดขึ้นอย่างแสนสาหัสในขณะนี้ ความเลวร้ายที่มนุษย์ยัดเยียดให้กับโลก จนต้องสูญเสียสนามแม่เหล็กที่สมดุลไป การล้างโลกจึงบังเกิดขึ้นแล้วด้วยการเคลื่อนโดยที่มีอัตราเร่ง เริ่มที่ 5,000 ปี (ตามพุทธกาล)

    ที่ พ.ศ. 2500 เริ่มปรากฏความไม่สมดุลทั้งวัตถุและจิตของมนุษย์ รวมทั้งสัตว์ทั้งหลายดุร้ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี พ.ศ. 2500-2547 มนุษย์ทำลายธรรมชาติมาก จนกระทั่งมีผลให้ใน พ.ศ. 2547 เกิดการเร่งเวลาของมหันตภัยล้างโลกให้เคลื่อนเข้ามาเหลือเพียง 48 ปี และเหลือเพียง 24 ปี

    เมื่อถึงปี พ.ศ. 2549 สุดท้ายวันนี้ คือ วันที่ 30 มกราคม 2550 สัญญาณจากจักรวาลบอกเราว่า เป็นการเริ่มนับเวลาจากนี้ไป ที่มนุษย์จะพบภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น จนประสบมหันตภัยล้างโลกในที่สุด ในเวลาอีก 12 ปีข้างหน้า คือ ประมาณต้นถึงกลางปี พ.ศ. 2562

    มนุษย์ทั้งหลาย จงตื่นจากความโง่เขลา จงตื่นจากความเห็นแก่ตัว คิดแต่อยากได้ทรัพย์ หรือวัตถุ จนไม่รู้ว่าธรรมชาติจะเอาชีวิตไปในไม่ช้านี้แล้ว และพึงรักษาธรรมชาติให้สมดุล รักษาจิตให้บริสุทธิ์ร่วมกัน เพื่อลดความรุนแรงของมหันตภัย ให้เกิดน้อยลงมากที่สุด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของโลกในเวลานี้ ผู้นำประเทศทั้งหลาย หรือผู้ใดที่มุ่งหวังอำนาจ และกระหายสงคราม จงจำไว้ว่าผู้นำเหล่านั้น หรือผู้นั้นเป็นผู้ทำลายโลกที่ร้ายกาจ

    สภาพของการเกิดมหันตภัยในระยะเวลา 12 ปี สามารถแบ่งโดยความรุนแรงเป็น 3 ช่วงเวลา คือ

    1. ช่วงแรก เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2550-2551 ระยะเวลา 2 ปีแรก

    เกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ตามรอยต่อของแผ่นทวีปทั้งหมดที่แตกร้าวไปทั่วดาวดวงนี้ สัตว์ และมนุษย์มีวิธีทำร้ายกัน แบบดุร้ายป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้น สัตว์ขนาดเล็กเตรียมปรับตัวรับวิกฤติดังกล่าวแล้ว และเตรียมปรับตัวเพื่อทำลายล้างมวลมนุษย์อีกด้วย โดยการสะสมถ่ายทอดโรค ที่ร้ายแรงมากขึ้น นอกจากนั้นทั่วโลกยังเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงกว่าเดิม และเกิดอุบัติเหตุที่แปลกๆ

    โดยมนุษย์หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เช่น ระหว่างปีใหม่ ( พ.ศ. 2550) ที่ผ่านมาเครื่องบินภายในประเทศอินโดนีเซียสูญหายระหว่างบินอยู่เมืองสุราเว สี ไม่สามารถค้นพบได้จนบัดนี้ สาเหตุที่มนุษย์คาดไม่ถึง ก็คือ เกิดจุดตัดสนามแม่เหล็กโลก เกิดขึ้นบริเวณนั้นพอดี เนื่องจากความไม่สมดุล จึงดูดเอาเครื่องบินลำนี้ ออกนอกมิติของโลก เข้าสู่มิติมืดที่ว่างเปล่า

    หรือเป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์เข้าใจแล้วว่า เสมือนสามเหลี่ยมเมอมิวดา ในแกนกลางมหาสมุทร นั่นคือหลุมมิติในน้ำ แต่ที่จริงแล้ว ยังมีหลุมมิติในอากาศ (ที่เครื่องบินหายไปในช่องหลุมมิติ) และหลุมมิติบนพื้นโลก (ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเนื่องจากมิติซ้อนกันทำให้มองไม่เห็นกัน) เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสมองที่มีแต่ความอยาก และความต้องการในวัตถุทั้งหลาย

    2. ระยะที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2552-2556 ระยะเวลา 5 ปี

    โลกร้อนขึ้นด้วยอัตราเร่ง เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นมากกว่าเดิม และต่อเนื่องจนมนุษย์ทั้งโลกหวาดกลัว กลุ่มมนุษย์ที่มีจิตต่ำจะก่อกวนมนุษย์ด้วยความรุนแรงเหมือนไม่ใช่คน เกิดหลุมมิติมากมายเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อย่างที่มนุษย์คาดไม่ถึง มีการตายของมนุษย์เป็นกลุ่มใหญ่จำนวนมาก ด้วยอุบัติเหตุและภัยพิบัติ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย พื้นโลกบางส่วนยุบตัวลง เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด อากาศร้อนขึ้นอย่างมาก และอากาศหนาวก็มากขึ้นเช่นกันของแต่ละพื้นที่

    จะเริ่มมีพื้นที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์น้อยลง ความแห้งแล้งมากขึ้น น้ำในทะเลยกระดับสูงขึ้นจากสาเหตุการยุบตัวของโลก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และการนำน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้สมทบด้วยอีกแรงหนึ่ง เริ่มเกิดโรคระบาดจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่ผุดมาจากดินที่ไม่เคยมีมาก่อน เชื้อเหล่านี้ทนทานต่อการทำลาย เพราะปรับตัวจากที่ที่เย็นจัดหรือปรับตัวจากที่ที่ร้อนจัดจึงทนต่อสภาวะที่ เปลี่ยนไป

    3. ระยะที่ 3 ตั้งแต่ พ.ศ. 2557-2561 ระยะเวลา 5 ปี

    โลกร้อนขึ้นด้วยอัตราเร่ง พอที่จะละลายน้ำแข็งเกือบทั้งหมดของขั้วโลกทั้งสอง เกิดน้ำท่วมโลก โดยที่พื้นที่อาศัยของมนุษย์จะหายไปอย่างน้อยก็ 2 ใน 3 ส่วน ได้แก่ ที่ริมทะเลปากแม่น้ำ และที่ราบลุ่มต่างๆ คงเหลือพื้นที่ราบสูงพื้นที่บนภูเขา ซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับกับการเกษตรนัก จึงเกิดการขาดแคลนอาหาร เฉพาะพื้นที่ประเทศไทยนั้นเหลือเพียงภาคเหนือ ภาคอีสาน นอกจากนั้นที่เหลือก็มีสภาพเป็นเกาะแก่งเล็กๆ สรุปได้ดังนี้

    บนพื้นดินที่อยู่ตรงกลางทวีปทั้งหลาย ก็จะแห้งแล้งด้วยความร้อนจากใต้ผิวดินประทุขึ้นมา พื้นที่ที่อยู่ริมบริเวณชายฝั่ง หรือค่อนมาทางริมขอบทวีปทั้งหลาย ก็จะถูกน้ำทะเลกลืนกิน บางที่ก็จะยุบหายไป บางที่ก็จะถูกเหวี่ยงออกไปแยกตัวเป็นอิสระ มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ทั่วโลก มนุษย์จะเผชิญกับสภาพความแล้งจัด จนต้องอดตาย พบโรคใหม่กับสัตว์สายพันธุ์ดุร้าย และมีพิษ คร่าเอาชีวิตมนุษย์ทั่วไป ทั้งโลกนี้เช่นกัน จากความรู้ที่ได้รับคลื่นสัญญาณจากจักรวาลพอสรุปให้ได้ดังนี้

    เริ่มต้นขึ้นที่ขณะนี้มันเกิดอะไรขึ้น เวลานี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใครๆ ก็รับรู้ได้บ้างแล้วว่า ตกอยู่ในสภาวะโลกร้อน มีข่าวสารที่แสดงให้มนุษย์เห็นหลายรูปแบบ จากการเฝ้าสังเกตติดตามของมนุษย์ที่สนใจในสภาวะแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของโลก จะเห็นว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายลงมามากแล้ว ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะตั้งแต่หลังเกิดเหตุสึนามิเมื่อปลายปี 2547 หลังจากนั้นมา ความเปลี่ยนแปลงของโลกก็ได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

    มีเหตุการณ์การปรับตัวของโลก ตามจุดต่างๆ ไล่กันเรื่อยมาตลอดมา หลังเกิดสึนามิไม่นาน ก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ปากีสถาน ใหญ่มากถึงขนาดที่ ทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อน เป็นคล้ายระลอกคลื่น และหลังจากนั้นเกิดต่อเนื่องกันมา หนักบ้างเบาบ้างอีกหลายๆ ครั้ง หลายๆ ครา จนในที่สุด ถ้ามนุษย์ติดตามข่าวสารจะเห็นได้ว่า เวลานี้เกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในย่านภูมิภาคแถบที่เป็นรอยต่อรอยเลื่อนทวีป แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี่แหละเป็นเขตที่เกิดบ่อยที่สุด แทบจะทุกๆ 12 ชั่วโมง ก็คือ

    อาณาเขตของประเทศอินโดนีเซีย แถบทะเลมูรุกะ ตามมาด้วยอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ตามมาอย่างติดๆ นอกจากนั้น ก็เกิดขึ้นประปรายตามพื้นที่ต่างๆ ในดินแดนเหล่านี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า อยู่ใกล้น้ำอยู่ริมน้ำ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยต่อไปข้างหน้า จะเกิดภาวะล้างโลกในรูปแบบหนึ่ง มนุษย์ที่อยู่บนภาคพื้นทวีป ก็จะมองเห็นภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป

    อากาศทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ความหนาวเย็นที่ปรากฏ เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของความรู้ คือ การนำความร้อนไปใช้ละลายน้ำที่ขั้วโลก มนุษย์จงนึกถึงน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว ตัวน้ำแข็งก็คือน้ำแข็งที่อยู่ที่ขั้วโลก เมื่อนำเอาออกมาจากเครื่องทำความเย็น อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น น้ำแข็งละลายตัวน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว จะดึงเอาความร้อนรอบตัว มาใช้ในการละลาย น้ำที่เราใส่ไปในแก้วนั้น จึงมีความเย็นขึ้นมาในทันที ความเย็นนั้น ลามไปถึงตัวแก้วที่บรรจุอยู่ด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับภาวะที่มนุษย์เจอกันอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ ใครบอกว่าโลกร้อน หนาวจะตาย

    โดยแท้จริงแล้วอุณหภูมิของโลกโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่เรากำลังถูกดึงดูดเอาพลังงานความร้อนไปใช้ในการละลายน้ำแข็ง เหมือนเราเป็นน้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำแข็งนั้น และสภาวะรอบน้ำแข็งนั้นไม่ใช่ช่องแข็งเสียแล้ว มันกลายเป็นอุณหภูมิธรรมดา น้ำแข็งจึงกำลังละลาย ผู้ที่สังเกตเฝ้าติดตามอยู่ นักวิทยาศาสตร์บ้าง นักภูมิศาสตร์บ้างจะถ่ายทอดข้อมูลความรู้เหล่านี้ตามข่าวสารต่าง ๆ อยู่เป็นประจำว่า ชั้นน้ำแข็งที่ขั้วโลกมีขนาดบางลง มีหน่วยวัดมาตราเป็นแบบของมนุษย์ อาณาบริเวณขั้วน้ำแข็งของโลกก็หดเข้ามาจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

    ถ้ามนุษย์มีความรู้ ตรวจดูข่าวสารอยู่เป็นประจำ ก็จะพบได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เกินความเข้าใจของมนุษย์เลย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทางกายภาพ เห็นมั้ย มนุษย์ทั้งหลายมันปรากฏขึ้นแล้ว ภายหลังจากที่สัญญาณจากจักรวาลได้เตือนเจ้ามาไม่นานนี้ เมื่อความร้อนกับความเย็นกระทบกัน สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาวะภูมิอากาศที่แปรปรวน ความหนาวเย็นที่มาจากขั้วโลกถูกหอบมาด้วยลมที่พัดเข้าสู่ศูนย์กลางเส้น ศูนย์สูตร นำพาเอาลมเย็นมาจากทางเหนือ ระลอกแล้วระลอกเล่า

    เมื่อความเย็นกระทบกับความร้อนที่แถบบริเวณศูนย์สูตร ความรุนแรงของความร้อน และความเย็นที่ตัดกันทำให้เกิดพายุต่างๆ ลมมรสุมธรรมดาก็แปรสภาพกลายเป็นไต้ฝุ่น ลมมรสุมธรรมดาที่พัดเข้าหาฝั่ง ก็กลายสภาพเป็นคลื่นลมที่รุนแรง เกือบจะถึงขั้นสึนามิอยู่บ่อยๆ อย่างที่ประจักษ์แก่มนุษย์แล้ว แค่เพียงลมมรสุมที่เข้ามาธรรมดา ก็ทำลายชายฝั่งขอบหินถนนที่มนุษย์สร้างขั้น เอารถขนาดใหญ่รถบรรทุกสิบล้อวิ่งผ่านยังคงทนอยู่ได้

    เจ้าพายุเหล่านี้ มีความสามารถพัดสิ่งที่เจ้าคิดว่าแข็งแรงคงทนแข็งแรงนี้ ให้พังทลายได้ ความรุนแรงของธรรมชาติที่โอบล้อมตัวเราเหล่านี้มาจากอะไร ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ เห็นได้ชัดทีเดียวว่า มนุษย์นั้นหละตัวทำลาย มนุษย์เป็นผู้ทำให้โลกร้อน นี่พูดแบบอย่างมนุษย์พูดกัน มองเห็นได้ พิสูจน์ได้ จับต้องได้ก็พูดอย่างนี้ อธิบายให้มนุษย์ผู้เขลาฟังอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มหัศจรรย์เกินไป ให้มนุษย์เตรียมตัวเตรียมอย่างไร มนุษย์จะต้องรู้ว่า เมื่อเหตุมาอย่างนี้แล้ว ผลจะเป็นอย่างไร

    ต่อไปแผ่นทวีปที่เคลื่อนตัวก็ยังเคลื่อนตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ความร้อนภายใต้เปลือกโลก ยังดันขึ้นมาอยู่เสมอ หรือที่สุดของแรงบีบเค้นของเปลือกโลก มันอย่างนี้นะ ข้าไม่ได้สรรหาภาษาขึ้นมาเอง ข้าดึงเอาภาษาของมนุษย์มาใช้ มนุษย์เรียกมันว่า แรงเค้นของเปลือกโลก หมายถึง การชนกันและบีบอัดโดยน้ำหนักที่ทิ้งตัวและถ่วงลงไป เมื่อแรงเค้นบีบอัดจนเต็มที่แล้ว เกิดภาวะทำลาย จากแผ่นใหญ่เบียดอัดแผ่นเล็ก แตกออก หักออก

    การเหวี่ยงหมุนของโลกผิดปกติเนื่องจากแผ่นทวีปแต่ละแผ่นมิใช่ผืนเล็ก เป็นผืนใหญ่ทีเดียว การเคลื่อนน้ำหนักย้ายมวลจากองศาหนึ่งไปอีกองศาหนึ่ง ทำให้โลกมีแรงเหวี่ยงหมุนที่ผิดปกติไป แม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้สัณฐานโลกผิดรูปไปจากเดิม การหมุน คือ การทำให้ตัวเองคงสภาพ อยู่ในรูปทรงกลมแป้น การหมุนจึงจัดตัวเอง จัดน้ำหนัก จัดส่วนที่เป็นของเหลว กับส่วนที่เป็นของแข็ง เหมือนกับการที่เราเขย่าอะไรให้เข้าที่โดยการหมุน จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้น พื้นโลกบางส่วนที่บอบบางก็จะยุบลงไป

    พื้นโลกบางส่วนที่แข็งและเบียดกัน ก็จะดันขึ้นมากลายเป็นภูเขา น้ำก็จะท่วม ส่วนของพื้นดินที่ถูกดันเข้าไปสูง ผู้คนรอดตายจากการทำลายของน้ำ แต่ภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงความร้อนใต้พื้นผิวโลกปะทุขึ้นมา ความแห้งแล้งจึงเกิดขึ้น คนรอดตายอยู่บนที่สูงก็จะตายด้วยความอดยาก พืชพรรณธัญญาหารที่ถูกทำลายลง จะเพาะปลูกขึ้นมาอีกได้ยากหนักหนาด้วยความแห้งแล้งของผิวโลก

    คนที่อยู่ตามชายฝั่งก็จะตายด้วยน้ำที่โถมทับไม่ทันตั้งตัว บางส่วนอยู่บนพื้นแผ่นดินที่ยังทรุดลงไป ก็จะถูกกลืนกินด้วยธรณี มนุษย์ที่เหลืออยู่ ก็คือมนุษย์ที่มีแรงบุญกุศลที่นำพาให้ตัวเอง มีชีวิตอยู่ได้ในโลกยุคใหม่ โลกที่มีแผ่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากทีเดียว ประเทศต่าง ๆ จะต้องวาดแผ่นที่กันใหม่ วัดอาณาเขตกันใหม่ เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่

    มนุษย์เหล่านั้น อาจจะยังเหลือส่วนที่มีกรรมหนัก มีความหนักของจิตตกค้างอยู่ ยังไม่พอ การล้างโลกยังดำเนินการต่อไป ด้วยความผิดปกติของสารเคมีต่างๆ และสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนไป ทำให้สัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ตามแรงของสนามแม่เหล็กโลก พฤติกรรมของสัตว์ต่างๆ เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม สัตว์บางอย่างไม่เคยกินเนื้อ กินเลือด หันมากินเนื้อกินเลือด สัตว์บางชนิดได้รับสารเคมีที่ผิดปกติไป

    ทำให้เกิดพิษขึ้นในตัว สิ่งที่เห็นร้ายแรงที่มนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอยู่กับพวกมันให้อยู่รอดได้ ก็คือ แมลงตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงเป็นดุร้ายขึ้น ยุงก็จะนำพาเอาเชื้อโรคชนิดหนึ่งมาทำลายล้างมนุษย์ เมื่อกัด จะมีอาการตัวร้อน ร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ คนที่อ่อนแอจะตายภายใน 1 วัน อาการที่ปรากฏก็คือ เป็นไข้สูง ช็อก และหัวใจวายคนที่มีความแข็งแรง จะสามารถทนอยู่ได้ประมาณไม่เกิน 3 วัน

    ส่วนแมลงอีกชนิดหนึ่งที่มีพิษที่ต้องระวังมากๆ ก็คือ ตัวลิ้นทะเล ริ้นดำ หรือที่มนุษย์ทางภาคเหนือเรียกว่า ตัวคุ่น ตัวเล็กกัดแล้วจะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นที่ผิวหนัง ต่อไปก็จะลุกลามเข้าสู่น้ำเหลือง เลือด และเข้าสู่หัวใจได้เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ถูกกัดและมีอาการจนถึงเข้าสู่หัวใจจะใช้เวลา 7 วัน

    สิ่งที่ข้าเตือนสองอย่างนี้ คือ แมลงตัวนี้ กับยุง อย่าคิดว่าอีกนาน ขอให้รู้ไว้ว่า เวลานี้ ยุงได้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแล้ว เพียงแต่พิษยังไม่ร้ายแรงมากนักเท่านั้น แต่มันจะเปลี่ยนแปลงและสร้างตัวเองอย่างรวดเร็วทีเดียว ฉะนั้น เวลานี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ให้ระมัดระวังแมลง 2 ประเภทนี้ไว้ก่อน พิษเริ่มมากขึ้นกว่าปกติแล้ว อันนี้พิสูจน์ได้ เห็นได้

    สิ่งที่ควรจะบอกกับมนุษย์ก็คือ ให้มนุษย์รู้ว่าการกระทำใดๆ ก็ตาม เริ่มตั้งแต่ ความคิดไปจนถึงพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น ส่งผลในลักษณะพลังงานที่สะท้อนเชื่อมโยงกันไปทั้งหมด มนุษย์ควรรู้เรื่องกรรมดี เป็นกรรมเบาที่ช่วยปัดเป่าวิบากที่จะเกิดกับโลก อันเนื่องมาจากผลการกระทำของมนุษย์นั้น ให้เบาบางลงได้ และก็เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักสนามพลังแห่งมนุษยชาติ และร่วมกันอย่าได้ช้า สร้างสนามพลังงานที่ดีเพื่อลดวิบากของโลก

    สามารถบอกกับมนุษย์ได้ว่า วิบากที่เราสร้างขึ้นนั้น กี่ภพ กี่ชาติ เราไม่สามารถเรียบเรียงได้หมด การร่วมกันสวดมนต์นอกจากจะช่วยโลกได้ ยังช่วยตัวเองได้เป็นประการแรกด้วยซ้ำ การสวดมนต์และแผ่เมตตาออกไป จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับผลอันนั้น แล้วอโหสิกรรมให้กับเรา ลด ละ เลิกการจองเวรกับเรา ใครยิ่งมีทุกข์มากยิ่งสวดมาก ยิ่งดีขึ้นเร็ว แล้วก็เป็นผลดีกับโลกไปด้วย อันนี้สามารถเชิญชวนได้แบบนี้

    ใครอยากเห็นข้อพิสูจน์ให้เข้าไปดูข้อมูลที่ http://www.universal-signal.com หัวข้อ การร่วมสร้างสนามพลังแห่งธรรมชาติ และมีข่าววิกฤติการณ์ของโลก ซึ่งจะมีข่าวสารที่นำเสนอขึ้นไปตลอดเวลา การแสดงความคิดเห็นของบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถต่าง ๆ เราจะเอามาร่วมประชุมกันไว้ในเว็บไซต์นี้ โดยพวกเราจงช่วยกันหามาให้คนได้ขึ้นไปดู จะได้เห็นได้รู้ว่าโลกนี้ที่กว้างใหญ่เขารู้อะไรกันบ้างแล้ว

    มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยนั้นล้าหลังเพียงใด ตอนนี้ควรจะรับรู้และช่วยกันได้แล้ว นี่แหละวิธีการพูดของข้า..สัญญาณจากจักรวาล สอนเจ้าด้วยพลังแห่งธรรมชาติ... จงตื่นพัฒนาจิตตนและรักษาสมดุลธรรมชาติ... ก่อนที่เจ้าจะเหลือแต่จิตที่ขุ่นมัว


    หมายเหตุ

    วันพิพากษาโลก, วันชำระโลก, วันสิ้นยุคพลังงานเก่า, 56 วัน 7 ราตรี, เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันอันมืดมิด, โลกมืด 7 วัน 7 คืน, วันโลกาวินาศ, ฯลฯ

    ทั้งหมดนี้ก็หมายถึงสิ่งเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละศาสนา และวันเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ยังมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันอยู่มาก แต่ในความเชื่อส่วนตัวของผมแล้ว ยังเชื่อมั่นในพุทธทำนายว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ชำระโลกขั้นสุดท้ายในปีระกา ที่ได้บอกเอาไว้ว่าโลกมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน ในปี พ.ศ.2560-2561 ครับ -เกษม-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  13. กิตฺติคุโณ

    กิตฺติคุโณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +61
    เมฆสีรุ้ง ปีที่แล้วก็เกิดครับ 25/05/2009 แบบเดียวกับในภาพเลยครับ ไม่แน่ใจว่ามีเหตุการอะไรรึเปล่า
     
  14. doodee1

    doodee1 คนละพวก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7126 ข่าวสดรายวัน


    แจงอุโมงค์ลอดดินแดงเสียหาย สนน.ชี้ไฟม็อบเผา"ระบบไฟฟ้า-ระบายน้ำ"พัง



    นายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักการระบายน้ำ (สนน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนน.ได้ทำหนังสือไปถึงคณะผู้บริหารเพื่อขอจัดสรรงบประมาณเร่งด่วน จำนวน 4.9 ล้านบาท เพื่อนำมาซ่อมแซมตัวอาคารที่ควบคุมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และระบบระบายน้ำใต้ดินของอุโมงค์ทางลอดดินแดงเป็นการด่วน หลังจากถูกเพลิงเผาไหม้จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าตัวอาคารที่ตั้งอยู่บนอุโมงค์ทางลอดดินแดง ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ถูกไฟเผาจนไม่สามารถใช้การได้ ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าส่องสว่างภายในอุโมงค์ใช้การไม่ได้

    "ซึ่งในขณะนี้ทั้งสน.ท้องที่ รวมทั้งประชาชนที่ต้องสัญจรผ่านไปมา เริ่มมีการร้องเรียนกรณีระบบไฟฟ้าส่องสว่างภายในอุโมงค์เข้ามาบ้างแล้ว" นายสัญญากล่าว

    นายสัญญากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในส่วนของระบบระบายน้ำซึ่งอยู่ใต้ดิน ก็ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน เนื่องจากสายไฟของระบบระบายน้ำใต้พื้นถนนทำจากพลาสติก จึงส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ลามไปทั้งเส้น และทำให้เครื่องสูบน้ำ จำนวน 2 ตัว ไม่สามารถเดินเครื่องได้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดฝนตกหนักลงมา

    นายสัญญากล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางสนน.ได้ดำเนินการจัดซื้ออะไหล่มาติดตั้ง เพื่อให้ระบบต่างๆ สามารถเดินเครื่องได้เป็นการชั่วคราวไปก่อน ในส่วนของระบบระบายน้ำก็จะได้ต่อสายตรงกับเครื่องสูบน้ำในระบบแมนวล โดยจะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเป็นระยะๆ เพื่อใช้เป็นการชั่วคราวไปก่อนเช่นเดียวกัน

    นายสัญญากล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจความเสียหายอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์หรือชิ้นส่วนซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง

    บั้งไฟพญานาค

    ขนหัวลุก

    "ใบหนาด"



    "วิสา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมแม่น้ำโขง

    คิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" มาแล้วนะคะ ดูเหมือนว่าจะมีที่จังหวัดหนองคายแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ามีที่จังหวัดอื่นๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

    ลูกไฟที่โผล่จากแม่น้ำโขงตอนค่ำๆ เหมือนมีใครจุดพลุพุ่งวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า ทีละลูกสองลูก รวมแล้วก็หลายสิบลูกนั่นแหละค่ะ ที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค

    ที่น่าแปลกประหลาดสุดๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาเท่านั้น...เชื่อกันว่าพญานาคสำแดงอิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นการร่วมทำบุญร่วมกับชาวพุทธนั่นเอง

    เคยมีผู้กังขาทั้งไทยและเทศว่าคงจะไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์นอกเหนือธรรมชาติ แต่คงจะมีใครอุตริไปจุดพลุอยู่ใต้น้ำแน่ๆ จนมีการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจทั้งฝั่งไทยและลาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครแอบซุกซ่อนกระทำการที่ว่าแม้แต่คนเดียว

    ในที่สุดก็โมเมว่าคงเป็นก๊าซบางชนิดที่ก่อตัวเป็นแสงเรืองๆ ตามป่าดงที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นหญ้าเน่า รวมทั้งตามห้วยบึงต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นผีกระสือนั่นไงคะ!

    แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดีว่า เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงปรากฏในวันออกพรรษาตรงเผงทุกปี?

    ดิฉันคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องนี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาหยกๆ นี่ล่ะค่ะ

    ครอบครัวเราตัดสินใจหนีความวุ่นวายน่าปวดหัวในกรุงเทพฯ โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยวรายการ "อีสานเลาะโขง" กับชัยทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 15 เมษายน มีกำหนดการไปสู่เพชรบูรณ์, ด่านซ้ายและเชียงคาน จังหวัดเลย เลียบเลาะลำน้ำโขงเรื่อยไปถึงอำเภอปากชม อำเภอสังคม เข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ หนองคาย แล้ววกไปนครพนม, มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก่อนเดินทางกลับผ่านสุรินทร์และนครราชสีมา

    วันที่ 11 เมษายน นั่นเองที่เราเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ แวะชมวัดพัฒนาตัวอย่างอยู่ติดกับริมแม่น้ำโขง มีทัศนีย ภาพสวยงามมาก

    นั่นคือวัดหินหมากเป้งอันมีชื่อเสียงเพราะเป็นวัดของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือ "หลวงปู่เทศก์" ที่เราๆท่านๆ ย่อมจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงท่านเป็นอย่างดี

    เมื่อลงจากบันไดหินลงไปสู่ลานวัดก็คลายร้อน เพราะร่มรื่นด้วยกิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่ มีพระกำลังกวาดใบไม้แห้งบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เข้าไปนมัสการท่านก็ได้รับความรู้น่าประหลาดใจ...วัดใหญ่โตแต่มีภิกษุอยู่เพียง 7 รูปเท่านั้นเอง

    ลูกสาวดิฉันจูงมือพ่อแม่วิ่งเข้าไปในศาลาริมแม่น้ำ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็กระจายกันไปถ่ายรูปบ้าง ไหว้พระบ้าง และมี 4-5 คนมาเกาะระเบียงมองดูลำน้ำโขงที่มีน้ำเปี่ยมฝั่งผิดกับที่อื่นๆ นับว่าน่าแปลกประหลาดเอาการ

    เสียงใครพูดแจ้วๆ ว่ามีผึ้งหลวงมาทำรังใหญ่โตที่ต้นไม้ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นภาพนั้นจริงๆ พอดีอาจารย์ไสวผู้เป็นนักธรณีวิทยา อายุราว 70 เศษ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ชี้ให้ดูฝั่งตรงข้าม เล่าว่าทางลาวเห็นวัดฝั่งเราใหญ่โตน่าเลื่อมใสก็เลยสร้างวัดขึ้นมาประชัน ถึงหน้าเทศกาลงานบุญก็ลงเรือข้ามฟากไปมาหาสู่กันเพื่อทำบุญแบบบ้านพี่เมืองน้อง

    ขณะนั้นฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดมาเย็นสบายจนทำให้ดิฉันนึกถึงงานสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นพรุ่งนี้แล้ว... พอดีอาจารย์ไสวพูดถึงบั้งไฟพญานาคในแง่วิทยาศาสตร์โดยอธิบายว่า ริมน้ำด้านนี้มีซอกซอยมากมาย เมื่อถึงหน้าน้ำหลากฝูงปลาน้อยใหญ่จึงเข้ามาหาอาหารกินเพลิดเพลินจนลืมตัว...

    เมื่อน้ำลดจึงออกไม่ทัน ตกคลั่กจนแห้งตาย สะสมกันมากเข้ากลายเป็นก๊าซบิวเทนที่ติดไฟง่าย เมื่อถึงหน้าน้ำก็ทะลักทลายออกไป...และนี่คำตอบว่าทำไมจึงเกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นมา!

    ทันใดนั้นเอง ลูกสาวดิฉันก็ตะโกนเรียกพ่อแม่จนหันไปมองก็เห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปที่กลางแม่น้ำโขง ร้องเสียงลั่นๆ ว่า...งูยักษ์! ดูงูยักษ์ซีแม่ มีตั้งสองตัวแน่ะ! ดิฉันหันไปมองตามมือแกก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายเต็มที ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

    ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มก็ยังมองเห็นภาพงูยักษ์สองตัวพ่นน้ำคึกคะนองอย่างเลือนราง ได้แต่ครางว่า...พญานาคมีจริงหรือนี่? ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะงานนี้!

    นกแก้วเมาค้าง! "ออสซี่"เร่งหาปม



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เอเอฟพีรายงานเมื่อ 2 มิ.ย. ว่า ผู้เชี่ยว ชาญนกในออสเตรเลียต่างมึนงงกับเหตุการณ์นกแก้วพันธุ์ลอริคีต หลายร้อยตัวมีอาการเหมือน "เมาค้าง" และร่วงหล่นจากต้นไม้และท้องฟ้าหลายร้อยตัว ที่เมืองพาลเมอร์ สตัน ใกล้กับเมืองดาร์วิน ทางตอนเหนือ

    ลิซ่า ฮันเซ็น สัตวแพทย์ที่โรงพยาบาลสัตว์อาร์ก กล่าวว่า ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการกินพืชหรืออาจจะเกิดการระบาดของไวรัสลึกลับทำให้นกเหล่านี้มีอาการเมา กระโดดไปมาแล้วก็เกาะคอนพลาดจนตกจากต้นไม้ หมดสติและพอฟื้นขึ้นมาก็จะตื่นกลัวอยู่ในกรงที่รักษาตัว

    ขณะนี้ ทางโรงพยาบาลรักษานกอยู่ 30 ตัว และมีนกแก้วเข้ามารักษาเพิ่มวันละ 8 ตัวที่เก็บมาจากตามสนามหญ้าและข้างถนนต่างๆ สัตวแพทย์ต้องให้นกกินข้าวต้มรสหวานและผลไม้สด เพื่อแก้อาการเมาค้างคล้ายใช้กับคน

    จีนขวางรำลึกนองเลือดเทียนอันเหมิน



    [​IMG]เมื่อ 2 มิ.ย. เอพีรายงานว่า จีนเดินหน้าเซ็นเซอร์สื่อที่นำเสนอเรื่องราวการรำลึกเหตุการณ์นองเลือดเพื่อประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ก่อนวันครบรอบ 21 ปีในวันที่ 4 มิ.ย. นี้ เช่น สั่งลบภาพในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เซาเทิร์น เมโทรโปลิส เดลี่ของจีน แม้เป็นเพียงภาพการ์ตูนเนื่องในวันเด็กสากล ซึ่งเด็กชายคนหนึ่งวาดรูปรถถังบนกระดานดำ มีทหารยืนอยู่ด้านหน้า คล้ายภาพถ่ายนักต่อสู้ชายรายหนึ่งที่เคยยืนขวางขบวนรถถังในเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน

    ด้านเอเอฟพีรายงานว่า ทางการฮ่องกงเนรเทศประติมากร ชื่อเฉิน เว่ยหมิง เจ้าของผลงานรูปปั้นเทพธิดาแห่งประชาธิปไตยที่เคยใช้ในการชุมนุมที่เทียนอันเหมินเมื่อ 21 ปีก่อน นายเฉินมีสัญชาตินิวซีแลนด์และอาศัยอยู่ในสหรัฐ เดินทางมาฮ่องกง เพื่อตรวจดูสภาพรูปปั้นที่เป็นผลงานของตนเอง แต่โดนจับและเนรเทศออกไป ทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกงไม่พอใจมาก

    "เพนตากอน"ผวาซากขยะอวกาศ ลอยคว้างพุ่งชน"ดาวเทียม"



    นับแต่ดาวเทียมสปุตนิก 1 ซึ่งเป็นวัตถุอวกาศชิ้นแรกถูกส่งขึ้นไปสู่วงโคจรโลกเมื่อ 53 ปีที่แล้ว นับถึงวันนี้ชั้นบรรยากาศรอบโลกเต็มไปด้วยขยะอวกาศรวมแล้วกว่า 10 ล้านชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกระสวยอวกาศเก่าๆ ดาวเทียมปลดระวาง และปลอกจรวดขับดัน ลอยเท้งเต้งหนาแน่นจนเกิดการชนกันบ่อยครั้ง แต่ละครั้งของการชนสามารถสร้างความเสียหายให้กับดาวเทียมดวงสำคัญของโลกที่จะส่งผลให้สัญญาณโทรทัศน์ การพยากรณ์อากาศ ระบบระบุพิกัดบนโลกและการเชื่อมต่อโทรศัพท์ระหว่างประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง

    รายงานของ "เพนตากอน" กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่ส่งไปยังสภาคองเกรสเมื่อเดือนมี.ค. เตือนว่า การชนปะทะกันของดาวเทียมกับกลุ่มขยะอวกาศจะทำให้เกิดเศษซากแตกกระจายออกมาหลายพันชิ้นเหวี่ยงกระจายไปรอบๆ และทำความเสียหายให้กับดาวเทียมดวงอื่นๆ ทั้งดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์และการทหาร อย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้

    การปะทะกันครั้งใหญ่เมื่อปลายปีก่อนระหว่างดาวเทียมสื่อสารของสหรัฐกับดาวเทียมปลดระวางของกองทัพรัสเซียเหนือน่านฟ้าไซบีเรียทำให้เกิดกลุ่มขยะอวกาศ 1,500 ชิ้น จนไอเอสเอสต้องยักย้ายเพื่อหลบเลี่ยง ขณะที่การทดสอบยิงขีปนาวุธของจีนเมื่อปี 2550 ทำให้เกิดขยะในชั้นบรรยากาศถึง 150,000 ชิ้น มนุษย์อวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือไอเอส เอส ต้องเลือกทิศทางในการเคลื่อนที่เพื่อหลบเลี่ยงขยะเหล่านี้

    "สถานการณ์เกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่มีดาวเทียมดวงไหนสามารถหลบเลี่ยงจากรัศมีทำลายที่ว่านี้ได้" ภารตี โกพาลาสวามี นักวิทยาศาสตร์ด้านกระสวยอวกาศอินเดีย ระบุ

    จากสถานการณ์ดังกล่าว เพนตากอนจึงสนับสนุนให้สหประชาชาติทำคู่มือกระตุ้นรัฐบาลประเทศต่างๆ และบริษัทเอกชนลดการสร้างขยะอวกาศ ด้านมัสลาน ออธแมน ผู้อำนวยการสำนักงานอวกาศส่วนนอกของสหรัฐ กล่าวว่า เราต้องมี นโยบายและกฎหมายสำหรับการใช้งานอวกาศเพื่อประโยชน์สาธารณะ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรักษาวิถีการดำรงชีวิตไม่ให้ถูกขัดจังหวะเพราะความผิดพลาดในอวกาศ

    "แม่วัง"เน่า-ผักตบและขยะเพียบ!



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    น้ำเสีย - สภาพแม่น้ำวัง ช่วงไหลผ่านตัวเมืองลำปาง สภาพน้ำมีสีดำเน่าเหม็น เต็มไปด้วยขยะ ผักตบชวา เพราะความแห้งแล้ง ทำให้น้ำจากเขื่อนกิ่วลม ไม่เพียงพอจะปล่อยลงมาไล่น้ำเสีย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>ลำปาง - ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในจ.ลำปาง ว่า ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ แม่น้ำวังที่ไหลผ่านเขตเมืองลำปางมีกลิ่นเน่าเหม็น เป็นสีดำ มีผักตบชวา รวมทั้งขยะลอยอยู่จำนวนมาก

    นายคำปัน มีคุณ อายุ 71 ปี กล่าวว่า ตนมีบ้านอาศัยอยู่ริมแม่น้ำมานาน ไม่เคยเห็นแม่น้ำวังเน่าขนาดนี้มาก่อน ทุกวันนี้ต้องทนกับกลิ่นเน่าของน้ำตลอดเวลา ทำให้เสียสุขภาพ

    นายนิมิตร จิวะสันติการ นายกเทศมนตรีนครลำปาง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา 3-4 ปี เวลาน้ำเหนือเขื่อนกิ่วลมมีมากพอ ก็จะประสานกับเขื่อนปล่อยน้ำลงและกักน้ำไว้ เมื่อผ่านไป 7-8 วัน น้ำก็จะสกปรกจึงจะระบายน้ำออก แต่ในช่วง 2-3 วันนี้ น้ำเหนือเขื่อนกิ่วลมก็มีน้อย ไม่เพียงพอที่จะระบายลงมา นอกจากนั้นต้องขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดแม่น้ำด้วย

    เผยน่านร้อนจัด แอร์ยอดขายพุ่ง



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    แก้ร้อน - ประชาชนชาวน่าน พากันมาหาซื้อเครื่องปรับอากาศ และพัดลมกันจำนวนมาก เพราะอากาศร้อนจัด บางวันอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา ส่งผลให้ร้านขายสินค้าเครื่องทำความเย็นขายดิบขายดี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>น่าน - จากสภาพอากาศร้อนจัดในขณะนี้ที่จ.น่าน มีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 40 องศาเซล เซียส ประชาชนพากันซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าพัด ลม และเครื่องปรับอากาศจำนวนมาก ส่งผลร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น บางยี่ห้อบางรุ่นซึ่งเป็นที่นิยมติดตลาด สินค้าขาดสต๊อก ต้องรอสั่งซื้อจากทางบริษัทผู้ผลิต

    นายกิติชัย แซ่เจี่ย ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าพัดลมและเครื่องปรับอากาศ กล่าวว่า ถึงขณะนี้ขายพัดลมไปแล้วถึงกว่า 3,000 ตัว เครื่องปรับอากาศกว่า 2,000 เครื่อง มีเงินหมุนเวียนกว่า 20 ล้านบาท บางครอบครัวจะซื้อไม่ต่ำกว่า 2-4 เครื่อง ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อเพราะทนอากาศที่ร้อนจัดไม่ไหว จนขณะนี้สินค้าดังบางยี่ห้อที่เป็นที่นิยมหมดสต๊อก ต้องสั่งสินค้านานกว่า 3 สัปดาห์



    เปิดภูมิปัญญาเยาวชนไทย ยืดอายุ"ข้าวก้นบาตร"สู้วิกฤต



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เป็นภาพที่เห็นจนชินตาในสังคมไทย ที่ชาวพุทธ จะนำข้าวปลาอาหารไปทำบุญกันที่วัดกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกๆ ครั้งที่มีการทำบุญใหญ่เช่นนี้ แทบทุกวัดจะมีข้าวเหลือตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยความเสียดาย และตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ "ข้าว" ที่กว่าจะได้มาแต่ละเมล็ด

    กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เด็กนักเรียนลูกหลานคนไทย จัดกิจกรรมจิตอาสา เพื่อคน ทุกข์ยาก จากข้าวก้นบาตร

    "น.ส.พิมพ์ชนก สุขดี" นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสุรินทร์ อดีตนักเรียนแกนนำขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนศีขร ภูมิพิสัย จ.สุรินทร์ เครือข่ายโรงเรียนแกนนำ ในโครง การเสริมศักยภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โครงการข้าวไม่ยากหมากไม่แพง" เกิดขึ้นจากการร่วมแรงร่วมใจของภาคีเครือข่าย เช่น นักเรียน ครู โรงเรียน วัด และชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีของคนในชุมชน และสร้างภูมิคุ้มกันด้านความรู้และคุณธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งมีนักเรียนเป็นแกนนำ โดยมีครูในโรงเรียนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้การสนับสนุน <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โครงการข้าวไม่ยากหมากไม่แพงเป็นโครงการต่อเนื่องมาจาก "โครงการสานสัมพันธ์วันทำบุญอบอุ่นทั้งตำบล" ที่นักเรียนและคนในชุมชนได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน โดยนำอาหารคาวหวาน ถวายพระภิกษุสงฆ์ที่วัดในวันสำคัญทางศาสนาและเทศกาลสำคัญๆ เช่น วันเข้าพรรษา วันวิสาขบูชา และประเพณีท้องถิ่น

    แต่ปรากฏว่า เมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนาจะมีข้าวปลาอาหารเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก ในฐานะที่เป็นลูกหลานชาวนา ทำให้รู้สึกเสียดายข้าวเหลือก้นบาตรพระที่มีปริมาณมาก เรียกได้ว่านำไปเลี้ยงคนในหมู่บ้านได้อย่างสบาย ดีกว่านำไปเททิ้งเหมือนเช่นที่ผ่านมา

    เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับชุมชน แนวคิดในการนำนวัตกรรมมาช่วยยืดอายุข้าวให้สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานขึ้น จึงเป็นโจทย์ที่ทุกคนได้นำมาขบคิดและนำไปปรึกษาหารือกับครูเพื่อหาความเป็นไปได้ในการทำโครงงาน พร้อมคิดค้นวิธีการถนอมอาหาร กระทั่งได้ข้อสรุปว่าควรใช้วิธีการนำข้าวสุกมานึ่งในอุณห ภูมิสูง และใช้ใบเตยเพื่อเพิ่มความหอมให้กับข้าว ก่อนจะนำข้าวบรรจุใส่ถุงสุญญากาศ 1 กิโลกรัมต่อ 1 ถุง นำไปเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส สามารถยืดอายุข้าวได้นาน 1 เดือน

    หลังใช้ระยะเวลาให้การเตรียมงานและทดลองสูตรการยืดอายุข้าวได้จนเป็นผลสำเร็จแล้ว ได้เรียกประชุมนักเรียนเพื่อแบ่งงานกันทำ ทั้งงานบัญชี การนึ่งข้าวและติดต่อประสานงานกับวัดทั้ง 13 ตำบลในเขต อ.ศีขรภูมิ

    มีผู้ปกครองของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มเครือข่ายแต่ละตำบลคอยช่วยเหลือขับรถไปรับข้าวจากวัดใกล้บ้าน ก่อนจะนำข้าวมาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนแรกจะเก็บไว้ที่โรงเรียนศีขรภูมิพิสัยเพื่อใช้เป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียน

    ส่วนที่เหลือจะถูกนำกลับไปนึ่งที่บ้านพักของนักเรียนเครือข่าย เพื่อสะดวกต่อการแจกจ่ายให้กับคนในชุมชน โดยแต่ละครอบครัวจะได้รับข้าวครั้งละไม่เกิน 2 ถุง หากครอบครัวใดต้องการมากกว่านั้น โครงการข้าวไม่ยากหมากไม่แพงจะจัดจำหน่ายในราคาถุงละ 5 บาทเท่านั้น โดยเงินที่ได้จะนำกลับไปใช้หมุนเวียนสำหรับซื้อถุงสุญญากาศเพื่อใช้ในครั้งต่อไป

    กิจกรรมดีๆ เหล่านี้ นอกจากจะสร้างความภาคใจและความสุขใจให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนศีขรภูมิพิสัย และชุมชน การทำกิจกรรมยังช่วยให้นักเรียนเกิดทักษะในการทำงาน เกิดความละเอียดรอบคอบและมีการวางแผนการทำงานก่อนลงมือปฏิบัติ

    สิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือการได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแกนในการขับเคลื่อนโครงการถือเป็นการฝึกฝนตัวเองให้รู้จักความพอประมาณ เนื่องจากโครงการดังกล่าว จะประสบผลสำเร็จทุกคนต้องอาศัยความขยัน อดทนอดกลั้น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือผู้อื่น

    ถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า สังคมชนบทยังเป็นสังคมที่เข้มแข็ง มีความผูกพันช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=23&contentID=69316

    'โลกล่มสลาย' 'แค่เล่าลือ' หรือมีมูล?

    แม้วิทยาการทางด้านดาราศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์จะก้าวล้ำมากขึ้นกว่าในอดีต แต่จนทุกวันนี้เรื่องของ “ดวงดาว” ก็ยังคงมี “ปริศนา” อยู่อีกมากมาย และปริศนาเหล่านี้บ่อยครั้งที่ “สร้างความตื่นกลัว” ทั้งโดยผู้ที่ตั้งใจปล่อยข่าว และโดยการ “เล่าลือ” ต่อ ๆ กันไป ซึ่งกับช่วงเดือน มิ.ย. 2553 นี้ก็มีการเล่าลือ...

    เล่าลือกันว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “ดาวเรียงตัว”

    และจะสร้าง “หายนะรุนแรง” ต่อมนุษยชาติ ??

    กับการเล่าลือล่าสุด ซึ่งมีการโพสต์ข้อความส่งต่อกันไปในอินเทอร์เน็ต ก็เช่น... วันที่ 8 มิ.ย. 2553 ดวงดาวในระบบสุริยะ คือ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดี จะโคจร “เรียงตัวกัน” และประมาณวันที่ 12 มิ.ย. 2553 ดาวโลก ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ก็จะเรียงตัวกัน ซึ่งก็เล่าลือกันต่อเนื่องว่าจะสร้างหายนะต่อโลก เช่น เป็นปรากฏการณ์ที่จะจุดชนวนปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้โลกเกิด น้ำท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรง อากาศแปรปรวนครั้งเลวร้าย ภูเขาไฟระเบิดไปทั่ว เลยเถิดถึงการระเบิดของรังสีแกมมา-การ “สิ้นโลก” อย่างที่เคยมีการเล่าลือว่าจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555

    ทั้งนี้ กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ดวงดาว” นั้น ใน “เดลินิวส์” ฉบับวันนี้ ในหน้าวาไรตี้ก็มีข้อมูลมานำเสนอ ส่วนทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็มีข้อบ่งชี้ชัด ๆ กล่าวคือ... เดือน มิ.ย. 2553 นี้ไม่มีการเกิดปรากฏการณ์ดวงดาวเรียงตัว !! จะมีก็แต่ จันทรุปราคาบางส่วน ในวันที่ 26 มิ.ย. 2553

    หรือต่อให้เกิดดาวเรียงตัว ดาวเคราะห์ระบบสุริยะเรียงตัว ถามว่าจะมีผลต่อโลกหรือไม่ ? ทางสมาคมดาราศาสตร์ไทยชี้ว่า... ตำแหน่งวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะปัจจุบัน แต่ละดวงอยู่ห่างกันมาก แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่กระทำต่อโลกมีค่าต่ำมากจนเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นไม่ว่าดาวเคราะห์จะเรียงอย่างไร เป็นเส้นตรง สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม กากบาท ฯลฯ ก็จะไม่ส่งผลเสียต่อโลก

    นอกจากนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการจัดเสวนาเรื่อง “ตอบคำถามสังคมไทยต่อการล่มสลายของโลก” งานนี้ก็มีข้อบ่งชี้ที่เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ โดย ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ ระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องการเรียงตัวของดาวกับหายนะของโลก โดยยกตัวอย่างการเกิดแผ่นดินไหวว่า... จากการย้อนดูตำแหน่งดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล ในวันที่โลกเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ามีการเรียงตัวของดวงดาวเลย และโดยมากมีตำแหน่งที่อยู่คนละทิศละทางกัน ดังนั้น “ข้อสันนิษฐานที่ว่าดาวเคราะห์เรียงตัวจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

    ส่วนเรื่องแรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่ก็มีการลือกันด้วยว่าจะสร้างหายนะให้โลก จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ดร.สธนบอกว่า... แรงน้ำขึ้น-น้ำลงเกิดจากผลต่างของแรงดึงดูดของดวงจันทร์ต่อมวลสารบนโลกบนตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งแรงของดวงจันทร์ต่อโลกจะไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้โลกก็จะมีแรงดึงมาก ถ้าอยู่ไกลก็จะมีแรงดึงน้อย แรงดึงของดวงจันทร์มีน้อยกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกถึง 10 ล้านเท่า และแรงของดวงจันทร์จะดึงได้เฉพาะที่เป็นของเหลว คือน้ำ ขณะที่โลกทั้งโลกโดยรวมถือเป็นของแข็ง “อิทธิพลของดวงจันทร์ถ้าจะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหวก็จะต้องดึงโลกทั้งโลกซึ่งเป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

    พร้อมกันนี้ ดร.สธนยังระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องสนามแม่เหล็กโลกจะพลิกกลับขั้วจนทำให้สิ้นโลก โดยบอกว่า... การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ โดยมีสาเหตุมาจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวที่อยู่ตรงกลางโลก และครั้งล่าสุดเกิดเมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่ง “กว่าที่สนามแม่เหล็กโลกจะกลับขั้วแต่ละครั้งจะห่างกันหลักแสนหรือหลักล้านปี ดังนั้น จะไม่กลับขั้วอีกครั้งเร็ว ๆ นี้แน่”

    ด้าน ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ ภาควิชาฟิสิกส์เช่นกัน ก็บอกว่า.. ปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์กับการเกิดแผ่นดินไหวบนโลก การ “สิ้นโลก” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์เป็นเรื่องที่มีการเกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การระเบิดจ้าบนผิวดวงอาทิตย์, ลมสุริยะ, จุดดับบนดวงอาทิตย์ ฯลฯ จะมาก-จะน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่เคยส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อโลก

    สำหรับกรณีการระเบิดของรังสีแกมมา กับการสิ้นโลกนั้น ผศ.พงษ์อธิบายว่า... การระเบิดของรังสีแกมมาเป็นปรากฏการณ์ดวงดาว เป็นอาการหนึ่งของดวงดาวที่กำลังดับสูญ โดยจะส่งรังสีแกมมาออกมาจากซากดวงดาว ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ไม่น้อยกว่า 10 เท่า ซึ่งผลจากการระเบิดของรังสีแกมมาแม้จะรุนแรงมาก แต่ โอกาสจะมีผลต่อโลกนั้นน้อยมาก เพราะถ้าจะมีผล ดวงดาวแหล่งกำเนิดต้องอยู่ไม่ไกล และมุมที่เกิดนั้นต้องส่องมายังโลกพอดี “โอกาสที่โลกจะสิ้นสูญจึงมีน้อยมาก โลกเกิดมาแล้ว 4,000 ล้านปี ยังไม่เคยโดนรังสีแกมมาแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว” ...ผศ.พงษ์ระบุ

    สรุปคือระยะนี้ยังไม่มีภัยดวงดาวที่จะทำให้ “สิ้นโลก”

    ภัยดวงดาวเป็นเพียง “ข่าวลือ” อย่าตื่นตระหนก !!!.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เขมรยิงจรวด 200 ลูกโชว์แสนยานุภาพ "มาร์ค" ระบุแค่ซ้อมรบ

    [​IMG]

    เขมรยิงจรวด 200 ลูกห่างชายแดนไทย 180 กม. ปัดแสดงแสนยานุภาพ "มาร์ค" ชี้กัมพูชาซ้อมยิงจรวดปกติไม่เกี่ยวเสื้อแดงเคลื่อนไหวสัมพันธ์ "แม้ว" "สุเทพ" ไม่เชื่อฉวยโอกาสเสื้อแดงป่วนเล่นงานไทย

    "มาร์ค"ชี้เขมรซ้อมยิงจรวดปกติไม่เกี่ยวเสื้อแดงเคลื่อนไหวสัมพันธ์แม้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 4 มีนาคม ถึงกรณีที่ประเทศกัมพูชาซ้อมยิงจรวดหมู่แบบ BM- 21ประมาณ 200 ครั้งและมีระยะห่างจากชายแดนไทย 180 กิโลเมตรว่า เป็นเรื่องภายในของกัมพูชา ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก่อนที่ประเทศกัมพูชาจะซ้อมยิง ตนก็ได้ไปคุยกับทางเหล่าทัพแล้ว ทุกฝ่ายก็ทราบดีและไม่มีปัญหาอะไร

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การซ้อมยิงดังกล่าวเป็นการข่มขวัญกองทัพไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธว่า ไม่มี และเข้าใจว่าฝ่ายเราก็ไปทดสอบ และซ้อมเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน ถือเป็นเรื่องปกติ

    เมื่อถามว่าการซ้อมรบของกัมพูชาในช่วงเวลานี้จะคาบเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆในไทย รวมทั้งผู้นำกัมพูชาสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวกัน

    ผู้สื่อข่าวรายงาน วันที่ 4 มีนาคมว่า ทหารกัมพูชาได้ยิงจรวดราว 200 ลูกจากเครื่องยิงบนรถบรรทุกที่ท่าอากาศยานแห่งหนึ่งห่างจากพรมแดนไทยไปราว 180 กม. โดยมีกองทัพสื่อมวลชน และบุคคลสำคัญของกัมพูชาไปร่วมชมเป็นจำนวนมาก นายชุม สุชาติ โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวก่อนการซ้อมยิงว่า ไม่ใช่การแสดงแสนยานุภาพ หรือข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือต่างชาติ ทว่าเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถ ของกองทัพกัมพูชาเพื่อปกป้องประเทศจากผู้รุกราน

    เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 มีนาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีที่กัมพูชาทดลองยิงอาวุธสงครามใกล้ชายแดนไทยว่าฝ่ายกัมพูชาคงไม่คิดจะมาข่มขู่อะไรเรา เพราะเราได้ส่งสัญญาณตลอดเวลาว่าเราไม่ต้องการให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายออกไป ต่างฝ่ายก็ต้องระมัดระวัง และไม่ทำอะไรที่กระทบกระเทือนกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณชายแดน

    เมื่อถามว่าเกรงว่าทางกัมพูชาจะใช้จังหวะที่ไทยมีความวุ่นวายภายในในการสร้างปัญหา นายสุเทพ กล่าวว่า “เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น”
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]
    [/FONT]หนังสือพิมพ์มติชน วันศุกร์ ที่ 5 มีนาคม 2553 เวลา 08:06 น

    ที่มา http://tnews.teenee.com/politic/47815.html[FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]

    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 610xam.jpg
      610xam.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.4 KB
      เปิดดู:
      1,327
    • hunsenarpisid1.jpg
      hunsenarpisid1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.3 KB
      เปิดดู:
      76
    • 64113.jpg
      64113.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69 KB
      เปิดดู:
      70
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    จีน-สหรัฐฯ หวังช่วงชิงน้ำมันในอ่าวไทย

    [​IMG]

    การส่งมอบรถยนต์บรรทุกทางทหาร (ใช้แล้ว) จำนวน 31 คันจากทั้งหมด 60 คันให้กับกองทัพแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ถือเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ กลับคืนสู่ระดับปกติอีกครั้งหนึ่งในสายตาของผู้นำกองทัพ สหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ที่ผู้นำสหรัฐฯได้หยุดให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่กัมพูชาอันมีสาเหตุมาจากการทำรัฐประหารโดย ฮุน เซน ในปี 1997 นั้นเป็นต้นมา

    แน่นอนว่าการให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆก็ได้บังเกิดขึ้นแต่อย่างใด หากกองทัพสหรัฐฯนั้น ได้วางพื้นฐานเพื่อที่จะฟื้นความสัมพันธ์กับกองทัพกัมพูชาเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้แล้ว โดยเริ่มจากการช่วยฝึกทหารกัมพูชาเพื่อเดิน ทางไปรักษาสันติภาพที่อัฟริกาในปี 2006 ต่อเนื่องด้วยการช่วยฝึกทหารเพื่อให้พร้อมที่จะรับมือกับการก่อการร้ายสากลในปี 2007

    ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงต้นปี 2007 เรือรบUSS Gary ก็ยังได้เป็นเรือรบของสหรัฐฯ ลำแรกที่ไปเยือนกัมพูชาในรอบกว่า 30 ปีหลังจากที่สงครามในอินโดจีนได้สิ้นสุดลงเมื่อปลายปี 1975 อีกด้วย ครั้นในปลายเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เรือจู่โจมยกพลขึ้นบก USS Essex</PLACE> ก็ได้เป็นเรือรบลำที่ 2 ของสหรัฐฯที่แวะไปเทียบท่าเรือสีหนุวิลล์ ในภาคใต้ของกัมพูชาเพื่อให้ลูกเรือได้ขึ้นบกไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับทหารและชาวเขมรทั้งในด้านสุขอนามัย การศึกษา นันทนาการและแข่งขันกีฬาอย่างเป็นกันเอง

    อย่างไรก็ตาม การที่กองทัพสหรัฐฯได้พยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่กองทัพกัมพูชาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่กลุ่มบริษัท Chevron Corp ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯนั้น ได้สำรวจพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่บริเวณนอกชายฝั่งสีหนุวิลล์ในอ่าวไทยนับเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีมาแล้ว

    ทั้งนี้โดยกลุ่มบริษัท Chevron Corp ได้เริ่มดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและ แก๊สธรรมชาติ โดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลกัมพูชานับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา โดยได้ทำการขุดเจาะในเขตสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 18 บ่อด้วยกัน ซึ่งก็พบแหล่งน้ำมันที่เชื่อว่าจะ มีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและมีปริมาณสำรองแก๊สธรรมชาติอีกไม่น้อยกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเลยทีเดียว

    เพราะฉะนั้น การพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพกัมพูชา จึงถือว่ามีนัยสำคัญอยู่ไม่ใช่น้อยสำหรับสหรัฐฯ กล่าวคือการมองไปถึงเป้าหมายที่ว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นั้นจะนำมาซึ่งการตัดสินใจในท้ายที่สุดของรัฐบาลกัมพูชา ในอันที่จะอนุมัติสัมปทานการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติให้กับกลุ่มบริษัท Chevron Corp แต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง

    ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่านับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมาทางการกัมพูชาได้อนุญาตให้ต่าง ชาติทำการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในบริเวณพื้นที่นอกชายฝั่งสีหนุวิลล์ ในเขตอ่าวไทยไปแล้วถึง 6 แปลงด้วยกัน โดยนอกจากกลุ่มบริษัท Chevron Corp แล้วก็ยังมีกลุ่มบริษัทน้ำมันจากไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย คูเวต และ จีน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มบริษัท China National Offshore Oil Corp (CNOOC) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจพลังงานของจีนนั้นถือเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามมากที่สุดในสาย ตาของกลุ่มบริษัท Chevron Corp แห่งสหรัฐอเมริกา เนื่องเพราะถ้าหากจะเปรียบเทียบในระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับจีน และระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯนั้นก็ย่อมจะสามารถกล่าวได้เลยว่าความสัมพันธ์ที่กัมพูชามีต่อจีนนั้นดีกว่าที่มีต่อสหรัฐฯในทุกด้าน

    ทั้งนี้โดยหลังจากที่ Chevron Corp ได้สำรวจพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในพื้นที่บริเวณนอกชายฝั่งสีหนุวิลล์นั้น รัฐบาลจีนก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชามากขึ้น รวมทั้งยังได้ลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

    กล่าวสำหรับการให้ความช่วยเหลือนั้น กองทัพประชาชนจีนได้มอบเรือลาดตระ เวณทางทะเลจำนวน 9 ลำให้กับกองทัพเรือกัมพูชาในปลายปีที่ผ่านมานี้ ด้วยหวังว่าจะมีส่วนอย่างสำคัญในการสนับสนุนมาตรการรักษาความมั่นคงของกัมพูชาในเขตพื้นที่ที่มีการสำรวจพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติดังกล่าว

    พร้อมกันนั้น ทางการจีนยังได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านงบประมาณแก่กัมพูชาคิดเป็นมูลค่าถึง 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับใช้ในการพัฒนาปรับปรุงถนนหนทางที่เชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองต่างๆกับเขตชนบท โดยยังไม่รวมถึงความช่วยเหลือในการปรับ ปรุงทางหลวงแห่งชาติหมายเลข 7 ที่เชื่อมต่อกับภาคใต้ของลาว ภายใต้แผนการพัฒนา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในลุ่มแม่น้ำโขงแต่อย่างใด

    ยิ่งไปกว่านั้น เหวิน เจีย ป่าว นายกรัฐมนตรีจีนยังได้ประกาศอย่างชัดเจนด้วยว่า รัฐบาลจีนจะให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาไม่น้อยกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีนับจากปี 2006 เป็นต้นมาแล้ว ซึ่งเกือบจะเท่าๆ กับความช่วยเหลือที่กลุ่มประเทศผู้บริจาค (Donor Countries) ได้ให้กับรัฐบาลกัมพูชาในแต่ละปีอีกด้วย

    ส่วนในด้านการลงทุนนั้น รัฐบาลจีนก็ได้สนับสนุนกลุ่มบริษัทจากจีนให้ไปลงทุนในภาคธุรกิจที่รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้โดยไม่ว่าจะเป็นในภาคพลังงานด้วยการลงทุนมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแส ไฟฟ้าพร้อมกันถึง 5 โครงการ โดยมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าอย่าง SINO Hydro Corp เป็นผู้นำในการลงทุนดังกล่าว

    ทางด้านกลุ่มบริษัท Jiangsu Taihu International Economic and Investment Corp นั้นก็ได้ประกาศแผนการลงทุนในมูลค่าไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและเขตการค้าปลอดภาษีที่เมืองท่าเรือน้ำลึกสีหนุวิลล์ โดยได้วางเป้าหมายที่จะดำเนินการพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในปี 2014 ซึ่งไม่เพียงจะมีการคาด หมายว่าจะสามารถจ้างงานชาวเขมรได้มากถึง 8 หมื่นคนเท่านั้น หากแต่ยังจะสามารถส่งสินค้าไปต่างประเทศได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปีอีกด้วย

    เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ทางฝ่ายสหรัฐฯ จะได้พยายามทำดีกับทางการกัมพูชาให้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรู้ว่าคู่แข่งอย่างจีนนั้น ย่อมไม่ใช่ธรรมดาๆอย่างแน่นอน

    แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่ได้มีการสำรวจพบนั้นอยู่ในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัมพูชากับไทย ซึ่งประมาณการว่ามีพื้นที่ทับซ้อนกันกว้างกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตรนั้น จึงนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชานั้นยังคงไม่สามารถที่จะตกลงปลงใจได้ว่าจะมอบสัมปทานการขุดเจาะให้กับใคร เพราะจะต้องทำการตกลงเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกับทางการไทยให้ได้เสียก่อนนั่นเอง

    ซึ่งถ้าหากจะพิจารณาจากเงื่อนไขของการเจรจาสองฝ่ายที่เป็นอยู่ในเวลานี้ย่อม จะสามารถกล่าวได้เลยว่ายากอย่างยิ่งที่จะสามารถตกลงกันได้ในเร็วๆ วันนี้

    ทั้งนี้เพราะหากจะว่าไปแล้วทางการไทยกับกัมพูชาก็ได้ตกลงในหลักการร่วมกันนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2006 เป็นต้นมาแล้วว่าให้มีการจัดแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างเกือบถึง 27,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวไทยนี้ออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน โดยส่วนที่อยู่กึ่งกลางของเขตทับซ้อนนั้นก็ให้แบ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินั้นเป็นสัดส่วน 50 ต่อ 50

    ส่วนเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยนั้นก็ให้แบ่งเป็นผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทยมากกว่าฝ่ายกัมพูชา ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นก็ต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วม กันไม่ได้ในการเจรจาครั้งนั้น ก็คือฝ่ายไทยเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40

    หากแต่ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับไม่เห็นด้วย เพราะต้องการให้มีการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกันในสัดส่วน 90 ต่อ 10 โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชานั้นมี ความเชื่อมั่นว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณสำรองของน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยนั่นเอง

    ซึ่งถ้าหากทางการไทยยอมตกลงตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นนี้ก็จะทำให้รัฐบาลกัมพูชา มีรายได้จากการขายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในเขตทับซ้อนทางทะเลดังกล่าวนี้คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และยังจะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังจะถือว่าเป็นรายได้หลักที่มากกว่าผลผลิตมวลรวมภายใน (GDP) ของกัมพูชาในปัจจุบันนี้ด้วย

    เพราะฉะนั้น จึงจะต้องจับตามองดูอย่างไม่กระพริบตาว่าต่อไปนี้ไทยจะต้องถูกกดดันอย่างไรบ้างจากทั้งจีนและสหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากการตัดสินใจของทางการไทยภายใต้สภาวะการกดดันที่จะมีขึ้นนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนเป็นด้านหลักแล้วก็ย่อมที่จะสามารถกล่าวไว้เป็นการล่วงหน้าได้เลยว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชนคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!!

    บทความโดย ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
    วันที่ พฤหัสบดี มิถุนายน 2551

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=267572
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2010
  17. kowmoo

    kowmoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,896
    สิ่งต่างๆที่คุณหนุมานเคยบอกไว้ ดูเหมือนเริ่มปรากฎให้เห็น กลุ้มคะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย เขมร+จีน สหรัฐ ของๆใครบ้านใครใครก็รักนะ รู้รักสามัคคีทำเพื่อชาติกันได้แล้วทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐ ภาคประชาชนเราสีเดียวกัน เราคือหน่วยของขวานทอง
     
  18. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    เหตุการณ์ท้องฟ้าที่มีเมฆสีเทาก้อนใหญ่ๆ ฟ้ามืดช้า สว่างเร็ว

    [FONT=Tahoma, sans-serif](ได้เก็บข้อมูลจากเวปนี้แหละ)[/FONT]
    เหตุการณ์ท้องฟ้าที่มีเมฆสีเทาก้อนใหญ่ๆ ฟ้ามืดช้า สว่างเร็ว แต่ตอนเกิดสึนามิฟ้าคำรามมากตอนนี้ต้องรอฟังตอนฝนตก

    [FONT=Tahoma, sans-serif]มีสัญญาณให้สังเกตเห็นล่วงหน้าประมาณ ๒[/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]-[/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]๓ สัปดาห์ เบื้องต้นผู้คนทั่วไปสังเกตุเห็นความผิดปกติได้ทั้ง ๓ ระนาบ คือท้องฟ้า พื้นแผ่นดิน และทะเล มหาสมุทร[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ให้สังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติที่มนุษย์ในรุ่นยุคปัจจุบันไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงผันผวน แรงโน้มถ่วง ลาวา การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ก็ผันผวนผิดปกติ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ท้องฟ้า[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ฟ้าจะคำรามติดต่อกันนานแทบทั้งวัน เพราะการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าสถิตย์ในชั้นบรรยากาศที่สะสมมาเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกผันผวนหนัก [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]กลางวันมืดหลายวัน เพราะมีแสงน้อย มีเมฆสีเทาเข้มปกคลุมบังดวงอาทิตย์เป็นเวลานานติดต่อกันหลายวัน [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]เมื่อเข้าถึงเวลากลางคืน ๒ ทุ่ม ถึง ๓ ทุ่ม บางวันก็ยังไม่มืด ยังสว่างเหมือนเวลา๔[/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]-[/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]๕ โมงเย็นปกติ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มองเห็นสิ่งแปลกปลอมบนท้องฟ้า จำพวกวัตถุบินได้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]พื้นแผ่นดิน[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มีสัตว์บางชนิดที่อาศัยใต้ดินลึก ที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมาให้เห็น รูปร่างหน้าตาสัตว์เหล่านี้ไม่มีในพจนานุกรมสัตว์โลกที่เคยอ่านกัน เพราะไอกำมะถัน ไอร้อนจากก๊าซใต้เปลือกโลกดันตัวขึ้นมา บ้างก็สัตว์บางตัวก็มีชีวิตได้ไม่นาน บ้างก็ขึ้นมาตาย [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มีแผ่นดินไหวเป็นระลอกใหญ่ ต่อเนื่องกันทุกมุมโลก [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ทะเลมหาสมุทร[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มีสัตว์บางชนิดที่อาศัยใต้ทะเลมหาสมุทรในระดับที่ลึกมาก ที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมาให้เห็น รูปร่างหน้าตาสัตว์เหล่านี้ไม่มีในพจนานุกรมสัตว์โลกที่เคยอ่านกัน เพราะไอกำมะถัน ไอร้อนจากก๊าซใต้เปลือกโลกดันตัวขึ้นมา บ้างก็สัตว์บางตัวก็มีชีวิตได้ไม่นาน บ้างก็ขึ้นมาตาย [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=Verdana, sans-serif]. [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มีแผ่นดินไหวใต้ทะเลระดับที่รุนแรงจนมีซึนามิหลายประเทศในเวลาที่ใกล้เคียงกันหลายจุดในโลก [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ที่จะเกิดขึ้น อาจจะยังนานอีกหลายปี หรือเป็นระยะเวลาอันใกล้ที่จะถึง ทุกอย่างในโลกล้วนมีความผันแปรไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ผู้มีปัญญาควรไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ควรศึกษาธรรมะ รักษาศีล ทำทาน มอบความรักเมตตาอารีย์เพื่อนมนุษย์ หมั่นละลดอัตตาตัวตน ดูแลรักษาธรรมชาติให้ดี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว มนุษย์ยุคเราอาจได้เห็น และอยู่ในช่วงเวลาที่จะข้ามผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ ด้วยกัน[/FONT]
     
  19. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:52 น. มติชนออนไลน์ <!--อ่านล่าสุด คน-->
    <center></center>
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]ฮือฮา! เมฆประหลาด เปล่งลำแสงบนท้องฟ้า สาวกท่องเน็ตตื่นเต้นแพร่ภาพหรา

    [/FONT][FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]หากย้อนกลับไปเมื่อเย็นของวันพุธที่ 2 มิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาประมาณ 5 โมงถึงหกโมงเย็นกว่าๆ เชื่อว่า ชาวกทม. หลายคน (และเชื่อว่า จำนวนมากเสียด้วย) คงได้มองเห็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ชวนสะดุดตา กับ ภาพท้องฟ้ายามเย็นก่อนพระอาทิตย์อัสดง ที่เกิด ก้อนเมฆขนาดมหึมา ตั้งกำแพงบดบังดวงอาทิตย์ ปรากฎให้เห็นเพียงแสงเจิดจ้าส่องสะท้อนริ้วแฉกคล้ายจะแยกเป็นสีรุ้งรำไรให้ ได้ชื่นชมกันสำหรับผู้พบเห็น พลันชวนให้อดยิ้มออกมาไม่ได้กับการรังสรรค์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ระหว่างการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "เมฆา สุริยา และ ท้องนภา"

    [​IMG]

    จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาชาวไซเบอร์ทั้ง หลายจะพากันฮือฮา ตื่นเต้น และรีบอัพโหลดรูป อวดฝีมือการถ่ายภาพเจ้าเมฆแปลกประหลาดนี้ลงบนอินเตอร์เน็ต ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์ยอดนิยม อย่าง "เฟซบุ๊ก" ที่ต่างคนต่างนำภาพที่ตัวเองถ่ายทั้งจาก โทรศัพท์มือถือบ้าง กล้องถ่ายรูปดิจิตัลบ้าง โพสต์ถามคนที่เป็นสมาชิกว่าเห็นเหมือนตนหรือไม่ กันอย่างคึกคักและตื่นเต้น


    แม้ต่างคนจะมองกัน "ต่างมุม" แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน หากเมื่อแหงนหน้าจดจ้องสายตามองขึ้นไปบนฟ้าเดียวกันแล้ว มันกลับเรียกร้อยยิ้มจากมุมปากของเราทุกกคนออกมาอัตโนมัติอย่างประหลาด


    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณ "เมฆเปล่งแสง" ครั้งนี้ ที่สะกดคนไทย เห็นดีเห็นงามกับเรื่องเดียวกันชั่วขณะนี่ล่ะ....





    ***ภาพเมฆเปล่งลำแสงบางรูป นำมาจากสมาชิกในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ที่มีการเผยแพร่กัน
    [/FONT]
     
  20. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ภาคเหนือมีฝนกระจาย-ระวังภัยธรรมชาติ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>เนื่องจากร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก และมรสุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้มีฝนตกหนักในภาคกลาง...

    กรมอุตุนิยมวิทยารายงานพยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 4 มิ.ย.2553 ลักษณะ อากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.ร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกของประเทศไทยประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเล อันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้นลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติในระยะนี้ไว้ด้วย

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
    มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำ สุด 26 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคเหนือ
    มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วน มากบริเวณจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 37 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วน มากบริเวณจังหวัดนครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 37 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 38 องศา ลมตะวัน ตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิ ต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 37 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วน มากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตก เฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วน มากบริเวณจังหวัดระนอง กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมี คลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ออสซี่เจอลมหมุน โรตีเตือนพายุโซนร้อน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ขณะที่ 3 ชาติแถบอเมริกากลาง คือ กัวเตมาลา เอล ซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส อยู่ระหว่างฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุโซนร้อน “อกาธา”...

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า พายุโซนร้อน “อกาธา” ที่พัดถล่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา

    ล่าสุด “เลนนอกซ์ เฮด” เมืองชายฝั่งในรัฐนิว เซาธ์เวลส์ ด้านตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย เผชิญเหตุพายุหมุน ความรุนแรงเทียบเท่าทอร์นาโดขนาดย่อม ที่ก่อตัวจากทะเลก่อนพัดถล่มชายฝั่งวันนี้ (3 มิ.ย.) ทำให้ต้นไม้หักโค่น หลังคาอาคารบ้านเรือนปลิวว่อน มีพื้นที่ทำลายล้างในรัศมี 300 เมตร มีบ้านพังยับเยิน 12 หลัง เสียหายบางส่วน 30 หลัง มีผู้บาดเจ็บ 6 คน และยังทำให้ผู้คนไม่มีไฟฟ้าใช้หลายพันคน

    รายงานข่าวแจ้งว่า ด้านประเทศโอมาน เตือนรับมือพายุไซโคลน “เพ็ต” ความรุนแรงระดับ 4 จะพัดถึงชายฝั่งด้านตะวันออกในวันศุกร์นี้

    และอาจกระทบเส้นทางหลักขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศ พร้อมสั่งอพยพผู้คนออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้ว อย่างไรก็ดี คาดว่าเพ็ตจะอ่อนกำลังลงเหลือระดับ 1 ก่อนพัดขึ้นฝั่งโอมาน จากนั้นลดระดับลงอีกเป็นพายุโซนร้อน และพัดมุ่งหน้าทางเหนือมหาสมุทรอินเดีย เข้าปากีสถาน และพื้นที่ใกล้เคียง

    ส่วนประเทศอินเดีย มีการประกาศเตือนภัยพลเมืองแถบชายฝั่งด้านตะวันตก เตรียมพร้อมรับมือพายุไว้แล้ว


    ด้านยอดผู้เสียชีวิตในเหตุน้ำท่วมและดินถล่มแถบภาคใต้ของจีน พุ่งถึง 38 คนแล้วและยังมีคนสูญหายอีก 14 คน

    สำหรับความคืบหน้าการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก

    หลังแท่นขุดเจาะน้ำมั่นระเบิดเกิดไฟลุกไหม้จมสู่ทะเลตั้งแต่วันที่ 20เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ บริษัทผู้รับผิดชอบยังอุดรูรั่วน้ำมันดิบใต้ทะเลไม่ได้ ขณะที่คราบน้ำมันขยายวงใกล้ถึงชายฝั่งรัฐฟลอริดาแล้ว ซึ่งจะเป็นรัฐที่ 4 ของสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...