ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) สงเคราะห์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พรเทวราช, 6 มิถุนายน 2010.

  1. พรเทวราช

    พรเทวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +426
    การธุดงส์ ถ้ำศรีฐาน



    [​IMG]




    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ 16 กรกฏาคม 2534 วันนี้ก็จะคุยกันถึงเรื่องธุดงค์
    <O:p
    ในตอนก่อนได้อำลาบรรดาเทวดาทั้งหลาย เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท บางท่านเห็นว่าเทวดาไม่มีความหมาย นางฟ้าไม่มีความหมาย นั่นไม่จริง หรือบางรายก็ไม่รับรองเทวดา นางฟ้าเสียเลย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เทวดามี นางฟ้ามี พรหมมี นรกมี สวรรค์มี แต่ว่าบางท่านที่บวชเข้ามาแล้วก็ลืมคำสอน ตอนนี้คิดว่า ตัวเองเป็นศาสดาเสียเอง สร้างศาสนาใหม่ คัดค้านความมีเทวดา ความมีนางฟ้า ถือว่า ไม่มีที่สุดในโลก



    [​IMG]


    <O:p
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้วก็พบเขา ๆ หนึ่ง เป็นเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่าชัฏ ป่าก็เป็นป่าเต็งรัง ตอนโคนโปร่ง ใบมีตอนยอด เหมือนกับใครเอาเสาไปตั้งไว้ เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นสถานที่น่าอยู่มาก มีความรื่นรมย์ ถ้ำกว้าง ปากถ้ำเล็ก แต่ว่าไม่เล็กมากนัก กว้างประมาณสัก 4 ศอก สูงประมาณสัก 6 ศอก แต่เข้าไปบริเวณในถ้ำปรากฏว่า กว้างขวางมาก เป็นที่สำหรับนอน 3 ที่ เป็นแท่นหินและก็มีธารน้ำไหล มีบ่ออาบน้ำมีห้องลับ ลับจากหิน เลี้ยวซ้ายเข้าไปจะมีถาน เป็นส้วม ส้วมนั่นก็มีธารน้ำไหล ถ่ายไปแล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ เหมือนกับว่า ถ้ำนี้มีใครมาสร้างไว้เพื่ออยู่ อากาศดีมาก
    <O:p
    ในเมื่อเขาไปในสถานที่นั้นเสร็จ วางของเสร็จ ก็ไม่มีสมบัติมาก มีบาตรหนึ่งใบ ย่ามหนึ่งลูก กลดหนึ่งชุด ผ้าสบงหนึ่งตัว ผ้าอาบหนึ่งผืน จีวรหนึ่งตัว สังฆาฏิหนึ่งตัว ผ้ารัดอกหนึ่งผืน ผ้าเช็ดปากอีกหนึ่งผืน มีเท่านี้เอง สมบัติอย่างอื่นไม่มีอีก
    <O:p
    เมื่อนั่งกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า เวลานี้เป็นเวลาใกล้กลางเดือนหก เราจะกลับวัดกันเมื่อไร เราจะขออยู่ที่ตรงนี้ จะอยู่ที่ตรงนี้จนกว่าจะถึงวันกลับ ทั้ง 3 องค์ ก็ตัดสินใจเห็นพ้องกันว่า ควรจะอยู่ที่นี่ การมาธุดงค์ไม่ใช่การธุเดิน การเดินไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาที่อยู่ ที่นี้เหมาะสม เสียงสุนัขเห่าหอนก็ไม่ได้ยิน คนเดินให้เห็นก็ไม่มี และเป็นป่าโปร่งมากน่าอยู่มาก





    <O:p
    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ถามท่านอินทกะ เมื่อนึกถึงท่านอินทกะท่านอินทกะก็ปรากฏ ถามท่านว่า เวลานี้จะอยู่ที่นี่ดีไหม ท่านบอกว่า ดีขอรับ ที่ผมพามา เพื่อต้องการให้มาอยู่ที่ตรงนี้ ที่นี้ไกลบ้านมาก สัตว์ร้ายมีเยอะ ผีร้ายก็มีมาก เทวดาที่เป็นอันธพาลก็มีมาก (ของท่านมากทุกอย่าง) ก็เลยถามว่า ในเมื่อของร้ายมีมาก ๆ ทำไมจึงน่าอยู่ ท่านก็บอกว่า มันน่าอยู่สิขอรับ เพราะจะได้ เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เป็นปกติ หรือว่าใช้ สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เห็นเสือมันมาก็คิดว่า ร่างกายเป็นอาหารของมันก็ช่างมันเถอะ มันจะกินร่างกายก็กินไป แต่กินใจเราไม่ได้ ใจเราจะไปสวรรค์ ใจเราจะไปพรหมโลก ใจเราจะไปนิพพาน เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าเสือกัดเมื่อไรไปเมื่อนั้น อย่างนี้จะมีความไม่ประมาท หรือว่าเห็นผีร้ายมาเมื่อไร ก็ตั้งใจนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างน้อยที่สุดตายก็ไปสวรรค์ ต่อจากนั้นไป ก็ตั้งใจใช้สมถะบ้าง วิปัสสนาญาณบ้าง



    [​IMG]


    <O:p
    ก็เลยถามว่า ท่านอินทกะมีความรู้มาก เวลานี้ท่านอยู่ระดับไหน ท่านอินทกะท่านบอกว่า เวลานี้ผมเป็น พระอนาคามี ท่านเป็นเทวดา ท่านกล้าพูด จึงได้บอกท่านว่า ถ้าอย่างนั้นถ้ามีอะไรขัดข้อง จะถามท่านได้ไหม ท่านก็บอก พร้อมจะบอกเสมอ ถ้าอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ผมพร้อมบอก และท่านที่จะบอกได้ มีอีก 4 องค์ คือ ท้าวมหาราช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท้าวเวสสุวัณ ก็เป็นพระอนาคามี อีก 3 องค์ก็เป็นพระอนาคามี เหมือนกัน และนอกจากนั้น ก็ยังมี พระอินทร์ โยมของคุณท่านเป็นพระอนาคามีเหมือนกัน ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบัน คน หรือเทวดาที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีใครโง่ ปล่อยอยู่แค่นั้น ท่านก็ฝึกฝนกำลังใจของท่าน จนกระทั่งเป็นพระอนาคามี ท่านพร้อมจะบอกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรหมชั้นที่ 8 ที่เป็นต้นตระกูลของท่าน ท่านก็พร้อมที่จะแนะนำ ท่านสหัมบดีพรหมก็ดี ท่านพร้อมจะแนะนำ และมีพระอริยเจ้าทั้งหลาย พร้อมจะแนะนำ





    <O:p
    การอยู่ที่นี่ดีมาก เราจะตัดโลภะ ความโลภ ได้จากการไม่อยากได้ทรัพย์สินต่าง ๆ ถามว่า ทรัพย์สินคืออะไร ท่านก็ชี้ให้ดูนี่ทองคำ มันดาดาษไปทั้งหมด ทองคำธรรมชาติ ดาดาษไปเต็มพื้นที่ และนี่เพชร (ด้านหลังเป็นเพชร) ด้านใต้นั้นลงไปเป็นน้ำมัน (ถ้าเจาะตื้นจะพบก๊าซ ถ้าเจาะลึก จะพบน้ำมัน) เป็นฐานน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลก ต่อไปถ้าคนไทยมีความฉลาด (นั่นก็หมายความว่า เลิกโกง เลิกกินกัน มีความฉลาดขึ้นมา มีความรู้ขึ้นมา) สามารถจะเจาะได้ จะสามารถเจาะน้ำมันใช้ได้แบบสบาย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทองคำนี่ถ้าเทวดาให้ (ท่านบอกว่า ถ้าเทวดาให้)
    <O:p
    ก็หมายความว่า ถ้าคนดีพอที่จะรับได้ เทวดาก็จะเปิดทางให้ เมื่อเทวดาเปิดทางให้ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีทองคำมาก จะเป็นประเทศที่มีแต่ความร่ำรวย ถามว่า เขานี้ เขาเรียกเขาอะไร หรือถ้ำอะไร ท่านบอก เราตั้งชื่อกันเองก็แล้วกัน มันไม่มีชื่อ ให้ชื่อว่า ถ้ำศรีฐาน (คำว่า ศรีฐาน คือ เป็นที่ตั้งแห่งมิ่งขวัญ แห่งความดี)



    [​IMG]


    <O:p
    ฉะนั้นการอยู่ที่นี่ จะพบแต่ความดี ท่านจะพบครูบาอาจารย์ เวลานี้ก็เป็นเวลาข้างขึ้น เดือนหก อีก 3 วัน ก็จะถึง วันวิสาขบูชา วันนั้นตั้งใจให้ดีจะพบของดี เมื่อท่านแนะนำแล้วท่านก็กลับ (คำว่า กลับของท่าน ก็หมายความว่า หายไป)
    <O:p
    หลังจากนั้นพวกเราก็อาบน้ำ น้ำเย็นสบาย ไม่เย็นมากเกินไป ถ้าต้องการอุ่น น้ำก็อุ่น ต้องการเย็น น้ำก็เย็น เหมือนกับใครมาตั้งเครื่องทำความเย็นความร้อนไว้ให้ น้ำใสสะอาดมาก มีบ่อ ๆ หนึ่ง เขียนหนังสือเป็นภาษาไทยอยู่ที่ปากบ่อว่า น้ำสำหรับดื่ม สำหรับในธารหรือในบ่อใหญ่ เขียนไว้ว่า น้ำสำหรับอาบ แต่ว่าน้ำไม่หยุดนิ่ง ไหลเรื่อย น้ำไหลซึมมา แต่สำหรับที่ถ่าย มีอีกทางหนึ่งต่างหาก เป็นธารเล็ก ๆ ไม่ใช่ธารใหญ่ไหลผ่าน มีเหมือนกับใครเอาไม้มาวางไว้สองแผ่น กระดานใหญ่สองแผ่น ถ่ายลงร่อง แล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ แต่กระแสน้ำนั้นจะไม่ไปรวมกัน รู้สึกว่า มีความสุขมาก

    หลังจากจัดสถานที่เสร็จ ก็เริ่มบวงสรวง และชุมนุมเทวดา เมื่อเสร็จแล้วก็ทำวัตรสวดมนต์ บทที่ลืมไม่ได้ก็คือ กรณีย์บทเล็ก ได้แก่ เมตตัญ จะ สัพพโลฯ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมานั่งเล่นข้างนอก มองดูต้นหญ้าต้นไม้ ต้นเต็งต้นรัง มีแต่เต็งรังทั้งนั้น ดาดาษไปหมด มองไปทางไหนเห็นไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีป่ารก เตียนหมด แต่ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นก็คือ เสือ กับช้าง (แต่ความจริง เสือนี่ไม่อยากเห็น เพราะเห็นทีไร เสืออาละวาดทุกที แต่บางครั้งเสือก็ดี แต่ความดีของเสือ อีตอนเสือหัวเราะนี่น่ากลัว เห็นฟันขาว ก็ไม่แน่ใจว่าแกจะหัวเราะดีใจ เพราะว่าจะได้กินเรา หรือว่าหัวเราะชอบใจก็ไม่ทราบ แต่สำหรับช้างนี่ดีมาก) จึงได้นึกในใจ แล้วพูดกันทั้ง 3 องค์ว่า เอ..แถวนี้มีพวกพ่อปู่หรือเปล่านะ ถ้ามีคณะพ่อปู่อยู่ เราจะสบายใจมาก เพราะอย่างน้อยที่สุด พ่อปู่เคยป้องกันอันตรายให้กับเรา อีกองค์หนึ่งในคณะก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าพ่อปู่มีในสถานที่นี้ ก็ขอเชิญให้พบหน่อย



    [​IMG]



    <O:p
    ก็นั่งคุยกันไปสัก 5 นาที เสียงใบไม้ เกร้าๆ ข้างหลัง หันไปดู ปรากฏมีพ่อปู่มาประมาณร้อยเชือกเศษฯ เป็นช้างสีดอนำหน้า นอกนั้นก็เป็นช้างพังบ้าง ช้างพลายบ้าง อยู่ข้างหลัง พอหันไปเห็นก็บอกว่า ขอบใจพ่อปู่ที่เมตตา ท่านหัวหน้าก็คุกเข่าลง ชูงวงขึ้นแสดงความเคารพ ทั้งฝูงก็ทำเหมือนกันหมด ก็เลยบอกท่านบอกว่า ถ้าจะมีอันตราย ขอคณะพ่อปู่มาช่วยด้วยนะ มาช่วยป้องกันปากถ้ำด้วย ฉันจะอยู่ในถ้ำ ถ้าหากว่ามีอะไรขัดข้อง ก็ขอโปรดให้สงเคราะห์ด้วย แต่ผลไม้นี่ไม่ต้องการ เพราะต้องการกินข้าวกับเทวดา ถ้าเทวดาไม่ให้กิน ก็ยอมอดตาย พ่อปู่ท่านยืนฟังหูผึ่ง อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็เทาลง ชูงวงขึ้น ท่านหันหลังกลับ ลูกน้องท่านทั้งหมดก็เทาลงไป แล้วก็ชูงวงขึ้น หันหลังกลับ ต่างคนก็ต่างเดินไป พ่อปู่ใหญ่เดินคุมหลัง สักครู่ก็หายไป





    <O:p
    หลังจากนั้นมา พอค่ำก็เข้าเจริญกรรมฐาน จิตใจเงียบสงบดีมาก การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าเคยบอก
    <O:p
    อันดับแรก ให้แผ่เมตตาจิตก่อน แผ่เมตตาจิตไปทั่วจักรวาลทั้งปวงว่า เราจะไม่เป็นศัตรูของใคร ใครเขาจะเป็นศัตรูของเรา นั่นเป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นมิตรที่ดีของคน และสัตว์ทั้งโลก แล้วแผ่เมตตาไปทั่วหมด จิตใจก็สบาย<O:p
    หลังจากนั้นก็เริ่มระงับนิวรณ์ (นิวรณ์ทั้ง 5 ประการ คือ 1. กามฉันทะ 2. พยาบาท 3. ความง่วง 4. จิตฟุ้งซ่าน 5. สงสัย) ทั้ง 5 ตัวนี่ต้องไม่มีในใจ ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาสิงใจเช้าอดข้าว



    [​IMG]


    <O:p
    เป็นอันว่าเราก็ต้องคุมอารมณ์นี้ไว้ไม่ให้มันปรากฏขึ้น วิธีคุมอารมณ์ก็ไม่ยาก ก็จับอานาปานสติ ก็ไม่แน่นอนนัก อานาปานสตินี่ ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เผลอ ทางที่ดีที่สุด ก็หาเพื่อนคุย เพื่อจะมาคุยกับเรา มีหรือไม่มี บางคราวก็มีมา ในเมื่อท่านไม่มาหาเรา เราก็ไปหาท่าน
    <O:p
    เพื่อนคุยอันดับแรกที่เคารพที่สุดก็คือ พระยายม อันดับแรกลงไปหาพระยายมก่อน คุยกับท่านและนายบัญชี ถ้าท่านว่าง ไปดูการตัดสินของท่าน ดูคนที่คอยการลงโทษ หรือว่าคอยการพ้นโทษ ดูไว้เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อเราจะไม่ต้องไปอย่างเขา ถ้าบุคคลใดถูกตัดสินลงโทษ มีเจ้าหน้าที่ (คือ นายนิรยบาล) นำไป ก็ตามไปด้วย ดูว่า เขาพวกนั้นไปลงนรกขุมไหน มีสภาพเป็นอย่างไร แล้วกลับมาดูบุคคลที่พ้นโทษ ไม่ต้องถูกลงโทษ ไปสวรรค์ ไปสวรรค์ชั้นไหน มีสภาพเป็นอย่างไร และเขาให้การกับพระยายมว่าอย่างไร จึงไม่ต้องโทษ รวมความว่า อันดับแรก สำนักพระยายม
    <O:p
    คณะต่อมา คณะท่านท้าวมหาราช หรือบริวารของท่าน ว่าง ๆ เห็นท่านอยู่ใกล้ ๆ ก็เรียกมาคุยกัน การคุย ทำให้ลืม นิวรณ์ 5 ประการ หรือบางทีก็ย่องไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปคุยกับโยมบ้าง ไปพรหม ก็ไปคุยกับ โยมบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง อย่างนี้เป็นต้น
    <O:p
    รวมความว่าหาเรื่องคุยจิตก็ไม่คบนิวรณ์ แม้จะไปพบนางฟ้าที่สวย ๆ ก็ไม่ลืมตัวว่า เราเป็นมนุษย์ เขาเป็นนางฟ้า มันแต่งงานกันไม่ได้ นางฟ้าแต่ละคนท่านก็ดี มีลีลาน่ารัก ไปถึงก็แสดงความเคารพ ในเมื่อเขาเคารพแล้ว เราก็รักเขาแบบชู้สาวไม่ได้ อันนี้เป็นวิธีการหนึ่ง ที่เราจะระงับนิวรณ์


    [​IMG]



    <O:p
    หรือถ้าหากว่าจะมีคนถามว่า ถ้าไปไม่ได้ตามนั้นจะทำอย่างไร อันนี้ก็ขอตอบว่า ถ้าไปไม่ได้มันก็ต้องเป็นเหยื่อของนิวรณ์บ้าง เป็นบางเวลา บางเวลาก็ชนะ บางเวลาก็แพ้ ถ้าไปได้ คุยได้ตามนี้ละก็ ไม่มีทางแพ้แน่ ความเจริญถ้าเราอยู่เฉย ๆ เราแพ้ ถ้าเราหาเพื่อนคุย เราไม่แพ้ ถามว่าจะคุยเรื่องอะไร ก็ตอบว่า ถ้าไปสวรรค์ เราก็เรียกเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ทีละองค์สององค์ หรือท่านมาหลายองค์ มานั่งคุยกัน ถามว่า เวลาท่านเป็นมนุษย์ ท่านทำอย่างไร ถึงมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้
    <O:p
    ท่านก็ให้ดูภาพเดิม แต่ละองค์ก็มีบาป เคยทำบาปมามากเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำบุญทำกุศล เหมือนกับบรรดาประชาชนทั้งหลายเดี๋ยวนี้เหมือนกัน ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ (ความชั่วคือ บาป ความดี คือ บุญ) แต่ว่าเวลาจะตาย จิตนึกถึงบุญก่อน นึกถึงทานบริจาคบ้าง นึกถึงพระที่เคยบูชาบ้าง นึกถึงการใส่บาตรกับพระสงฆ์บ้าง นึกถึงการไหว้พระบ้าง นึกถึงงานการก่อสร้างบ้าง อะไรก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่เป็นบุญก็เข้าสิงใจ เมื่อสิ่งที่เป็นบุญเข้าสิงใจ ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อตายแล้ว บุญก็พามาก่อน แต่ว่าถ้าผมเผลอไม่ทำบุญต่อเมื่อหมดบุญแล้ว ผมต้องลงนรกขุมนั้นขุมนี้ แต่ผมไม่ยอมแล้ว ก็รวมความว่า เป็นวิธีการหนีนิวรณ์ (นี่เล่ากันอย่างย่อ ๆ นะ)



    [​IMG]


    <O:p
    ต่อมาอีก 2-3 วัน ทุกวันก็ออกเดินจงกรม (เดินจงกรม ก็คือ เดินธรรมดา นี่เอง) ป่ามันร่มรื่น มันน่าเดินเที่ยว เดินไปไกล ๆ เดินแก้เมื่อย เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นโน้น ต้นโน้นถึงต้นนั้น จะไกลแสนไกลขนาดไหน ก็ไม่มีการรกรุงรัง ไม่มีป่าชัฏมีแต่ต้นรัง ยืนเป็นแถวเต็มไปหมด
    <O:p
    ปรากฏว่ามาวันหนึ่ง อยู่ได้ประมาณ 5 วัน เมื่อขณะที่เดินจงกรมไป (คำจงกรมก็เดินแบบธรรมดา ๆ ไม่ใช่ค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง ไอ้แบบค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง นี่เขาเป็นเกณฑ์บังคับ ถือว่าเป็นการฝึกเบื้องต้น ทีนี้การฝึกขั้นปลาย เขาใช้เดินธรรมดา เดินธรรมดา ให้ใจมันพร้อมไปกับเท้า ใจคิดถึงด้านของความดี ไปพร้อมกับเท้าที่ลง)


    <O:p
    เมื่อเดินไปก็ปรากฏว่า พบพระองค์หนึ่งสูงใหญ่ ห่มจีวรสีกรัก มีย่ามหนึ่งลูก มีบาตรหนึ่งลูก มีไม้เท้าหนึ่งอัน (ไม้เท้า ก็คือ ไม้ท่อน) ท่านเดินสวนทางมา (ไอ้ความรู้สึกมันจะหลอก หรือไม่หลอกก็ไม่ทราบ) ความรู้สึกก็นึกว่า พระองค์นี้คงเป็น พระมหากัสสป จิตมันมีความรู้สึกขึ้นเอง พอจิตนึกอย่างนั้น เสียงท่านบอกว่า ใช่แล้ว คิดถูกแล้ว ตกใจเพียงแค่คิด ท่านบอกว่าใช่แล้ว ถูกแล้ว ก็นั่งลงกราบท่าน ท่านก็นั่งลง ถามว่า พระคุณเจ้ามาอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ที่มานี่ ก็จะมาเตือนน่ะสิ เห็นมาธุดงค์แบบฉัน ฉันก็พระชอบธุดงค์ เธอก็ชอบธุดงค์ จะได้เล่าเรื่องธุดงค์ให้ฟังสักหน่อยหนึ่ง เลยให้ท่านเล่าให้ฟัง
    <O:p
    แต่ว่าท่านเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ท่านบอกว่า การธุดงค์ ต้องฝึกเข้า นิโรธสมาบัติ พอใช้คำว่า นิโรธสมาบัติ เราก็ตกใจ คิดว่าคนอย่างเราไม่สามารถจะทำได้ ท่านบอกว่า คุณอ่านแต่หนังสือไม่เข้าใจ อาจารย์คุณก็ไม่สอน สอนแต่ ผลสมาบัติ แต่ความจริงผลสมาบัติกับนิโรธสมาบัติ มันก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่านิโรธสมาบัติ เราจะกำหนดเวลายาวหน่อย ผลสมาบัติเข้าตามเวลา ออกตามเวลาเล็กน้อย



    [​IMG]


    <O:p
    นิโรธ แปลว่า ดับ สมาบัติ แปลว่า เข้าถึง เข้าถึงความดับทุกขเวทนา นิโรธสมาบัติ เขามีเขตบังคับว่า ต้องใช้ฌาน 4 เป็นพื้นฐาน แต่พวกคุณเองก็ชำนาญในฌาน 4 มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรหนักใจ แต่ที่ผมพูดนี่ คุณหนักใจ เพราะว่าคุณไม่เคยทำ ไม่เข้าใจมาก่อน แต่ที่คุณทำ ๆ อยู่นั่นแหละ ก็เป็น นิโรธสมาบัติ อยู่แล้ว แต่ใช้เวลาน้อย ใช้เวลาเพียง 10 นาทีบ้าง 20 นาทีบ้าง 30 นาทีบ้าง ขณะที่นั่งไป มันไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย จิตสว่างโพลงอย่างนี้ ก็เป็น นิโรธสมาบัติ จิตต้องตั้งไว้เพื่อนิพพานโดยเฉพาะ คือว่าจิตตั้งไว้โดยเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง จิตแยกจากประสาทเด็ดขาดไม่รู้เรื่องของร่างกาย เป็นฌาน 4 อย่างนี้เป็นนิโรธะ อย่างหนึ่ง
    <O:p
    และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อจิตเข้าถึงฌาน 4 แยกออกจากกายแล้ว จิตอารมณ์มีความสงัด หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง พ้นไปเสียจากร่างกาย ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย มันก็เป็น นิโรธสมาบัติ เหมือนกัน ทั้ง 2อย่างนี้ จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ว่ากำหนดเวลาว่าง เราจะใช้เวลาสัก 3 วันหรือ 5 วันหรือ 7 วัน หรือ 9 วันหรือ 15 วัน ก็ตามใจชอบ
    <O:p
    เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว จะต้องเหาะไปบิณฑบาต ท่านบอกว่า ไม่จำเป็น พวกคุณยังเหาะไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเหาะ ถึงแม้ว่าเหาะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหาะ ที่เขาเหาะไปแบบนั้น เขาจะโปรดคนจน คนไหนที่ยากจนมาก แต่ว่ามีศรัทธา ถ้าใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติเพียงครั้งเดียวในชีวิตเขาจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น แต่นี่เราเข้าเพื่อเราเอง ไม่จำเป็นต้องเหาะไป พอหลังจากคุณออกจาก นิโรธสมาบัติแล้ว เทวดา นางฟ้าก็จะเลี้ยงเอง



    [​IMG]


    <O:p
    เวลานี้เทวดา นางฟ้าท่านพร้อมแล้ว ตั้งแต่พรหมลงมา ก็หวังในบรรดาพวกคุณทั้ง 3 องค์ ต้องการให้คุณทั้ง 3 องค์ เข้านิโรธสมาบัติ ถามว่า ท่านทำบุญแล้ว ท่านจะมีผลเป็นอย่างไร ท่านบอก ถ้าทำบุญกับพวกคุณแล้ว จะมีรัศมีกายสว่างขึ้น เทวดา กับนางฟ้า หรือพรหมก็เช่นเดียวกัน ใครมีรัศมีกายสว่างมาก คนนั้นมีบุญญาธิการมาก (เรียกว่า มีบุญมาก)<O:p
    ท่านก็แนะนำว่า วิธีการมีไม่มาก ใช้ตามแบบที่คุณทำอยู่แล้ว อันดับแรก คุณซ้อมน้อย ๆ ก่อน จับตั้งแต่หัวค่ำ ยันสว่าง เราจะไม่ถอนสมาธิ ตั้งใจไว้ กำหนดเวลาไว้ ถ้าแสงอรุณขึ้นเมื่อไร ให้จิตตกทันที หรือว่าเราจะใช้ 2 วัน 3 วันก็ได้ ทีแรก ๆ เอาแค่น้อย ๆ ก่อน เข้ากันทุกวัน พอถึงตอนเย็นปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ เข้านิโรธสมาบัติ
    <O:p
    เป็นอันว่า ใช้นิโรธสมาบัติตอนกลางคืน กลางวันนอน กลางวันกินข้าวเวลาเดียว เทวดาเลี้ยงแล้ว เราก็นอน ใช้อย่างนี้สะดวกดี หรือถ้านาน ๆ หนัก ๆ เข้า ถ้ารำคาญ วันเดียวไม่เอา ลอง 2 วัน ลอง 3 วัน ลอง 4 วัน ลอง 5 วัน ลอง 7 วัน ก็ได้ ตามใจชอบ ก็ยอมรับ ก็ถามท่านว่า อย่างพวกผม 3 องค์นี่ทำได้นะขอรับ ท่านบอกว่า อย่าย้สิ ฉันพูดแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะกลับละนะ ฉันหมดห่วง ที่มานี่ห่วงเพียงเท่านี้ สงสารเทวดา นางฟ้าท่าน ท่านพร้อมอยู่แล้ว



    [​IMG]


    <O:p
    พวกเราก็มีความรู้ใหม่ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ ก็ไม่จำเป็นต้อง 7 วัน 15 วัน เสมอไป ก็เรียกว่า เข้ากันทุกวัน และมันก็ดีที่สุด พอพลบค่ำปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ (ทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้เวลาไม่มาก) ก็เริ่มเข้านิโรธสมาบัติ จับพับ จับ อานาปานสติ ก็ไม่ต้องใช้เวลามาก ใช้เวลาเพียงครึ่งนาที จิตก็เข้าถึงฌาน 4 เต็มกำลัง ในตอนต้น ก็ตั้งอารมณ์เฉพาะจุดก่อน หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ ตั้งใจว่า ถ้าสว่างจะให้จิตตกจากสมาธิ บางทีเราเที่ยวเพลินไป พอจะสว่าง เทวดาก็เตือนว่า สว่างแล้วครับ
    <O:p
    หลังจากนั้นลงมา เทวดานางฟ้าก็มาใส่บาตร คราวนี้ท่านไม่แต่งตัวเป็นคนแล้ว ท่านมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีเครื่องเต็มยศออกมาเลย ท่านมากันมาก ข้าวที่ท่านใส่ รู้สึกว่ามาก แต่ก็กินพอดีหมดไม่เหลือ


    [​IMG]





    <O:p
    ก็รวมความว่า ทำแบบนี้ตลอดมา ตั้งแต่ต้นเดือน 6 ข้างขึ้น จนกระทั่งถึงเดือน 8 ข้างขึ้น พอถึงขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ก็เดินทางกลับ การเดินทางกลับ บรรดาท่านพุทธบริษัท (เขตนี้ทราบภายหลัวว่าเป็น เมืองขอนแก่น) จากเมืองขอนแก่น มาถึงอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานี้ถ้าเดินกันจะต้องถึงหนึ่งเดือน แต่ว่าพวกเราใช้เวลาเดินแค่ 3 วัน วันแรกรู้สึกว่าเดินมาเรื่อย ๆ ในป่า วันที่สองก็เดินมาเรื่อย ๆ ตามธรรมดา กลางคืนก็หลับตามทาง (ปักกลด) พอคืนที่สาม ปรากฏว่าตื่นขึ้นมาอยู่หลังวัด ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร ก็ตกใจ ถามท่านอินทกะว่า ทำไมถึงมาถึงได้เร็วอย่างนี้ มันมาอย่างไร เมื่อคืนนี้หลับ
    <O:p
    ท่านบอกว่า โยมคุณ ท่านเกรงว่า คุณจะเข้าพรรษาไม่ทัน ท่านเลยใช้อำนาจเทวดานุภาพ บันดาลให้มาอยู่หลังวัด ก็กราบท่าน เมื่อกราบในที่ว่าง ก็ปรากฏภาพองค์ท่านขึ้นมาพอดี ท่านบอกว่า คุณทำอย่างนี้ให้ดีทุกปีนะ โยมจะดีใจมาก เทวดา และนางฟ้าก็ดีใจมาก
    อ้างอิง หนังสือ คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
     
  2. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอบคุณมากครับ
    เรื่องราวดีน่าอ่านมาก
    อนุโมทนาครับ
     
  3. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอบคุณที่ลงให้อ่านค่า
     
  4. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    คำว่า "อินทกะ" หลวงพ่อบอกว่า เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชซึ่งมีโอกาสขึ้นเป็นท้าวจาตุมหาราชเมื่อท่านที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนพ้นไปจากตำแหน่ง ในแต่ละทิศก็มีนับพันองค์ทีเดียว ยกตัวอย่าง เสด็จเตี่ย (กรมหลวงชุมพรฯ) ก็เคยเป็นอินทกะมาก่อนขึ้นเป็นท้าววิรุฬหกในปัจจุบัน

    ส่วนท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชาวดาวดึงส์ครับ
     
  5. puvanut

    puvanut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +110
    โมทนา สาธุ ด้วยครับ
    ขอบพระคุณ มาก ครับผม
     
  6. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  7. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  8. ker-kanok

    ker-kanok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +96
    อ่านแล้วชื่นใจมาก กราบพระรูป ทั้ง 2 องค์ ขนก็ลุกซู่
     
  9. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    satu satu satu
     
  10. [บุชช่า

    [บุชช่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +46
    พระอินทร์ ท่านชอบคนที่ปฏิบัติ ละกิเสส ไม่โกรธใคร
     
  11. ดูจิตตน

    ดูจิตตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +250
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อยากทำบุญกับพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติบ้างจัง
    เทวดาท่านโชคดีจริงๆ ^^โมทนากับท่านด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...