น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    [FONT=&quot]ผมขอยกความในหนังสือ [/FONT]The Buddha Said... [FONT=&quot]แต่งโดย [/FONT]OSHO http://en.wikipedia.org/wiki/Osho_(Bhagwan_Shree_Rajneesh)
    [FONT=&quot]เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ ทางพุทธศาสนา ให้กับชาวเว็ปพลังจิตทุกท่านที่พร้อมเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ มีจิตใจกว้างขวาง ถ้าได้ฟังคำที่ผิดจากความเชื่อเดิมๆของตน ก็อย่าเพิ่งค้าน วางความยึดมั่นถือมั่นเดิมๆของตนเอาไว้ก่อน อ่านด้วยใจที่พร้อมพิจารณาสิ่งใหม่กันนะครับ[/FONT]
    <o></o>
    <o></o>
    "....
    I have heard:
    <o></o>
    The seasick passenger lying on his desk chair stopped a
    passing steward. Pointing into the distance, he said, "Over there - it's land, isn't it?"
    "No, sir," replied the steward. "It's the horizon."
    "Never mind," sighed the passenger, "it's better than nothing."
    But the horizon is nothing. How can it be better than nothing?
    It only appears to exist, it is not really there.Nothing exists like the horizon;
    the horizon is just illusory. But even that, to a seasick passenger, seems to be good.
    It is at least something - better than nothing. Belief, to Buddha, is like the horizon.
    Your gods are like horizons, mirages. You believe in them because you need them.
    But your need cannot be a guarantee of their truth. Your need cannot be a guarantee of their reality.
    ....."
    " [FONT=&quot]ฉันเคยได้ยินมาว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้โดยสารที่กำลังเมาเรือ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ของเขา ได้เรียกพนักงานบริการบนเรือ แล้วชี้ไปข้างหน้าแล้วถามขึ้นว่า [/FONT]
    “[FONT=&quot]นั่นคือแผ่นดินใช่มั้ย[/FONT]”
    “[FONT=&quot]ไม่ใช่ครับ[/FONT]”[FONT=&quot] พนักงานบริการบนเรือตอบ [/FONT]“[FONT=&quot]นั่นเค้าเรียกว่าเส้นขอบฟ้า[/FONT]”
    “[FONT=&quot]ไม่เป็นไร[/FONT]”[FONT=&quot] ผู้โดยสารท่านนั้นพูด [/FONT]“[FONT=&quot]มีเส้นขอบฟ้าก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย[/FONT]”
    [FONT=&quot]แต่เส้นขอบฟ้า ก็คือไม่มีอะไรเลย แล้วมันจะดีกว่าไม่มีอะไรเลยได้อย่างไร[/FONT]
    [FONT=&quot]มันเพียงแค่ปรากฎอยู่ แต่มันไม่ได้มีอยู่จริงๆ ไม่มีสิ่งใดปรากฎอยู่จริงๆเช่นเดียวกับเส้นขอบฟ้า ที่เป็นแค่เพียงภาพลวงตา [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สำหรับผู้โดยสารที่กำลังเมาเรือท่านนั้นแล้ว มันก็ยังดี ที่อย่างน้อยยังพอมีอะไรบ้าง ดีกว่าไม่มีอะไรเลย[/FONT]
    [FONT=&quot]ความเชื่อสำหรับพระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือนเส้นขอบฟ้า พระเจ้าของท่านทั้งหลายก็เป็นเฉกเช่นเส้นขอบฟ้า เป็นเพียงภาพมายา [/FONT]
    [FONT=&quot]คุณเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเพราะว่าคุณต้องการมัน แต่ความต้องการของคุณไม่สามารถยืนยันถึงความมีอยู่จริงของสิ่งเหล่านั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ความตั้องการของคุณไม่สามารถบืนยันความเป็นจริงได้ "[/FONT]
    <o></o>
    "....The deeper you go into your mind, the deeper you will go in your childhood.
    Many things forgotten, lost - again, they are there. Nothing is ever lost, every thing goes on accumulating.
    When you come to a point where you cannot find anything, then you have come to your beings. The being is not like a layer;
    the being is simply space, pure space. The being is simply emptiness.
    Buddha calls being "non-being", he calls it anatta. Buddha says if you find yourself,
    then there must be some layer still left. When suddenly you come to a point where you cannot find yourself- you are,
    and you cannot find yourself- then you have come home..."
    <o></o>
    “ [FONT=&quot]ยิ่งท่านเข้าสู่จิตได้ลึกเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งสามารถกลับไปถึงอดีตของท่านได้เท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลายสิ่งหลายอย่างถูกหลงลืมไป สูญหายไป แต่ทุกสิ่งยังคงอยู่ที่นั่น ไม่มีสิ่งใดได้หายไปจริงๆ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเก็บสะสมไว้ เมื่อท่านเข้ามาถึงจุดที่ท่านไม่สามารถค้นหาสิ่งใดได้อีกต่อไป[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อนั้นท่านจะได้เข้ามาถึง[/FONT]
    [FONT=&quot]ตัวตนที่แท้จริง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งที่[/FONT][FONT=&quot]ตัวตนที่แท้จริงนั้น ไม่ได้เป็นชั้นๆ แต่เป็นเพียงพื้นที่ พื้นที่ที่บริสุทธิ์ เป็นเพียงความว่าง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า ความไม่มีตัวตน หรือ อนันตา พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าท่านค้นหาตัวเอง ท่านจะได้พบชั้นที่อยู่ภายใต้ชั้นที่ท่านได้ตัดออกไปเรื่อยๆ เมื่อใดที่ท่านเข้ามาถึงจุดที่ ท่านไม่สามารถหาตัวท่านเองได้อีกต่อไป เมื่อนั้น ท่านไม่สามารถแม้จะหาตัวตนของท่านเจอ เมื่อนั้นท่านได้กลับบ้านแล้ว”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]...................................................................................................................................................................................[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]และผมอยากฝากไว้สักนิดนะครับ[/FONT][FONT=&quot]ว่าในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาซึ่งมีต้นกำเนิดในอินเดียมีการใช้คำที่เป็นเชิงเปรียบเทียบมากมายตามวัฒนธรรมของเค้าที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพรามณ์มาอย่างยาวนาน เราไม่ควรพิจารณาคำหรือประโยคตรงๆแล้วนำไปคิดว่าแปลตรงๆ โดยไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของประโยคนั้นๆว่าต้องการจะสื่อความถึงอะไร[/FONT][FONT=&quot]ตัวอย่างเช่น[/FONT][FONT=&quot]เมื่อเร็วๆนี้มีผู้ตั้งกระทู้ถามว่าบรรลุโสดาบันแล้วต้องเกิดใหม่อีก 7 ชาติจริงเหรอ ผมขอยกประโยคของผู้รู้อย่างท่าน OSHO [/FONT][FONT=&quot]มาให้ลองศึกษากันนะครับกันนะครับ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“Next is the Srotapana. The srotapana dies seven times and is born seven times, when he finally attains arhat ship”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]ต่อไปก็คือพระโสดาบัน พระโสดาบันตายเจ็ดครั้ง และเกิดอีกเจ็ดครั้ง และในที่สุดท่านก็จะบรรลุพระอรหันต์[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]These are just symbolic, don’t take them literally… these are just symbolic things. “Seven” does not mean seven. It means many times he will die, many times he will be born, but face is turned towards the ocean. He has entered into the <st1>Ganges </st1>and the journey has started.<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ อย่าได้แปลมันคำต่อคำ เพราะมันเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น [/FONT][FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]เจ็ด[/FONT][FONT=&quot]”[/FONT][FONT=&quot] ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเจ็ดจริงๆ มันหมายความถึงว่าเขาต้องตายและเกิดอีกหลายครั้ง แต่โชคชะตาของผู้บรรลุพระโสดาบันจะมุ่งหน้าไปสู่ความหลุดพ้นในที่สุด เส้นทางของเขาเริ่มต้นแล้ว[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]...................................................................................................................................................................................[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา[/FONT][FONT=&quot]”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านฝากไว้ให้แก่โลก ท่านต้องการให้เราเห็นธรรมก่อนแล้วจะเห็นท่านเอง ผมมีความคิดเห็นว่า เรามาพิจารณาธรรมของพระองค์ก่อนซึ่งพิสูจน์ได้แน่นอน(แม้สิ่งใดที่ปรากฎในพระไตรปิฎกแต่เมื่อลองปฏิบัติแล้วกลับทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่น เกิดอัตตา เกิดความทุกข์ ก็ไม่ผิดนะครับที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่พุทธศาสนาจริงๆ อาจเป็นเพียงเปลือกที่มาเกาะกินพุทธศาสนาเสียมากกว่า) [/FONT][FONT=&quot]ดีกว่า[/FONT][FONT=&quot]ที่จะไปอ่านหรือฟังพุทธประวัติและเรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ที่ไม่รู้แน่นอน และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่ รวมถึงไม่ใช่หนทางสู่ความหลุดพ้น กันดีกว่านะครับ(โดยจริงแล้วเรื่องเหล่านี้สามารถชักจูงผู้คนให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาในตอนต้นได้ แต่มาถึงขั้นนี้กันแล้วก็ควรปล่อยวางเรื่องราวทำนองนี้ลงเสียกันบ้างนะครับ)<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2010
  2. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตกลงแล้วหลักสูตรนี้นำออกไปใช้แล้วหรือยังเนี่ย

    คงสมใจพวกที่อยากจะทำลายพระพุทธศาสนา

    แต่จะว่าไปมันก็เป็นกรรมของใครของมันนี่นะ

    ศาสนาพุทธเองก้ตั้งอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ไม่มีข้อยกเว้น

    แต่คนที่ทำให้ผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐินี่สิ น่าเห็นใจที่จะต้องรับกรรมหนัก

    เอาเถอะครับ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขอแค่พิจารณาด้วยปัญญา มีสติ

    ถ้าท่านไม่รักคนอื่นก็ขอให้รักตัวเองละกัน เพราะคติที่ไปน่ะมันเป็นของท่านเอง

    ขอให้โชคดี

    สาธุ
     
  3. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    สงสัยผมกำลังคุยอยู่กับคนบ้า

    ผมไม่เคยพูดกับใครแบบนี้ แต่วันนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดตรงๆ

    ผมก็ตอบไปแล้วว่าผมยอมรับ แล้วอย่างไรล่ะ ท่านก็ตอบคำถามผมบ้างสิ

    ทางที่ดีท่านควรตอบคำถามที่ผมถามท่านทั้งหมดก่อน

    ผมเคยพูดเหรอว่าจิตเป็นสิ่งอมตะ ผมไม่เคยพูด เพราะผมยังไม่ได้เป็นผู้รู้จริง แล้วผมก็บอกว่ามันเกิดและตายอยู่ตลอด ผมบอกแค่นั้น

    หลักธรรมมีมากมาย แต่ยึดหลักกาลามสูตรอย่างเดียว ก็เจริญล่ะสิพระพุทธศาสนา

    ผมตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไมเข้ามาโพสอีก เนื่องด้วยว่า ผมได้เข้าใจหลักธรรมอย่างหนึ่งแล้ว คือ คุยกับคนบ้า หาประโยชน์ไม่ได้เลยจริงๆ กู่ไม่กลับอย่างที่ท่านทั้งหลายว่านั่นแหละ

    ตอบอะไรไม่ได้ก็เอาหลักกาลามสูตรมาอ้าง ทั้งที่หลักนั้นเป็นสาเหตุแห่งการนำมาซึ่งการพิสูจน์แต่กลับเอามาประกอบการจินตนาการณ์ของตัวเองล้วนๆ

    หากท่านอยากพิสูจน์ว่าจิตมันทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ได้จริงไหม ก็ PM มาก็แล้วกัน ผมยินดีจะให้พิสูจน์ แต่ก็คงเปล่าประโยชน์ เพราะท่านคงไม่เชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ดี ผมอาจจะใช้จิตเปิดโทรทัศน์ให้ท่านดู ท่านก็จะบอกว่า คุณจินตนาการณ์ไว้หมดแล้วว่าโทรทัศน์วันนี้เขาจะฉายภาพอะไรพูดยังไงบ้าง(ผมรู้ว่าคนบางคนโง่ได้ถึงขนาดนั้น)
    ทั้ง IQ EQ ไม่ได้เรื่องสักอย่าง แล้วมาเขียนเว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ(หัวเราะ) จะอวดโง่ไปถึงไหนบอกผมที สิ่งที่คุณรู้มันแค่ในหนังสือเรียน ที่ฝรั่งมันบอกว่าต้องรู้แค่นี้ เท่านั้นแหละ
    จากการตอบคำถามไม่เคยตอบตรงประเด็น ลากคนอื่นเข้าสู่วังวนของความคิดตัวเอง หวังอยากให้คนอื่นเข้าใจแบบตัวเอง โดยที่เรื่องของคนอื่นบอกว่ามันเพ้อเจ้อไปหมด

    จบเถิดครับทุกท่าน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงเขียนได้ถึง 98 หน้า ถ้าไม่บ้าผมก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วล่ะ พูดไปก็เปล่าประโยชน์ จะไปเอาอะไรกับคนบ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2010
  4. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    [FONT=&quot]เนื่องจากมีการถกเถียงกันมากในเรื่องฮินดูกับพุทธ ผมอยากแนะนำหนังสือดีดีเล่มหนึ่งที่ให้มุมมองเกี่ยวข้องกับหลักและจุดสูงสุดในศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและมหายาน[/FONT] [FONT=&quot]เปรียบเทียบกันเองและเปรียบเทียบกับของศาสนาฮินดู[/FONT] [FONT=&quot]หวังว่าหนังสือเล่มนี้คงพอมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย[/FONT]
    [FONT=&quot]อาจจะอ่านยากและใช้เวลานานเพราะเป็นหนังสือเชิงวิชาการ แต่ผมคิดว่าคุ้มค่าที่จะอ่านนะครับ[/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:67.5pt; height:99.75pt'> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\dhapena.d\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://www.se-ed.com/eShop/%28A%28rm9LPAD9ygEkAAAAZmE1YTcyZmUtOWFkNi00Nzc5LWFkMTUtODhhZDYxMWEyNTdjd7sx_cueZCtjSJCPC9DH_lXSZcY1%29%29/Products/image.axd?picture=9789744093127.gif&Type=Thumnail"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[FONT=&quot]ชื่อหนังสือ: ฮินดู-พุทธ จุดยืนที่แตกต่าง [/FONT][FONT=&quot] -- สุมาลี มหณรงค์ชัย
    [/FONT] เนื้อหาโดยสังเขป หนังสือเล่มนี้นับว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่าและให้ความรู้เชิงวิเคราะห์เป็นอย่างดีการพิจารณาปัญหาที่มีขอบเขตแคบอาจไม่คุ้นกันในสังคมเราแต่นั้นเป็นวิธีที่จะศึกษาวิชาในเชิงลึก หนังสือเล่มนี้มีคุณูปการแก่การศึกษาศาสนาในเมืองไทยและมีส่วนบุกเบิกการศึกษาศาสนาในเชิงวิชาการ เล่มหนึ่ง
    :: สารบัญ
    -การแบ่งยุคของปรัชญาอินเดย
    -ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแบ่งยุคปรัชญาอินเดีย
    -ความจริงสูงสุดในคำสอนของสาสนาฮินดู
    -ความจริงสูงสุดในคำสอนของพุทธศาสนา
    -พัฒนาการอุปนิษัท
    -แนวคิดพรหมันกับนิพพานของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
    -แนวคิดพรหมันกับความจริงปรมัตถ์ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
    -จุดยืนที่แตกต่างระหว่างอุปนิษัทกับพระพุทธศาสนา
    -ข้อพึงระวังในการศึกาคำสอนพุทธศาสนา

    :: ข้อมูลเพิ่มเติม
    ศ.ปรีชา ช้างขวัญยืน ราชบัณฑิต
    อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    รศ.ดร.สมภาร พรมทา
    อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ที่มา ��ҹ˹ѧ����͹�Ź�������¡��˹ѧ��� ����ռ�����ԡ���ҡ����ش����ͧ�� SE-ED.com The Knowledge Provider
     
  5. ccdd

    ccdd Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +26
    เรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ นี้ เถียงกันไปยังไงก็พิสูจน์กันไม่ได้แน่ๆ เป็นเรื่องอจินไตย คิดไปก็เปล่าประโยชน์ เคยดูภาพยนตร์ต่างประเทศแนววิทยาศาสตร์หลายเรื่องก็จินตนาการกันไปในเรื่องที่เป็นอจินไตยเหล่านี้ แต่ในที่สุดก็สรุปไม่ได้ เช่นว่า เวลาเริ่มต้นเมื่อไหร่ แล้วก่อนหน้านั้นละ?? จักรวาลสิ้นสุดที่ไหน แล้วพ้นไปจากขอบที่สิ้นสุดละ เป็นอะไร ??

    พวกเราส่วนใหญ่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ นั้นท่านรู้ทุกอย่าง แต่ผมคิดว่าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นั้น คือ ตรัสรู้เรื่องของ ทุกข์ และการดับทุกข์ ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาตินั้น น่าจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมขึ้นภายหลังปนเข้ามาในพระไตรปิฎก เพื่อให้มีเรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ สำหรับใช้ดึงดูด ผู้คนส่วนใหญ่เข้ามา ช่วยให้สามารถรักษาพระศาสนาไว้ได้ เพราะถ้าใช้แต่หลักที่เป็นแก่นแท้ของศาสนาเพียงประการเดียว ก็จะมีคนเข้าใจน้อยมาก และศาสนาก็จะสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน

    บทเรียนในกระทู้นี้ บอกว่า การเกิดข้ามภพข้ามชาติไม่มี วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มี ฯลฯ เป็นการค้านความเชื่อของคนไทยเราส่วนใหญ่ที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นเรื่องที่ได้รับการต่อต้านมากในเว็บนี้ แต่ในทำนองเดียวกันถ้ามีบทเรียนที่บอกว่า การเกิดข้ามภพข้ามชาติมี วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มี เวทย์มนต์คาถา พ่อมด หมอผี มีจริง ฯลฯ ก็ไม่น่าจะเหมาะสม

    คำสอนของท่านพุทธทาสนั้นตรงประเด็นเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ ที่เป็นคำสอนหลักของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ส่วนประเด็นอื่นๆนั้นผมเข้าใจว่าท่านไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจน เพราะอาจไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งและสับสน ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในกระทู้นี้ และถึงหากท่านฟันธงชัดๆออกมา ข้างใดข้างหนึ่ง ก็คงไม่อาจพิสูจน์ได้เช่นกัน และก็จะเกิดความขัดแย้งสับสนขึ้นอยู่ดี

    ผมจึงไม่เห็นว่าหลักสูตรนี้จะทำให้พระพุทธศาสนาเสียหายอย่างไร เพราะคำสอนหลักในพระพุทธศาสนานั้นสอนเฉพาะเรื่อง ทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ เรื่องของเวลา ความไม่มีที่สิ้นสุด ฯลฯ ที่เป็นเรื่องอจินไตย นั้นจะมีจริงหรือไม่จริงล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ ทุกข์ และการดับทุกข์ ที่เป็นคำสอนหลัก ในพระพุทธศาสนาเลย ในขณะที่การตีความในเรื่องต่างๆดังกล่าวก็ล้วนเป็นการตีความตามความเห็นของแต่ละคนที่ก็คงยังไม่มีคนไหนหลุดพ้นด้วยกันแล้วทั้งนั้น
     
  6. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ใช่.เป็นเรื่องอจินไตย

    พระบางรูป ที่เคยสอนเอาไว้ แล้วมีหนังสือวางจำหน่ายตามร้านหนังสือมากมาย
    แต่พอเปิดอ่าน เข้าใจได้เลยว่า ......... เข้าขั้นจิตหยาบ มิอาจสัมผัสสิง่หยาบได้ สิ่งที่เห็น กระดูกก็มิได้เป็นพระธาตุ เป็นเพียงกระดูกธรรมดาเยี่ยงปุถุชน คนที่ยังหนาด้วยกิเลส อาจเพราะด้วยหลงสภาวะเต็มขั้น แต่เหล่าสาวกก็ช่างทำการตลาดได้ดียิ่ง หนังสือวางเกลื่อนร้านหนังสือ.. แต่คำสอนมิได้เป็นไปตามหลักธรรม เทียบๆ เคียงๆไป ข้างๆคูๆ.... น่าสังเวชใจ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JQO-2xTReQY]YouTube - พลังจิต 01[/ame]
     
  7. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ใช่.เป็นเรื่องอจินไตย


    สัมผัสได้ด้วยจิตที่ละเอียดเท่านั้น เหล่าจิตที่ยังหยาบจะมาสัมผัส สัมพันธ์อะไรได้
    พระบางรูป ที่เคยสอนเอาไว้ แล้วมีหนังสือวางจำหน่ายตามร้านหนังสือมากมาย แต่พอเปิดอ่าน เข้าใจได้เลยว่า ......... เข้าขั้นจิตหยาบ มิอาจสัมผัสสิ่งหยาบได้ ...................... สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อตายไป กระดูกก็มิได้เป็นพระธาตุ เป็นเพียงกระดูกธรรมดาเยี่ยงปุถุชน คนที่ยังหนาด้วยกิเลส อาจเพราะด้วยหลงสภาวะเต็มขั้น แต่เหล่าสาวกก็ช่างทำการตลาดได้ดียิ่ง หนังสือวางเกลื่อนร้านหนังสือ.. แต่คำสอนมิได้เป็นไปตามหลักธรรม เทียบๆ เคียงๆไป ข้างๆคูๆ.... น่าสังเวชใจ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=JQO-2xTReQY"]YouTube - พลังจิต 01[/ame]
     
  8. thumboon.com

    thumboon.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    เขาจะดี กว่าเรา ช่วยเขาเถิด มันจะเกิด ผลดี กว่าที่หวง
    ไว้ดีเด่น แต่เรา เฝ้าประทวง โลกยิ่งกลวง จากความดี คืออะไร??

    ขออนุโมทนา สำหรับคำถาม และคำตอบทุกท่านครับ
     
  9. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    ความเป็นพระ


    • ความเป็นพระ คือจิตพราก จากกิเลส
      รู้สังเกต ไม่ประมาท ฉลาดเฉลียว
      สำรวมระวัง รักษาใจ ไปท่าเดียว
      เพื่อหลีกเลี้ยว ภัยทั้งสาม ไม่ตามตอม
    • จากเรื่องกิน เรื่องกาม และเรื่องเกียรติ
      เห็นเสนียด ในร้อนเย็น ทั้งเหม็นหอม
      ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ออมชอม
      กิเลสล้อม ลวงเท่าไร ไม่หลงลม
    • จิตสะอาด ใจสว่าง มโนสงบ
      ทั้งครันครบ กายวจี ที่เหมาะสม
      ความเป็นพระ จึงชนะ เหนืออารมณ์
      โลกนิยม กระหยิ่มใจ จึงไหว้แล ฯ
     
  10. พระเกื้อ

    พระเกื้อ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สงสารเด็กรุ่นหลัง
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้ายอมรับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย

    ดังนั้น "จิต" ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยด้วยหมือนกัน

    ซึ่งเหตุที่มาปรุงแต่งให้เกิดจิตก็คือร่างกาย(คือร่างกายก็มีระบบประสาททำให้เกิดการรับรู้หรือเกิดวิญญาณขึ้นมาและรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นอีกที) โดยมีความทรงจำจากเนื้อสมองมาเป็นปัจจัยให้จำสิ่งต่างๆได้ และคิดได้ ดังนั้นถ้าไม่มีความทรงจำ ก็จำอะไรไม่ได้ และคิดอะไรไม่ได้ ที่สำคัญ ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ ก็ย่อมที่จะไม่มีการรับรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของจิตได้

    แล้วเมื่อร่างกายตาย การรับรู้หรือวิญญาณ จะอาศัยอะไรเพื่อเกิดขึ้นมา รวมทั้งสมองเมื่อตายแล้วความทรงจำทั้งหมดก็ย่อมที่จะหายตามไปด้วย แล้วมันจะจำและคิดได้อย่างไร?

    ความเชื่อว่าเมื่อร่างกายตายแล้วจิตหริอวิญญาณจะยังไม่ตายและออกไปเกิดใหม่ได้นั้น เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เขา(ที่เรียกว่า อัตตา) ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนานมนานมาแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว

    พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่เว้นแม้แต่จิตมนุษย์ ขอให้เข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะเข้าใจผิด แล้วก็เลยทำให้เข้าใจว่า คนที่มีความเห็นตรงข้ามกับความเห็นของตนเองนั้นว่าเขาเป็นบ้า ทั้งๆที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไร.
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (สงสัยผมกำลังคุยอยู่กับคนบ้า)

    -----------------------

    ถ้าเอ็ง "ดี" ข้าก็ "บ้า"

    แต่ถ้าเอ็ง "บ้า" ข้าก็ "ดี"

    หรือไม่ เอ็งกะข้า ก็ "บ้า" ด้วยกันทั้งคู่???

    -----------------------

    www.whatami.net "ฉันคืออะไร?" เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ
     
  13. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ...ข้าพเจ้าขอมอบเพลงนี้แด่ท่าน...
    ..โปรดอย่าถาม ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใด
    ฉันตอบไม่ได้ ว่าฉันจะรัก ชั่วกาลนิรันดร์
    เพราะชีวิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้น
    รู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอ เมื่อฉันหมดลม.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  14. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ถ้าสิ้นลมเมื่อไร่ ท่านก็จะรู้เอง ว่าจิตจะมีไหม....เอวัง
     
  15. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมขอยกความในหนังสือ The Buddha Said... ของ OSHO
    มาเพิ่มเติมเพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการอย่างหนึ่งในเรื่องหลักคำสอนของพุทธศาสนา
    คำในวงเล็บคือที่ผมเพิ่มเติมเข้าไปเองนะครับ
    ขออภัยมา ณ ที่นี้หากมีส่วนใดคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับ

    The word nirvana means cessation of the self, arising of a no-self, emptiness… the zero experience. Nothing is, only nothing is. Then how can you be disturbed? Because now there is nobody to be disturbed. Then how can you die? Because now there is no body to die. How can you born? Because now there is no body to be born. This nobodyness is tremendously beautiful. It is opening and opening, space and space, with no boundaries.
    [FONT=&quot]คำว่านิพพาน หมายถึง การหยุดของความมีตัวตน การปรากฎขึ้นของความไม่มีตัวตน หรือความว่างเปล่า ความไม่มีนั่นก็คือความไม่มี ดังนั้นคุณจะสามารถถูกปรุงแต่งได้อย่างไร เพราะไม่มีใครให้ถูกปรุงแต่ง คุณจะตายได้อย่างไรเมื่อไม่มีใครให้ตาย คุณจะเกิดได้อย่างไรเมื่อไม่มีใครไปเกิด ความไม่มีตัวตนนี้เป็นความงดงามที่สุด มันเป็นการเปิดออกและเปิดออก ถึงพื้นที่แล้วก็พื้นที่ซึ่งไม่มีขอบเขต[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    <o></o>
    This is Buddha’s concept of reality. It is very difficult to understand. We can understand that ego can be dropped – but the soul!? Then we go on in a subtle way remaining egoistic. Then we call it that subtle ego the soul, the atman.
    Let me try to explain it to you through modern physics, because modern physics has also come to the same point. Ask the modern scientist; he says matter only appears to be, it is not. If you go deeper into matter, you find only emptiness. It is nothing but emptiness. If you analyze matter, if you keep on dividing the atom, then it disappears. At the ultimate core only emptiness remains… only space, pure space. The same analysis Buddha did with the self. What scientists have been doing with matter, Buddha did with mind. And both agree that if analysis goes deep enough, then there is no substance left; all substance disappears. Non-existence is left.
    Buddha could not survive in India. India <st1:country-region w:st="on"><st1></st1></st1:country-region><st1:country-region w:st="on"></st1:country-region>is the oldest country in the world which has believed in the self, the atman. The Upanishads, the Vedas, from Patanjali to Mahavira, everybody has believed in the self. They were all against the ego but they never dared to say that the self is also nothing but a trick of the ego.
    [FONT=&quot]น[/FONT][FONT=&quot]ี่คือหลักความจริงของพระพุทธเจ้าซึ่งยากมากที่จะเข้าใจ พวกเราสามารถเข้าใจได้ว่าตัวตนขั้นหยาบสามารถปล่อยวางได้ แต่ไม่ใช่กับดวงจิต เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ยังคงไว้ซึ่งความมีตัวตน แล้วเราก็เรียกสิ่งที่เป็นตัวตนขั้นละเอียดนี้ว่า วิญญาณ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอให้ฉันได้อธิบายเรื่องนี้ให้คุณฟังโดยผ่านฟิสิกส์ยุคใหม่ เพราะว่าฟิสิกส์ยุคใหม่นี้ได้อธิบายเข้ามาถึงจุดสุดท้ายนี้เช่นเดียวกัน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อไปถามนักฟิกส์ยุคใหม่ เขาจะบอกว่าสสารปรากฎขึ้นแต่มันไม่ได้มีอยู่จริงๆ เมื่อคุณเข้าไปในระดับลึกลงไปของสสาร คุณจะพบเพียงความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า เมื่อคุณวิเคราะห์มัน เมื่อคุณพยายามแบ่งแยกมัน เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะหายไป ที่จุดแก่นกลางสุดท้ายมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เหลืออยู่ เพียงแค่พื้นที่ พื้นที่ที่บริสุทธิ์ เป็นการวิเคราะห์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่วิเคราะห์ด้วยใจ ทั้งพระพุทธเจ้าและฟิสิกส์ยุคใหม่ต่างมีบทสรุปที่เหมือนกัน เมื่อได้เข้ามาถึงจุดที่ลึกเพียงพอ เมื่อนั้นไม่มีสสารอะไรเลยเลยอยู่ ทุกอย่างได้หายไป เหลืออยู่แต่ความไม่มีตัวตน<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พ[/FONT][FONT=&quot]ระพุทธเจ้าไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในอินเดีย อินเดียเป็นประเทศที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่เชื่อเรื่องความมีตัวตนของวิญญาณ คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์พระเวท (คัมภีร์สูงสุดของศาสนาฮินด :ผู้แปล)ู จากพาตานจาลี(ผู้วางรากฐานโยคะ: ผู้แปล)จนถึงมหาวีระ(ศาสดาของศาสนาเชน: ผู้แปล) ทุกคนเชื่อในเรื่องความมีตัวตนของวิญญาณ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งอื่นนั้นไม่มีตัวตนแต่พวกเขาไม่เชื่อว่าวิญญาณก็ไม่มีตัวตนด้วย<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    But his presence was very convincing; whatsoever he was saying must be true. His existence was a proof. The grace that had happened to him, the harmony that was surrounding him, the luminousness that was following him where ever he walked, moved … the glow. People were puzzled – because this man was saying that there is no self, only tremendous emptiness inside. They could not deny him, but by the time Buddha had gone, they started criticizing, arguing; they started denying. Only five hundred years after Buddha left his body, Buddhism was uprooted in India<st1:country-region w:st="on"><st1> </st1></st1:country-region>. People could not believe in such a drastic attitude.
    <o></o>
    [FONT=&quot]แ[/FONT][FONT=&quot]ต่เนื่องจากว่าการปรากฎอยู่ของพระพุทธเจ้า ทำให้ผู้คนเชื่อถือ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระองค์สอน ผู้คนจะเชื่อว่าจริง เพราะการปรากฎอยู่ของพระองค์เป็นเครื่องพิสูจน์ ความเบิกบานที่เกิดขึ้นกับท่าน การอ่อนละมุนที่อยู่รอบกายท่าน ความเปล่งปลั่งที่ได้ติดตามท่านเป็นเงาตามตัวไม่ว่าท่านจะเดินทางไปที่ใด แต่ผู้คนก็ยังคงสงสัย เพราะว่าคนผู้นี้สอนว่าไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณ มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นอยู่ภายใน แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป พระพุทธเจ้าได้ละสังขารไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นได้เริ่มถกเถียงกัน เริ่มต้นที่จะปฏิเสธ เพียง 500 ปี หลังจากพระพุทธเจ้าได้ละสังขารไป พุทธศาสนาได้ฝั่งรากลึกลงในอินเดียท่ามกลางผู้คนที่ไม่เชื่อในทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความไม่มีตัวตนของวิญญาณนี้<o></o>[/FONT]
    <o></o>

    Buddha says the universe runs according to a law, not according to a person. His attitude is scientific. Because, he says, a person can be whimsical. You can pray to God and you can persuade him, but that is dangerous. Some body who is not praying to God may not be able to persuade him. God may be prejudiced – a person is always capable of prejudice. And that’s what all the religious say that if you pray, God will save you; if you pray you will not be miserable. If you don’t pray, you will be thrown into hell. To think in these terms about God is human, but very unscientific. That means God enjoys your flattery, your prayers. So if you are a praying person and you go regularly to the church, to the temple, and you read the Gita and the Bible, you recite the Koran, then he will help you; otherwise he will be annoyed by you. If you say, “I don’t believe in God,” he will be very angry at you. Buddha says this is stupid. God is not a person. You cannot annoy him and you cannot buttress him, you cannot flatter him. You cannot persuade him to your own way; whether you believe in him or not, that doesn’t matter.
    [FONT=&quot]พ[/FONT][FONT=&quot]ระพุทธเจ้าสอนว่าจักรวาลดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของมัน ไม่ได้ขึ้นกับตัวบุคคล แนวคิดของพระองคนั้น์เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะว่าพระองค์สอนว่า คนนั้นนั้นมักชอบเพ้อฝัน เราสามารถอ้อนวอนต่อพระเจ้าและทำให้พระเจ้าเปลี่ยนได้ แต่นี่เป็นแนวคิดที่อันตราย บางคนที่ไม่ได้สวดอ้อนวอนพระเจ้า ก็จะไม่สามารถขออะไรจากพระเจ้าได้ พระเจ้าแบบนั้นคงมีอคติเหมือนกับผู้คนซึ่งมักมีสิ่งๆนี้เสมอ สิ่งที่ศาสนาทั้งหลายสอนว่าถ้าเราสวดอ้อนวอน พระเจ้าก็จะปกปักรักษาเราและเราจะไม่ตกไปอยู่ในความทุกข์ แต่ถ้าเราไม่สวดอ้อนวอน เราก็จะต้องตกนรก พระเจ้าในลักษณะนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นพระเจ้าที่ชอบฟังคำประจบ เยินยอ สรรเสริญ และการสวดอ้อนวอน ถ้าคุณเป็นผู้ที่สวดอ้อนวอนคุณจะต้องไปที่โบสถ์หรือวัด เป็นประจำ คุณอ่านคัมภีร์กีรานและไบเบิล คุณท่องจำคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วพระเจ้าจะช่วยเหลือท่าน มิฉะนั้นพระเจ้าจะรู้สึกไม่พอใจ ถ้าคุณพูดว่า ผมไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าก็จะโกรธท่านมาก <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธองค์สอนว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเบาปัญญา พระเจ้าไม่ใช่บุคคล เราไม่สามารถทำให้พระเจ้าโกรธหรือระคายเคืองได ้ไม่ว่าเราจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    A law exists beyond your belief. If you follow it, you are happy. If you don’t follow it, you become unhappy. Look at the austere beauty of the concept of law. Then the whole question is of a discipline, not of prayer. Understand the law and be in harmony with it. Don’t be in a conflict with it, that’s all. No need for a temple, no need for mosque, no need to pray. Just follow your understanding.
    <o></o>
    [FONT=&quot]ก[/FONT][FONT=&quot]ฎเกณฑ์(คาดว่าหมายถึงกฎของธรรมชาติ :ผู้แปล)นี้ไปไกลกว่าเพียงแค่ความเชื่อ ถ้าคุณคล้อยตามมันคุณก็จะมีความสุข ถ้าไม่คล้อยตามมัน คุณก็จะมีความทุกข์ ดูสิความเคร่งครัดของกฎเกณฑ์นี้ แล้วคำถามทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับหลักการ ไม่ใช่การสวดภาวนา ความเข้าใจและอยู่ร่วมกับมันได้ ไม่ไปขัดแย้งกับมัน นั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นต้องมีวัด สุเหร่า ไม่จำเป็นต้องมีการสวดอ้อนวอน เพียงแค่ทำตามความเข้าใจของคุณ<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    Buddha says that whatsoever you are miserable it is just an indication that you have gone against the law, you have disobeyed the law. Whenever you are in misery, just understand one thing; watch, observe, analyze, your situation, diagnose it – you must be going somewhere against the law, you must be in conflict with the law. Buddha says it is no that the law is punishing you; no that is foolish - how can a law punish you. You are punishing yourself by being against the law. If you go with the law, it is not that the law is rewarding you – how can the law reward you? If you go with it, you are rewarding yourself. The whole responsibility is yours to obey or disobey. If you obey, you live in heaven. If you disobey, you live in hell. Hell is a state of your own mind when you are antagonistic to the law, and heaven is a state of your own mind when you are in harmony.
    He has no prejudiced in his heart.
    <o></o>
    [FONT=&quot]พ[/FONT][FONT=&quot]ระพุทธเจ้าสอนว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณมีความทุกข์ นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคุณได้ฝืนกฎแล้ว คุณไม่ปฏิบัติตามกฎ เมื่อใดก็ตามที่คุณมีความทุกข์ เพียงความเข้าใจในสิ่งๆหนึ่ง ให้มอง สังเกตุ วิเคราะห์มัน และคุณจะพบว่ามีบางอย้างที่ไม่สอดคล้องไปกับกฎ คุณจะต้องกำลังขัดแย้งกับมัน พระพุทธเจ้าสอนว่าที่เป็นเช่นนี้ มิได้เพราะว่ากฎนี้ได้ทำโทษคุณ กฎมันจะไปทำโทษคุณได้อย่างไร คุณต่างหากที่ทำโทษตัวคุณเอง เช่นเดียวกันเมื่อคุณคล้อยตามกฎ กฎก็ไม่ได้เป็นตัวที่ให้รางวัลคุณ กฎสามารถให้รางวัลได้ด้วยเหรอ คุณต่างหากที่ให้รางวัลกับตัวคุณเอง มันคือความรับผิดชอบทั้งหมดของคุณว่าจะทำตามหรือไม่ทำตามกฎ ถ้าคุณปฏิบัติตาม คุณก็อยู่ในสวรรค์ ถ้าไม่คุณก็จะตกนรก นรกนั้นเป็นสภาพของจิตคุณเองเมื่อคุณทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับกฎ และสวรรค์เป็นสภาวะของจิตของคุณที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าไม่มีความอคติในหัวใจของพระองค์เลย<o></o>[/FONT]
     
  16. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    หนังสือของ OSHO เขียนไว้ตรงมาก ภาษามีความชัดเจน ไม่อ้อม ไม่วกวน, แต่ราคาแพง - -"
     
  17. สุปราณี (ปู)

    สุปราณี (ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ดิฉันก็เห็นด้วยนะค้ะความคิดนี้ แต่เพียงว่า ทางพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าไม่เอ่ยอ้างถ้าหากยังไม่มีผู้ใดเข้ามาเอ่ยขึ้นก่อน แต่เมื่อมีบุคคลบอกว่ามี และเป็นความจริงแล้ว คุณเขียนขอรายชื่อของบุคคลทุกคนที่เชื่อนั้นออกมา แล้วนำรายชื่อนั้นเข้ากรมศาสนาให้แก้ไขการสอนเลยค่ะ ผ่านทางเว็บเลยก็เห็นหนทางนึงนะค้ะ ส่วนคนที่ดูเหมือนจะเถียงกันเรื่องนี้ก็ขอให้เลิกลาเถอะค่ะ เรานับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันจะทะเลาะกันเพื่ออะไรค้ะ ถือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตามที่ท่านสอนด้วยเถอะคะ อย่าให้สภาพจิตของแต่ละคนต้องหม่นลงไปเลย
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    เรานับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันจะทะเลาะกันเพื่ออะไรค้ะ

    ************************

    นี่คงยังไม่เข้าใจ.....

    การถกเถียงนี้ทำเพื่อให้พุทธศาสนาที่บริสุทธิ์หรือถูกต้องกลับคืนมา

    ถ้าไม่มีการถกเถียง ก็เท่ากับยอมรับว่าพุทธศาสนาที่เรานับถือกันอยู่นี้ถูกต้องที่สุดแล้ว

    แต่ถ้าสิ่งที่เรานับถือกันอยู่นี้มันผิด ก็นับว่าเรานี้โง่กันบรมเลยทีเดียว
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ถ้าสิ้นลมเมื่อไร่ ท่านก็จะรู้เอง ว่าจิตจะมีไหม....เอวัง

    *********************

    ความคิดนี้เหมือนเด็กที่เถียงศาสนาอื่นเขาด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็เลยบอกว่า ตายไปเมื่อได้เจอยมบาลแน่

    ก็มันคิดได้แค่นี้จริงๆ...
     
  20. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    ดิฉันคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะทุกวันนี้เราไม่เอาคำของพระพุทธเจ้าหรือพุทธวัจนะของพระองค์มาเป็นหลัก ท่านพุทธทาสหรือสงฆ์รูปอื่นๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงสาวกทั้งนั้น ในครั้งพุทธกาล แม้แต่ท่านพระสารีบุตรผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกผู้มีปัญญาอันเลิศก็ยังเคยถูกพระพุทธองค์ทรงตำหนิในความเห็นของท่านในบางเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสงฆ์สาวกในปัจจุบันก็ต้องมีความเห็นผิดได้แน่นอน พระศาสดาเป็นผู้รู้มรรคก่อน เป็นผู้ฉลาดในมรรควิธี สงฆ์สาวกแม้จะเป็นพระอรหันต์ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงมรรคานุคาคือผู้เดินตามพระศาสดาเท่านั้น และพระศาสดาก็ได้เป็นผู้ตรัสเองว่า คำของพระองค์เป็นอกาลิโก ถูกต้อง ตรงจริง ไม่จำกัดกาล และคำที่พูดมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพานนั้น สอดรับไม่มีการขัดแย้งกันเป็นประการอื่นเลย ถ้าพุทธศาสนิกชนทุกคนหันมาศึกษาเฉพาะคำของพระศาสดา ปัญหาต่างๆเหล่านี้ก็คงจะไม่มี เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอันมากว่าคนบางกลุุ่มกล่าวว่าคำสอนของพระองค์นั้นเป็นปริยัติ ปฏิเสธคำของพระศาสดาโดยสิ้นเชิง แต่กลับยึดถือเอาอริยวินัยที่พระองค์ได้บัญญัติไว้ ดิฉันไม่เห็นสงฆ์รูปใดปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามอริยวินัยที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้เลย แปลกจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...