ข้อความจากต่างมิติ - มิติคู่ขนาน, โลกใต้พิภพ, UFO, Yeti

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 4 กรกฎาคม 2010.

  1. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ขอขอบคุณ ชยุตคนขยัน

    (f)
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ว้าว มาแล้วกระทู้ที่รอคอย
    ขอบคุณคุณชยุตค่ะ
    อนุโมทนา สาธุ
     
  3. crimsonn

    crimsonn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +455
    [​IMG]

    รูปนี้จากความคิดของผม คือ วงกลมรอบนอกและในคือภาพรวมของโลกเรานั่นเองส่วนวงกลมภายในอาจจะเป็นมิติซ้อนทับที่อยู่ในโลกและส่วนวงกลมเล็กๆที่เชื่อมกันไปนั้นน่าจะเป็นการเชื่อมโยงมิติต่างๆนั่นเอง
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    และยังมีสัญญลักษณ์ของ DNA ด้วยนะครับ


    ...............................................
     
  5. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
    รอติดตามชมบทต่อไปเรื่อยๆ ครับ
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจากท่านเมตาตรอน (Metatron)

    ผู้รับการสื่อสาร: Tyberonn
    วันที่รับการสื่อสาร: 20 กรกฎาคม 2008
    ที่มา:
    http://www.earth-keeper.com/EKchronicles_20pdf.pdf

    เรื่อง: อาณาจักรใต้พิภพ, อาณาจักรเทวะ และ ปรากฏการณ์ UFO

    ตอนที่ 16 - จบครับ

    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Arial Unicode MS"; panose-1:2 11 6 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:128; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-1 -369098753 63 0 4129279 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} @font-face {font-family:"\@Arial Unicode MS"; panose-1:2 11 6 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:128; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-1 -369098753 63 0 4129279 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; font-family:Arial; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Arial Unicode MS"; color:darkblue;} p {mso-margin-top-alt:auto; margin-right:0cm; mso-margin-bottom-alt:auto; margin-left:0cm; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; font-family:Tahoma; mso-fareast-font-family:"Times New Roman";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> กล่าวปิดท้าย


    เราจะขอกล่าวทิ้งท้ายไว้ให้พวกคุณว่า ทุกสรรพชีวิตล้วนเกิดมาจากแสงสว่างทั้งสิ้น
    และแสงสว่างที่ว่านั้น ก็กำเนิดมาจาก “จิตสำนึก” หรือ “สติสัมปชัญญะ” (consciousness)
    ซึ่งนั่นก็คือจาก “ความคิด!” นั่นเอง

    ภารกิจของพวกคุณบนดาวเคราะห์โลกใบนี้ คือการมาเรียนรู้ถึงความเป็นทวิภาวะ
    (Duality – หมายถึงการมีทั้งดี-ทั้งชั่วในคนๆเดียวกัน และอื่นๆที่เป็นคู่ตรงข้ามกันแบบนี้ – ผู้แปล)
    เพื่อที่จะมาเรียนรู้, มาพัฒนา และมาค้นหาแสงสว่างให้เจอ วัตถุประสงค์ของพวกคุณ ก็คือการมาเผชิญชีวิต
    และเพื่อมาแสวงหาความเข้าใจ


    เพื่อที่จะมาทำให้ความลึกลับของชีวิตเปิดเผยตัวออกมา พวกคุณจะพบว่า
    ความรักคือความสั่นสะเทือนแห่งการสรรสร้างของทุกสิ่งทุกอย่าง และพวกคุณจะพบว่า
    การแสวงหาความรู้ ซึ่งหมายถึงความรู้ที่แท้จริงเท่านั้น คือกุญแจสำคัญแห่งการพัฒนา…


    ...เราได้บอกคุณไปแล้วว่าความรักคือกุญแจ ความรักคือภาษาแห่งแสงสว่างอย่างหนึ่ง
    และมันก็อยู่ในรูปแบบต่างๆมากมาย พวกเราได้บอกคุณไปแล้วว่า “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”
    (Unconditional Love) คือรูปแบบที่สูงสุดของความรัก ซึ่งในมิติที่ 3 ของพวกคุณ ไม่อาจจะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้

    แม้ว่ามันจะสามารถจินตนาการถึงได้ แต่ว่าก็จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งจริงๆได้ในมิติที่ 3
    แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ ไม่มีอยู่สำหรับพวกคุณ หรือว่าจะไม่สามารถเข้าถึงมันได้
    หากว่ายังอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เพราะว่าจริงๆแล้วมันก็มีอยู่ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในมิติที่ 5 ขึ้นไปเท่านั้นเอง


    ประเด็นนี้อาจจะทำให้พวกคุณงง เพราะว่าพวกคุณคิดว่า พวกคุณก็ได้ประจักษ์กับความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
    มาบ้างแล้วเหมือนกัน
    ซึ่งนั่นก็ถูกต้อง เพราะว่าพวกคุณได้ประจักษ์แล้วจริงๆ พวกคุณสามารถทำได้
    และก็ทำได้จริงๆซะด้วย แต่ที่ทำได้นั้นหนะ ไม่ใช่ตอนที่พวกคุณกำลังอยู่ในทวิภาวะแห่งมิติที่ 3 นี้หรอกนะ

    เพราะว่ามิติที่ 3 นี้ มันเป็นมิติแห่งความมีเงื่อนไข และมันก็ถูกโปรแกรมเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
    และถูกออกแบบมาให้มีความเป็นขั้วที่สลับซับซ้อนมากๆ


    ในมิติที่ 3 นี้ ความรักมันก็มีขั้วตรงข้ามเป็นของมันเองด้วย เช่นเดียวกันกับแสงสว่าง
    และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในสเปกตรัมของแม่เหล็กไฟฟ้า


    ในมิติที่ 3 นี้ ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข มันจะถูกรับรู้ได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในสนามพลังแห่งจุดศูนย์ (Zero Point Field) เท่านั้น
    ซึ่ง ณ. สภาวะนั้น มันจะปราศจากความเป็นขั้ว สนามพลังแห่งจุดศูนย์นี้ ไม่ใช่ทวิภาวะอย่างหนึ่ง และก็ไม่มีความเป็นขั้วด้วย


    แบบแผนของมิติที่ต่ำที่สุด ที่จะสามารถรับรู้ถึงคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขได้ ก็คือมิติที่ 5
    และที่มิติที่ 5 นี่เอง ที่พวกคุณรับรู้มันได้ ตามที่กล่าวไปแล้วนั้น คุณเข้าใจไหม๊?


    ชาวโลกที่รักทั้งหลาย ในขณะที่พวกคุณกำลังเจริญเติบโตอยู่นี้ พวกเราอยากจะบอกคุณว่า ในมิติที่สูงๆกว่านั้น
    แท้ที่จริงแล้ว พวกคุณได้ตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงความสลับซับซ้อนของตัวตนทั้งหมดของพวกคุณเอง
    ที่มีจำนวนนับพันๆ ที่แผ่ขยายออกมาจากวิญญาณของพวกคุณเองเรียบร้อยแล้ว

    ซึ่งความตระหนักรู้ผ่านทางตัวตนเหล่านี้เองที่พวกคุณเรียกว่า “จิตใต้สำนึก” (Subconscious mind)
    ซึ่งมันคือประกายหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า (spark of God) และพวกคุณทุกคนก็สามารถเข้าถึงมันได้
    ด้วยวิธีการทำจิตสำนึกให้สงบนิ่ง (quieting the conscious mind) ด้วยการลงมือปฏิบัติ!
    ด้วยความพากเพียรพยายาม! ด้วยการเข้าให้ถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวนั้น มันเป็นความฝันที่สวยงาม
    และมันก็สลับซับซ้อนพอๆกับ “ลูกบาศก์ 12 มิติแห่งเมตาตรอน” (Metatron’s 12 dimensional cube)

    จงทำความลึกลับให้กระจ่างเถิด !



    เราคือเมตาตรอน และพวกคุณคือผู้ที่เรารัก



    ...และมันก็เป็นเช่นนี้เอง....

    ………………………………
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2014
  7. staystill

    staystill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +112
    ผมอ่านทุกกระทู้ของคุณ chayutt ครับ ผมชอบความขยันแปลของคุณ ที่นำข้อมูลมาให้อ่าน
     
  8. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ช่าย.......แรงใจและแรงกายเขาดีมาก :cool:
     
  9. worrior

    worrior เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +316
    เข้ามาขอบคุณในความเสียสละของคุณชยุตครับ ผมก็เป็นอีกคนที่ติดตามทุกกระทู้ของคุณชยุต ซึ่งให้ความรู้สึกดีๆกับเราอยู่เสมอ;aa30
     
  10. ไอยคุป

    ไอยคุป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +112
    เป็นกำลังใจให้คะ ในการแปลข้อมูลมาให้อ่านกันอีก :cool:
     
  11. crazybmw

    crazybmw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +331
    ผมมาสะดุดกับคำๆนึง ที่ว่า "พวกเรามักเชื่อว่าเวลาเป็นเส้นตรง"

    ปิ๊งเลยครับ เวลามันไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง ทำให้เกิดมิติคู่ขนาน และภาพอดีตอนาคตมากมาย
    เวลาของแต่ละคนเดินไม่ตรง และไม่เท่ากัน

    เหมือนทางโค้งคดเคี้ยว บางคนขับรถวิ่งสวนทางกัน บางโค้ง ถูกตัดผ่านด้วยทางยกระดับ หรือผ่านถนนเส้นใดเส้นหนึ่ง ในช่วงหนึ่งๆและ วกกลับมา เฉียดถนนเส้นนั้นอีกครั้งนึง

    ทำให้เห็นอดีตและอนาคตของ ทางสายเวลาเส้นนั้นได้ เหมือนเราขับรถสวนทางกับอีกฝั่ง
    เห็นอุบัติเหตุอยู่ตรงจุดนึง แล้วเราวิ่งไป สวนกับคนที่ยังไปไม่ถึงจุดนั้น เรารู้ก่อนคนที่สวนมาว่า ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ เราอาจจะเตือนเขาก็ได้ เขาจะเื่ชื่อหรือไม่ก็ได้ หรือเขาอาจจะวกไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงเส้นทางนั้น

    เวลา ก็เหมือนเส้นทาง หรือมิติทางเดินที่เราเลือกได้ว่าจะไปพบกับเหตุการณ์อะไรข้างหน้า

    เวลามันคดเคี้ยวไปมา เหมือนถนน ภาพแบบนี้อาจจะมีอยู่ในมิติที่เรามองไม่เห็นซ้อนทับกันก็ได้ ว่ามั้ยครับ
    [​IMG]
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    ก็มีเค้านะครับ..แต่ที่พวกผมได้อ่านกันมา
    จากการสื่อสารจากต่างมิติ..มันจะต่างไปเล็กน้อยครับ

    ขออนุญาตสรุปใจความจากการยกตัวอย่างของคุณ Zipper
    มาอธิบายอีกทีนะครับ..

    คือว่า..ต่างมิติบอกตรงกันหมดทั้ง 100%
    (เท่าที่มีการพูดถึงเรื่องความเป็นจริงของ "กาลเวลา" หนะนะครับ)

    ว่า จริงๆแล้ว กาลเวลามันไม่มีอยู่จริงหรอก
    มันมีอยู่แต่ในมิติที่ 3 นี้เท่านั้นแหละ

    เพราะว่าในมิติที่สูงๆขึ้นไป กาลเวลาไม่มีอยู่จริง
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต
    มันมีอยู่-เป็นอยู่ พร้อมกันหมด ที่นี่ และเดี๋ยวนี้

    พวกเขารู้จักแต่ "นิรันดรแห่งปัจจุบันขณะ" นี้เท่านั้น
    คือมันมีแต่ "เดี๋ยวนี้" ชั่วนิรันดร ว่างั้นเถอะ

    พวกเขาจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีอยู่-เป็นอยู่พร้อมกันหมด

    ถ้าจะให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็จะเหมือนกับการที่เรากำลังมองดูดินสอสักแท่งหนึ่งอยู่
    ซึ่งเราวางมันตั้งขึ้น ในแนวตั้ง พวกเขาก็เห็นหมดนั่นแหละ
    ว่ามันมีปลายดินสอ ที่เป็นกราไฟต์สีดำ ที่ถูกเหลาจนแหลมแล้ว
    และก็เห็นช่วงกลางด้ามจับของดินสอ ที่มีลวดลาย และสีสันต่างๆกัน
    รวมถึงเห็นยางลบสีขาวๆ ที่ติดอยู่ตรงปลายอีกด้านหนึ่งพร้อมกันไปด้วย

    แต่ "พวกเรา" สิ เพราะว่าเราอยู่ในมิติที่ต่ำกว่า ถ้าเปรียบก็คงเหมือน "มด"
    ที่กำลังค่อยๆไต่ขึ้นมาจากปลายดินสอด้านล่าง ขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่
    ความรู้สึกและการรับรู้ของพวกเรา มันก็จะค่อยๆรู้ไปทีละจุด
    เท่าที่ตัวเองไต่ไปถึงเท่านั้น หาได้รู้หมดทั้งแท่งดินสอนั้นไม่

    แต่ด้วยความที่ อดีต และอนาคต มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แบบตายตัวแน่นอนแล้ว
    เพราะฉะนั้น ในนัยยะของต่างมิติที่สื่อสารมา (โนวา อนาลัย)
    ท่านบอกว่า เราสามารถเปลี่ยนอดีตและอนาคตได้จากปัจจุบัน
    เพราะปัจจุบันคือจุดตัดของทั้งอดีตและอนาคต

    พอพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็จะงงกันมาก เพราะว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง
    เปลี่ยนอนาคตยังพอว่า แต่เปลี่ยนอดีตนี่สิ จะทำได้อย่างไร

    ผมเองก็ไม่ทราบครับ..แต่ผมพอจะมีอะไรมาเล่าให้ฟัง
    พอให้ได้ไอเดียอยู่อีกนิดหน่อยหนะครับ

    คือมันมีภาพยนตร์สารคดีชุดหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นมาจากข้อมูลจริงทางวิทยาศาสตร์
    ชื่อ "What the bleep do we know?"

    เนื้อหาตอนหนึ่งเขากล่าวถึงการทดลองที่ให้คนมองภาพๆหนึ่ง
    แล้วบันทึกค่าความถี่หรือคลื่นสมองอะไรทำนองนั้นแหละเอาไว้
    จากนั้น ก็ให้คนๆนั้นหลับตา แล้วให้นึกภาพๆเดิมของสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้
    แล้วก็วัดค่าความถี่ของสมองอีกที

    ผลปรากฎว่า ค่าที่วัดได้ไม่ต่างกันเลย เขาทำการทดลองจนสามารถสรุปได้ว่า
    สมองของคนเรา มิอาจแยกแยะได้ว่า ภาพไหนเห็นจริง และภาพไหนเกิดจากจินตนาการ

    และจุดเชื่อมต่อต่อมาก็คือ ทุกคนน่าจะรู้กันดีแล้วว่า ถ้าสมองสั่งการอย่างไร
    "ร่างกาย" ก็จะทำตามนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสมองมันจะ "เชื่อ" ว่ามันเห็นอะไร และไม่ว่ามันจะ "สั่งการ" มาอย่างไร
    ร่างกายก็จะต้องทำตามอยู่ดี เพราะมันเกี่ยวข้องกับกลไกสารเคมีในร่างกาย

    แม้ว่ามันจะเข้าใจผิด หรือ เข้าใจถูกอย่างไรก็ตามแต่..
    เพราะฉะนั้น นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนั้น เลยพากันรำพึงรำพันว่า

    แล้ว..แล้ว..ไอ้สิ่งต่างๆที่เรากำลังสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราอยู่นี่หละ
    มันมีอยู่จริงหรือเปล่า??


    เราก็ยังไม่รู้เลย..เพราะว่าสมองเรามิอาจแยกแยะได้
    ว่าอะไรจริง หรือ อะไรหลอก

    เพราะฉะนั้น "มายาการ" หรือ "แมตริกซ์" คือคำที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับ
    โลกแห่งมิติที่ 3 ที่พวกเรากำลังอาศัยอยู่นี้

    จริงอยู่การทดลองที่ว่านั้น มันทำเฉพาะเรื่อง "การมองเห็นด้วยตา" เท่านั้น
    แต่การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสอย่างอื่น มันก็มีกลไกที่เกี่ยวข้องกับสมองไม่ต่างอะไรกันนัก


    เพราะฉะนั้น ถ้าสมมุติว่า อดีตเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เราก็มิอาจรับรู้ถึงความแตกต่าง
    ของตอนก่อนเปลี่ยน และหลังเปลี่ยนได้ เพราะความทรงจำของเรา
    และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับเรื่องนั้นๆ น่าจะถูก "รีโปรแกรม" ใหม่หมด
    คือกลายเป็นความทรงจำใหม่หมดโดยสิ้นเชิง โดยที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วย

    ทีนี้ ถ้าเราเปลี่ยนสิ่งของที่จะนำมายกตัวอย่าง จาก "ดินสอ" มาเป็น "กิ่งไม้" แทนบ้างหละ
    คือหมายถึงกิ่งไม้ที่มีกิ่งก้านสาขา แตกแขนงออกมามากมาย
    ซึ่งนั่นก็เปรียบเหมือนกับ "เส้นทางเลือกที่เป็นไปได้" ของสิ่งที่เราเรียกว่า "อนาคต"

    ดังนั้น ถ้ามดตัวนั้นมันไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็สามารถที่จะเลือกไปกิ่งไหนก็ได้ ใช่ไหมหละครับ
    เพราะว่า มันมีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมกันหมดอยู่แล้วนี่นา

    ทีนี้ในนัยยะของมิติที่สูงกว่า ท่านว่า ทางเลือกที่เป็นไปได้ที่ว่านี้
    มันมีอยู่ "อย่างเป็นอนันต์" เพราะฉะนั้น อนาคต สามารถเป็นไปได้ทุกอย่างนั่นแหละ
    ขึ้นกับ "เรา" ซึ่งจะเป็นผู้เลือกเอาเอง..เดี๋ยวตรงนี้ขอค้างไว้ก่อนนะครับ..

    และในสายตาของพวกเขา.. แม้แต่พวกเขาเอง..ก็ไม่อาจจะบอกได้เลยว่า
    อะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งที่พวกเราเรียกว่า "อนาคต" ของเราเลย
    ถ้า "ระดับพลังงาน" มันยังไม่ถึงระดับที่จะบอกได้ว่า เป็นเช่นนั้น แน่นอนแล้ว

    คือหมายถึง พวกเขาจะมองเห็นทางเลือกที่เป็นไปได้ทุกสายนั่นแหละ
    ซึ่งแต่ละสาย ระดับพลังงานของมัน ก็จะวิ่งขึ้นๆลงๆ ไปมาอยู่ตลอด
    แต่ว่าเมื่อถึง "ช่วงเวลาหนึ่ง" (อันนี้ตามนัยยะของมิติที่สูงกว่านะครับ
    ไม่ใช่ช่วงเวลาแบบเป็นเส้นตรงเหมือนเรา) มันก็จะมีอยู่สายหนึ่ง
    ที่ระดับพลังงานของมันจะเพิ่มขึ้นถึงขีดที่จะ "เป็นเช่นนั้นแน่นอนแล้ว"
    เพราะฉะนั้น เมื่อถึงระดับนั้นแล้ว พวกเขาจึงจะบอกได้ว่า

    ..อ้อ..เรื่องนี้จะเป็นไปแบบนี้นะ..ซึ่งหมายถึงไม่มีเหตุปัจจัยอะไรอื่น
    ที่จะมากระทบกระเทือนให้มันเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้แล้ว อะไรแบบนั้น

    แต่ว่าถ้าเป็นก่อนหน้านั้น ถ้าเหตุเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
    อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเชื่อ จินตนาการ หรือ การกระทำของเราเปลี่ยน
    ทุกอย่างก็จะสามารถเปลี่ยนตามไปได้หมด ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

    เพราะฉะนั้นแล้ว ลำพัง "ญาณหยั่งรู้" ระดับผิวเผินของมนุษย์ (เมื่อเทียบกับมิติที่สูงกว่า)
    จึงไม่มีใครเลย ที่จะสามารถบอกหรือพยากรณ์เหตุการณ์อะไร
    ได้ถูกต้อง 100% ไปซะหมดทุกอย่างหรอก เพราะพวกเขาบอกว่า
    ต่อให้มนุษย์โลกที่มีระดับจิตสูงที่สุดในโลกก็เถอะ ก็จะเทียบเท่ากับ
    ระดับจิตโดยเฉลี่ยพื้นๆทั่วๆไป ของผู้ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าเท่านั้นเอง

    เพราะว่ามายาการ และ โลกแห่งความเป็นทวิภาวะ มันกำหนดกรอบให้มนุษย์
    คิดได้ ทำได้ และเข้าใจได้ อย่างมีข้อจำกัด..ยังไงก็ยังมีข้อจำกัดอยู่
    ในแบบที่ในมิติที่สูงๆกว่าเขาไม่มีปัญหานี้กันแล้ว..ว่างั้นนะครับ


    การที่อนาคตจะเป็นไปอย่างไรนั้น พวกเขาบอกว่า ทุกสรรพสิ่งแก่นแท้ของมันคือ "พลังงาน"
    เพราะฉะนั้น มันก็เลยต้องสาวกันลึกลงไปถึงระดับพลังงาน ถึงจะพูดกันรู้เรื่อง
    พลังงานทั้งหมด มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน และความคิด, จินตนาการ
    และอารมณ์ความรู้สึก ก็คือพลังงานอย่างหนึ่งด้วย

    ความคิด, จินตนาการ และอารมณ์ความรู้สึก
    คือพลังงาน ที่ก่อเกิด "วัตถุธาตุทางกายภาพ" ทุกชนิดที่มีอยู่ในโลกทางกายภาพนี้
    รวมถึงเป็นตัวก่อเกิด "เหตุการณ์" และ "ประสบการณ์" ต่างๆทั้งหมดด้วย

    เพราะฉะนั้น เราอยากให้อะไร มันเป็นอย่างไร เราก็ "คิด" เอา "จินตนาการ" เอา
    และ "จดจ่อ" ความคิด จินตนาการ และอารมณ์ความรู้สึกกับมันเอาเอง

    แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ด้วยความที่เราอยู่ในมิติที่ 3 ซึ่งเป็นมิติที่หยาบๆ
    เพราะฉะนั้น เวลาเราทำอย่างนั้นแล้ว ผลลัพธ์มันจึงไม่ปรากฏออกมาในฉับพลันทันที
    เหมือนอย่างที่มันเกิดขึ้นในมิติที่สูงๆกว่า เพราะฉะนั้น มันเลยต้องใช้เวลาเป็นวัน
    หรือเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน เป็นปีก็ตาม

    ...ขึ้นอยู่กับ "ระดับพลังงาน" อีกนั่นแหละ....


    .................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  13. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    อ่านสนุก ได้รู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แม้จะเข้าใจยากเพราะเกินกว่าประสบการณ์ที่เคยมี อ่านแล้วงงดี คุณชยุตขยันแปลจัง แปลแต่เรื่องยากๆซะด้วย เหนื่อยแทน
     
  14. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866

    เรื่องเวลา ผมขอเปรียบเสมือนฟิล์มหนังม้วนหนึ่งในชีวิตของเรา (เฉพาะตัวเราและที่สัมพันธ์กับผู้อื่น) ตังแต่เกิดจดตาย

    มีสิ่งหนึ่งมาดึงฟิล์มขึ้นตามแนวดิ่ง ทุกช่วงจังหวะของชีวิต มันอยู่บนฟิล์มหมดแล้ว เห็นทั้งหมดพร้อมกัน

    แต่เราดูมัน(ขยับไปตามฟิล์มที่ละช่อง ที่ละช่อง ) เอง ทุกการเคลื่อนไหว ในแนวดิ่ง จนช่องสุดท้าย
     
  15. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +847
    ชอบจังอ่านเเล้วจินตนาการอะไรๆกว้างขึ้นทุกที
     
  16. crazybmw

    crazybmw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +331
    เรื่องฟิล์ม นี่ผมเห็นด้วยเลย ชัดเจนมากๆครับ แล้วทีนี้ ฟิล์มมันขดๆอยู่ ในบางช่วงที่มันบังเอิญใกล้กันในขดนั้นๆ ก็เป็นช่วงที่อดีต อนาคตปัจจุบัน มาชนกัน หากมิติเวลาเปิด ก็จะสามารถเชื่อมถึงกันได้ เช่น นาทีที่ 30 อาจจะไปชนกับนาทีที่ 10 หรือ 90 ก็ได้ ทำให้เห็นได้ว่า อดีต อนาคต เป็นอย่างไร คล้ายๆกับ ทางโค้ง ที่ผมว่า
     
  17. Bupuk

    Bupuk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +50
    แอบอ่านมานานขอขอบคุณคุณชยุตที่เสียสละเวลาหาข้อมูลดี ๆ มาให้อ่านกันค่ะ
     
  18. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เคยอ่านมาเหมือนกันค่ะ ว่าใต้โลกอ่ะ.. กลวง --'

    แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ... อันที่เคยอ่านมา เขาว่า.. เขามาจากดาวอื่น.. มาอยู่บนโลกนานแล้ว แต่ทนแสงอาทิตย์ไม่ได้ --' เลยต้องอยู่ใต้เลย... แล้วเขาไม่มีอาหาร(อาหารหมด) เลยให้คนของเขาบางส่วน ขึ้นไปหาอาหารบนผิวโลก.. คนเหล่านั้น ตอนแรกๆก็ตายกันหมด เพราะทนแสงอาทิตย์นานไม่ได้.. แต่พอหลายปีผ่านไป นานๆเข้า เขาปรับตัวได้ ก็เลยเริ่มอยู่บนพื้นผิวโลกได้(แต่คนส่วนมาก ก็ยังอยู่ใต้ผิวโลก) นานวันเข้า คนบนโลก เริ่มลืมอดีตตัวเองว่า ตัวเองมาบนพื้นโลกเพื่อหาอาหารไปให้คนใต้ผิวโลก.. คนใต้ผิวโลก ก็เลยต้อง ใช้อุปกรณ์ปล่อยรังสีทำให้ดูเหมือนมีอิทธิฤทธิ์ เป็นพระเจ้า.. คนบนโลกไม่รู้ นึกว่าเป็นพระเจ้า ก็กลัว ก็เลยต้องเอาอาหารไปให้..

    ที่อ่านมาก็ประมาณนี้แหละค่ะ เหอๆๆ ^^ แต่ไม่รู้จริงรึเปล่า.. เพราะอ่านๆไป ก็รู้สึกว่า เหลือเชื่อเหมือนกัน --'
     
  19. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ตอบได้ดีค่ะ ^^

    เรื่องเวลานี้ อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์แล้วด้วย ว่าไม่มีอยู่จริง.. ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ แต่ไม่เข้าใจว่า.. ทำไมคนที่อ้างตัวเองว่าเชื่อวิทยาศาสตร์ คนที่อ้างว่าไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ กลับไม่เข้าใจทฤษฎีนี้ --'

    บางคน ที่ศึกษาเรื่องจิตวิญาณ กับคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ มันก็เป็นเรื่องเดียวกันนะคะ

    ยิ่งเรื่อง อนุภาค Higgs อ่ะ น่าสนใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... เหมือนวิทยาศาสตร์ตามหลังโลกวิญญาณเลยอ่ะ... แต่อ่านแบบวิทยาศาสตร์ก็สนุกตรงที่ว่า.. เขาศึกษาได้แล้ว.. เขาก็ค่อยๆอธิบายให้คนเข้าใจ.. ทีละ step-step

    แต่คนที่ศึกษาโลกวิญญาณเลย.. เหมือนลัดขั้นตอน.. ลัดไปว่า.. วิญญาณคืออะไร มีอยู่จริง โลกหลังความตายมีจริง พลังจิตมีจริง..

    แต่วิทยาศาสตร์ เขาจะ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป.. พอเขาพบอะไรใหม่ๆ เขาจะสร้างทฤษฎี และเอาไปประยุกต์สร้างเป็นเทคโนโลยี..

    เนี่ย.. มันต่างกันแค่นี้จริงๆ วิทยาศาสตร์กับจิตศาสตร์อ่ะ.. ต่างกันแค่ เส้นยาแดงผ่าแปด

    หลายคนบนโลกนี้ ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เชื่อแต่วิทยาศาสตร์ แต่คนเหล่านี้กลับไม่เข้าใจเรื่อง "เวลา" ที่ไอน์สไตน์ค้นพบ...

    คนที่ไม่ได้ไปศึกษาวิทยาศาสตร์มากมาย.. ไม่ได้ไปตามอ่านบทความวิทยาศาสตร์มากมาย... กลับเข้าใจได้เร็วกว่าคนที่อ้างว่าไม่เชื่อไสยศาสตร์

    ว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เวลาเป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่มีอยู่จริง

    สรุปแล้ว คนที่เข้าใจที่ไอน์สไตน์พูด ส่วนมากคือ ชาวพุทธ นักไสยเวทย์ทั้งหลาย นักศึกษาวิญญาณศาสตร์ทั้งหลาย และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก(เพราะคนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เชื่อในวิทยาศาสตร์ จะไม่เข้าใจทฤษฎีของไอน์สไตน์ mamboo สังเกตุมาหลายคนแระ --')
     
  20. Powernext

    Powernext เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +3,290
    พลังจิต..อยู่ที่..จิต..
    พลังจักรวาล..อยู่ที่..จิต..
    ปรับจิตให้พร้อมรับ..พลังจักรวาล..
    ช่วงนี้อย่าลืมรับพลังจักรวาลกันนะครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...