อีกครั้งกับทวีปที่หายไป และความเกี่ยวพันกับอารยธรรมอียิปโบราณและดาวอังคาร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย kung, 9 พฤศจิกายน 2005.

  1. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    จากการศึกษาโดยพลังจิต ทำให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก (สสาร) ในทุกรอบ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) การเปลี่ยนสภาพของสสารระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และอยู่ในอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วนและพื้นน้ำ 3 ส่วนเสมอ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตาม<O:p</O:p
    เมื่อบุคคลได้ศึกษาสมาธิ-วิปัสสนา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมและเจริญทางต่อไปจนกิเลสลดน้อยลงตามลำดับ บุคคลเหล่านี้จะเห็นสภาพการเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่เนืองนิจ เห็นธรรมชาติของแรงสืบต่อของพลังงาน หรือกรงสันตติที่มีการสั่นสะเทือน ตึ๊บๆตึ๊บๆ อยู่ทุกๆรอบของ 1 วินาที และใช้แรงสันตติหรือแรงสืบต่อนี้ ย้อนกลับไปดูพลังงานที่เคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และจะส่งผลเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ตลอดจนหาทางแก้ไขเพื่อเหล่ามวลมนุษย์ในปัจจุบัน และถ้า ผู้รู้ เหล่านี้ สามารถดำรงตนอยู่เหนือวิมุตติได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาตามวิถีของจิต คือการมีญาณทัศนะ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางสมองหรือใจ บุคคลใดที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้ว สามารถที่จะเลือกทางของตนเอง ระหว่างการไม่ลงมาระคนกับกิเลส ดำรงสภาพการเป้นพระอรหันต์ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือ จะลงมาระคนกัน โลก เป็นโพธิสัตว์เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามวิบากที่เคยสร้างไว้ในอดีต จนกระทั่งเชื้อ หรือเหตุหรือพลังงานเหล่านั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป<O:p></O:p>
    ระยะเวลา 10,000 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ถ้าทุกคนสามารถจำอดีตที่ผ่านมาได้ คงจะรู้ว่าแต่ละคนได้เวียนว่ายตายเกิดกันมาคนละหลายครั้งแล้ว และเนื่องจากทุกครั้งขอกงกการเกิดมาเป้นมนุษย์ เราต้องอยู่ในท้องแม่นาน 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำในอดีต ทักษะ ความชำนาญ ความรู้พิเศษที่เคยมีนแต่ละชาติ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาของการพัฒนาไปตามลำดับ และในบางครั้งการพัฒนาความรู้เหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักลงไปอีก เพราะอายุขัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสั้นเกินไป คือไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องถึง การตาย อีกครั้ง<O:p></O:p>
    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกครั้งล่าสุดได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา การศึกษาจากประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ในปัจจุบันนี้ น่าจะเคยมีสภาพเป็นแผ่นดิน มีบ้านเมือง และผู้คนอาศัยมาก่อน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ยังคงให้ความสนใจและศึกษามาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบันนี้<O:p></O:p>
    ความรู้ที่ได้จากการใช้ พลังจิต และ แรงสันตติ เข้าไปดูอดีตจึงทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง<O:p></O:p>
    เมื่อ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา ทวีปแอตแลนติก (มหาสมุทรแอตแลนติกในปัจจุบันนี้) เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองเป็นผืนแผ่นดินที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลากภาษา ต่างวัฒนธรรม รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยกระจายอยู่ทั่วทวีป โดยมีอาณาจักรแอตแลนตีสเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม<O:p></O:p>

    อาณาจักรแอตแลนตีสมีอดีตที่รุ่งเรืองมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ พลังจิต ถึงขั้นสามารถติดต่อกับชาวอังคารและได้ติดต่อมาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับ ชาวดาวอังคาร กันบ้างเล็กน้อยก่อนกลับมาสู่เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนตีสอีกครั้ง<O:p></O:p>

    ดาวเคราะห์โลกหรือโลกของเราไม่ได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในสุริยจักรวาล ดาวอังคารก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจำนวนดาวหมื่นแสนล้านๆๆ ดวงในสุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาลเฉกเช่นเดียวกับโลกของเรา ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจึงไม่ควรรีบด่วนที่จะปฏิเสธว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่บนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เราตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปถึงดาวดวงอื่นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะลึกไปจนถึงขั้นทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ต่อกันกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ โดยเฉพาะบนดาวอังคารได้เลย พวกเราเคยจินตนาการหรือไม่ว่า ภาพของมนุษย์ชายหญิงอย่างพวกเราที่มี 2 ขา 2 เท้า 2 แขน 2 มือ ฯลฯ ได้กลายเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ฯลฯ ไปเสียแล้ว<O:p></O:p>

    โครงสร้างทางกายภาพหรือองค์ประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บนดาวอังคารมีความแตกต่างจากดาวเคราะห์โลก โดยสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุให้ชาวดาวอังคารมีรูปร่าง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน อาทิ<O:p></O:p>
    การเกิดและการมีอายุขัย มนุษย์โลกอาศัยการเกิดจากเชื้อของพ่อและฝังตัวอ่อนอยู่ในท้องของแม่ประมาณ 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำที่มีในอดีต จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก เจริญวัยเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา และเสียชีวิต มีอายุได้ไม่เกิน 100 ปี หรือ 100 ปีเศษเท่านั้น แต่สำหรับชาวอังคาร พวกเขามีสภาพเป็น พลังงาน ไม่ได้ประกอบโครงสร้างเป็น รูป หรือ ร่างกาย อย่างชัดเจน<O:p></O:p>

    การเกิดของพวกเขาน่าจะเรียกว่าเป็นการ อุบัติ ขึ้นมากกว่าเพราะเป็นการรวมตัวของพลังงานขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากธาตุสีเหลือง หรือธาตุเมตตาเป็นตัวกำหนด (ไม่ต้องอาศัยการตั้งครรภ์) เมื่อกระบวนการเกิดใหม่เสร็จสิ้น พวกเขาจะดำรงความเป็น พลังงาน ไปเรื่อยๆ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ คือมีอายุขัยมากเป็นหมื่นๆ ปี จึงทำให้พวกเขาได้รู้เห็นปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกมาโดยตลอด และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง จึงสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย<O:p></O:p>

    อาหารและการดำรงชีวิต เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มนุษย์โลกประกอบด้วยกายหยาบและกายละเอียด ในขณะที่ชาวดาวอังคารมีสภาพเป็นกายละเอียดหรือพลังงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้น อาหาร และ การดำรงชีวิต ของมนุษย์โลกและชาวดาวอังคารจึงแทบจะไม่เหมือนกันเลย<O:p></O:p>

    กายหยาบ เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างกาย และมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตา อาหารที่ใช้บำรุงหล่อเลี้ยง คือ อาหารหลัก 5 หมู่ นำเข้าสู่ร่างกายโดยทางปาก ระบบทางเดินอาหาร และอาศัยก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการสันดาปและการทำงานของหัวใจและปอด<O:p></O:p>

    กายละเอียด เป็นกายในรูปของพลังงานที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณ (ธาตุรู้) ฉะนั้นอาหารของชาวดาวอังคารจึงอยู่ในรูปของพลังงานด้วยเช่นกัน ได้แก่กระแสลมปราณ และธาตุเมตตา (กุศล) ซึ่งเป็นธาตุสีเหลืองๆ และมีอิทธิพลต่อความนึกความคิด ดังนั้นการกระทำหรือการทำลายชีวิตอื่นๆ ฯลฯ จะเป็นสาเหตุทำให้พลังงานหรือกายละเอียดและพลังจิตของพวกเขาอ่อนกำลังลง และจะดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบาก<O:p></O:p>

    อาหารที่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำ<O:p></O:p>
    พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ<O:p></O:p>
    ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก นิพพาน เพราะพวกเขาส่วนใหญ่พอใจในการมีสิ่งชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เหตุการณ์วิกฤตใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกในอดีต ชาวดาวอังคารเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการวนรอบของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครบรอบ 10,000 ปี ด้วยความปราถนาดีและอยากช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในครอบครัว สุริยจักรวาล เดียวกัน ชาวดาวอังคารจึงได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกตั้งแต่ยุค อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับ พลังจิต อย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้ประโยชน์จากรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด<O:p></O:p>


    ชาวดาวอังคารสร้างบ้านเรือนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากสภาพของการมีกายละเอียด (พลังงาน) ทำให้พวกเขาทนต่อแสงแดดได้ไม่มากนัก ประตูทางเข้าจะปิดสนิทเมื่อเวลา 03.00 น. เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด<O:p></O:p>
    ชาวดาวอังคารสามารถใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบให้ปรากฏต่อสายตามนุษย์โลกได้ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังจิตสูงคลื่นความถี่จากพลังงานของพวกเขาอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์โลกได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องสะกดจิตมนุษย์โลกให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น<O:p></O:p>

    พลังจิตและการเดินทาง กายละเอียดหรือพลังงาน หรือ กายทิพย์ เป็นกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) อาศัยน้ำ ธาตุเมตตา (กุศล) และกระแสลมปราณเป็นสิ่งหล่อเลี้ยง<O:p></O:p>
    พวกเราคงรู้จักและเคย ฝัน กันทุกคน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย มิหนำซ้ำในบางครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงจำความฝันได้อย่างแม่นยำเหมือนกับได้ไปเผชิญกับสิ่งที่ฝันมาจริง การฝันเป็นการท่องเที่ยวด้วยกายทิพย์หรือกายละเอียด โดยมีกระแสลมปราณทำหน้าที่ดุจสายใยแห่งชีวิต ตามไปทั่วทุกหนแห่ง และหากสายใยของกระแสลมปราณขาดไป บุคคลผู้นั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากกายทิพย์ไม่สามารถกลับเข้าซ้อนอยู่กับกายหยาบได้ ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถใช้กายทิพย์เดินทางไปที่ใดก็ได้ตามความต้องการ โดยที่กายหยาบหรือตัวรูปร่างกายอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง<O:p></O:p>

    พระพุทธองค์เป็นผู้ที่มีพลังจิตและญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า พระสยมภูญาณ ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงใช้ญาณหยั่งรู้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อทรงตรวจดูว่าในแต่ละวันพระองค์จะไปโปรดใครได้บ้าง อย่างเช่นในกรณีของท่านองคุลีมาล ที่ถูกอาจารย์สอนให้ทำในสิ่งที่ผิดและเป็นบาปอย่างมหันต์ ด้วยการสั่งฆ่าคนได้ให้ครบ 1,000 คน ก่อนจึงจะได้เรียนขั้นสุดยอดของวิชา และคนลำดับที่ 1,000 ก็คือแม่ของตน เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้โดยพระสยมภูญาณ จึงทรงเมตตาช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากวิบากกรรมที่จะต้องฆ่าแม่ของตนเองด้วยความไม่รู้ และกลายเป็นบาปหนัก<O:p></O:p>

    ในเช้าวันเกิดเหตุนั้น พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กันคนละเมืองกันท่านองคุลีมาล ไม่สามารถเสด็จได้ด้วยพระองค์เองได้ทัน จึงทรงโปรดด้วย กายทิพย์ ใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบปรากฏต่อสายตาของท่านองคุลีมาล ทรงช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากกรรมหนักที่กำลังจะทำมาตุฆาต (ฆ่าแม่) และทรงเทศนาโปรดจนสำเร็จ บรรลุเป็นพระอรหันต์<O:p></O:p>
    ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ซึ่งกำลังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสถานที่อยู่ของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ(สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ต่ำกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่เสวยผลบุรอยู่ในชั้นที่สูงกว่าสามารถเดินทางลงมายังสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าได้)<O:p></O:p>
    ส่วนกายหยาบหรือตัวรูปร่างกายของพระพุทธองค์มีเทวดาอาสาคอยเฝ้าปกป้องรักษาไม่ให้เกิดภัยอันตราย เพราะถ้าหากกายหยาบสูญสลายหรือบาดเจ็บ กายทิพย์หรือกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณ จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้เลย บุคคลนั้นก็ต้องเสียชีวิต<O:p></O:p>

    พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาในการเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้าเทียบเป็นเวลาของมนุษย์โลก จะนานประมาณ 3 เดือน ในครั้งนั้นพระพุทธมารดา ท้าวสักกะ (พระอินทร์) และกลุ่มเทวดาอีกเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ท้าวสักกะได้ปาวารณาตนอาสาขอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมให้มีอายุไปจนครบ 5,000 ปี และในระหว่าง 5,000 ปี นั้น พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่กลียุคถึง 5 ครั้งด้วยกัน จำต้องมีเทวดาอาสาลงมาจุติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยแก้ไขให้คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมือนดังเดิม เทวดาที่อาสาลงมาทำงานรับใช้ศาสนาทั้ง 5 องค์ 5 วาระนี้เรียกว่า องค์ธรรมิกราช ดังนั้นพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม จึงเป็นศาสนาที่มีเทวดาคอยรักษาดูแล<O:p></O:p>
    เมื่อกล่าวถึงเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาพของกายละเอียด อาหารของเทวดาก็คล้ายคลึงกับชาวดาวอังคาร เนื่องจากเทวดา พรหม มีแต่เฉพาะกายละเอียดและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ยังดับไม่ได้ อาหารคือตัวบุญ ตัวกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้เป็นพลังงานบุญช่วยหล่อเลี้ยงสร้างแสงสว่างให้กายทิพย์ของตนเอง ดังนั้นบุญญาธิการของเหล่าเทวดา พรหม จึงวัดกันด้วย แสงสว่าง และในทำนองเดียวกันธาตุเมตตา (บุญ,กุศล) จะเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและหล่อเลี้ยงกายละเอียดของชาวดาวอังคารให้เข้มแข็ง<O:p></O:p>

    บนดาวอังคารจะมีวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดอยู่มากมายเพื่อใช้ประโยชน์ในการสะเทินพลังงานความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ และยิ่งไปกว่านั้นพีระมิดยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยมนการเดินทางท่องจักรวาลหรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆ โดยเฉพาะดาวเคราะห์โลกของเรา<O:p></O:p>
    การเดินทางในแต่ละครั้ง สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะคือสิ่งหรือวัตถุที่พวกเราเคยเห็นและเรียกกันว่า ยาน หรือ จานบิน อาจจะมีหลายๆรูปแบบ ก่อนการเดินทางพวกเขาต้องตรวจสอบหรือเช็คก่อนว่าจะใช้ เส้นแสง เส้นใด เดินทางไปยังจุดหมาย หลังจากนั้นผู้ที่จะเดินทางก็จะเข้าสู่กระบวนการ โดยเริ่มจากการนำยานพร้อมลูกเรือที่จะเดินทางเข้าไปยังพีระมิดใหญ่ เพื่อใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากวัตถุให้เป็นพลังงานแสงและพุ่งทะลุออกไปทางยอดแหลมของพีระมิด เข้าสู่เส้นทางของ เส้นแสง ที่ได้เลือกไว้แล้ว และเมื่อเข้าสู่เขตบรรยากาศของโลกแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากปรากฏตัวต่อสายตาของชาวโลก พวกเขาจะใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากพลังงานแสงให้เป็นวัตถุ ดังที่พวกเราบางคนเคยมีโอกาสได้พบเห็นมาบ้างแล้วในระยะที่ไกลพอสมควร เนื่องจากถ้ายานหรือจานบินปรากฏให้เห็นในระยะสายตาปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อนัยน์ตาหรือเซลล์ในร่างกายของมนุษย์โลกได้ เนื่องจากความถี่ของเสียงที่เกิดจาการทำงานของเครื่องยนต์ในยานอยู่ในระดับที่มีความถี่สูงมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เราจึงได้เห็นจานบิน หรือฝูงจานบินในระยะที่ไกลๆ เท่านั้น<O:p></O:p>

    ชาวดาวอังคารชอบที่จะเดินทางมายังดาวเคราะห์โลกของเราเสมอ ความรู้เกี่ยวกับพลังพีระมิดได้ถ่ายทอดให้กับชาวแอตแลนตีสและในยุคนั้น ชาวแอตแลนตีสได้ใช้คริสตัลซึ่งเป็นแก้วหินใส สร้างเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ไว้ทั่วราชอาณาจักร และแต่ละคนจะมีพีระมิดคริสตัลขนาดเล็กเก็บไว้ใช้ประจำตัว ชาวแอตแลนติสที่มีพลังจิตสูงโดยเฉพาะกลุ่มนักบวชจะเป็นผู้ที่เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยพลังจิต ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าไปในพีระมิดคริสตัล และใชัพลังจิตเปลี่ยนสภาพของกายหยาบให้เป็นพลังงานแสง พุ่งออกไปในทางยอดแหลมของพีระมิดคริสตัล เข้าสู่เส้นทางของ เส้นแสง ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว<O:p></O:p>
    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มนุษย์โลกก้าวไปถึงครั้งล่าสุด คือการสร้าง ปรมาณู เป็นอาวุธร้ายแรง และนำมาทำลายล้างมนุษย์ชาติ ดังเช่นการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฺฮิโรชิมา และนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-2542 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานตัวใหม่คือ เส้นแสง และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดว่า เส้นแสง จะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก อาวุธเส้นแสง เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายนิวเคลียสและเซลล์ในร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับระเบิดปรมาณูซึ่งจะทำลายวัตถุ เช่นอาคารบ้านเรือน อาวุธเส้นแสงชนิดใหม่นี้สามารถปรับความถี่และอำนาจของการกระจายของเส้นแสงได้ตามความต้องการเหมือนกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ<O:p></O:p>

    ชาวดาวอังคารมีความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางจิตไปจนถึงระดับการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุให้เป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนจากพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุอีกครั้งซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของพลังงาน ซึ่งสูงกว่าพลังงาน เส้นแสง<O:p></O:p>
    มนุษย์โลกเมื่อครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของอารยธรรมแอตแลนตีส ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้เคยพัฒนามาจนถึงการสร้าง อาวุธเส้นแสง แล้ว ความมีอำนาจ ความแตกต่างกันในแนวความคิดและความศรัทธาความเชื่อ ได้ทำร้ายเหล่ามวลมนุษยชาติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งกระหายอำนาจมากเท่าใด ย่อมส่งผลร้ายได้มากเท่านั้น<O:p></O:p>

    บนทวีปแอตแลนติกในครั้งนั้นประชาชนได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม จนในที่สุดเหลือประชาชนเพียง 2 กลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่างผ่ายต่างมียุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้า ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติวิธี สงครางและอาวุธที่ทันสมัยมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด คือศักดิ์ศรีของจอมทัพผู้อหังการ<O:p></O:p>

    ในครั้งนั้นนักบวชนามว่า รตะ (อ่านว่าระตะ) เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความเมตตา ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 1 เดือน ว่าจะเกิดสงครามใหญ่และอาณาจักรแอตแลนตีสจะถึงวาระของการล่มสลาย กลุ่มที่เชื่อคำพยากรณ์ของท่านรตะได้ต่อเรือขนาดใหญ่ บรรทุกผู้คนอพยพออกจากอาณาจักรแอตแลนตีส มาขึ้นฝั่งที่ดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ<O:p></O:p>
    เมื่อครบ 1 เดือน ตามคำพยากรณ์ของท่านรตะ สงครามใหญ่ได้เปิดฉากขึ้น และเนื่องจากผู้นำของทั้งสองกลุ่มต่างแข็งกร้าวเข้ากัน อาวุธ เส้นแสง ที่ทันสมัยที่สุดจึงถูกนำมาใช้ แรงกดอย่างมหาศาลที่เกิดจากการยิงอาวุธเส้นแสงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกตามลำดับ คือ<O:p></O:p>
    1. อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนตีส ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคาวามเจริญในแทบทุกด้าน ได้ถึงกาลอวสานล่มสลาย พื้นทวีปทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็วกลายสภาพเป็นพื้นน้ำในชั่วพริบตา ประชาชนที่กำลังสนุกสนานร่าเริง หรือขลุกอยู่กับภารกิจประจำวันต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาจโดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว หมดโอกาสที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากอันตรายได้ มนุษย์ สัตว์ อาคารบ้านเรือ พีระมิดคริสตัลและเค้าโครงของอารยธรรมทั้งหลาย ยังคงฝังซากของอดีตอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เพื่อรอจังหวะเวลาของการวนรอบของเหตุการณ์ที่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง และถ้าหากคู่อริทั้ง 2 กลุ่มในอดีต ไม่สามารถก้าวพ้นไปจากวิบากหรือเหตุที่ได้สร้างไว้ได้การย้อนรอยของกรรมหรือพลังงานคงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลา<O:p></O:p>

    2. เพื่อเป็นการรักษาสภาพสมดุลของลักษณะทางกายภาพตามอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน จึงทำให้พื้นน้ำแถบทะเลอาหรับ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ที่เรียกว่าสะฮาราในปัจจุบันนี้ เนื่องจากปริมาณของน้ำได้ถ่ายเทไปรวมตัวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกปละฝังอาณาจักรแอตแลนตีสอยู่ใต้มหาสมุทร บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลทรายสะฮาราและคาบสมุทรอาหรับจึงกลายเป็นดินแดนมหาเศรษฐีของโลก เนื่องจากทรัพยากรที่ล้ำค่าคือ น้ำมัน การใช้อาวุธเส้นแสงคือ เหตุ หรือพลังงานที่คู่อริได้ร่วมกันสร้างไว้แล้ว ตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 10,000ปีที่ผ่านมา<O:p></O:p>
    3. การเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นน้ำและพื้นดินอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้แผ่นดินของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเคลื่อนเข้ามาชนกันในทันที แรงปะทะทำให้แผ่นดินทั้งสองทวีปถูกบีบ กลายเป็นภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า และช่องว่าที่เกิดจากการคลายตัวของพื้นดินจะปรากฏให้เห็นเป็นแนวยาวจากภูเขาหิมาลัยในประเทศอินเดียผ่านหลายจังหวัดในประเทศไทย และไปสิ้นสุดที่ จ.กาญจนบุรี นักธรณีวิทยาเรียกช่องง่าที่เกิดขึ้นนี้ว่า รอยเลื่อน และ ถ้าเมื่อใด อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เมื่อนั้นยอดเขาหิมาลัยจะเปลี่ยนสภาพจากยอดเขาสูง กลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเอเชียและของโลก และอาณาจักรแอตแลนตีสคงจะดันให้โผล่พ้นจาก้นมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นทวีปที่กว้างใหญ่อีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพื้นน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะไหลไปรวมอยู่ที่ใดของโลก เพื่อทำให้เกิดความสมดุลตามอัตราส่วนของการที่พื้นน้ำ 3 ส่วนและพื้นดิน 1 ส่วน เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น อาณาจักรแอตแลนตีสเป็นผู้ยิงอาวุธเส้นแสงจึงทำให้เกิดแรงกดอย่างมหาศาลลงไปบนพื้นทวีป จนจมลงไป ชาวแอตแลนตีสจึงต้องรับผลของเหตุที่ได้สร้างขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตหากมีประเทศใดยิงอาวุธเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง ประเทศนั้นก็จะถูกกดให้จมลงไปกลายเป็นพื้นน้ำในพริบตาเช่นกัน และแรงกดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วนี้ จะไปดันอาณาจักรแอตแลนตีสให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง<O:p></O:p>

    ท่านรตะสามารถล่วงรู้ว่า อาวุธเส้นแสง จะเป็นทั้งเหตุและผลของการล่มสลาย และฟื้นคืนกลับมาใหม่ของอาณาจักรแอตแลนตีส ตามกฎของการวนรอบในทุกๆ 10,000 ปี ความรู้สึกเสียดายอาณาจักรแห่งความศิวิไลซ์และความโศกสลดเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันได้ ในครั้งนั้นท่านรตะจึงได้ให้สัจจะหรือให้คำมั่นสัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างเหตุของท่านไว้ ซึ่งสัจจะนั้นมีความหมายว่า เมื่อใดที่ถึงวาระการวนรอบของเหตุการณ์เกิมท่านจะเป็นผู้มาช่วยฉุดแอตแลนตีสคืนกลับขึ้นมา<O:p></O:p>
    สัจจะที่ได้ให้ไว้ถือว่าเป็นภารกิจผูกมัด จดบันทึกเก็บเป็นพลังงานไว้ในใจ ซึ่งเจ้าของสัจจุ จะเพิกเฉยหรือลืมไม่ได้ เพราะเป็นเหตุที่ตนได้สร้างไว้ในอดีต<O:p></O:p>
    คณะของท่านรตะที่รอดชีวิตมา ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวพื้นเมือง อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้แพร่กระจายในดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ จนพัฒนากลายเป็นอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ในยุคต่อมา<O:p></O:p>

    ท่านรตะเป็นเพียงมนุษย์โลกคนหนึ่ง ที่เมื่อถึงอายุขัยก็ต้องตายและไปเกิดเป็นธรรมดา ความทรงจำและความมีพลังจิตสูงย่อมถูกลบไปเมื่ออยู่ในท้องแม่ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระของการกลับมาทำหน้าที่ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อชาวแอตแลนตีส ท่านรตะจำเป็นต้องสร้างวัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้เป็นเวลานับหมื่นปีเพื่อเป็นสัญญลักษณ์เตือนความทรงจำ และใช้เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่เมื่อถึงวาระตามสัจจะที่ได้กระทำไว้<O:p></O:p>
    ในครั้งนั้น ท่านรตะได้รับความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารมาช่วยสร้างสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ปรากฎไว้ในประเทศอียิปต์โบราณ รอเวลาที่ท่านรตะเวียนกลับมาเกิดใหม่และไขปริศนาอนาคต<O:p></O:p>

    สัญลักษณ์เหล่านั้นได้แก่ องค์สฟิงซ์ และมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างที่สร้างขึ้นจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป<O:p></O:p>
    พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน<O:p></O:p>
    ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนที่ขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาวอังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ<O:p></O:p>

    1.กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ในระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก<O:p></O:p>
    2.จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกล ประตูแรกที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอดแลนติก<O:p></O:p>

    พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิดพลังงานในโลกและพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง <O:p></O:p>
    แนวความคิดและความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในสิ่งชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากกการทำลายของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้<O:p></O:p>
    องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ มีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินที่ใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลางซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตให้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็นการปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำ ที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลกซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยออก และ ลม หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด ลม หรือ พลังงาน นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก<O:p></O:p>
    การคืนสัจจะได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 แต่เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะช่วยดึงให้อาณาจักรแอตแลนตีสโผล่ขึ้นมาคือก ได้มีการใช้อาวุธเส้นแสงอีกครั้ง ซึ่งชนวนของการเกิดสงครามใหญ่ก็ได้ส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว<O:p></O:p>
    บทส่งท้าย<O:p></O:p>

    ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมได้สืบทอดอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้ รวมเวลาได้ 2,547 ปีแล้ว และจะดำรงอยู่ต่อไปจนครบ 5,000 ปี ยุคปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เป็น ยุคกึ่งพุทธกาล ที่หลักธรรมคำสอนของพระสมณโคดมถูกบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิมที่ได้รับการชำระและสังคายนาในครั้งแรง หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 2 (พ.ศ. 200-300) ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้โปรดให้ส่งพระสมณฑูต 2 รูป นามว่า พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ออกเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ
    <O:pพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทำบุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุด จนเรียกได้ว่าเป็น ยุคทอง ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว หลังจากเวลาที่ผ่านไปกว่า 1,000 ปี พระพุทธศาสนาได้แยกย่อยออกเป็นหลายนิกายหลายลัทธิ และลัทธิสำคัญได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอยู่หลายประการ เช่น พระสงฆ์เริ่มฉันเนื้อสัตว์, มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้มีสมณศักดิ์ ฯลฯ<O:p></O:p>
    จากยุคสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ระยะเวลาผ่านไปอีกร่วม 1,000 ปี การถ่ายทอดและสืบทอดหลักธรรมคำสอนย่อมมีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หลักธรรมและวิธีฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องยังคงมีเหลืออยู่ไม่ได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เพียงแต่บุคคลที่สนใจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความถูกต้องเหล่านั้นหรือไม่ (หรือจะรอเวลาให้เกิดเหตุการณ์ การวนรอบ เสียก่อนจึงค่อยคิด)พลังงานเสียง พลังงานแสง ตลอดจนธาตุบริสุทธิ์ของพระสมณโคดมยังคงเป็นพลังงานที่มีอยู่ในโลดนี้ ฉะนั้นผู้รู้ ผู้มีพลังจิต ยังคงสามารถเข้าไปค้นพบพลังงานเสียง พลังงานแสง (ภาพพระพุทธองค์) และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ได้อยู่เสมอ ตราบจนกระทั่งครบ 5,000 ปี ซึ่งในวันนั้น พลังงานเก็บพลังงานตกค้างทุกชนิดของพระสมณโคดมจะมารวมตัวกันและถูกทำลายโดยเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) จนหมดสิ้น เป็นการปิดฉากพระพุทธศาสนาที่มีศาสดาทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และจะเป็นการเริ่มต้นของศาสดาองค์ใหม่ที่ทรงพระนามว่า ศรีอารยเมตไตรย ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้คนในยุคนั้นจะมีอายุยืน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติธรรมได้นาน เนื่องมาจาก แกนพลังงานโลก ได้คืนกลับมาสู่ความเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว

    สมาชิกเก่าๆ คงได้เคยผ่านตาข้อมูลชุดนี้มาบ้างแล้ว วันนี้นำมาให้อ่านกันอีกครั้งเพื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์ปัจจุบันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2005
  2. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อืม...ครับ
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ...มีที่มาอย่างไร? หรือจากท่านใดกล่าวไว้ครับ?..
    อาณาจักรมู กับ แอตแลนติส มีความเจริญสูงสุด ถึงขั้นแก้ไขรหัสบุพรกรรมแม่เหล็กในนิวคลิโอไทด์ ที่กำหนดการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของพวกเขาให้กลับมีอายุยืนยาวได้คราวละ 3 ปี สิทธิ์พิเศษนี้มีไว้เพื่อชนชั้นปกครองเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับโอกาสนี้เลย จนเกิดมีระบบทาสขึ้นในสังคม เกิดการคลั่งไคล้ในเทคโนโลยี่ โดยไม่เข้าใจแก่นแท้แห่งสัจธรรม จนเกิดจุดจบอย่างที่เห็น...

    บางทีก็สะท้อนให้เห็นภาพในปัจจุบันเหมือนกันนะครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • atlantis.jpg
      atlantis.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      121
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2005
  4. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    ข้อมูลชุดนี้ได้มาจากการศึกษาและค้นพบของ พระอาจารย์รูปหนึ่ง แล้วท่านได้
    ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ฟัง ผมพบในเว็บหนึ่งเป็นเว็บเล็กๆที่ลูกศิษย์ท่านสร้างไว้
    แต่ขออนุญาติไม่เปิดเผย ณ ที่นี้ครับ ผมเกรงจะมีการปรามาสเกิดขึ้น ท่านค้น
    พบเส้นแสงและสอนให้ใช้สมาธิกับเส้นแสงนั้นเพื่อประโยชน์ด้านต่างๆ

    ถ้าอ่านและพิจารณาจากหลายๆข้อมูล จะเห็นว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่าง
    น่าแปลก เราจะเห็นว่าอักษรอีโรกลิฟฟิคก็มีรูปญาณบินแบบต่างๆ ฟาร์โรอียิปส์
    โบราณได้รับถ่ายทอดวิทยาการในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอจึงมีชีวิต
    ที่ยืนยาวเป็นหลายร้อยปีพันปีและมีพลังจิตที่สูงมากสามารถแสดงปาฏิหารย์
    ต่างๆได้จนประชาชนคิดว่าเป็นเทพเจ้า
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    วิธีสร้างปิรามิดอันนี้ก็ดูเป็นไปได้มากครับ...คือทำใช้พลังจิตเปลี่ยนมวลสาร
    ของหินให้เป็นพลังงานแสง แล้วเอาไปจัดวางเรียงตัวซ้อนขึ้นไปทีละชั้น..ดูเป็นการผสมผสานแรงงานและเทคโนโลยี่ ผสมกับพลังจิต ได้อย่างเป็นรูปธรรมทีเดียว...น่าสนใจครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2005
  6. staystill

    staystill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +112
    อือ น่าสนใจดีครับ ท้าทายความเชื่อและความสามารถของมนุษย์
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ****

    โลกุตตระ ปรากฏบนโลก ...ทุก ๑๐,๐๐๐ ปี
    หมื่นปี จะปรากฏครั้งหนึ่ง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931

    *** ตัวตนที่ไม่สูญสลาย ****

    สิ่งที่เกิดจาก การกระทำที่ได้ทำไปแล้ว
    คือ ตัวกระทำ

    แก่นสาร สัจจะธรรม
    คือ ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน


    ตัวกระทำเป็นของใครของมัน
    ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา
    ก็เกิดเป็นตัวกระทำที่มีผลตอบแทนทั้งสิ้น
    เพราะ เป็นไปด้วย อำนาจสัจจะธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** พระธรรมคำสั่งสอน น้อมนำอุทิศส่วนบุญกุศลนี้ แผ่รอบคอบจักรวาล ****

    มนษย์ สัตว์ ต้นไม้...มีอยู่รอบคอบจักรวาล
    วิมานพรหม ยมโลก ....มีอยู่รอบคอบจักรวาล
    บิดามารดา ผู้อุปการระ เจ้ากรรมนายเวร...รอบคอบจักรวาล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ****

    ผู้ทำได้ คงต้องมา
    รับสัจจะพระพุทธเจ้า ไปเปิดเผยแพร่มวลมนุษย์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ****

    ผู้ทำได้ คงต้องมา
    มารับสัจจะพระพุทธเจ้า ไปปฏิบัติ ไปเผยแพร่สู่มวลมนุษย์
    เป็นหนทางพ้นทุกข์ของสัตว์โลก ต่อไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ โลกุตตระ ****

    คือ สัญญาใจตนเอง
    เป็นสัญญา ที่ทำไว้กับใจตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ผลการกระทำปรากฏหลังกึ่งพุทธกาล ****

    พระพุทธเจ้าพระโคดม สอนให้ตัด สอนให้ลด
    แต่เหล่ากษัตริย์และผู้นำยุคนั้น เสียดายลาภยศสรรเสริญ สิ่งที่มีอยู่
    ทำตามสัจจะคำสอนไม่ได้ จึงสั่งให้สังคายนา
    แล้วนำศีลและพิธีพราหมณ์ ที่มีมาก่อนพระโคดมตรัสรู้
    กลับเข้ามาบรรจุ เรียบเรียง บันทึก ปนกับเรื่องราวจริง
    ทำให้สัจจะ ที่พระพุทธเจ้าใช้ปลดนิสัย ตัดลดนิสัยตนเองถูกบดบัง
    เมื่อนานเข้าก็สูญหายไป กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในบารมี

    จากนั้น จนถึงบัดนี้
    สัตว์โลก ขาดการตัดลดนิสัย
    ผลการกระทำจึงสะสมมาก ผลตอบแทนจึงต้องเกิดขึ้นมา
    ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ต่อไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ปิรามิด
    สร้างจากทราย
    โดยมีกรรมวิธี ดึงน้ำออกจากเม็ดทราย
    จะอัดตัวแน่นกลายเป็นหิน ที่ทนร้อนทนหนาว
    สร้างเป็นบล็อค นำทรายไปใส่ แล้วทำเป็นหินทีละก้อน เรียงสูงขึ้นไป

    น้ำ
    ที่ได้จากเม็ดทราย
    นำไปใช้ประโยชน์ เอาไปใช่ทำมัมมี่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. zodiacs

    zodiacs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +107
    น่าสนใจดีครับ บางเรื่องผมก็ยังไม่ทราบเลย ต้องขอบคุณมากครับที่นำข้อมูลมาให้อ่าน :cool:
     
  16. texsum

    texsum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +1,511
    เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ แต่ข้อมูลยังสามารถพิสูจน์ได้ต่อ เรื่องราวยังมีตอนเฉลยและตอนจบครับ
     
  17. zodiacs

    zodiacs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +107
    ถ้ามีข้อมูลที่น่าสนใจก็เอามาให้อ่านบ้างนะครับ
     
  18. ไอยคุป

    ไอยคุป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +112
    น่าสนใจมากคะที่ได้อ่านข้อมูล และเรื่องคัมภีร์มรกตอีกเรื่องหนึ่งด้วย
     
  19. อำพัน

    อำพัน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +4
    น่าสนใจมากค่ะ
    อ่านแล้วนึกถึงหนังสือตำนาน
    หรือหนังบางเรื่องที่มีการผสมแนวคิดนี้เข้าไป
    พอเอามาคิดปะติดปะต่อ เรื่องมันก็เชื่อมโยงใกล้เคียงกันได้
    การเป็นอยู่อย่างดาวอังคาร
    คล้ายคำว่า "ทิพยะ" ในพระพุทธศาสนา
    รวมทั้งความยืนยงที่ไม่รู้จักนิพพาน
    ก็คล้ายๆ หลักแนวคิดที่เคยอ่านมาเหมือนกัน
     
  20. destiny_nick

    destiny_nick Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณมากค่ะที่เอามาให้ได้อ่านกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...