ตามรอย "พระมหาชนก"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 15 กรกฎาคม 2010.

  1. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    การศึกษา

    เริ่มจากแยกพระออกจากการศึกษาไทย ในสมัยเปลี่ยนการปกครอง

    ปี 2520 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ถอน วิชาหน้าที่พลเมืองและวิชาเกี่ยวกับศีลธรรมออกไป

    ใช้ทุกวิถีทาง ทั้งความไม่รู้และความตั้งใจ ลด ตัดทอน จนวิชาพุทธศาสนา กลายเป็นวิชาเลือก และเหลือเลือก

    ศาสนา

    เริ่มจาก เปลี่ยนวันหยุดวันโกนวันพระ เป็นเสาร์อาทิตย์
    เวลาผ่านไปจน พระพุทธศาสนากำลังเหลือเพียงแค่เปลือก เครื่องรางของขลัง
    งานแต่ง งานตาย เหลือเพียงคนแก่ที่เข้าวัด

    เวลานั้นผู้ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาคงคิดว่าอีกไม่ถึงชั่วคน พุทธคงสิ้นไปจากเมืองไทยแน่นอน

    แต่ก็มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่เป็นการเตรียมเสบียงบุญให้คนไทย ก็คือ ปี 2546 เกิดโรงเรียนวิถีพุทธขึ้น

    โดยมีจารุเตโชพราหมณ์ท่านนี้เป็นพระรูปหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง

    สถานการณ์พุทธศาสนาโดยรวมจึงกระเตื้องขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
    โรงเรียนวิถีพุทธเกือบจะโดนล้มโครงการหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนเจ้ากระทรวง

    ครั้งที่มีวิกฤติหนักสุดคือ เกิดปลาเน่าจากวัดจานบิน ส่งผลให้ มีคนจะล้มทั้งเข่ง
    จากนั้นก็มีทั้งเปลี่ยน เป็นโรงเรียนวิถีธรรมบ้าง โรงเรียนคุณธรรมชั้นนำบ้าง ด้วยเกรงว่า
    ศาสนิกศาสนาอื่นจะไม่พอใจ

    เป็นไปแล้วครับ!! เหตุการณ์ที่ประเทศพุทธเทียมกว่า 90% ยินยอมให้ 10% ที่เหลือมาเปลี่ยน

    น่าเอน็ดอนาจยิ่งนัก...

    สุดท้าย ทั้ง กระทรวงศึกษา และ สำนักพุทธ ก็โดนอำนาจเงิน อำนาจคนจากวัดจานบินครอบงำ และเหิมเกริมจนกระทั่ง หากไม่มีโครงการMOU ฉาวๆออกมา เป็นควันหลงของสงครามกลางเมือง คนก็จะไม่รู้ว่า วัดจานบินตั้งใจจะครอบ โรงเรียน ครู และนักเรียนทั้งประเทศ

    จะมีคนไทย คนพุทธสักกี่คนที่รู้หนอ?
    ว่าเรากำลังตกลงมายังก้นเหวแห่งความมืดมิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2010
  2. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    วันนี้เพิ่งไปเจอว่า ....อ้าว ตามรอยพระมหาชนก มีเป็นหนังสือเเล้วนี่หน่า...เราเพิ่งรู้นะเนี่ย นึกว่ามีเเค่หนังสือ พระราชนิพนธ์พระมหาชนกของในหลวงเท่านั้น ล้าหลังมากเลยนะข้าพเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  3. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ข้าพเจ้าล้าหลังมากกว่า เพราะพึ่งรู้อ่ะ แป่ว :boo:
     
  4. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ม.ช คือ มหาขนก ซึ่งในส.ค.ส ก็น่าจะคือ เรือของพระมหาชนกนั่นเอง คิดว่าอย่างนี้

    ส.ค.ส พระราชทานมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องพระมหาชนกอยู่มาก เช่นใน
    ส.ค.ส ปี 2542 ก็ีมีพระมหาชนกว่ายน้ำอยู่กลางทะเล (กล่าวถึงพายุนากีสในทะเล)เเละ
    ส.ค.ส ปี 2547 ก็มีเรือใบของพระมหาชนกอยู่ในทะเลอีก(ไม่มีพายุ เเต่มีระเบิด)ซึ่งไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องใดๆกันหรือไม่
     
  5. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    เเละอีกส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ผ่านตามาว่า เร่ื่องพระราชนิพนธ์ พระมหาชนกนี้
    ก็ได้กล่าวถึงเรื่อง ตามร่องรอยเมืองโบราณ ในพระมหาชนกกับเมืองในปัจจุบัน ไว้ด้วย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า เราน่าจะให้ความสำคัญตรงส่วนนี้เช่นกัน

    เเละอีกหนึ่งข้อสังเกตุ จาก ส.ค.ส ในปีต่างๆส่วนใหญ่มักจะเขียนว่า
    มหาลัยปูทะเลย์ มิถิลา กลายมาเป็น มหาลัยปูทะเลย์ บ้านเชียง

    มิถิลา เเละบ้านเชียง อะไรคือจุดร่วม ?ทำไมถึงได้ถูกเปลี่ยนจากมิถิลาเป็นบ้านเชียง?(ใน ส.ค.ส)เเละจาก มิถิลาบ้านเชียง จะทำให้ศาสนาอยู่ครบจนถึง 5000ปีได้เช่นไร

    พอนึกถึงบ้านเชียง ข้าพเจ้านึกถึงอารยธรรมเเละ ของโบราณมากมาย เเต่สิ่งหนึ่งที่เด่นในนั้นก็คือ ลูกปัด
    ความจริงเเล้ว เราสามารถพบลูกปัดได้ทั่วไปในหลายภาคประเทศไทยโดยเฉพาะที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ที่ที่เราคุ้นเคยกันดีว่าเป็นแหล่งที่ค้นพบข้าวของเครื่องใช้ หม้อ ไห โบราณ ที่นี่เราสามรถพบลูกปัดหินคาร์เนเลียนและอาเกตสีต่างๆ ลูกปัดแก้วเป็นแท่ง ลูกปัดแก้วเป็นแผ่นกลม ๆ เล็ก ๆ สีส้ม ซึ่งบ้านเชียงนี้ยังเป็นเเหล่งอารยธรรมโบราณเก่าเเก่ย้อนหลังไปกว่า 5000 อีกด้วย

    [​IMG]
    .
    ภาพ ลมมรสุมจากอินเดียมาสู่สุวรรณภูมิ
    จากหนังสือ "พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน"​
    .
              ซึ่งลูกปัดทุกแบบถูกเรียกว่า “ลูกปัดแบบอินโด - แปซิฟิค” หรือ “ลูกปัดลม” เช่นเดียวกันทั้งหมด แต่เพื่อความเข้าใจในการเข้ามาของวัฒนธรรมอินเดียอันส่งผลต่อการเกิด ”วัฒนธรรมทวารวดี” และ “ศรีวิชัย” ในอุษาคเนย์ ชื่อของลมมรสุมที่พัดเรือสินค้าวาณิชเข้ามา จึงควรจะนำ “วรรณกรรมชาดก” ที่เป็นหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นถึงในการติดต่อเชื่อมโยงระหว่างสองทวีปในยุคโบราณเข้าด้วยกัน มาใช้เป็นชื่อของลมมรสุมว่า “ลมการค้าพระมหาชนก” (MahajanakaTrade Wind) ส่วนลูกปัดแก้วสีเดี่ยวก็คงยังนิยมเรียกว่า “ลูกปัดลม” เพื่อความง่ายต่อการเข้าใจเช่นเดิม



    [​IMG]

    "ลมการค้า พระมหาชนก" ไม่ใช่เป็นเพียงลมการค้าแลพาณิชย์เท่านั้น
    แต่ ศิลปวัฒนธรรม เทคนิควิทยาการ คติความเชื่อและพุทธศาสนา ก็ได้ใช้เส้ทางลมมรสุมนี้
    เดินทางเข้ามายังแผ่นดินสุวรรณภูมิอีกด้วย"​

    [​IMG][​IMG]
    รูปจากหนังสือพระราชนิพนธ์พระมหาชนก​


    หรือว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ที่ อารยธรรมจากมิถิลา ได้ถูกถ่ายถอดมาที่บ้านเชียง ประเทศไทย สุวรรณภูมิ
    เล่นๆนะรู้สึกว่ามั่วมาก อย่าถือสา
    เขียนไปมึนไป นี่เราจะอธิบายอะไรหว่า
    อ้างอิงๆ
    http://th.wikipedia.org/wiki/แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
    http://www.watyarn.net.nz/Siam_History/siam_history_017.htm
    http://www.vcharkarn.com/varticle/38555
    http://www.oknation.net/blog/voranai/2009/09/15/entry-1
    http://atcloud.com/stories/66630

    <br>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image 30.png
      Image 30.png
      ขนาดไฟล์:
      113 KB
      เปิดดู:
      2,891
    • Image 35.png
      Image 35.png
      ขนาดไฟล์:
      40.8 KB
      เปิดดู:
      3,508
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2011
  6. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    สุนัข = ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี?
    ขนาดสุนัขเล็กลง? = ซื่อสัตย์จงรักภักดีน้อยลง?
    ปลอกคอ = อยู่ภายใต้? ไม่มีปลอกคอ =ไม่อยู่ในภายใต้?
    มะม่วงล้ม = มะม่วงไม่ล้ม?

    สุนัข7ตัวตัวละปีนับจากปี 2547 ขนาดลดลงทุกปี จะตัวเล็กสุดในปี 2554 หรือนี่คือการเปลี่ยนเเปลง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image 36.png
      Image 36.png
      ขนาดไฟล์:
      68.1 KB
      เปิดดู:
      241
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  7. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Falkman [​IMG]
    พี่กวย (หางอึ่ง) เคยบอกว่า หลวงพ่อแดงเคยเตือนว่า ซึนามิ ครั้งต่อไปจะเกิดจากภูเขาไฟใต้ทะเล แล้วคราวนี้ประเทศบรูไน จะหายไป ก็เลยไปหาภูเขาไฟใต้ทะเลมา แล้วลองจำลองคลื่นดู (สีแดง) (ลพ แดงบอกก่อนซึนามิครั้งก่อนว่า จะมีตลื่นยักษ์ แล้ววันทีเกิดท่านวาดรูปให้ดูด้วยว่าเหตุเกิดจากแผ่นดินสองแผ่นมันเกยกัน)
    แต่คราวหน้า ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิด คราวนี้จะแรง ไทยจะโดนเต็มๆ

    ส่วนคลื่นสีเหลือง จำลองจากภูเขาไฟตรงอันดามัน ลองดูว่าถ้าเกิดมันระเบิดแล้วมีแผ่นดินไหว ส่วนไหนจะกระทบบ้าง


    [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table>
     
  8. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ข้าพเจ้าขออนุญาตินำบางส่วนจาก
    พระราชดำรัส

    พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้า ฯ ถวายชัยมงคล
    ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
    ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
    วันอังคาร ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒


    เมื่อเร็วๆ นี้ เกิดคิดขึ้น หรือควรพูดว่าได้ข้อมูลมาเกี่ยวกับเรื่อง เรื่องหนึ่งซึ่งเขาเดือดร้อนกันทั่วโลก คือ ความเดือดร้อนที่ทุกคนจะต้องประสบ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รู้ แล้วคนที่รู้ บางทีก็โวยวาย ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมากปัญหานี้ เคยได้พูดถึงที่อื่นมาแล้ว เกี่ยวข้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งกำลังวุ่นวายกันมาก ทั้งผู้ใหญ่ทั้งผู้น้อย ทั้งผู้ที่อยู่ในทวีปยุโรป อเมริกา เอเซียก็พูดกันทั้งนั้น คือ ปัญหาว่า สิ่งแวดล้อมจะทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปบางคนเขาบอกว่า ฝรั่งมาชี้หน้าและพูดว่า "นี้ บางกองนี้ก็จะอยู่ใต้ทะเลภายในไม่กี่ปีน้ำก็จะท่วม"ความจริงเราก็รู้อยู่แล้วว่า กรุงเทพฯ น้ำท่วม แต่เขาบอกว่า น้ำจะท่วมจากทะเล เพราะว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะว่ามีสารคาร์บอนขึ้นไปในอากาศมาก จะทำให้เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น เมื่อโลกนี้ร้อนขึ้น มีหวังว่าน้ำแข็งจะละลายลงทะเล และรวมทั้งน้ำในทะเลนั้นจะพองขึ้น เพราะสิ่งของที่ร้อนขึ้นย่อมมีการพองขึ้น ปริมาตรก็มากขึ้น เมื่อน้ำพองขึ้น ก็จะทำให้ที่ต่ำ เช่น กรุงเทพฯ ถูกน้ำทะเลท่วม อันนี้เป็นเรื่องเขาว่า ก็เลยสนใจว่าเรื่องเป็นอย่างไร จึงได้ข้อมูลมาว่า สิ่งที่ทำให้คาร์บอน (ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์) ในอากาศ เพิ่มมากขึ้นนั้น มากจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดินและจากการเผาไม้ ซึ่งตามตัวเลข จำนวนคาร์บอนในอากาศนี้… ไม่ทราบว่าท่านจะจดจำได้หรือไม่ เพราะว่าพูดไปอย่างนี้อาจจดจำไม่ได้ แต่บอกได้ว่าในอากาศนี้มีสารคาร์บอน มี คาร์บอนอยู่เดี๋ยวนี้จำนวน 700 พันล้านตัน โดยประมาณ (700 พันล้าน ก็คือเจ็ดแสนล้านนั่นเอง แต่เมื่อนับเป็นจำนวน พันล้าน ซึ่งฝรั่งเรียกว่า "บิลเลี่ยน" จึงพูดไป 700 พันล้าน)

    คราวนี้ การเผาเชื้อเพลิง เช่น ถ่าน ถ่านหิน น้ำมัน เชื้อเพลิง อะไรๆ ต่างๆ เหล่านี้ ทั้งหมดทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากาศจำนวน 5 พันล้านต้นต่อปี แล้วก็ยังมีการเผาทำลายป่าอีก 1.5 พันล้านตัน รวมแล้ว เป็น6.5 พันล้านตัน ถ้าขึ้นๆไปอย่างนี้ ก็เท่ากับเกือบสิบเปอร์เซนต์ ของจำนวนที่มีอยู่แล้วในอากาศ ถ้าไม่มีอะไรที่จะทำให้จำนวนของสารนี้ในอากาศลดลง ก็จะทำให้สารนี้กลายเป็นเหมือนตู้กระจกครอบ ทำให้โลกนี้ร้อนขึ้น ก็เกิดเรื่องยุ่งตามที่ได้กล่าวแล้วพูดกันว่าต้นไม้ทำให้จำนวนคาร์บอนมีน้อยลงได้ ก็เป็นความจริง ต้นไม้ทั่วโลกในปัจจุบันนี้ กินคาร์บอนได้ในอัตรา 110 พันล้านตัน (แสนหนึ่งหมื่นล้านตัน) ต่อปี ก็เป็นอันว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สบายใจได้ แต่ว่าถ้าเราดูต่อไปอีกต้นไม้นั้นเองมันกำไรเพียงครึ่งเดียว ในครึ่งนี้ยังมีดินหรือสิ่งที่กำลังสลายตัวต่างๆ ที่จะส่งคาร์บอนขึ้นไปในอากาศอีก 54.5 พันล้านตัน (ห้าหมื่นสี่พันห้าร้อยล้านตัน) ลงท้ายก็จะได้กำไรเหลือเพียงห้าร้อยล้านตัน ฉะนั้นถ้าดูแล้ว ยังขาดทุนอีก 6 พันล้านตัน มีอีกอย่างหนึ่ง ก็คือทะเล ทะเลนั้น เขาจะส่งคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปบนฟ้า 90 พันล้านตัน(เก้าหมื่นล้านตัน) แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ดูดคาร์บอนจากอากาศมา 93 พันล้านตัน (เก้าหมื่นสามพันล้านตัน) ที่เขาส่งออกไปนั้น เก้าสิบ ที่เขาดูดลงมา เก้าสิบสามหมายความว่าเขาทำกำไรให้ 3 พันล้าน ถ้าบวกทั้งหมด เป็นอันว่ายังมีการเพิ่มคาร์บอนในอากาศ 3 พันล้านตัน ทุกปีๆ อันนี้ทำให้นักวิชาการเขาเดือดร้อน วิธีแก้ไขก็คือ ต้องเผาน้อยลง และต้องปลูกต้นไม้มากขึ้น

    นี้ก็เป็นตัวเลข ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็คงปวดหัว แต่คงหาผู้ที่จะเขียนตัวเลขเหล่านี้ให้ได้ ก็เป็นอันว่าปัญหามันมีจริง ว่าเราจะประสบความเดือดร้อน ความเดือดร้อนก็จะมีในรูปน้ำท่วมอย่างที่เขาว่า แต่ข้อนี้ก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะว่าถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ก็จะทำให้น้ำนั้นระเหยมากขึ้น เมื่อน้ำระเหยมากขึ้น ก็จะทำให้อุณหภูมิ ก็จะทำให้น้ำนั้นระเหยมากขึ้นเมื่อน้ำระเหยมากขึ้น ก็จะทำให้อุณหภูมิลดลงมา ถ้าหากอยากจะขู่ท่านทั้งหลายว่า สถานการณ์แย่มาก ก็พูดว่ากรุงเทพฯน้ำท่วมแน่ สภาพของคนจะแย่ จะสูญพันธ์ไปในไม่ช้าไม่นาน แต่ว่าถ้าหากอยากจะปลอบใจ หรืออยากจะ

    หาทางแก้ไข ก็ปลอบใจได้ว่า อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้น้ำระเหย น้ำระเหยทำให้เย็นลง อากาศก็เย็นลง แล้วปัญหาอื่นๆ ก็ไม่ยุ่ง เพราะว่าถ้าระเหยไปมากน้ำก็ไม่ท่วม ก็เป็นอันว่ายังไม่หมดหวัง

    ทั้งหมดนี้ ถ้าหากแต่ละคนที่เป็นผู้ชอบศึกษา และชอบออกความเห็น ขอบมาขู่ชาวบ้าน หรือผู้ปกครองประเทศก็ต้องเป็นคนมีความรู้ก่อน คือผู้ที่จะมาขู่ต้องมีความรู้ ผู้ที่รับฟังการขู่ ก็ต้องมีความรู้ เพื่อที่จะไม่ให้ความหนักใจในระดับโลก ความหนักใจในเรื่องจะเป็นหรือตายนี้ กลายมาเป็นความรู้สึกหวาดกลัว หรือเกิดความยุ่งยาก ยุ่งเหยิงถึงขั้นที่จะปะทะกันเลย อย่างเช่นที่จะบอกว่าถ้าไม่ฟังก็จะเดินขบวน จะมาขัดขวางการจราจร อะไรต่างๆ อย่างนี้มันอันตรายมาก เพราะว่าถ้าเราเอาอะไร แม้ที่มีความจริง น่าหนักใจจริง แต่ว่านำมาก่อสิ่งที่ยิ่งน่าหนักใจ และสิ้นเปลืองเราก็อยู่ไม่ได้ โลกก็อยู่ไม่ได้

    อาจเป็นข้อนี้เองที่ทำให้เกิดนึกมาพูดเรื่องคาร์บอน เรื่องจะร้อน จะเย็น น้ำจะท่วมไม่ท่วม เพราะว่าถ้าหากว่าเรามาศึกษาอย่างใจเย็น อย่างมีเหตุผลแล้ว ก็จะหาทางแก้ไขได้ หรืออย่างน้อยก็ให้พยายามแก้ไข มันจะดีกว่าที่จะมาขัดแย้งกัน แล้วเมื่อขัดแย้งกัน ก็มักก่อเกิดปัญหาใหม่ คือ ปัญหาการเดินขบวนที การประท้วงที การจราจรวุ่นวายเป็นต้น แล้วก็ทำให้ผู้ที่รับผิดชอบปวดหัว เลยไม่ต้องคิดแก้ไขอะไร ต้องมาคิดแก้ไขแต่สิ่งวุ่นวาย ที่มีขึ้นมาใหม่ โดยใช่เหตุ เรียกว่าเสียแรงเปล่าๆ แล้วเมื่อเสียแรงเปล่าๆ นี้มันก็เรียกว่าสิ้นพลังงาน เมื่อสิ้นพลังงานแล้ว คนเราก็หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปมากขึ้น มากกว่าคนที่ใจเย็นๆ ก็ทำให้ปัญหาที่เราเป็นห่วงแต่เดิมเพิ่มขึ้น ฉะนั้นที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะเห็นว่าในที่นี้มีผู้ที่รับผิดชอบงานด้านต่างๆ รวมทั้งผู้ที่สนใจในการศึกษาขั้นต่างๆ ในสาขาต่างๆ ซึ่งปัญหาที่พูดนี้ก็เกี่ยวข้องกับทุกสาขา เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ ข้อต่างๆ เหล่านี้ก็เกี่ยวพันกัน พาดพิงไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว

    วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่าเมืองไทยนี้ อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือ จะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศ ซึ่งก็อาจเป็นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้าคำนวณดู น้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้น ยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอนน้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมาก แล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเองเดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ น้ำนี้จะต้องใช้ให้ดีคือน้ำนั้นมีคุณอย่างที่เราใช้น้ำสำหรับบริโภคน้ำสำหรับการเกษตรน้ำสำหรับการอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่า น้ำที่สะอาด

    น้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้ แล้วนอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ ที่กำลังมีมากขึ้น ก็คือน้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่อยู่เสมอแต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้นนี้เป็นอีกโครงการหนึ่ง ที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ ถ้าไม่จัดการโดยเร็ว เราก็จะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้ แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมา ก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวัง

    ถ้าเรามีน้ำ แล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างดีอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย "ยังให้" ใช้คำว่า "ยังให้" ก็หมายความว่ายังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ ไม่ใช่ไม่เหมาะประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทรายก็ป้องกันได้ ทำได้

    พูดกันว่า ถ้าหากไปทำโครงการไฟฟ้าพลังน้ำก็จะไปทำลายป่า ทำให้เสียหายกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็พูดอย่างนั้น อันนี้เป็นความจริง ถ้าไปทำลายป่าแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือสนามกอล์ฟ หรือการท่องเที่ยว หรือการลักลอบตัดป่า เป็นต้น ดังนี้ข้อเสียมันเพิ่มขึ้นได้จริง แต่ว่าถ้าหากไปทำในที่ ที่เหมาะสม คำนวณได้ว่าผลเสียในการตัดไม้ส่วนหนึ่งจะคุ้มกับผลได้ คือเช่นที่บอกว่าตัดต้นไม้นั้น ทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากาศเป็นจำนวนเท่านั้นๆ ทำให้เกิดความระเหยของน้ำเท่านั้นๆ เราก็จะต้องมาเลือกดูว่าจะรักษาป่าไว้ หรือจะต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

    เมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เราจะต้องใช้อย่างหนึ่งอย่างใด อย่างมีผู้เสนอให้ไปซื้อถ่านหินจากออสเตรเลียมาสร้างโรงไฟฟ้าใช้ไอน้ำ คือใช้ถ่านหินมาเผา เพื่อที่จะทำความร้อนและขับเทอร์ไบน์ให้เป็นไฟฟ้า คำนวณดู ที่เราจะต้องซื้อถ่านหินจากประเทศออสเตรเลียมา ก็เสียเงินทองเท่าไหร่ มาเผาแล้วจะออกมาเป็นคาร์บอน เวลามาเผาสำหรับหมุนกังหัน จะต้องเกิดคาร์บอน ขึ้นไปเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับที่จะเสียพลังการกำจัดคาร์บอนจากต้นไม้สัก 3 - 4 ต้นนั้นน่ะ มันคุ้มหรือเปล่าถ้าทำไฟฟ้าด้วยพลังน้ำที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ เพียงแต่ตัดต้นหญ้าก็คงไม่เสียหายพูดอย่างนี้ก็อาจฉงนว่าจะทำที่ไหน ไปคิดเอาเอง ว่าที่ไหนทำได้ มันมีที่ที่จะทำได้ รวมทั้งน้ำที่จะกักเอาไว้ ปล่อยออกมาทำไฟฟ้า และปล่อยออกมาทำการเพาะปลูกในที่ที่อย่างน้อย 200,000 ไร่ ซึ่งปัจจุบันนี้รกร้างว่างเปล่าเพราะว่าไม่มีน้ำเมื่อรกร้างว่างเปล่าอย่างนั้น ก็ทำให้เสียเศรษฐกิจไปแยะ จะต้องสงเคราะห์ชาวนา ชาวสวนที่เป็นเจ้าของที่เหล่านั้น ลงท้ายพวกนั้นก็จะต้องขายที่ กลายเป็นทำให้ราคาของที่ดินแพงขึ้น ก็เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้วผู้ซื้อที่ดินนั้นก็จะอยากไปประกอบอุตสาหกรรมที่นั่น เมื่อมีอุตสาหกรรมที่นั่นก็จะต้องมีน้ำ ก็จะต้องขุดน้ำบาดาล หรือต้องทำโครงการนำน้ำมา เสียเงินเป็นหลายล้าน เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ฉะนั้นถ้าหากว่าที่ดินเหล่านั้นจะมาใช้สำหรับการเกษตรได้โดยเหมือนว่าได้เปล่า รู้สึกว่าควรจะทำ แต่ถ้าไปทำ ก็จะมีผู้ที่คัดค้านว่าในการทำต้องไปตัดต้นไม้ ในข้อนี้ถ้าพิจารณาแล้ว ที่เขาคัดค้านไม่ให้ตัดต้นไม้ เพระเหตุใด เขาก็ต้องคิดดูเหมือนกันว่าเราต้องการไฟฟ้า แล้วเราเผาถ่านหิน ก็จะเสียหายไป เท่าใด เปรียบเทียบกับการตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น

    พูดอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็งง วันนี้มีแต่งง เพราะวันนี้ไปถึงสิ่งแวดล้อมขั้นโลก แต่ก่อนนี้เคยพูดถึงสิ่งแวดล้อมขั้นประเทศ เดี๋ยวนี้ถึงขั้นโลก ก็เป็นความรับผิดชอบมีตาในโลกว่าเป็นประเทศที่มั่นคง เป็นประเทศไทยนี้ก็เติบโตขึ้นมา จะมีหน้ามีตาในโลกว่าเป็นประเทศที่มั่นคง เป็นประเทศที่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เราจึงต้องมีความรับผิดชอบในโลกมากขึ้น ทั้งนี้ก็เชื่อว่า เป็นความดีของประเทศไทย ถ้ามีความเลวก็จะต้องรักษาความดี ที่ไหนที่ไม่มีความดีก็จะต้องสร้างความดี ที่ไหนมีความเลวก็ต้องระงับความเลว ที่ไหนที่มีความดีแล้ว ก็ต้องรักษาความดี อันนี้เป็นหลักแต่ว่าถ้าเรามีความดีอยู่แล้ว แล้วก็ทำลายความดีนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ไม่ได้บอกว่าเป็นสิ่งที่เลว - มันก็เลวอยู่ในตัว- แต่น่าเสียดายถ้าเรามีของดีแล้ว เราต้องรักษา และส่งเสริมความดีในของดีนั้นให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    คราวนี้ถึงได้พูดในปัญหาที่เรียกได้ว่าฟังแล้วปวดหัว เพราะว่าเป็นตัวเลยที่หมุนไปหมุนมา ดูเหมือนว่าไม่เข้าใจกันว่าทำไม พูดอย่างนี้ แต่ว่าท่านเป็นผู้ที่มีความจำดี เอาที่พูดนี้ไปพิจารณาว่า จริงหรือไม่จริง แล้วถ้าอยากจะทราบว่ามีตัวเลขที่ไหน ผู้ที่เป็นเจ้ากระทรวง ก็ไปถามที่กระทรวง มีตัวเลขเหล่านี้ทั้งนั้นเกือบทุกกระทรวง คนที่อยากทราบข้อมูลต่างๆจะไปถามครูบาอาจารย์ก็ได้ ครูบาอาจารย์เหล่านี้ แต่ละคนๆ มีความรู้ในเมืองไทยมีคนมีความรู้เยอะแยะ เพียงแต่ให้ไปถามท่าน เมื่อถามท่านแล้ว นำความรู้ที่ท่านทั้งหลายให้มา มาโยงกัน เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาส่วนรวมก็คงจะสามารถปฏิบัติงานได้ แล้วก็ทำให้พยุงรักษาประเทศชาติให้ก้าวหน้าเจริญได้

    ได้พูดถึงตรงนี้ก็คงพอสมควร เพราะว่าจะเป็นการบ้านได้สำหรับไปคิดตลอดปี ถ้าไม่พอท่านก็ไปคิดใหม่ ไปคิดเพิ่มเติม แล้วปีหน้าจะได้เพิ่มเติมให้ได้ แต่ว่าปีหน้า เราแต่ละคนก็ต้องรักษาถึงแต่ละถังไว้ให้ดี เพื่อที่จะไม่ให้รั่วได้ทราบอะไรเข้าไป ไม่ให้รั่วออกมาเฉยๆ คือคนเรา ถ้าหากฟังอะไรเห็นอะไรมาแล้ว ปล่อยให้รั่วออกมาหมด ก็น่าเสียดายแต่ว่าคนไหนที่สามารถจะเก็บเอาไว้ได้ แล้วนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ ก็เป็นผู้ที่มีประโยชน์ และเป็นผู้ที่จะมีความสุข และมีความพอใจ

    ที่ท่านทั้งหลายมาในวันนี้ ก็มาให้พรให้เจริญ คงหมายความว่า ให้รักษาถังไว้ให้ดีๆไม่ให้รั่ว ที่จริงบางเวลาเห็นอะไรฟังอะไรแล้ว มันชักจะคลอน มันปวดหัวก็หมายความว่ามันคลอน แต่ว่าถ้าคิดดีๆ แล้วก็ซ่อมแซมให้ดีได้มันก็หายปวดหัวที่ท่านมาให้พรให้เจริญ ก็เหมาเอาว่า ท่านจะมาให้พร ให้สามารถซ่อมแซมถึงให้แข็งแรง ก็เช่นเดียวกัน ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาและซ่อมแซมถังไว้ให้ดีให้ตลอดด้วย เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหา คือเข้าใจก่อน และแก้ไขปัญหาดังที่ได้เปรยไว้ อย่างหนักในวันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านได้ประสบความดี ความเจริญ และความสำเร็จทุกประการ

    ที่มา http://www.tungsong.com/Important_Day/Thai_environment/Environment_02.asp
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  9. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446


    ข้อความต่อไปนี้ข้าพเจ้าได้คัดลอกมาจาก

    พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
    ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชงดุสิตฯ วันจันทร์ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2538
    (ฉบับไม่เป็นทางการ)
    รวมความได้ว่า เมขลานั้นคือ สาขาหนึ่งของสำนักงานฝนหลวงอุตินิยมวิทยา เเละการที่ให้เมขลาไปเจรจากับพายุ นั่นก็น่าจะหมายถึง การใช้ฝนเทียมเข้าไปส่งผลต่อพายุนั่นเองซึ่งมีอยู่ในตัวอย่างตำราฝนหลวงดังต่อไปนี้


    ตำราฝนหลวง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์ภาพ "ตำราฝนหลวง" ด้วยคอมพิวเตอร์ แสดงขั้นตอน และกรรมวิธีการดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดฝนจากเมฆอุ่น และเมฆเย็น และพระราชทานแก่ นักวิชาการฝนหลวง ถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2542


    [​IMG]

    แถวบนสุด (แถวแรก) ของตำราฝนหลวงพระราชทาน

    ช่องที่ 1. "นางมณีเมฆขลา" เป็นเครื่องหมายหรือสัญญลักษณ์ของโครงการ เป็นหัวหน้าสำนักงานอุตุนิยมวิทยา แห่งเขาไกรลาศ หรือเขาพระสุเมรุ วิเทศะสันนิษฐานว่าอยู่ในทะเล
    ช่องที่ 2. "พระอินทร์ทรงเกวียน" พระอินทร์เป็นพระสักกะเทวราช เป็นราชาของเทวดา ที่ทรงมาช่วยทำฝน
    ช่องที่ 3. "21 มกราคม 2542" เป็นวันที่ทรงประทับบนเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จไปประกอบพระราชกรณียกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเส้นทางพระราชดำเนินกลับ ทรงสังเกตเห็นกลุ่มเมฆปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างที่น่าจะทำฝนได้ทรงบันทึกภาพเมฆเหล่านั้นพระราชทานลงมา และมีพระราชกระแสรับสั่งให้ส่งคณะปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษออกไปปฏิบัติการกู้ภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และภาคเหนือตอนล่าง โดยเร่งด่วน
    ช่องที่ 4. "เครื่องบิน 3 เครื่อง" เป็นตัวอย่างของเครื่องบินที่เหมาะสมกับการปฏิบัติการตามตำราฝนหลวงพระราชทานตามขั้นตอนที่ 1 - 6 ประกอบด้วย
    เครื่องบินเมฆเย็น (BEECHCRAFT KING AIR)
    เครื่องบินเมฆอุ่น (CASA)
    เครื่องบินเมฆอุ่น (CARAVAN)

    [​IMG]

    แถวที่ 1 ช่องที่ 1-4 เป็นขั้นตอนที่ 1

    เป็นการเร่งให้เกิดเมฆโดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง โปรย สารเคมีผงเกลือ โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต ในขณะที่ท้องฟ้าโปร่งหรือมีเมฆเดิมก่อตัว อยู่บ้าง ความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ให้เป็นแกนกลั่นตัว (Cloud Condensation Nuclei เรียกย่อว่า CCN) ความชื้นหรือไอน้ำจะถูกดูดซับเข้าไปเกาะรอบแกนเกลือแล้วรวมตัวกันเกิดเป็นเมฆ ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเจริญขึ้นเป็นเมฆก้อนใหญ่ อาจก่อยอดถึงระดับ 10,000 ฟุต ได้

    [​IMG]

    แถวที่ 2 ช่องที่ 1-4 เป็นขั้นตอนที่ 2

    เป็นการเร่งการเจริญเติบโตของเมฆที่ก่อขึ้นหรือเมฆเดิมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และก่อยอดขึ้นถึงระดับ 10,000 ฟุต ฐานเมฆสูงไม่เกิน 7,000 ฟุต ใช้เครื่องบินแบบเมฆอุ่นอีกหนึ่งเครื่อง โปรยสารเคมีผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต (หรือสูงกว่าฐานเมฆ 1,000 ฟุต) ทำให้เกิดความร้อนอันเนื่องมาจากการคายความร้อนแฝง จากการกลั่นตัวรอบ CCN รวมกับความร้อน ที่เกิดจากปฏิกิริยาของไอน้ำกับสารเคมี CaCl2 โดยตรง และพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ จะเร่งหรือเสริมแรงยกตัวของมวลอากาศภายในเมฆยกตัวขึ้นและเร่งกิจกรรมการกลั่นตัวของไอน้ำและการรวมตัวกัน ของเม็ดน้ำภายในเมฆ ทวีความหนาแน่นจนขนาดของเมฆใหญ่ก่อยอดขึ้นถึงระดับ 15,000 ฟุต ได้เร็วกว่าที่จะปล่อยให้เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งยังเป็นส่วนของเมฆอุ่น จนถึงระดับนี้ การยกตัวขึ้นลงของมวลอากาศ การกลั่น และการรวมตัวของเม็ดน้ำยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องแบบปฏิกิริยาลูกโซ่แต่บางครั้งอาจมีแรงยกตัวเหลือพอที่ยอดเมฆพัฒนาขึ้นถึงระดับ 20,000 ฟุต ซึ่งเป็นระดับเมฆเย็น ซึ่งเริ่มตั้งแต่ระดับประมาณ 18,000 ฟุตขึ้นไป (อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส)


    [​IMG]

    แถวที่ 3 ช่องที่ 1-4 เป็นขั้นตอนที่ 3

    เป็นการเร่งหรือบังคับให้เกิดฝนเมื่อเมฆอุ่นเจริญเติบโตขึ้นจนเริ่ม แก่ตัวจัด ฐานเมฆลดระดับต่ำลงประมาณ 1,000 ฟุต และเคลื่อนตัวใกล้เข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย ทำการบังคับให้ฝนตกโดยใช้เทคนิคการโจมตี แบบ Sandwich โดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ทับยอดเมฆหรือไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรือไม่เกิน 10,000 ฟุต ทางด้านเหนือลม อีกเครื่องหนึ่ง โปรยผงยูเรีย (Urea) ที่ระดับฐานเมฆด้านใต้ลม ให้แนวโปรยทั้งสองทำมุมเยื้องกัน 45 องศา (ดังในแผนภาพ) เมฆจะทวีความหนาแน่นของเม็ดน้ำขนาดใหญ่และปริมาณมากขึ้น ตกลงสู่ฐานเมฆทำให้ฐานเมฆหนาแน่นจนฝน ใกล้ตกเป็นฝนหรือเริ่มตกเป็นฝนแต่ยังไม่ถึงพื้นดิน หรือตกถึงพื้นดินแต่ปริมาณยังเบาบาง

    [​IMG]

    แถวที่ 4 ช่องที่ 1-3 เป็นขั้นตอนที่ 4

    เป็นการเสริมการโจมตีเพื่อเพิ่มปริมาณฝนให้สูงขึ้นเมื่อกลุ่มเมฆฝนตามขั้นตอนที่ 3 ยังไม่เคลื่อนตัวเข้าสู่เป้าหมายทำการเสริมการโจมตีเมฆอุ่นด้วยสารเคมีสูตรเย็นจัด คือ น้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำระดับ -78 องศาเซลเซียส ที่ใต้ฐานเมฆ 1,000 ฟุต จะทำให้อุณหภูมิของมวลอากาศ ใต้ฐานเมฆลดต่ำลง และความชื้นสัมพัทธ์สูงขึ้น และจะยิ่งทำให้ฐานเมฆยิ่งลดระดับต่ำลง ปริมาณฝนตกหนาแน่น ยิ่งขึ้น และชักนำให้กลุ่มฝนเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายหวังผลได้แน่นอนและเร็วยิ่งขึ้น (หากกลุ่มเมฆฝนปกคลุม ภูเขาก็จะเป็นวิธีชักนำให้กลุ่มฝนพ้นจากบริเวณภูเขาเข้าสู่พื้นที่ราบ)


    [​IMG]

    แถวที่ 5 ช่องที่ 1-3 เป็นขั้นตอนที่ 5

    เป็นการโจมตีเมฆเย็นด้วย Agl ขณะที่เมฆพัฒนายอดสูงขึ้นในขั้นที่ 2 ถึงระดับเมฆเย็น และมีแค่เครื่องบินเมฆเย็นเพียงเครื่องเดียว ทำการโจมตีเมฆเย็น โดยการยิงพลุสารเคมีซิลเวอร์ ไอโอไดด์ (AgI) ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ซึ่งมีอุณหภูมิระดับ -8 ถึง -12 องศาเซลเซียส มีกระแส มวลอากาศลอยขึ้นกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริมาณน้ำเย็นจัดไม่ต่ำกว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเหมาะสมที่จะทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวด (Super cooled vapour) มาเกาะตัวรอบแกน Agl กลายเป็น ผลึกน้ำแข็งได้ด้วยประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ไอน้ำที่แปรสภาพเป็นผลึกน้ำแข็งจะทวีขนาดใหญ่ขึ้นจนร่วงหล่นลงมา และละลายเป็นเม็ดน้ำเมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น และจะทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัวกันเป็นเม็ดใหญ่ขึ้น ทะลุฐานเมฆเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน


    [​IMG]
    แถวที่ 6 ช่องที่ 1-3 เป็นขั้นตอนที่ 6

    เป็นการโจมตีแบบ SUPER SANDWICH จะทำได้ต่อเมื่อมีเครื่องบินปฏิบัติการทั้งเมฆอุ่นและเมฆเย็นสามารถใช้ปฏิบัติการได้ครบ ขณะที่ทำการโจมตีเมฆอุ่นตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 ทำการโจมตีเมฆเย็นตามขั้นตอนที่ 5 ควบคู่ไปในขณะเดียวกัน เครื่องบินเมฆอุ่นอีกเครื่องหนึ่งโปรยสารเคมีผงโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆจะทำให้ฝนตกหนักและต่อเนื่องนานให้ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการประสานประสิทธิภาพของการโจมตีเมฆอุ่นในขั้นตอนที่ 3 และ 4 และโจมตีเมฆเย็นในขั้นตอนที่ 5 ควบคู่กันไปในระดับเดียวกัน
    เทคนิคการโจมตีนี้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า SUPER SANDWICH เป็นเทคนิคที่ทรงคิดค้นขึ้นมาปฏิบัติการในประเทศไทยเป็นประเทศแรก ยังไม่มีประเทศใดในโลกเคยถือปฏิบัติมาก่อนอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    แถวล่างสุด (แถวสุดท้ายของตำราฝนหลวงพระราชทาน)

    ช่องที่ 1. "แห่นางแมว" (CAT PROCESSION) เป็นการรวมผลหรือประชาสัมพันธ์ (บำรุงขวัญ) แมวเกลียดน้ำ (The cat hates water) เป็นพิธีกรรมขอฝนที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล เป็นพิธีกรรมด้านจิตวิทยา เมื่อฝนแล้งเกิดความเดือดร้อน ปั่นป่วน วุ่นวาย จึงต้องมีจิตวิทยา บำรุงขวัญให้ประชาชน และเจ้าหน้ามีกำลังใจ
    ช่องที่ 2. "เครื่องบินทำฝน" เครื่องบินปฏิบัติการ (เป็นพาหะในการประยุกต์เทคโนโลยีฝนหลวง) เครื่องบินต้องกล้าบินเข้าเมฆฝน เพื่อสำรวจและติดตามผล นักบินและนักวิชาการฝนหลวงต้องร่วมมือกัน (The pilot and the rainmakers must cooperate)
    ช่องที่ 3. "กบ" เลือกนาย หรือขอฝน และเลือกฝน กบร้องแทนอุตุนิยม ถ้าไม่มีความชื้นกบเดือดร้อนและกบเตือนให้มีความพยายาม มิฉะนั้นกบตาย ไม่มีฝนเกษตรกรตาย ท่านต้องจูบกบหลายตัว ก่อนที่จะพบเจ้าชายเพียงหนึ่งองค์ (You have kiss to a lot of frogs before you meet a prince) หมายความว่า ต้องมีความพยายามทำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อให้เกิดฝนได้สักครั้ง
    ช่องที่ 4. "บ้องไฟ" แทนเครื่องบิน (ทำหน้าที่เสมือนเครื่องบินที่เป็นพาหะนำเทคโนโลยีฝนหลวงขึ้นไปประยุกต์ในท้องฟ้า เป็นประเพณีเรียกฝน ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นของจริง ทำฝนด้วยการยิงบ้องไฟ บ้องไฟขึ้นสูงปล่อยควันเป็นแกน ความชื้นเข้ามาเกาะแกนควัน ทำให้เกิดเมฆเกิดฝน บ้องไฟจึงเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง เป็นวิทยาศาสตร์


    อ้างอิง
    http://www.kroobannok.com/17302
    http://www.belovedking.com/index.php/2009-11-13-07-42-17/2009-11-13-07-45-37?showall=1
    http://www.chaoprayanews.com/2009/02/05/วันที่-๔-ธันวาคม-พศ-๒๕๓๘-พ/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  10. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    สร้างเขื่อน ต้องข้ามความคิดนี้ไป
    เพราะนอกจากลงทุนสูงแล้ว ยังกันอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากเหตการณ์มีระเบิดเกือบทั่วโลกจากฝีมือมนุษย์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงผิวโลกครั้งใหญ่จากธรรมชาติ

    พูดง่ายๆคือ มนุษย์ ไปกระตุ้นให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิวโลกครั้งใหญ่ขึ้น
     
  11. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    ข้ามความคิดที่จะสร้างเขื่อนไป
    เพราะลงทุนสูงและไม่ได้ผล

    เพราะนอกจากภัยของน้ำทะเลที่ค่อยๆสูงขึ้นแล้ว

    ยังมีภัยใหญ่ ที่เกิดขึ้นแบบกระทันหัน
    โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงผิวโลกครั้งใหญ่ ในปลายปี 2555 ด้วย
    เขื่อนเล็กๆ เอาไม่อยู่แน่นอน
     
  12. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    มนุษย์ ไปกระตุ้นให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิวโลกครั้งใหญ่ขึ้นได้อย่างไร?

    แผ่นดินไหวเล็กๆ ก็เกิดจากฝีมือมนุษย์ได้ เช่นการสร้างเขื่อนของจีน และอาวุธสภาพอากาศ HARRP

    [​IMG]

    [​IMG]

    HARRP VDO
    [BIGVDO]<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ZxS3I1Vpxzg?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/ZxS3I1Vpxzg?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>[/BIGVDO]
     
  13. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    แต่นั้น ยังไม่รุนแรงพอ ถึงขั้นทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
    เท่าอาวุธที่ CERN หรือ TEVATRON ค้นพบ

    CERN = Conseil Européen pour la Recherche Nucléaire (European Council for Nuclear Research) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1954


    [​IMG]

    CERN VDO

    [BIGVDO]<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/2jup2R9Jtnc?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/2jup2R9Jtnc?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>[/BIGVDO]

    เป็นอาวุธที่ต่อยอดจาก E=MC2

    เมื่อแสงเป็นได้ทั้งคลื่นและพลังงาน
    แสง(E)จึงมีมวล(M)

    อย่าลืมว่า ยังมีสสารที่มองไม่เห็น เช่นสสารมืดอยู่ด้วย
    หากใช้พลังงานมาก ก็จะไปกระทบกับมวลจำนวนมหาศาลเช่นกัน..

    นัั่นคือเหตุผลที่โลกต้องปรับสมดุลครั้งใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  14. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    นับถือในความรู้ การวิเคราะห์ และความเสียสละ ของทุกท่านครับ เพื่อสิ่งใดล่ะ
    ก็คงไม่พ้นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำให้ดีที่สุด อย่างถึงที่สุด เหนื่อยพัก พักแล้วทำต่อไป ผลของการกระทำยังความสุขและความพอใจแก่มหาชน ....... ก็สุขใจอย่างที่สุดแล้ว

    อนุโมทนากับทก ๆ ท่าน

    เชื่อมั่นว่า การวิเคราะห์จากจุดเล็กๆ นี้ จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากที่มีโอกาสรอด....
    และเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนการปฏิบัติในการป้องกันและบรรเทาความสูญเสีย อย่างเป็นรูปธรรมใกล้เคียงกับสิ่งที่จะเกิดมากที่สุด

    อนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
  15. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
  16. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    [​IMG]

    ขอสอบถามจากภาพด้านบน สงสัยในเรื่องตัวเลข 1 - 9 ในวงกลม ว่ามาจากไหนจ๊ะ หรือมีที่มาอย่างไร
     
  17. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    [​IMG]



    ไปอ่านเจอบทความในลิงค์ด้านล่างมาจ๊ะ

    http://www.takuyak.com/index.php?mo=3&art=156675

    ดร.สมิทธ ได้พูดถึงแนวทางการสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเล จาก บางปะกง ตามแนวชายฝั่งทะเลไปถึง ภาคใต้

    ในรูปภาพ ส.ค.ส.พระราชทาน มีเส้นตรง 3 เส้นลากยาวลงมา เริ่มจากตรงตำแหน่งใกล้ๆบางปะกงเลยจ๊ะ

    ( ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งมีผลมาจากแผ่นดินทรุดและปัญหาโลกร้อน น้ำจะท่วมกทม. และพื้นที่ชายฝั่งทั่วประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ เป็นหายนะภัยอีกประเภทหนึ่ง )

    เห็นว่าตำแหน่งคล้ายกัน ........ ก็เลยนำมาให้อ่านกันเล่นๆนะจ๊ะ อาจจะไม่เกี่ยวเนื่องกันก็ได้จ๊ะ


    ด้านล่างนี้เป็นรูปแผนที่ บางปะกงจ๊ะ

    http://nco22ordnance.com/forum/board03/themes1_topic_detail.php?select_topic=274
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2010
  18. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    เข้าสู่ระบบ | Facebook
     
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ส.ค.ส. พระราชทาน

    <!-- /firstHeading --> <!-- bodyContent --> <!-- tagline --> จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --> <!-- subtitle --> <!-- /subtitle --> <!-- jumpto --> ไปที่: ป้าย บอกทาง, ค้น หา
    <!-- /jumpto --> <!-- bodytext --> [​IMG] [​IMG]
    ส.ค.ส. พระราชทาน ปีปัจจุบัน


    ส.ค.ส. พระราชทาน เป็นบัตรส่งความสุข ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง เพื่อพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เป็นประจำทุกปี (ยกเว้น พ.ศ. 2548)
    ในวันสิ้นปี (31 ธันวาคม) ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่ เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี นอกจากนี้ ยังทรงปลีกเวลาจากพระราชกรณียกิจ มาปรุแถบโทรพิมพ์ (เทเล็กซ์) พระราชทานพรปีใหม่ แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายงาน โดยทรงใช้รหัสแทนพระองค์ว่า กส. 9 เช่นเดียวกับที่ทรงใช้ติดต่อทางวิทยุสื่อสาร ทรงระบุท้ายโทรพิมพ์ว่า กส. 9 ปรุ ส.ค.ส. พระราชทาน ที่เป็นโทรพิมพ์เหล่านี้ เริ่มเผยแพร่สู่สาธารณชน เมื่อปี พ.ศ. 2530<sup class="noprint Template-Fact">[ต้องการอ้างอิง]</sup>
    เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น จึงได้ทรงเริ่มต้นประดิษฐ์ ส.ค.ส. พระราชทาน ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2531 <sup id="cite_ref-0" class="reference">[1]</sup> โดยทรงพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขาวดำ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โทรสาร (แฟกซ์) พระราชทานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ โดยข้อความใน ส.ค.ส. พระราชทาน แต่ละปี จะประมวลขึ้นจากเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อสะท้อนให้เห็นปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องประสบ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ในปีต่อ ๆ มา หนังสือพิมพ์รายวัน ได้นำลงตีพิมพ์ ในฉบับเช้าวันที่ 1 มกราคม เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมอย่างทั่วถึง
    นับแต่ทรงใช้คอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ ส.ค.ส. พระราชทาน ทรงเปลี่ยนแปลงคำลงท้ายของ ส.ค.ส. พระราชทาน เป็น ก.ส. 9 ปรุง เนื่องจากทรงเปลี่ยนจากการ "ปรุ" ด้วยโทรพิมพ์ เป็นการ "ปรุง" ด้วยคอมพิวเตอร์ ถัดจากนั้น จะทรงระบุวันและเวลาที่ทรงประดิษฐ์ขึ้น เป็นรูปแบบเฉพาะ ดังนี้

    ววชชนน ด.ด. ปปปป และตั้งแต่ ส.ค.ส. พระราชทานปี 2549 เป็น ววชชนน ด.ด. ปป
    เมื่อ ว=วันที่ ช=เวลาเป็นชั่วโมง น=เวลาเป็นนาที ด=เดือน และ ป=ปี
    </pre> อนึ่ง ส.ค.ส. พระราชทานตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นภาพสี นอกจากนี้ คำลงท้ายของ ส.ค.ส. พระราชทาน ตั้งแต่ปีดังกล่าวเป็นต้นมา จะมีข้อความ "พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad, D.Brahmaputra, Publisher"(ใน ส.ค.ส. ปี 2549, 2551, 2552, 2553) และ "Printed at the Suvarnnachad Publishing, C.Brahmaputra, Publisher" (ใน ส.ค.ส. ปี 2550)
    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดกระทู้ขึ้นในเว็บบอร์ด โดยมีเนื้อหาเชิงตั้งข้อสังเกตว่า ส.ค.ส. ประจำปี พ.ศ. 2553 มิได้ใช้รูปแบบเฉพาะของการระบุวันเดือนปีและเวลา ที่ตามหลังข้อความ ก.ส. 9 ปรุง ดังที่ทรงใช้มาทุกปี ซึ่งรูปแบบที่เปลี่ยนใหม่ เริ่มจากเวลาเป็นชั่วโมง เวลาเป็นนาที แล้วจึงเป็น วัน เดือน และปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ตัวเลขที่ประทับอยู่มุมขวาตอนล่างของพระบรมฉายาลักษณ์ที่เป็น ส.ค.ส.ในปีดังกล่าว ซึ่งเป็นเวลาฉายภาพคือ 15 นาฬิกา 25 นาทีนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ตามหลังข้อความ ก.ส. 9 ปรุง อันเป็นเวลาที่นำภาพมาประดิษฐ์เป็น ส.ค.ส. ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในเชิงเหตุผล ที่เวลาทั้งสองส่วนดังกล่าว จะเป็นเวลาเดียวกันพอดี<sup id="cite_ref-1" class="reference">[2]</sup>
    <table id="toc" class="toc"> <tbody><tr> <td> เนื้อหา

    [ซ่อน]

    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]> </script> [แก้] ภาพ ส.ค.ส. พระราชทาน

    <table class="gallery" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2530 พระราชทานเป็นปีแรก ทรงยังใช้คำว่า กส. 9 ปรุ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2531 ทรงสอนให้ทุกคนคิดและทำในสิ่งที่ดี เพื่อให้บังเกิดแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2532 ทรงให้นิยาม 4 ประการของความสุข ว่าคือความปรารถนาดีต่อกัน ความอนุเคราะห์ ความยินดี ความสงบ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2533 ทรงให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีสติ และปัญญา


    </td> </tr> <tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2534 ทรงชี้ให้คนไทยใช้ความเพียร อดทน สติ และปัญญา


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2535 ทรงให้คนไทยมุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2536 ทรงเน้นเรื่องการมองปัญหาให้ชัดเจนและตรงจุด การมีสติ คิดและทำอย่างสร้างสรรค์


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2537 ทรงกล่าวถึงโครงการพระราชดำริ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร


    </td> </tr> <tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2538 ทรงให้ข้อคิดในการร่วมมือกันทำงาน เกี่ยวกับการพูด การฟัง


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2539 ทรงให้คนไทยตั้งมั่นอยู่ในความสมดุลในการแก้ปัญหา และการประสานประโยชน์เพื่อประเทศชาติ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2540 ทรงกล่าวถึงพลังความคิด และให้คติในการพูด การคิด และการทำ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2541 ทรงพระราชทานกำลังใจ ในการต่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจ


    </td> </tr> <tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2542 ทรงให้คนไทยมีความเพียร เช่นเดียวกับพระมหาชนก และทรงเน้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2543 ทรงกล่าวถึงการเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และให้มองโลกในแง่ดี


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2544 ทรงให้ทบทวนบทเรียนจากอดีต เพื่อเตรียมตัวฟันฝ่าปัญหาในอนาคต และตั้งมั่นอยู่ในความดี และความสุจริตใจ


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2545 ทรงกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้ง ขัดแข้งขัดขากัน และให้แก้ปัญหาโดยใช้หัว คือสมอง ควบคุมทุกส่วนของตัว รวมทั้งขา ให้อยู่ในระเบียบ


    </td> </tr> <tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2546 ทรงกล่าวถึงสุนัขทรงเลี้ยง ว่าเป็นเพื่อนที่ดี


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2547 ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทรงให้คนไทยมีความรักสามัคคีกัน


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2549 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สีเขียว มีภาพปักรูปคุณทองแดงที่กระเป๋าด้านซ้าย ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง <sup id="cite_ref-2" class="reference">[3]</sup>


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2550 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง และสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นเหลนของคุณทองแดงอีก 9 สุนัข


    </td> </tr> <tr> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2551 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง และสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นเหลนของคุณทองแดงอีก 4 สุนัข


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2552 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำตาลอ่อน ผ้าปักพระกระเป๋าสีฟ้าสดใส ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ทรงผูกเนคไทสีฟ้าอ่อน ประทับบนพระเก้าอี้ ทรงฉายกับคุณทองแดง สุวรรณชาด ที่นั่งอยู่ข้างพระเก้าอี้ และคุณนายแดง แม่ของคุณทองแดง ที่หมอบเฝ้าอยู่อีกข้างหนึ่ง


    </td> <td> [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2553 เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์แจ๊คเก็ตสีชมพูเข้ม ปักรูปคุณทองแดงที่ด้านซ้ายของพระอุระ ทับฉลองพระองค์ชั้นในสีขาว ประทับบนพระเก้าอี้หวาย ที่ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้ทรงฉายกับคุณทองแดงและคุณทองหลาง สุนัขทรงเลี้ยงที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างพระเก้าอี้ทั้งสองด้าน


    </td> </tr> </tbody></table> [แก้] พ.ศ. 2548

    ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้พระราชทาน ส.ค.ส. เนื่องจากเกิดเหตุคลื่นสึนามิซัดเข้าชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างรุนแรง จากการเกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทร อินเดีย นายขวัญแก้ว วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตนเข้าเฝ้าฯ เนื่องในวโรกาสพระราชทานพระราชดำรัส เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ เมื่อเสร็จจากการบันทึกเทปแล้ว ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับตนว่า ปีใหม่ปีนี้ มิได้พระราชทาน ส.ค.ส. เนื่องจากทรงงานหนัก ในการให้ความช่วยเหลือพสกนิกร ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ดังกล่าว
    นายขวัญแก้ว ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังรับสั่งอีกว่า ทรงปลื้มใจที่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน เวลาเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เสมือนเป็นหลักประกันว่า เมื่อใดที่ทรงเดือดร้อน ก็จะมีคนช่วยเหลือพระองค์แน่นอน การให้การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ผลบุญก็จะสนองต่อผู้ปฏิบัติด้วย รับสั่งว่า ทรงปลื้มใจคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือทุกคน มิได้แบ่งแยกว่าเป็นคนชาติใด <sup id="cite_ref-3" class="reference">[4]</sup>
     
  20. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ค่อนข้างชัดเจน ในประเด็น "ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี"
     

แชร์หน้านี้

Loading...