ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

หายหน้าไปเสียหลายวัน คิดถึง"ทีมงานจากต่างมิติ" มากๆ กลับเข้ามาถึงก็ฟังเพลงเสียก่อนเลยเป็นอันดับแรก MAY IT BE เพราะจริงๆ เป็นกำลังใจให้ตลอดและติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆค่ะ

 

<object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/kkGeOWYOFoA?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/kkGeOWYOFoA?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="385"></embed></object>

 

โอ้โห...งดงามมากค่ะ คุณ Threeam ขอบคุณนะคะ

ชอบมากเลยอ่ะ ภาพ ลำดับภาพ เพลงประกอบ ความสวยงาม

มันใช่เลย ลงตัวมาก

 

Amazing !!!!!
:z16 มันคือคณิตศาสตร์นั่นเอง

 

ใช่แล้วค่ะ...
ดังนั้นขอยกข้อมูลเหล่านี้มาอธิบายพอสังเขป
เดรดเคยโพสต์ไว้ที่กระทู้
http://palungjit.org/threads/ปริศนา...ดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง.221209/page-2#post2856431

ขออนุญาตยกมาอ้างอิง ประกอบบทเพลงของคุณ 3Am...ซักเล็กน้อย
(สวยงามมากค่ะ ขอบคุณหมวยทั้งสองที่มาจุดประกายให้)

หากผู้ใดเคยอ่านแล้ว ทราบแล้ว
ก็ขอให้คิดว่าเป็นการมา Reviewข้อมูล กันนะคะ...

..................................................................................

Sacred Geometry



ที่มา...Sacred Geometry - Crystalinks

รูปทรงอันศักดิ์สิทธิ์ เกี่ยวข้องกับ รูปแบบอันศักดิ์สิทธิ์ของเอกภพ ถูกใช้ในการออกแบบ
ในทุกสิ่งอย่างในความเป็นจริงของเรา,ส่วนใหญ่เรามักเห็นใน งานสถาปัตยกรรม
หรืองานศิลปอันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อพื้นฐาน คือ รูปทรงเรขาคณิต และคณิตศาสตร์

นั้นเป็นอัตราส่วนที่กลมกลืนกัน คล้องจองกัน ได้สัดส่วนกัน ซึ่งพบเจออยู่บ่อยๆในดนตรี ,แสง,
ศาสตร์แห่งจักรวาล ระบบที่มีค่านี้ ถูกพบเห็น อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
วัฒนธรรมของเอกภพแห่งเงื่อนไขในมนุษยชาติ มันถูกพิจารณาให้เป็นรากฐาน การก่อสร้างในโครงสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์

อย่างเช่น วิหาร , สุเหร่า , หินขนาดใหญ่ , อนุสาวรีย์ และโบสถ์ พื้นที่ว่างของความศักดิ์สิทธิ์
เช่น โต๊ะหรือแท่นบูชา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า(temenoi) และศาลเจ้า ; ที่ประชุม
เช่น ป่าละเมาะอันศักดิ์สิทธิ์ , ลานชุมนุมกลางแจ้งของหมู่บ้าน และ บ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์
และ งานศิลปที่สร้างสรรค์ทางศาสนา ,ประติมานวิทยา
( iconography ...เป็นวิชาหนึ่งในการทำความเข้าใจศิลปะโบราณของยุโรป
กล่าวอย่างจำเพาะเจาะจงก็คือการอ่านรูปเคารพ ที่เรียกกันว่า ICON
ซึ่งเป็นของยอดนิยมในสมัยกลางเป็นการเขียนรูปพระผู้เป็นเจ้า พระไครสต์
หรือแม้แต่กษัตริย์ในตำนานโดยมีเครื่องหมายของผู้นั้นรายล้อมประกอบ...ผู้แปล)

ทางเลือกและการจัดองค์ประกอบที่ “ศักดิ์สิทธิ์” พื้นฐานของศิลปรูปทรงทางเรขาคณิตที่ศักดิ์สิทธิ์
อาจเป็นไปแบบชั่วคราว อย่างเช่น การมองเห็น , การวาดรูปลงบนทราย และ วงล้อบำบัดโรค(medicine wheels.)

รูปทรงอันศักดิ์สิทธิ์ อาจสื่อถึงความเข้าใจ ในฐานะที่เป็น รูปแบบที่รู้จักกันดี ที่เห็นกันทั่วโลก
ระบบที่ซับซ้อน สัญลักษณ์ทางศาสนา และโครงสร้างอวกาศทั้งมวล , กาลเวลา
และรูปแบบ ตามการมองเห็นนี้ รูปแบบพื้นฐาน ของ การมีอยู่ คือสัมผัสรู้ในฐานะที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์

โดยการเชื่อมต่อกับสิ่งเหล่านี้ ผู้เชื่อถือได้คิดอย่างไตร่ตรอง ถึงความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ (Great Mysteries)
และ การวางแผนที่ยิ่งใหญ่ (Great Design) โดย เรียนรู้จากธรรมชาติ
จากแบบแผนของสิ่งเหล่านี้ , รูปร่าง และ ความสัมพันธ์ และ
การเชื่อมต่อ , การเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ลึกซึ้ง
อาจทำให้ได้เข้าสู่ความลึกลับ - กฎและตำนานแห่งจักรวาล

 

ดนตรี



การค้นพบความสัมพันธ์ของเรขาคณิต และ คณิตศาสตร์ สู่ดนตรี ใน ยุคคลาสสิค(Classical Period)
ถูกคิดค้นขึ้นมาจาก ไพธากอรัส (Pythagoras)
ผู้ค้นพบ - การหยุดที่ครึ่งทางเส้นสายตามความยาวทำให้เกิดสียงโทนคู่กัน
(เสียงที่คู่กัน ในบรรไดเสียงทางดนตรี ถัดไป 8 ตัวโน๊ต =โทน=1 คีย์...ผู้แปล)
ในอัตราส่วน 3/2 ทำให้เกิด ช่วงห่างที่ 5 และ 4/3 ทำให้เกิดช่วงห่างที่4

ไพทากอรัสเชื่อว่า มันทำให้เกิดเสียงดนตรี ที่มีพลังเยียวยา
เหมือนกับสามารถทำให้ร่างกายเกิดความสมดุย์อย่างกลมกลืน
และความเชื่อนี้ ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในยุคใหม่ โดย Hans Jenny นักฟิสิกส์
ผู้บุกเบิก ในเรื่องการศึกษารูปร่างของรูปทรงเรขาคณิต
ที่ออกมาจากการทำปฏิกิริยากันของคลื่น และ ชื่อว่าการศึกษาcymatics
(การศึกษาเรื่องราวของการมองเห็นเสียง หรือความสั่นสะเทือน จากพลังงานของคลื่นที่มองไม่เห็น ...ผู้แปล)
ที่มักถูกอ้างถึงบ่อยๆ ใน ความสัมพันธ์ของคำในเนื้อหาตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ดร.เจนนี่ ไม่ได้ กล่าวอ้างเรื่องการเยียวยาใน งานของเขา



<O></O>
แม้ว่า Hans Jenny จะเป็นผู้บุกเบิก cymatics ในยุคใหม่
แต่การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของรูปทรงเรขาคณิต
ที่มาจากปฏิกิริยาของคลื่น (เสียง) ยังคงมีรากฐานเก่าแก่อย่างชัดแจ้ง อยู่มาก (ของPythagoras)
งานที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจรูปทรงศักดิ์สิทธิ์ ของคนโบราณ
ซึ่งสามารถพบเห็นได้ใน สก๊อตแลนด์ ในโบสถ์ โรสลีน(Rosslyn Chapel)

Thomas J. Mitchell และบุตรชาย Stuart Mitchell
เพื่อนของข้าพเจ้าได้ค้นพบ สิ่งที่เขาเรียกว่า "frozen music" เป็นที่ประจักษ์ชัด
สัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน 213 คิวบ์ นั้น เชื่อว่ามีผลทำให้เกิดเสียงดนตรี ขึ้น
หลังการศึกษาวิจัย ผ่านมา 27 ปี Mitchell ได้ค้นพบระดับเสียงที่ถูกต้อง

และความเป็นโทนที่เข้ากันของแต่ละสัญลักษณ์ และแต่ละคิวบ์
แสดงให้เห็นเสียงประสานที่กลมกลืนกัน และ ลำดับของเสียงดนตรีที่ตามมาอย่างไพเราะ

Rosslyn Motet เขาได้ค้นพบ "frozen music"ที่ครบถ้วนสมบูรณ์
และ ถูกนำไปใช้เพื่อการแสดง ตามโบส์ถเล็กๆทั่วๆไป
ในวันที่ 18 พฤษภาคม ปี 2007, และ วันที่ 1 มิถุนายน 2007.<O></O><!-- google_ad_section_end -->

 

Cosmology
ทฤษฏีของจักรวาล

<O></O>

การสนับสนุนความเชื่อในเรื่องรูปทรงเรขาคณิต ของ เอกภพยังคงอยู่ต่อไป
ท่ามกลาง วิทยาศาสตร์

จนกระทั่งเมื่อ โจฮันเนส เคปเลอร์(Johannes Kepler (1571-1630))ได้สำรวจ อัตราการโคจรของดาวเคราะห์
ในตอนแรก แบบสองมิติ(โดยการพล๊อตจุดของ อัตราการโคจรของ ดาวพฤหัส
และ ดาวเสาร์ เป็น วงโคจรวงใน และ วงโคจรนอก ของ สามเหลี่ยมด้านเท่า)

เมื่อสิ่งนี้ไม่ได้ให้ผลลัพท์ที่เหมาะเจาะพอ เขาจึงพยายามที่จะใช้ รูปทรงเพลตัน
(Platonic solid…หมายถึง ทรงหลายหน้าที่เป็นทรงนูน
โดยจุดยอดจุดหนึ่งจะประกอบด้วยหน้าหลายเหลี่ยม ชนิดเดียวกันทุกจุด)

อันที่จริงแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์ สามารถบอกถึง
การใช้รูปร่างของเรขาคณิต ใน2 มิติเท่านั้น แต่จะไม่เกิดรูปร่างในรูปแบบเฉพาะตามต้องการ
ข้อมูลทั้งชีวิตของเขาเองในตอนนั้น (ซึ่งแม่นยำน้อยกว่า ที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้)
เคปเลอร์(Kepler) จึงเข้าใจว่า ความพอดีของ รูปทรงเพลตัน (Platonic solid) ไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบภายนอกของรูปทรงเรขาคณิตอื่นๆ นั้นเป็นไปได้
<O>
</O><!-- google_ad_section_end -->

 

Natural Forms​

รูปลักษณ์ของธรรมชาติ

รูปลักษณ์หลายๆรูปแบบ ที่สังเกตุได้ในธรรมชาติ สามารถบอกถึง รูปทรงเรขาคณิต
(สำหรับ เหตุผลของแหล่งกำเนิดที่เหมาะสม)


ตัวอย่างเช่น,ช่องภายในโพรงของหอยวงเปลือกมุกที่มีขนาดที่คงที่ต่อเนื่อง
และดังนั้น เปลือกของมัน จึงมีรูปร่าง หมุนวนขดเป็นเกลียว ล๊อกการิทึ่ม
(logarithmic...เลขกำลังของฐาน (base)ที่ทำให้ฐานมีค่าเท่ากับค่าที่กำหนดให้)
เพื่อปรับให้เข้ากับ การเจริญเติบโตโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป , ​

การเก็บน้ำผึ้ง โดยสร้างเซลล์รูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อที่จะอุ้มน้ำผึ้งก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งเหล่านี้ และสิ่งที่คล้ายคลึงกันอื่นๆ ถูกพบเห็นโดย


ผู้ที่มีความเชื่อในรูปทรงศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึง
ความหมายแห่งจักรวาล ของรูปร่างเรขาคณิต
แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเห็นว่า เป็นแค่ปรากฎการณ์ธรรมชาติบางอย่าง
ที่เป็นผลลัพท์ทางทฤษฎีอันสอดคล้องกันตามกฏแห่งธรรมชาติเท่านั้น


<O>
</O>​

<!-- google_ad_section_end -->

 

Art and Architecture​

ศิลปะ และสถาปัตยกรรม

อัตราส่วนโกลเดน(golden ratio) อัตราส่วนทางเรขาคณิต และรูปทรงเรขาคณิต
มักถูกเลือกใช้บ่อยๆในการออกแบบของชาวอียิปต์,ชาวอินเดียโบราณ
สถาปัตยกรรมของชาวกรีก และโรมัน โบสถ์ขนาดใหญ่ในยุคกลาง (ค.ศ. 1100 ถึง 1500)ของชาวยุโรป

ที่มีสัญลักษณ์ทรงเรขาคณิตเชื่อมประสานกัน
(แหล่งรวมจิตวิญญาณ ของชาวอินเดีย และชาว หิมาลายัน มักนำไปก่อสร้าง
ในวัดของพวกเขาบ่อยครั้ง และ การเสริมปราการเพื่อความแข็งแรง
บนแผนผังที่ถูกออกแบบสำหรับ มันดาละ และ ยันต์ (mandala และ yantra)

รูปทรงอันศักดิ์สิทธ์ ในศิลป และสถาปัตยกรรม ตัวอย่างเช่น

• 
• Labyrinth (เส้นทางออยเลอร์ คือเส้นทางที่ลากผ่านเส้นต่าง ๆ ในเครือข่าย ​
• โดยแต่ละเส้นลากผ่านได้เพียงครั้งเดียว( Eulerian path), ​
• รูปแบบแตกต่างกันของทางเดินในเขาวงกต)​
• 
  
• ​
• Mandala...มันดาละ ​
• รูปวงกลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนจักรวาลในศาสนาฮินดู
• 
• Parthenon…มหาวิหารพาเธนอน​
• 
  [*]
  Taijitu (Yin-Yang)… สัญลักษณ์หยิน และหยาง
• 
• Tree of Life…ต้นไม้แห่งชีวิต​
• <O></O>​
• Rose Window…หน้าต่างกระจกทรงกลม​
• 
  
• ​
• Celtic art such as the Book of Kells​
• …ศิลปะคริสเตียนยุคแรก ​
• <?XML:NAMESPACE PREFIX = V /><V:FILL class=inlineimg title=Open-mouthed smilieid="28" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" v:fill="" o=""><O></O></V:FILL>​
• Yantra…ยันต์
• 
  
• <V:FILL class=inlineimg title=Open-mouthed smilieid="28" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" v:fill="" o=""></V:FILL>
• Swastika…เครื่องหมายสวัสดิกะ
• 
  
• <V:FILL class=inlineimg title=Open-mouthed smilieid="28" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" v:fill="" o=""></V:FILL>
• 
  Dharmacakra…เครื่องหมายธรรมจักร

<!-- google_ad_section_end -->

 

อัตราส่วนโกลเดน Golden Spiral

อัตราส่วนโกลเดน รู้จักกันดีในนาม อัตราส่วนของพระผู้เป็นเจ้า
องค์ประกอบโกลเดน ความหมายโกลเดน ส่วนแบ่งโกลเดน ตัวเลขโกลเดน
เป็นองค์ประกอบที่ศักดิ์สิทธิ์ (divine proportion)
หรือ ส่วนแบ่งที่ศักดิ์สิทธ์(sectio divina..ภาษาละติน)

เป็นตัวเลข ที่มีทศนิยมไม่สิ้นสุด โดยประมาณ 1.618 033 988 749 894 848..
(ระบบตัวเลขที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ที่เราเรียกว่า "อนุกรมผลบวก"
หรือ "อนุกรมฟีโบนักชี (Fibonucci Series) "
ตัวเลข ที่มีค่าน้อยสุดตัวแรกจะให้ผลค่าตัวเลขต่อไปได้ด้วยการบวกสองตัวเลขเข้าด้วยกัน

คือ 1 , 2 , 3 , 5 , 8 ,13 , 21 , 34 ,55 , 89 ,144... เป็นต้น
ทำให้เกิดสัดส่วนของไฟ(Phi ) ว่าเท่ากับ1.618033989...
อนุกรมนี้ต่อเนื่องไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด)



ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Golden_spiral

<O></O>องค์ประกอบของรูปร่างตาม ชี้ให้เห็นถึงความสมดุลย์ของธรรมชาติ
ระหว่าง ความสมมาตร(symmetry) และ ความไม่สมมาตร(asymmetry)

ชาวไพธากอเรียนโบราณ ผู้นิยามถึงจำนวนตัวเลขว่า เป็นการแสดงเครื่องหมายของ อัตราส่วน
(และไม่ใช่หน่วยวัดเหมือนที่เราใช้กันอยู่ในปกติ),และ พวกเขาเชื่อกันว่า

ในความเป็นจริง คือ เรื่องราวของตัวเลขและ อัตราส่วนโกลเดน
แสดงถึงความจริงที่สำคัญและซ่อนอยู่เกี่ยวกับ การมีชีวิต


<O></O><!-- google_ad_section_end -->
<HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

 

12 กรวยสไปรัลล้อมรวมกันเป็น 1 – การสร้างสรรค์






Sacred Geometry เขียนย่อๆ ได้ว่า SG อ้างอิงถึง Stargate วงล้อแห่งเวลา
หรือ วงล้อแห่งกรรม เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ทั้งหมดของเรา


พวกเราคือ ประกายแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ที่มีประสบการณ์โดยผ่านรูปกายเนื้อ
ความตระหนักรู้ของพวกเรา หมุนเป็นเกลียววนลงไป ทะลุผ่านรูปแบบอัตราส่วนโกลเดน
ของสลิงค์กี้เอฟเฟค(slinky effect) ที่เกี่ยวกับการหันกลับเข้าสู่แหล่งความตระหนักรู้
โปรแกรมกำลังรวบรวมกลับสู่ ขั้นตอนทางธรรมชาติของ ความตระหนักรู้<O></O>


การจดจ่อไปบนรูปแบบ ที่วนซ้ำๆผ่านทะลุเวลา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง
ประหนึ่งว่าเป็นเสียงที่คู่กัน ของบันไดเสียงทางดนตรีที่สูงกว่า
(การพร่ำมนต์ การทำสมาธิ เพื่อปรับระดับความสั่นสะเทือน ให้เป็นโทนเดียวกัน....)
ในแต่ละโปรแกรมประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
พวกเราอาศัยอยู่ในยุคของเทคโนโลยี่ ที่จิตวิญญาณคู่ขนานกำลังตื่นขึ้น <O></O>


12 Around 1
<O></O>
การรังสรรค์ของสรรพสิ่ง เริ่มขึ้นเช่นเดียวกับ บ่อเกิดของเสียง,แสง และสี
ที่คล้ายคลึงกับการเต้นเป็นจังหวะรูปวงกลม ของ ชุดคำสั่งของจิตสำนึกรู้
ทะลุผ่านกรวยที่เป็นเกลียวหมุน12 กรวย (spiraling cones)
ปะทุออกมาอย่างฉับพลัน เพื่อสร้าง โครงสร้างตะข่ายที่ไม่รู้จบ


“โคน” เชื่อมโยงไปถึง “เขาสัตว์” หรือ การรังสรรค์สรรพสิ่งอย่างประสานสอดคล้องกัน
และ“เขาสัตว์(มีสองข้าง)”อีกข้างหนึ่ง อ้างอิงถึง การค้นพบสิ่งต่างๆ ในตำนานปรำปรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านั้นได้เชื่อมโยงไปถึงพระผู้เป็นเจ้า และ เทพเจ้า
การเริ่มต้นทั้งหมดนั้น เริ่มด้วยโทนเสียงระดับเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ<O></O>


ประกายแสงแห่งจิตวิญญาณ หมุนวนเป็นเกลียวขึ้นไปจากศูนย์กลาง
เคลื่อนที่อย่างไร้แบบแผน เข้าไปสู่โครงข่าย ชุดคำสั่งประสบการณ์ของจิตสำนึกรู้
ในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณนี้
เหมือนกับการหมุนวนของกาแล๊คซี่ เชื่อมกับ การรังสรรค์สรรพสิ่ง ผ่าน ดวงตา เลนส์ของเวลา ,
การฉายภาพลวงตา ผ่านกระจก,ดวงตาของพระเจ้า






วงกลมแห่ง 12 = 13 = 4
= มิติที่ 4 = การยุติ – เวลา - นาฬิกา - ฟันเฟือง
– ความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ​

​

– อาหารค่ำมื้อสุดท้าย -12 (สาวกคนสนิทของพระเยซู) ล้อมรอบ 1 (พระเยซู)<O></O>
– ความตระหนักรู้ของพระคริสต์





ความบังเอิญที่ประจวบเหมาะของผังฟ้าที่ บอกเราถึงเรื่องราว
เวลาแห่งความคืบหน้ามนุษย์ / การเคลื่อนที่ของชุดคำสั่ง
<O>
</O><!-- google_ad_section_end -->

 

12 around 1 “วงกลมแห่ง 12”

การเคลื่อนแบบเกลียววนของสไปรัลของจิตสำนึกรู้ ในหลากหลายความถี่

12=1+2=3=-ปรากฎการณ์ในมิติที่ 3, ปริมณฑลทางกายเนื้อ

12 กรวยเกลียวหมุน ล้อมรอบ 1 จุดกำเหนิด = 13 = 4=มิติที่4 = มิติแห่งเวลา

Sacred Geometry = SG = StarGate = วงล้อแห่งกรรม = วงล้อ Alchemy – นาฬิกา -เวลา

ชุดคำสั่งโครงข่ายพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ของประสบการณ์
– การเป็นขั้ว – ทวิภาวะ – ความรู้สึกและอารมณ์

วงล้อ Alchemy ของจิตสำนึกรู้ มีพื้นฐานมาจาก
แผนผังรูปกรวยหมุนของการหมุนวนกลับและพุ่งเข้าสู่ศุนย์กลาง – หัวใจ - ดวงตา



จังหวะการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดหย่อน(การเต้นรำ) ของสียง , แสง ,
และสี สร้างสรรค์ โครงข่ายที่ไม่สิ้นสุด ทำให้เรามีประสบการณ์อย่างมีสติ
“วงกลมแห่ง 12” (12 = 1+2=3) หรือ มิติที่ 3 ,3D สำหรับละคร ของโลกทางกายภาพ
เป็นเพียง พื้นฐานการทดลองการสร้างสิ่งมีชีวิต บนเวลาที่เป็นเส้นตรง
เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมของ การบรรเลงเสียงดนตรีแห่งอารมณ์


Slinky Effect สลิงกี้เอฟเฟค



ความเป็นจริงคือจิตสำนึกรู้ จิตสำนึกรู้เคลื่อนตัวหมุนวนขึ้นข้างบน
(ด้วยความถี่ที่เร็วกว่า)และหมุนลงข้างล่าง(ด้วยความถี่ที่ช้ากว่า)
ในรูปแบบของ เกลียวหมุน(spiral)

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงกลไกการเคลื่อนไหวของ DNA ของพวกเรา
ความถี่ที่สูงกว่า จิตสำนึกที่ยิ่งใหญ่ของคุณ กลายเป็นการตื่นรู้
ที่ทำให้คุณสามารถเห็นภาพความจริงที่มีความหมายแตกต่างจากเดิมๆ
ในประสบการณ์เสมือนจริงของคุณ ในตอนนี้

จิตสำนึกรู้ของคุณ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
บนความเป็นจริงที่หลากหลาย ในสลิงกี้ลูป (slinky loops) ของเวลา
โดยทั่วไปที่มีเวลาเป็นเส้นตรง เป็นส่วนหนึ่งของภาพลวงตาในมิติที่สาม
หรือทางกายเนื้อจริง เพื่อให้จิตวิญญาณสามารถมีประสบการณ์ทางอารมณ์ ในโลกของมิติที่สาม

เป็นการเคลื่อนที่ในระดับที่ต่ำที่สุดของจิตสำนึกรู้ พื้นฐานของสลิงกี้
ครั้งหนึ่ง ณ ที่นั่น คุณได้ลืมความจริงที่อยู่อีกด้านหนึ่งมันคือ 'จุดที่มากมาย'
บนส่วนที่เหนือขึ้นไปของสลิงกี้และประสบการณ์ที่คุณมี
เหมือนที่คุณไม่เข้าใจว่าพิมพ์เขียวเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ออกมาจากจิตในกายของพวกคุณ<O></O>

การยุบตัวลงของ สลิงกี้ DNA และเวลา การวมตัวกันของโครงข่าย
และผู้คนจะกลายเป็น การตื่นรู้ที่มากขึ้น
ในสิ่งซึ่งจิตวิญญาณของเขาทั้งหลาย กำลังกระทำในทุกระดับของประสบการณ์<O></O>

If you doodle this pattern



หากคุณเขียนหรือวาดภาพนี้ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ





<?XML:NAMESPACE PREFIX = V /><V:SHAPE id=Picture_x0020_43 style="VISIBILITY: visible; WIDTH: 62.25pt; HEIGHT: 59.25pt" alt="http://www.crystalinks.com/spiralbw2.jpg" type="#_x0000_t75" o:spid="_x0000_i1025"><V:IMAGEDATA src="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_image001.jpg" o:title="spiralbw2"></V:IMAGEDATA></V:SHAPE>


you are connecting


คุณกำลังเชื่อมต่อ...!!!!!<O></O>​

 

โอ้โห ข้อมูลสุดยอดเลยค่ะ
ต้องค่อยๆทำความเข้าใจค่ะ
ขอบคุณนะคะ

 

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกอยากโหลดภาพ labyrinth มาเก็บไว้ดูเล่น ก็เลยหาโหลดมาเก็บไว้อ่ะค่ะ


แล้ววันนี้....มาอ่านเจอเรื่องข้างบน....


......แอบอึ้ง !!!

 

งดงามมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่เสียสละเวลา แรงกาย แรงใจเพื่อ แฟนพันธุ์แท้นะคะ
ดิฉันได้คำตอบหลายๆอย่างจากกระทู้นี้ ขอบคุณมากๆค่ะ
"ทุกอย่างมันต้องมีเหตุผลของมันเอง ทุกๆเป้าหมายมีช่วงเวลาของมันเอง ภายใต้ฟ้ากำหนด"

"จงคิดก่อนพูด จงอย่าปล่อยให้อารมณ์ร้ายๆเกิดขึ้น เช่น ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความลังเลสงสัย จงอย่าปล่อยให้มันเข้ามารุกรานพลังงานของคุณ" ดิฉันชอบข้อความนี้ เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

<TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>เส้นโค้งก้นหอยแบบลอการิทึม (logarithmic sprial)
เส้นโค้งก้นหอยแบบนี้มีคุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งคือ เส้นรังสีและเส้นสัมผัสกับเส้นโค้งจะทำมุมเท่ากันหมดตลอดทุกจุดบนเส้นโค้ง นักคณิตศาสตร์เรียกเส้นโค้งแบบนี้ว่า เส้นโค้งก้นหอยแบบมีมุมเท่ากัน (equiangular spiral) หรือเรียกว่า เส้นโค้งก้นหอยแบบลอการิทึม (logarithmic sprial) และมีสมการทางคณิตศาสตร์ ดังนี้
log r = a<CODE>q
</CODE>
เมื่อ a เป็นค่าคงที่ <CODE>q</CODE> เป็นมุมที่เส้นรังสีทำกับเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ใช้เป็นเส้นเริ่มต้น และ r เป็นความยาวของรังสี ท่านอาจจะเขียนเส้นโค้งแบบก้นหอยแบบมีมุมเท่ากัน โดยใช้ไม้บรรทัดและวงเวียนเท่านั้นก็ได้ โดยดำเนินการตามลำดับดังนี้
1. สร้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก ข ค ง ให้ด้าน ก ข ยาว 13 เซนติเมตร ด้าน ข ค ยาว 21 เซนติเมตร
2. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จ ฉ ค ง ยาวด้านละ 13 เซนติเมตร อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก ข ค ง
3. ใช้จุด ฉ เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมี ฉ ค 13 เซนติเมตร เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด ค ไปยังจุด จ
4. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก ช ซ จ ยาวด้านละ 8 เซนติเมตร จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก ข ฉ จ
5. ใช้จุด ซ เป็นจุดศูนย์กลางรัศมี จ ซ เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด จ ไปยังจุด ช
6. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ช ข ต ด ยาวด้านละ 5 เซนติเมตร จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ช ข ฉ ซ
7. ใช้จุด ด เป็นจุดศูนย์กลางรัศมี ด ช เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด ช ไปยังจุด ต
8. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ต ฉ ท ถ ยาวด้านละ 3 เซนติเมตร จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ต ฉ ซ ด
9. ใช้จุด ถ เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมี ถ ต เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด ต ไปยังจุด ท
10. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ท ซ ธ น ยาวด้านละ 2 เซนติเมตร จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ท ซ ด ถ
11. ใช้จุด น เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมี น ท เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด ท ไปยังจุด ธ
12. สร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด บ ป ธ ยาวด้านละ 1 เซนติเมตร จากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด ถ น ธ (ในขั้นนี้จะเหลือรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส บ ถ น ป ยาวด้านละ เซนติเมตร ป็นรูปสุดท้าย)
13. ใช้จุด ป เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมี ป ธ เขียนส่วนโค้งของวงกลมจากจุด ธ ไปยังจุด บ

ส่วนโค้งของวงกลมที่เริ่มต้นจากจุด ค ไปจนถึงจุด บ จะเป็นเส้นโค้งก้นหอยแบบมีมุมเท่ากัน จากวิธีการนี้จะเห็นได้ว่าเรามีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มีความยาวของแต่ละด้านเรียงกันดังนี้
1, 1, 2, 3, 5, 8, 13,...

แต่ละพจน์ของอันดับนี้ ได้จากผลบวกของสองพจน์ ซึ่งอยู่ข้างหน้าติดกับพจน์นั้นมาบวกกัน เช่น
2 = 1+1, 3 = 1+2, 5 = 2+3, 8 = 3+5, 13 = 5+8, 21 =8+13

โดยหลักเกณฑ์นี้ เราก็จะเขียนพจน์ต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด นักคณิตศาสตร์เรียกจำนวนที่เรียงกันไปตามกฎเกณฑ์เช่นนี้ว่า อันดับฟิโบนักชี (Fibonacci sequence) ของจำนวน จากความรู้ที่ได้นี้ ท่านจะเขียนเส้นโค้งก้นหอยให้มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยสร้างจัตุรัสที่มีความยาวของแต่ละด้านเป็นเลขในอันดับฟิโบนักชีต่อไปได้เรื่อยๆ
ในธรรมชาติ เราอาจจะสังเกตเห็นลวดลายของหอยหลายชนิด ลวดลายของดอกไม้บางประเภท และลวดลายของตาสับปะรด เป็นต้น มีลักษณะคล้ายกับเส้นโค้งก้นหอยสองชุดตัดกัน
การเขียนเส้นโค้งโดยใช้วิธีการวัดความยาวของรังสี และมุมที่รังสีนั้นกระทำกับเส้นตรงคงที่เส้นหนึ่ง ทำได้โดยหาคู่ลำดับ (r, <CODE>q</CODE>) จากสมการซึ่งแสดงความสัมพันธ์กันในแบบสมการของ r และ <CODE>q</CODE> เมื่อกำหนดค่าของ <CODE>q</CODE> ต่างๆ ก็จะได้ค่าของ r ที่คู่กับ <CODE>q</CODE> นั้นๆ จากนี้ก็สามารถกำหนดตำแหน่งของจุด P ลงบนแผ่นกระดาษได้ แล้วโยงจุดต่างๆ ด้วยเส้นโค้งก็จะได้ทางเดินของจุดซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่แสดงโดยสมการของ r และ <CODE>q</CODE> นั้นๆ
กระดาษกราฟที่จะใช้สำหรับวิธีที่จะกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกันหลายๆ วง และเส้นรังสีที่ออกจากจุดศูนย์กลางทำมุมขนาดต่างๆ กัน เราเรียกกระดาษกราฟแบบนี้ว่า กระดาษกราฟโพลาร์ (Polar graph)
ถ้าไม่มีกระดาษกราฟโพลาร์เช่นนี้ ก็ใช้วิธีการวัดรังสีและมุมโดยใช้จุด O เป็นจุดคงที่จุดหนึ่ง และเส้น OX เป็นเส้นคงที่เส้นหนึ่ง เพื่อเป็นหลักในการวัดมุม <CODE>q</CODE> และความยาว r เราอาจจะลากเส้นตรงตั้งฉากกับ OX ที่จุด O เพื่อแสดงรังสีที่ทำมุม 90 องศา และ 270 องศา กับ OX ด้วยก็ได้ ค่าของ r โดยทั่วไปใช้ค่าบวก ถ้าใช้ค่า r ที่เป็นลบ หมายความว่ารังสีจะชี้ไปในทิศตรงกันข้ามกับที่ค่าของ r เป็นบวก
เช่น สมการ r = a (1-cos ) โดยการเปิดตาราง cos ตั้งแต่ = 0 องศา จนถึง 360 องศา เราจะได้ค่าของ r ที่คู่กันดังนี้
<CODE> </CODE> 0° 45° 60° 90° 120° 135° 180° 210° 240° 270° 300° 360°
r 0 0.29a 0.5a a 1.5a 1.7a 2a 1.87a 1.5a a 0.5a 0

กำหนดจุดจากคู่ลำดับ (r, ) ไปทีละจุดบนกระดาษ แล้วโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกันด้วยเส้นโค้ง ก็จะได้กราฟของสมการเป็นเส้นโค้งที่เรียกว่า เส้นโค้งคาร์ดิออยด์ ถ้าการแบ่งมุมทำได้ละเอียดมากขึ้นก็จะได้เส้นโค้งที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
รูปต่อไปนี้เป็นเส้นโค้งมีลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ ซึ่งท่านอาจจะลองเขียนเองก็ได้ สมการ r = a sin n จะให้เส้นโค้งเป็นกลีบดอกไม้ กลีบ เมื่อ เป็นจำนวนคี่ และให้ 2n กลีบ เมื่อ n เป็นจำนวนคู่ ท่านลองเขียนเส้นโค้งจากสมการ r = a cos <CODE>q</CODE> จะได้กลีบดอกไม้อย่างใดบ้าง

สมการ r = a sin มีกราฟเป็นรูปวงกลมรัศมี <SMALL style="PADDING-RIGHT: 0.4em">a/2</SMALL><FA></FA>สัมผัสเส้น OX ที่จุด O และมีศูนย์กลางที่จุด (<SMALL style="PADDING-RIGHT: 0.4em">a/2</SMALL><FA></FA>, <SMALL style="PADDING-RIGHT: 0.6em">π/2)

</SMALL> วิธีเขียนเส้นโค้งโดยวัดความยาวของรังสีจากจุดคงที่จุดหนึ่ง และมุมที่รังสีกระทำเส้นตรงคงที่เส้นหนึ่งนี้ เป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ว่า ทางเดินของดวงดาวต่างๆ ตลอดจนทางเดินของดาวบริวารที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งแบบไหน และสามารถบอกตำแหน่งได้ทุกเวลาด้วย


</TD><TD align=right><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>เส้นโค้งก้นหอย</TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>เส้นโค้งก้นหอยแบบมีมุมเท่ากัน หรือ เส้นโค้งก้นหอยแบบลอการิทึม</TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>ลวดลายของหอย มีลักษณะคล้ายกับเส้นโค้งก้นหอยสองชุดตัดกัน</TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>ลวดลายของดอกไม้ มีลักษณะคล้ายกับเส้นโค้งก้นหอยสองชุดตัดกัน</TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



<CENTER>อัตราส่วนทอง สามารถพบอยู่ในสิ่งต่าง ๆ มากมาย รวมถึงงานศิลปะ เช่น ในภาพโมนาลิซา ของเลโอนาร์โด ดา วินชี</CENTER><TABLE style="PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; CLEAR: both; PADDING-TOP: 0px" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>

ขอเสริมความรู้ทางคณิตศาสตรืของความลับจักวาลค่ะ

 

ถ้าเรานำความยาวของ 4เหลี่ยมจตุรัส 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13,21,34,55....มายกกำลัง2 จะได้ค่าดังนี้

1,1,4,9,25,64,169,441, ----> นี่เป็นจำนวนหน่วยที่อยู่ใน4เหลี่ยมจตุรัสแต่ละรูป
เมื่อนำมาพลอตในตารางแล้วจะได้กราฟรูปก้นหอยเนี่ยล่ะค่ะ



<CENTER>ก้นหอยลอการิทึม เป็นก้นหอยชนิดหนึ่งที่พบมากในธรรมชาติ เช่น บนเปลือกหอยงวงช้าง</CENTER>

 

เห็นอย่างนี้แล้วเข้าใจเลยว่า ทุกอย่างในทุกมิติในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไร"บังเอิญ" เลย
ทุกอย่างถุกสร้างขึ้นมาจากสติปัญญาอันสูงส่ง

 

<CENTER>Hilarion's Weekly Message, August 22-29, 2010

</CENTER>

August 22-29, 2010

Most Beloved Lightworkers,

For many of you, there will now be a cessation of the situations that you have been trying to work your way through for many, many months and there will be more feelings of lightness and joy in your daily existence. This, too, is part of your task at this present time. The World you live on is in great need of the feelings of joy, happiness and well-being to counteract and balance the general mood of the populace at this time. The more you can stay in these uplifting feelings, the greater the upliftment of the frequency of the mass consciousness grid.

All is well and on track now. I speak to the Beloved Lightworkers of the World who have toiled ceaselessly to overcome the temptations of their human egos that have been operating front and center within the situations in your daily lives within your relationships, whether personal or work related. This is a time of trials and tests and it will continue in the coming months, and we ask you to stand in your Light and continue to stand as a Beacon of Light, Love and Peace in your very homes and neighborhoods, as this assists in bringing stability and balance to all.

All is changing around you and standing firm in your centre, the core of who you are, is of utmost importance at this time. Do not doubt yourselves, for each of you will be called to answer for the actions, thoughts and deeds of others within your circle and you must remember that you do not need to take on their challenges, for it is only through the facing of each challenge personally that growth and Awakening will take place. Each situation must be experienced firsthand and no one else can walk their Path for them. As they do this, they will gradually Awaken to their greater potential.

You Dear Ones are to stay calm and radiate peace and love and practice acceptance of what comes forth from those around you. As you grow more proficient in this, you will realize that you have been coming into your own Mastery, and life will again take on the sense of great adventure and opportunity in these changing times. By your presence, you can transform situations and be pivotal in the influence of the Light in each situation that you find yourself in, for many around you will be purging long buried thoughts, feelings and emotions and you will have to remember not to take personally all that comes forth through them. It is not for you to take responsibility for these, you are just to observe and witness.

Your calm demeanor will have a steadying influence on those around you and your leadership will be sought by the people around you. Suddenly, you will be in demand for your insights and your services and you will be hard put to maintain a balanced way of life, but this you must do, for the most important thing is to keep the stability and balance in the overall energy of those around you. Call upon the Ascended Host to give support and assistance when you see the need and remember that we are here to help, guide and support you and that this is what we promised to do before you came here to the Earth. Your requests are heard and honored at all times.

Go beyond, Beloved Ones, and ask to experience more wonder, more magic, more feelings of inspiration and upliftment, for these will help to anchor the higher Cosmic energies into the Earth’s core. There is much that is waiting to bless and caress you – wonders that seem unimaginable at this juncture of Earth’s, and your, transition. You are creating your New Earth reality and your creation is good, Beloveds, so hold steady.

Until next week….

I AM Hilarion

รบกวนท่านผู้รู้และเก่งภาษาช่วยแปลข้อความข้างบนให้หน่อยค่า
:d

 

International Spirit Guide - Spiritual Articles - Hilarion's Weekly Message, August 22-29, 2010_Marlene Swetlishoff(30)