ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    อ่าน......พาผมกลับบ้าน...แล้วทำให้นึกถึงผู้ที่อยากกลับบ้านอีกพวก เป็นใคร เกี่ยวกับพวกเราอย่างไร ลองอ่านดูนะคะ และจากบทความนี้ ทำให้ไปเข้าร่วมกิจกรรมในปีต่อมา
    นำมาจากเว็บของพระอาจารย์มหาพินวัดอินทาราม บางยี่เรือ

    WWW.INTARAM.ORG

    วัดสะตะสะหัสสาราม...วัดสีสะเกด)

    9 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา

    ข้าพเจ้าได้นำพาพุทธศาสนิกชนไทยกลุ่มหนึ่งประมาณ 110 คน ไปทำบุญที่ประเทศลาวและเขมร ด้วยรถบัส 2 คันและรถตู้อีก 1 คัน รายละเอียดต่าง ๆ อ่านได้ที่รายงานพิเศษ ในบทความนี้จะเล่าเฉพาะเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน) หรือวัดสีสะเกด ซึ่งอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์เท่านั้น

    ข้าพเจ้าเคยไปเวียงจันทน์มาแล้ว 3 ครั้ง แต่ละครั้งได้เข้าไปไหว้พระในหอพระแก้วทุกครั้ง แต่ไม่เคยเข้าไปในวัดสีสะเกดแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่วัดนี้กับหอพระแก้วอยู่คนละฟากถนน ห่างกันแค่ 20 เมตรเท่านั้น หากวัดระยะที่ตั้งก็ประมาณ 300 เมตร

    เมื่อฉันเพลเสร็จแล้ว ข้าพเจ้านั่งรถตู้เข้าไปก่อนคณะใหญ่พร้อมกับไกด์และชาวคณะอีก 10คน เมื่อย่างเท้าเข้าไปในอาณาบริเวณพระอุโบสถรู้สึกขนลุกและประทับใจในความเก่าแก่โบราณของสิ่งปลูกสร้างมาก เพราะสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

    ช่วงแรกข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ไกด์ลาวเป็นคนอธิบายแก่ผู้ร่วมคณะฟัง

    ต่อมาสักพักข้าพเจ้าได้อธิบายให้ฟังเอง สังเกตเห็นว่าเขาอธิบายไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก เพราะเขาบรรยายประวัติความเป็นมาของวัดนี้โดยไม่มีไทยเกี่ยวข้องเลย เมื่อเดินรอบพระอุโบสถได้สักพัก ข้าพเจ้าได้ถามไกด์ลาวว่า

    “ที่วัดนี้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้ามามากไหม”

    ไกด์ลาว (คุณรัศมี) “ไม่มากค่ะ”

    “ทำไม”

    คุณรัศมี “ไม่ทราบค่ะ เท่าที่หนูทำหน้าที่มา นักท่องเที่ยวไทยไม่ค่อยชอบมาที่นี่”

    ผู้เขียน “แล้วพวกนักท่องเที่ยวชาติต่างชาติเข้ามามากไหม ?”

    คุณรัศมี “ มากค่ะ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลีค่ะ , พวกฝรั่งและญี่ปุ่นเวลาเข้ามาที่นี่แล้วจะตื่นเต้นและอัศจรรย์ในความงามของสถาปัตยกรรมไทยแบบโบราณมาก แต่นักท่องเที่ยวไทยไม่อยากเข้ามา ส่วนใหญ่มาแล้วก็รีบออกไป”

    ข้าพเจ้าถามอีก “ทำไม ?”

    คุณรัศมี “หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ”

    เมื่อเดินชมเกือบรอบพระอุโบสถ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงแว่ว ๆ ข้างหูว่า

    “ท่านครับ ช่วยนำพาชาวไทยมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกผมด้วย”

    ได้ฟังดังนั้นจึงกำหนดจิตว่าใครมาพูดข้างหู เมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้วก็รู้ว่า ผู้ที่พูดเป็นวิญญาณคนโบราณที่สถิต(เฝ้า)วัดแห่งนี้ ดูลักษณะการแต่งตัวของพวกเขาแล้วรู้สึกว่า พวกเขาเป็นวิญญาณทุกข์ หน้าตาและเครื่องแต่งกายดูไม่ดีเลย จึงได้ถามเขาทางจิตว่า

    “พวกโยมเป็นใคร ชาติก่อนทำอะไรไว้จึงมาอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ที่อาตมาเห็นก็คือ เหล่าวิญญาณที่อาศัยอยู่ในบริเวณพระอุโบสถจะเป็นเทวดาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่งตัวสวยงาม แต่เหตุไฉนพวกโยมจึงดูโทรม ๆ อย่างนี้”

    ผู้เขียน “ทำกรรมอะไรไว้ละ ?”

    วิญญาณทหารโบราณ “เผาเวียงจันทน์ครับ ส่วนบางคนก็ตายในขณะจิตที่เศร้าหมอง (จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา) คือเมื่อชนะศึกแล้ว ท่านแม่ทัพได้รับคำสั่งจากกรุงเทพ ฯ ให้เผาเวียงจันทน์ให้สิ้นซาก ทำให้เป็นเมืองร้างเพราะเกรงว่าลาวจะรวบรวมสมัครพรรคพวกได้อีก ท่านแม่ทัพก็เลยสั่งให้ทหารชั้นผู้น้อยเผาปราสาทราชวัง บ้านเรือน วัดวาอารามให้สิ้น เวียงจันทน์กลายเป็นทะเลเพลิง กลายเป็นเมืองร้างไปขณะหนึ่ง สถานที่ไม่ถูกเผามีเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือหอพระแก้วกับวัดสะตะสะหัสสารามแห่งนี้

    เนื่องจากหอพระแก้วเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและวัดสะตะสะหัสสารามเป็นวัดที่เจ้าพระยาจักรี (ร.๑) เคยนำพาทหารไทยมาบูรณะไว้เมื่อครั้งยกทัพมาตีเวียงจันทน์ครั้งแรก (ถ้าเผาวัดนี้ก็เหมือนเผาวัดตัวเอง)”

    ผู้เขียน “อาตมาช่วยโยมไม่ได้หรอก เพราะปีหน้า (2551) จะไม่ได้มาที่นี่อีก อาตมาจะพาชาวคณะไปทำบุญที่ลาวใต้ (จำปาศักดิ์) ด้านจังหวัดอุบล ฯ โยมให้คนอื่นช่วยเถอะ”

    เทวดา “แต่มันไม่เหมือนกันนี่ท่าน ดูลูกศิษย์ท่านซิ เขาเป็นชาวบ้านแต่ก็ยังเข้าไปไหว้พระประธาน ส่วนท่านเป็นภิกษุหัวหน้าคณะไม่ยอมเข้าไปไหว้ได้อย่างไร ผิดธรรมเนียม ผิดประเพณี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

    ข้าพเจ้าจำนนต่อเหตุผลของเทวดาผู้รักษาประตู (อารักขเทวดา) จึงหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในพระอุโบสถ กราบพระประธาน ฯ เมื่อกราบพระประธานเสร็จแล้ว ได้เดินลงมาเจอเหล่าเทวดาและวิญญาณทหารโบราณดักรอหน้าประตูโบสถ์ พวกเขาอ้อนวอนอีกว่า

    “ท่านครับ ช่วยรับปากหน่อยซิครับว่าจะมาทำบุญที่นี่อีกในปีหน้า” เมื่อไหว้พระสวดมนต์และได้กราบพระประธานแล้ว จิตที่แข็งกระด้างก็อ่อนลง จึงได้ถเทวดาและเหล่าวิญญาณว่า

    “ทำไมจึงต้องทำบุญภายในปี 2551 และทำไมต้องเป็นคณะของอาตมาด้วย คนไทยกลุ่มอื่นคณะอื่นทำไม่ได้เชียวหรือ ?”

    เทวดาตอบว่า “ปีหน้า 2551 พวกเขาจะหมดวิบากกรรม เพราะพวกเขายกทัพมาตีลาวใน พ.ศ.2370 ปีนี้ พ.ศ. 2550 นับจากวันที่เสียชีวิตจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 180 ปีแล้ว ปีหน้าพวกเขาจะพ้นจากวิบากกรรม เมื่อพวกท่านทำบุญไปให้ พวกเขาจะได้มีเสบียงคือบุญไปผุดไปเกิด

    อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่า ท่านและชาวคณะมีความเหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่นี้ หากแม้นท่านไม่ยอมทำหน้าที่นี้ทางเทพเบื้องบนที่ดูแลพระพุทธศาสนาอยู่ก็จะหาบุคคลอื่นคณะอื่นมาทำภารกิจนี้จนสำเร็จลุล่วงไปจนได้นั่นแหละ”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า “แล้วจะไปเกิดที่เมืองไทยทั้งหมดหรือ ?”

    เหล่าวิญญาณนักรบโบราณตอบว่า “ไม่หรอกครับ ส่วนใหญ่จะกลับไปเกิดเป็นคนที่ประเทศไทย แต่บางส่วนจะขอเกิดเป็นคนลาวที่นี่ เพราะอาศัยอยู่ที่นี่มานาน”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า “ถ้าไปเกิดกันหมด แล้วใครจะอยู่เฝ้าที่นี่ละ?”

    วิญญาณนักรบ “ไม่ต้องห่วงครับท่าน เมื่อพวกผมไปเกิดหมดแล้ว เทพยดาชาวลาวแท้ ๆ จะมารับหน้าที่เฝ้าวัดนี้ต่อ (ดุจรัฐบาลทักษิณออกไป รัฐบาลสุรยุทธ์ก็เข้ามารับช่วงต่อ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ค่อยถูกกัน ... อันนี้ผู้เขียนเติมเอง)”

    ข้าพเจ้าถามอีกว่า แล้วจะให้ทำบุญอย่างไรบ้าง ?”

    เทวดาตอบว่า ....ทำบุญให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยถวายพระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ พระพุทธรูปไตรจีวรและถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ลาวด้วยโดยนิมนต์พระสงฆ์ลาวมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิญญาณทหารกล้าเหล่านี้เมื่อได้อนุโมทนาบุญแล้ว จะกลายเป็นเทพบุตรในทันใด ที่สำคัญ ท่านจะต้องนำนายทหารที่ยังรับราชการอยู่ไปด้วยให้เขาเป็นตัวแทนชาวสยามเอ่ยปากขอโทษและขออโหสิกรรม(ในใจ)ต่อชาวลาวในอดีต เมื่อวิญญาณชาวลาวอโหสิกรรมให้แล้ว เวรและความบาดหมางกันมาแต่อดีตหลายร้อยปีก็จะมลายหายไป เกิดความสมานฉันท์แทน ทหารสยามโบราณกลุ่มนี้ เขาไปรบในนามตัวแทนของประเทศ มิใช่ไปรบในกิจส่วนตัว ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ ย่อมมีความเกี่ยวพันกับคนสยามทุกคน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นท่านควรจะรับอาสาเป็นตัวกลางทำหน้าที่นี้ เพื่อช่วยระงับเวรให้หมดสิ้นกันในชาตินี้ ตามพุทธพจน์ที่ว่า


    น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
    อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน



    ไม่ว่าในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมแต่โบราณ.

    ข้าพเจ้าตอบ “OK งั้นอีก ๑ ปีข้างหน้า ประมาณเดือนสิงหาคม 2551 อาตมาจะกลับมาทำบุญที่นี่อีกครั้ง แล้วในระหว่างที่ยังรอเวลานี้ให้ทำอะไรบ้าง ?
    เทวดาตอบว่า ......

    ระหว่างนี้เมื่อพุทธศาสนิกชนชาวไทยทำบุญใด ๆ ก็ให้พยายามอุทิสส่วนกุศลเจาะจงแด่เหล่าวิญญานที่สถิต ณ วัดแห่งนี้ดวย เขาจะได้ไม่ลำบากเกินไป ประดุจนักโทษชั้นเยี่ยมที่ใกล้จะพ้นโทษ”
    .
    ดังนั้นภารกิจที่ต้องทำคือ
    .๑. นำวิญญาณนักรบโบราณกลับบ้าน
    ๒. ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน (แทนบรรพบุรุษ)
    ๓. สร้างความสมานฉันท์ให้แก่ชาวพุทธสองประเทศ
    ๔. ได้บำเพ็ญบุญบารมีตามแนวทางของพระโพธิสัตว์
    .




    ประวัติวัดสีสะเกด (โดยย่อ)

    วัดสีสะเกด หรือวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน) เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส แปลว่า 100,000, อาราม แปลว่า วัด, วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน

    ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว) ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ ท่าเตียน ของไทย) เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์ ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม

    วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครเวียงจันทน์ ใน พ.ศ. ]2321 เจ้าพระยาจักรี (ร.๑) ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปทวงถามเครื่องบรรณาการจากลาว ลาวไม่ให้จึงสู้รบกัน ลาวรบแพ้เพราะไม่เจนศึกเท่าทหารสยาม ในฐานะที่เจ้าพระยาจักรีเป็นนักรบผู้ทรงธรรมและเคยบวชเรียนหลายพรรษา เมื่อชนะศึกแล้วจึงนำพาทหารสยามบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ก่อนเดินทางกลับประเทศใน พ.ศ.2322 เพื่อเป็นพุทธบูชาอุทิศส่วนกุศลให้ทหารทั้ง 2 ประเทศที่เสียชีวิต เนื่องจากรบกันโดยไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน สถาปัตยกรรมวัดนี้เกือบทั้งหมดจึงเป็นสถาปัตยกรรมไทย

    เมื่อเจ้าอนุวงศ์ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์ลาวเมื่อ พ.ศ. 2348 ก่อนหน้านั้นพระองค์เคยเสด็จมาช่วยไทยรบกับพม่า 2 ครั้ง ก็ได้โปรดให้บูรณะและสร้างวัดนี้ต่อด้วยสถาปัตยกรรมไทย วัดนี้จึงเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารและชาวพุทธสองประเทศมาแต่โบราณ เพราะเป็นวัดที่ทหารของทั้งสองประเทศช่วยกันสร้าง

    พ.ศ. 2369 เกิดกรณีพิพาทสยาม – ลาว (ไทยเรียกเหตุการณ์นี้ว่ากบถเจ้าอนุวงศ์) ศึกครั้งนั้นไทยแทนแค้นลาวมาก จึงทำลายเมืองเวียงจันทน์โดยการเผาเกือบหมด ยกเว้นวัดนี้กับวัดพระแก้ว เพราะเป็นวัดที่ตนสร้างมา2370

    ก่อนกองทัพสยามเดินทางกลับประเทศ ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและฌาปนกิจศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดแห่งนี้ จากเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์นี่แหละ ชาวลาวรุ่นใหม่ที่เรียนมาถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้จึงแค้นไทยไม่หาย เมื่อไทยพูดว่า
    “บ้านพี่ – เมืองน้อง” ลาวรุ่นใหม่จึงไม่ยอมรับไทยเป็นญาติ เขามักจะถามกลับว่า
    “ใครเป็นพี่ – ใครเป็นน้อง” ไทยบางคน เกลียดพม่าไม่หายในเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่สอง อย่างไร ลาวบางคน ก็แค้นไทยไม่เลิกในเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์ อย่างนั้น

    ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา ทางการลาวยึดที่ดินวัดไปเป็นสถานที่ราชการหมด เหลือเพียงตรงบริเวณพระอุโบสถนิดหน่อย วิญญาณทหารสยามที่สถิตอยู่ในวัดนี้จึงอาภัพเพราะไม่มีใครไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชาวลาวก็ไม่ทำบุญกรวดน้ำให้ เพราะยังไม่หายแค้น ทำบุญจากประเทศไทยไปให้ก็ไม่ค่อยจะถึง เพราะอยู่ไกลและวิบากกรรมก็ยังไม่สิ้น (ซวยสองต่อ) หากอยากทำบุญให้ ต้องไปทำที่เวียงจันทน์เท่านั้น

    แล้วอยากรู้ว่าวัดสีสะเกดนี้ (Wat Sisaket) ตั้งอยู่ส่วนไหนของนครหลวงเวียงจันทน์ ให้ติดตั้งโปรแกรม Google Earth ตรวจดูพิกัดแล้วจะรู้ (อยู่ห่างแม่น้ำโขง 250 เมตร)

    ป.ล. หากผู้อ่านท่านใดอยากไปร่วมทำบุญในเดือนสิงหาคม โปรดอธิษฐานจิตไว้แต่เนิ่น ๆ สวรรค์จะเปิดทางให้ได้ไป (086-991-7658)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2011
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ดูคลิปพี่แล้ว ทำให้หนูนึกถึงแม่นางเล่อขิ่นขึ้นมา ในหนังบทบาทแม่นางเล่อขิ่นมีสูงกว่าบทบาทของแม่นางมณีจันทร์เสียอีกค่ะพี่ แม่นางเล่อขิ่น เก่ง แกร่ง ห้าวหาญ สวยสท้านนนทรวงงง

    [​IMG]
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    รอพี่ทำให้ตัวหนังสือใหญ่กว่านี้ พรุ่งนี้หนูจะเข้ามาอ่าน ตาลายตอนค่ำคืน อ่านไม่ออก ตัวหนังสือมันเล็กกะจิ๊ดริ๊ดเลยพี่ ต๊ะไว้ก่อนค่อยกลับมาอ่านวันพรุ่งนี้ค่ะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เพื่อให้ชาวคณะผู้ร่วมบริจาคร่วมบุญผ้าป่าสามัคคีได้รู้จักกับวัดชุมพลนิกายารามวรวิหารมากขึ้น จะนำประวัติพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์มาเสนอ รวมถึงประวัติการซ่อมแซมวัด ให้อ่านจนกว่าจะถึงวันทอดผ้าป่าฯค่ะ
    พี่ดอกไม้ฯ เท่าที่หนูอ่านดูแล้วคือทหารไทยก็เคยไปเผากรุงเวียงจันทร์มาแล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ

    ตอนนี้หนูอยู่ระหว่างการ ดีท๊อกซ์พยาธิสภาพ ด้วยธรรมะค่ะพี่ ปรับธาตุวันเว้นวัน ปรับธาตุแบบวันเว้นสองวัน แต่หนูถือว่าเป็นสิ่งดีเพราะหลังปรับธาตุ สภาพร่างกายจะได้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ใช่ไหมคะพี่​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0549.JPG
      IMG_0549.JPG
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      318
    • IMG_0547.JPG
      IMG_0547.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      325
    • IMG_0546.JPG
      IMG_0546.JPG
      ขนาดไฟล์:
      77.1 KB
      เปิดดู:
      268
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    คุณรุ้งโทรเข้ามาบอกว่าให้แจ้งหน้ากระทู้ด้วยว่า บัดนี้พระสมเด็จนางพญาไม่เหลือแล้วค่ะ หมดแล้ว ยอดที่จะทำบุญจากการเช่าบูชาพระนางพญา ๙ องค์ เป็นเงิน ๖,๕๐๐ บาท เข้าร่วมกองผ้าป่าในนามของพี่พงศ์ค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สองคนสุดท้ายที่เช่าพระสมเด็จนางพญา คนหนึ่งเขาฝันเมื่อสามคืนก่อนว่า จะได้รับพระแท้มาบูชา วันนี้เขาเห็นพระจึงเช่าทันที ในราคาเช่า องค์ละ ๘๐๐ บาท

    ตอนนี้มีอีกคนอยากได้ ไม่มีพระจะให้เช่าแล้วค่ะ ขออภัยด้วยค่ะ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สำหรับคณะผู้ร่วมบุญผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้จะได้รับพระทุ่งเศรษฐี ด้านหลังเป็นพระบรมสัญญลักษณ์ พระราชพิธีกาญจนาภิเษก สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยวัดชุมพลฯ จัดสร้างขึ้น มวลสารเป็นหลังคาโบสถ์เก่าอายุราวๆ ๔๐๐ ปี มาอ่านประวัติการสร้างพระทุ่งเศรษฐีในครั้งอดีตกาลนานมากันค่ะ

    พระลีลาทุ่งเศรษฐี

     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    วัดชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่หัวเกาะ เกาะบ้านเลน(เกาะบางปะอิน) มีปรากฏอยู่ในแผนที่ของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แผนที่ฉบับนี้เขียนขึ้นเมื่อราวๆปี พ.ศ. ๒๒๓๐

    pagod royal = วัดชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร

    ห่างจากเกาะเมืองอยุธยาลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ ๑๘ กิโลเมตรค่ะ​
     
  9. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    ********************************************

    โหย ดูฝีมือสิ.. อะไรจะปานนั้น ....ทำตัวหญ่ายยขนาดนี้ พออ่านได้มั๊ย แต่เกิดโรคแทรกซ้อนจนได้ อักษรซีดแหงแก๋ ทนอ่านไปแล้วกันนะคุณทางสายธาตุ สีจาง ๆ แบบนี้ดีนะไม่บาดตาเหมือนสีเข้ม

    คริ คริ
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ได้โอนเงินแล้วครับ จาก TMB สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า จำนวน 4,009.- บาท

    1.สำหรับพระนางพญา 3 องค์ 2,000.- บาท

    2.ร่วมทำบุญงานทอดผ้าป่า 2,009.- บาท (ในนามผู้ไม่ประสงค์ออกนาม)

    ทั้งหมดเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์/บางบัวทอง NO.352-2-365439 ครับ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ได้รับปัจจัยดังกล่าวแล้วค่ะคุณพี่จงรักภักดี

    และได้รับ 2,400 บาทจากคุณพี่ดอกไม้เมืองบนแล้วค่ะ

    ส่วนอีก 1,001 บาทได้รับจากคุณพี่คุณนายเจ๊โหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

    ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญที่คุณพี่ คุณพี่ และคุณพี่ ได้ทำร่วมกันในครั้งนี้ค่ะ
     
  12. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    วิญญาณทหารไทยที่วัดสีสะเกด เวียงจันทน์(ต่อ)

    หลังจากอ่านพบเรื่องนี้ในเน็ต ก้เกิดสนใจ อยากไปร่วมปลดปล่อยด้วย แต่จากการที่ไม่ได้เคยรู้จักพระอาจารย์มาก่อน ก็ยังอดลังเล สงสัยไม่ได้ว่า จริง? เชื่อได้? พระท่านนี้เป็นอย่างไร? เลยนัดกับน้องๆ ว่าไปกราบท่านที่วัดก่อน เพื่อจะได้พิจารณาด้วยว่าท่านเป็น? ใจเราจะยอมรับท่านไหม

    อ้อ เหตุที่สนใจเกี่ยวกับวิญญาณทหารไทยสมัยร.3 เพราะโดยสายเลือดที่บรรพบุรุษท่านเล่าต่อๆกันมานั้น ทำให้ทราบว่า สายเลือดเสี้ยวหนึ่งในตัวเราสืบสายมาจากกรมพระราชวังหลังในสมัย ร.1 และพอสมัยร.3 ต้นสายคือเสด็จในกรมพระองค์หนึ่งก็เป็นผู้ที่ทรงเป็นแม่ทัพไปรบในศึกเจ้าอนุวงศ์และเป็นผู้ทรงร่วมในการเผานครเวียงจันทน์ด้วย(หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสืออานามสยามยุทธ์(ที่ว่ากันว่าเป็นบันทึกเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ครั้งเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดีครั้งเป็นแม่ทัพไปทำศึก ท่านผู้นี้จัดเป็น แม่ทัพใหญ่ที่ถือเป็นขุนพลแก้วคู่บารมี ร.3 และเป็นบรรพชนที่ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินไทยสูงสุดอีกท่านหนึ่งที่คนไทยสมควรกราบไหว้บูชาท่าน)

    ในขณะที่สายเลือดอีกส่วนหนึ่งก็สืบทอดมาจากศรสัตตนาคนหุต (นครเวียงจันทน์)โดยผู้หลักผู้ใหญ่บอกไว้ว่าเกี่ยวพันสืบทอดต่อมาจากชั้นหลานเจ้าอนุวงศ์

    เมื่อบรรพบุรุษสองสายท่านมาเป็นศัตรูกันขนาดไล่ล่า จนเผาบ้านเมืองกัน
    มีการจับกุมตัวเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวส่งมาที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เอาตัวเจ้าอนุวงศ์ใส่กรงเหล็กตีตรวนลงโทษแห่ประจานไว้หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าอนุวงศ์ก็ลงพระโลหิตแล้วสิ้นพระชนม์ ส่วนกรุงเวียงจันทน์นั้นได้ถูกทำลายจนไม่เหลือสภาพของเมืองหลวง คงเหลือวัดสำคัญเพียงไม่กี่วัด เช่น วัดพระแก้ว และวัดสีสะเกดเท่านั้น<O:p</O:p

    ในการศึกครั้งนั้น ได้มีการนำพระพุทธรูปคู่บ้านเมืองลาวมาหลายองค์ เช่น พระแทรกคำ พระฉันสมอ และพระพุทธรูปศิลาเขียว ฯลฯ มากรุงเทพฯ ด้วย และ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยาราชสุภาวดีเป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี ที่สมุหนายกจากความดีความชอบปราบศึกเวียงนั้น

    (พระพุทธรูปคู่บ้านเมืองลาวที่มีการอัญเชิญมาไทยมีมากตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนฯ โดย ร.1 สมัยเป็นเจ้าพระยาจักรีได้นำมา ที่เด่น สำคัญมาก ๆ ก็มีพระแก้วมรกต และพระบาง ต่อมาเมื่อ ขึ้นครองราชย์ ร.1 จึงทรงส่งคืนกลับเฉพาะพระบาง เนื่องด้วยมีผู้ทักว่า พระแก้วมรกต ท่านไม่ถูกกันกับพระบาง ถ้าอยู่ร่วมแผ่นดินกัน บ้านเมืองจะอาเพท และก็เป็นตามนั้น เกิดฝนแล้งผิดปกติ จึงมีการส่งพระบางกลับ ลาวจึงเหลือพระบางเป็นพระศักดิ์สิทธิ์คูบ้านเมืองในทุกวันนี้เพียงองค์เดียว โดยประดิษฐานที่หลวงพระบาง)
    <O:p></O:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
     
  14. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    นเรศวร พระมหาวีรราชเจ้า จอมไทย


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Y3wzWi5i8zo]YouTube - มาร์ชสมเด็จพระนเรศวรมหาราช[/ame]
     
  15. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    วิญญาณทหารไทยที่วัดสีสะเกด เวียงจันทน์(ต่อ)
    ฟังอธิษฐานพระอาจารย์แล้ว ก็เลยเรียนท่านว่าที่เรามาเพราะสนใจและอยากมีส่วนในการปลดปล่อยวิญญาณทหารไทยเมื่อ100 กว่าปี โดยบรรพบุรุษของเรามีส่วนในเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วก็เรียนท่านถึงการเป็นคนที่มีสายเลือดศัตรูทั้ง 2 ฝ่ายสืบทอดมา

    พระอาจารย์ท่านตื่นเต้นมาก ว่าคำอธิษฐานของท่านเป็นจริงที่ขอให้ได้คนที่มีส่วนผูกพันหรือเชื่อมโยงเรื่องราวนั้น ๆ มาร่วมพิธีกรรม ท่านว่า เอาล่ะคราวนี้อาตมาหายลังเลแล้ว เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่ขอไว้ แต่ก่อนก็ยังนึกว่า จะมีใครที่ไหนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าทางใดทางหนึ่งอยู่จริง

    ท่านเล่าต่อว่า การนี้มีแปลก ๆ เพราะคนที่แสดงความจำนงจะเข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาเลย มีคนไต้หวันรายหนึ่งแสดงความประสงค์มาขอจองเป็นเจ้าภาพพระไตรปิฏกที่จะนำไปให้พระลาว

    ท่านว่าในลาวไม่มีพระไตรปิฏกเลย เพราะถูกทำลายตอนเปลี่ยนการปกครองเป็นสังคมนิยม ปัจจุบันทางการเริ่มหย่อนการควบคุมทางด้านศาสนาไปมากแล้ว แต่การจะนำพระแก้วมรกตเข้าไปก็ไม่ง่าย ต้องประสานกับสมเด็จพระสังฆราชลาวผ่านพระลาวที่เป็นผู้ประสานงานให้ จึงติดต่อเจ้าอาวาสวัดสีสะเกด เพื่อไปประกอบพิธีทอดพระกฐินที่วัดนี้ได้โดยไม่ถูกทางการลาวเพ่งเล็ง พระสงฆ์ในลาวส่วนใหญ่อายุน้อยก็เป็นเจ้าอาวาสกันแล้ว เพราะพระถูกกำจัดไปเยอะสมัยเปลี่ยนการปกครองเหมือนกัน

    นมัสการถามท่านว่าจะให้เราช่วยอะไรบ้าง ท่านบอกก่อนถึงกำหนดเดินทางขอให้ถือศิล สำรวมใจให้มากเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ เพราะการประกอบการบุญใหญ่แบบนี้ มักจะมีมารมาขวาง และอุปสรรคมากมาย ต้องรักษากายใจให้ดี วันเดินทางพยายามไม่พูดคุยเพื่อให้จิตคงความเป็นสมาธิตลอด การแต่งกายให้คณะทั้งหมดใช้ชุดขาว ท่านบอกให้เราสำรวมส่งจิตถึงบรรพบุรุษทั้ง 2 ข้าง ขอเป็นตัวแทนท่านเพื่อขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน และขอเป็นตัวแทนบรรพบุรุษฝ่ายไทยในการขออโหสิกรรมต่อชาวลาว ทหารลาวในอดีตที่เราไปเผาบ้านเมืองเขา เพื่อจะได้ตัดเวรกรรมซึ่งกันลง

    ฟังแล้วออกจะเครียด ว่าทำไมเราและน้อง ๆ ถึงต้องรับภาระใหญ่โตปานนั้นเราก็แค่คนไทยเล็ก ๆ คนหนึ่ง โอโฮ จะไปล้างกรรมใหญ่มโหฬารของ 2ชาติได้เทียวรึ วิญญาณสมัยโน้นถ้ายังอาฆาตโกรธขึ้งอยู่จะยอมฟังคนธรรมดา ๆ อย่างเราหรือ แล้วนำตัวเข้าไปยุ่งมันจะมีอะไรหรือเปล่า ยิ่งท่านบอกจะมีมารมาขวางงานบุญ โหย ยิ่งมหาเครียด ยังอ่อนซ้อมไปหน่อย..จะหาญไปต่อกรกับสิ่งลี้ลับ คิดก็สยองแล้ว แต่ก็ไปเพราะสงสาร อยากช่วยทหารไทยในอดีตนั้น และลึก ๆ คือความรู้สึกผูกพันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่อยากให้ท่านจองเวรเครียดแค้นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุโมทนากับบุญใหญ่ที่พี่ดอกไม้ได้ร่วมทำบุญให้ทั้ง 2 ประเทศ ที่แบกบุญใหญ่ข้ามฝั่งโขงกลับมาให้น้องๆได้ร่วมจิตอนุโมทนา

    ขออนุญาต ระลึกถึงสายต้นตระกูล สิงหเสนี น้องเคยนำบทความขุนนางต่างชาติในสยามประเทศ หน้า ๓๖ เชิญบทความมาโพสอีกครั้งนะคะ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขุนนางสยามตระกูลพราหมณ์จากอินเดียประเทศ

    ตามทางสืบสวนได้ความว่า บรรพบุรุษของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)เป็นพราหมณ์ ชื่อศิริวัฒนะ รับราชการในสมัยสมเด็จพระนารายณ์อยู่ในตำแหน่งราชปุโรหิต มีบุตรได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนเป็นที่ พระมหาราชครูพระราชปุโรหิตาจารย์ ราชสุภาวดี ศรีบรมหงส์ องค์บุริโสดมพรหมทิชาจารย์


    พระมหาราชครู มีบุตรปรากฏนามต่อมา ๒ คน คือ เจ้าพระยาพิศณุโลก(เมฆ) และเจ้าพระยามหาสมบัติ(ผล)

    เจ้าพระยาพิศณุโลก(เมฆ) มีบุตรปรากฏนามต่อมา ๓ คน คือ

    ๑. เจ้าพระยานเรนทราภัย(บุญเกิด)
    ๒. เจ้าพระยาสุรินทรภักดี(บุญมี)
    ๓. เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์(อู่)
    ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นเจ้าพระยามหาอุปราช เป็นต้นสกุล "ศิริวัฒนกุล","จันทโรจวงศ์","บุรณศิริ","สุจริตกุล","ภูมิรัตน","ชัชกุล" รวม ๖ สกุล

    เจ้าพระยามหาสมบัติ(ผล)มีบุตรธิดาปรากฏนามต่อมา ๖ คน คือ
    ๑. ญ.เลื่อน
    ๒. เจ้าพระยาพลเทพ(ทองอิน) ต้นสกุล "ทองอิน" และ"อินทรผล"
    ๓. กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์(มุก) ภัสดากรมหลวงนรินทรเทวี(กุ) ต้นสกุล "นรินทรกุล"
    ๔. ท้าวทรงกันดาร(ทองศรี)
    ๕. ญ.ทองเภา ไปอยู่พม่าเพราะถูกกวาดต้อนเมื่อคราวไทยเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ว่าเป็นพระราชมารดาพระเจ้าธีบอ
    ๖. เจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)

    เจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)มีบุตรธิดาปรากฏนามต่อมา ๘ คน คือ
    ๑. เจ้าจอมปริก ในรัชกาลที่ ๑
    ๒. จมื่นเด็กชายหัวหมื่นมหาดเล็ก(แตงโม) ในกรมพระราชวังบวรรัชกาลที่ ๑
    ๓. เจ้าจอมปรางค์ ในรัชกาลที่ ๒
    ๔. เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)
    ๕. หลวงรามณรงค์(โต)
    ๖. พระยาพิชัยสงคราม(โห้)
    ๗. หลวงมหาใจภักดิ์(เจริญ)
    ๘. หลวงพิพิธ(ม่วง)
    ๙. คุณหญิงบุนนาคกำแหงสงคราม(ทองอิน อินทรกำแหง)

    บุตรที่ ๔ คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)นั้นเกิดแต่ท่านผู้หญิงฝัก เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๒๐ เป็นปีที่ ๑๐ ในสมัยกรุงธนบุรี ที่บ้านริมคลองรอบกรุงธนบุรีด้านตะวันออกซึ่งบัดนี้นับเป็นเขตจังหวัดพระนคร ตอนเชิงสะพานข้างโรงสีหน้ากระทรวงมหาดไทยทุกวันนี้

    ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยาอภัยราช(ปิ่น)นำนายสิงห์ บุตรชายขึ้นถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศนสุนทร นายสิงห์ตั้งใจรับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความอุตสาหะพากเพียรสม่ำเสมอ ได้รับพระราชทานยศโดยลำดับจนเป็น จมื่นเสมอใจราช

    เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๑ แล้ว โปรดฯให้ย้ายไปรับราชการที่วังหน้า ต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็น พระนายเสมอใจราช

    ในระหว่างที่เป็นพระนายเสมอใจราชนี้เอง เคยต้องโทษครั้งหนึ่งเพราะต้องหาว่าพายเรือตัดหน้าฉาน ตามเรื่องมีว่า ตอนเช้าวันนั้นพนักงานได้จัดเทียบเรือพระที่นั่งและเรือกระบวนไว้พร้อมแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังมิได้เสด็จลง หมอกกำลังลงจัดพระนายเสมอใจราช(สิงห์)มีธุระผ่านเรือไปทางนั้นในระยะไม่ห่างเพราะหมอกลงคลุมขาวมัวไปหมด ในที่สุดก็ถูกจับไปลงพระราชอาญาจำอยู่ที่ทิมในพระราชวังหลวง แต่อาศัยพระอนุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเวลานั้นยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร ได้ทรงพระกรุณาช่วยให้พ้นโทษโดยเร็ว

    เมื่อพระนายเสมอใจราช(สิงห์)พ้นโทษแล้ว ได้รับราชการในตำแหน่งเดิมอีก ต่อมาได้รับพระราชทานบรรศักดิ์เป็นพระยาเกษตรรักษา ว่าการกรมนาฝ่ายพระราชวังบวร

    พระยาเกษตรรักษา(สิงห์)เป็นผู้มีนิสัยขะมักเขม้นทั้งในทางราชการ และในการทางบ้าน เมื่อว่างจากราชก็ดำริการค้าขาย พยายามต่อสำเภาแต่งออกไปค้าขายยังเมืองจีน สิ่งที่ขายได้ผลดีมากคือเศษเหล็ก จัดหาซื้อส่งไปขายเป็นจำนวนมาก สถานที่ตั้งต่อสำเภาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอู่ตะเภา ก็คือที่บริเวณวัดตึกทุกวันนี้ การค้าขายได้กำไรดี ทางราชการก็เจริญดีเรื่อยมาจนต้องโทษเป็นครั้งที่ ๒

    ราชการสำคัญของพระยาเกษตรรักษา(สิงห์)ที่ต้องปฏิบัติในระหว่างนี้ก้คือการนา ได้ออกไปควบคุมการทำนาหลวงอยู่เนื่องๆ ในที่สุดต้องหาว่าไปตั้งค่ายคูอย่างทำศึก และประกอบกับการที่ค้าขายเศษเหล็กเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย น่าระแวงว่าจะสะสมเหล็กทำอาวุธบ้างกระมัง จึงถูกนำตัวมาจำไว้ในพระบรมมหาราชวัง แต่ก็ได้อาศัยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกเป็นครั้งที่ ๒ เหมือนกัน ซึ่งเวลานั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๒ พระองค์อยู่ในฐานะเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ และทรงบัญชาราชการสำคัญหลายอย่าง ทรงอนุเคราะห์พระยาเกษตรรักษา(สิงห์) แม้จะต้องโทษถูกจำอยู่ก็ผ่อนหนักเป็นเบาตลอดมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๒

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์แล้ว ทรงพระกรุณาให้พระยาเกษตรรักษา(สิงห์)พ้นโทษ และต่อมาโปรดฯให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชสุภาวดี ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของพระยาราชสุภาวดี(สิงห์)ก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นในกิจการสำคัญของชาติ จนปรากฏเกียรติคุณประจักษ์อยู่ในพระราชพงศาวดารเป็นต้น


    ตระกูลของพราหมณ์ ที่เข้ามาในพระราชอาณาจักรไทยมีอยู่มากมาย ตัวอย่างตระกูลพราหมณ์สำคัญครั้งสมัยอยุธยาคือ

    พราหมณ์ศิริวัฒนะ ได้เป็นพระมหาราชครู พระราชปุโรหิตาจารย์ราชสุภาวดีศรีบรมหงส์วงศ์บริโสดม พราหมณ์ทิชาจารย์ พระมหาราชครู ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    ได้มีลูกหลานให้กำเนิดสกุลสำคัญ ๆ สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ อันเป็นต้นตระกูล

    1 ทองอิน

    2 อินทรพล

    3 นรินทรกุล

    4 สิงหเสนี

    5 จันทรโรจนวงค์

    6 ชัชกุล

    7 ภูมิรัตน์

    8 บูรณศิริ

    9 สุจริตกุล

    10 ศิริวัฒนกุล



    ਩ҾÐ’??Թ?à??Ҡ(ʔ?ˬ ʔ?ˠʹթ ?ع?š?釠?ҡ ???ǒ?ʹء! ?ՠ?Ղ<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    วิญญาณทหารไทยที่วัดสีสะเกด เวียงจันทน์(ต่อ)

    ตามกำหนดการ พระอาจารย์ท่านกะไว้ว่าคณะของท่านจะไปค้างวัดโพธิชัยืั้หนองคาย แล้วรุ่งขึ้นจะเป็นคณะแรกที่ยกเข้าเวียงจันทน์ในฐานะกองทัพธรรม

    เอาล่ะสิ เราก็อึดอัดใจ เพราะคณะเราพี่น้องแยกเดินทางไปเอง โดยกำหนดนอนเวียงจันทน์ คืนแรกก่อนถึงวันทอดผ้าพระกฐินรุ่งขึ้น ทีนี้คณะท่านจะเข้าเวียงจันทน์วันทอดผ้า จะเหมาะสมหรือไม่กับพิธีการ แต่หลังจากนมัสการถามก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน ท่านก็บอกไม่เป็นไร แล้วกำหนดเจอกันที่วัดสีสะเกดตอนเช้าเลย ให้รอคณะใหญ่ที่นั่น แถมท่านบอกการแต่งกายใหม่ ว่าใครที่มีความเกี่ยวพัน สืบทอดสายกันมาขอให้แต่งกายตามแบบโบราณของชาตินั้น ๆ

    เอาล่ะสิ ต้องปรับกระบวนท่ากันใหม่ สวมวิญญาณแม่ญิงล้านซ้าง นุ่งซิ่นสวมเสื้อ ห่มผ้าเบี่ยงแบบลาว ฝ่ายชายก็สวมเสื้อผ้ามีผ้าเบี่ยง(ผ้าสไบพาดไหล่ของไทย)พากไหล่ไว้ ออกเขินไม่น้อย เพราะเราไม่ใช่คนลาวจริงๆ

    รุ่งเช้ามืด รีบไปที่วัดสีสะเกด รีรอคณะใหญ่อยู่ลานในวัดไม่กล้าเข้าไปชั้นในก่อน ยังไม่มาเสียทีเลยเวลาไปมาก โทรถามทราบว่า ติดขัดพิธีการเข้าเมืองที่ด่าน ให้เข้าไปก่อนเลย

    ผ่านเข้าไปเดินดูรอบ ๆ นึกว่าสมัยโน้นที่นี่เป็นที่ตั้งทัพไทย เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส แปลว่า 100,000, อาราม แปลว่า วัด, วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว) ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ฯ ท่าเตียน ของไทย) เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์ ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น ชาวลาวบางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์

    ใน พ.ศ. 2321 เจ้าพระยาจักรี (ร.๑) ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปทวงถามเครื่องบรรณาการจากลาว ลาวไม่ให้จึงสู้รบกัน ลาวรบแพ้เพราะไม่เจนศึกเท่าทหารสยาม ในฐานะที่เจ้าพระยาจักรีเป็นนักรบผู้ทรงธรรมและเคยบวชเรียนหลายพรรษา เมื่อชนะศึกแล้วจึงนำพาทหารสยามบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ก่อนเดินทางกลับประเทศใน พ.ศ.2322 เพื่อเป็นพุทธบูชาอุทิศส่วนกุศลให้ทหารทั้ง 2 ประเทศที่เสียชีวิต เนื่องจากรบกันโดยไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน สถาปัตยกรรมวัดนี้เกือบทั้งหมดจึงเป็นสถาปัตยกรรมไทย

    เมื่อเจ้าอนุวงศ์ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์ลาว ก็ได้โปรดให้บูรณะและสร้างวัดนี้ต่อด้วยสถาปัตยกรรมไทย วัดนี้จึงเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารและชาวพุทธสองประเทศมาแต่โบราณ เพราะเป็นวัดที่ทหารของทั้งสองประเทศช่วยกันบูรณะ และมีการต่อสู้กัน ต่างล้มตายไปด้วยกันมิใช่น้อย และยังเป็นที่เผาศพทหารไทยลาวในศึกครั้งนั้นด้วย

    บรรยากาศรอบพระอุโบสถเงียบสงบ สิ่งก่อสร้างเก่าคร่ำ เพราะไม่เคยมีการบูรณะจากทางการมาเลย พึ่งได้รับการสนใจไม่นานปีนี้เอง แต่ก็ยังไม่มีงบที่จะบูรณะอบู่ดี ตาม ระเบียงคดมีพระพุทธรูปเรียงรายว่ากันว่านับพันองค์ พระพุทธรูปเหล่านี้ค่อนข้างสมบูรณ์เมื่อเทียบกับพระตามวัดโบราณของไทย ที่โดนคนใจบาปทำลายแลกเงิน

    เข้าไปในโบสถ์ ยิ่งเศร้าเพราะสภาพเก่าคร่ำ พระอาจารย์เล่าว่าเป็นพระประธานองค์เดียวที่ทอดสายพระเนตรมองลงมาที่ผู้กราบไหว้
    นั่งไปนั่งมาเลยกำหนดจิตเป็นสมาธิ บอกกล่าวบรรพบุรุษทั้ง สองฝ่ายว่าเราเป็นลูกหลานผู้สืบเชื้อสายลงมา มีจิตปรารถนาดีขออนุญาตเป็นคนกลางเพื่อประสานรอยร้าวถ้ายังมีของผู้ร่วมและเดือดร้อนในสงครามครั้งนั้น มุ่งหวังให้ท่านทั้ง 2 ข้างโปรดอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งสองเชื้อชาติล้วนมาจากสายเลือดเดียวกันใกล้ชิดกัน สุดท้ายก็ขออุทิศผลบุญที่บำเพ็ญมาทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาล และจะทำต่อไปในอนาคตกาลให้บรรพบุรุษทั้งสองฝ่ายและวิญญาณที่เกี่ยวข้องในกการสงครามนั้น......

    จู่ จู่ มีความรู้สึกคล้ายจะร้องไห้ ทั้งตื้นตัน ทั้งเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์หม่นหมอง น้ำตาพาลจะไหล จนตัวเองตกใจเพราะไม่ใข่ความรู้สึกเราแน่นอน รีบแผ่เมตตาออกไปกว้าง ๆ และแคบเข้ามาเจาะจงก่อนถอนจิตออก รีบกราบพระ ถามว่ากลัวไหม รับว่าตระหนก ตื่น ๆ เหมือนกันกับอารมณ์ตอนนั้นแถมมีความอึดอัดแทรกเข้ามา ถ้าให้บอกคงบอกได้เพียงว่า เหมือนมีพลังงานชนิดหนึ่งพยายามสื่อเข้ามาหาเรา พลังงานนนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ดังที่เกิดกับเราเวลานั้น

    รอบตัวไม่มีใครนั่งอยู่แล้วเหลือคนเดียว ก็รีบลุกออกมา พากันไปนั่งทีระเบียงรอบพระอุโบสถ ไม่มีใครนอกจากพวกเรา6-7 คน นั่งอยู่ครู่ก็มีพระสงฆ์สูงอายุรูปหนึ่งเดินมาหา คำทักแรกของท่านด้วยภาษาไทยที่แปร่งน้อยมาก คือ

    "ว่าไง ลูกหลานเจ้าอนุวงศ์.." พวกเราก็แตกตื่นสิ ยกมือไหว้แบบตื่น ๆ .เอ๊ะ ท่านรู้ได้อย่างไร ถามกลับไป ท่านไม่ตอบได้แต่อมยิ้มท่าทางใจดี

    คำถามต่อมา โอ๊ย เจ็บปวด..."คิดอย่างไรเรื่องสงครามไทยลาวสมัยเจ้าอนุ ใครถูก ใครผิด"

    ท่านปุจฉามา จำเราต้องวิสัชชนาไป เลยพนมมือกราบเรียนท่านว่า

    "อยู่ที่เราจะมองในฐานะอะไร คนไทย หรือ คนลาว มองจากแง่มุมไหน
    ส่วนตัวลูกแล้วถ้าในฐานะที่มีเชื้อสายสืบทอดมาจากเจ้าอนุ ก็คิดว่า ที่ใคร ๆ กล่าวหาท่านว่ากบฎเนรคุณแผ่นดินไทยที่เคยชุบเลี้ยงมา สมควรโดนหนักแบบที่เป็นมานั้น ไม่น่าถูกต้อง ท่านเป็นวีรบุรุษไม่ใช่คนเนรคุณกบฎ เพราะท่านเป็นกษัตริย์เวียงจันทน์ ไม่ว่าราชสำนักไทยจะเมตตาชุบเลี้ยงไม่ต่างพระโอรสดีอย่างไร ในฐานะท่านก็ต้องทรงอยากเห็นพสกนิกรลาวได้อยู่บ้านเมืองตน ต้องการอิสรภาพมากกว่าจะยอมเป็นประเทศราช ส่งส่วยตลอด ท่านผิดหรือที่ลุกขึ้นปลดแอกให้แผ่นดินเกิดและพี่น้องร่วมชาติ ไม่มีใครอยากเป็นข้าชาติอื่น
    ท่านจึงไม่ใช่คนเลว ทรยศเนรคุณแน่นอน

    แต่กลับกันถ้ามองในฐานะที่ตัวลูกมีเชื้อสายสืบทอดมาจากบรรพบุรุษไทยโดยเฉพาะเป็นนักรบ การกระทำที่ทรงกระทำทุกอย่างทั้งของแม่ทัพไทยต่างๆ หรือแม้แต่ ร.3 เอง ถือว่าสมควรแก่การไม่ได้เป็นแบบที่บางคน หรือคนลาวคิดกันว่า โหดร้ายทารุณเหี้ยมโหด รุกรานและเผาบ้านเผาเมืองลาวจนย่อยยับ ในฐานะพระมหากษัตริย์ไทยของ ร.3 ที่เคยมีเมตตารักใคร่สนิทสนมสนับสนุนเจ้าอนุมาทุกด้าน แต่กลับถูกยกทัพบุกเข้ามาจวนจะถึงกรุงเทพ ไม่ได้หมายปลดแอกอย่างเดียว แต่หมายครองกันเลย และถูกกระทำจากผู้ที่เคยสนิทรักใคร่ และเป็นประเทศราช เพียงอีกไม่กี่กิโลก็จะถึงกรุงเทพ พระองค์และบรรพชนทั้งหมดก็ต้องแค้นเป็นธรรมดา ทำนองรักมาแค้นมาก และถือเป็นการหยามไทย หากยอมอ่อนข้อ คงมีเรื่องวุ่นวายจากเมืองขึ้นอีกหลายแห่งที่เอาอย่าง บรรพชนไทยจำต้องป้องกัน รักษาแผ่นดินไว้เต็มที่ ฝ่ายไทยจึงไม่ผิด
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ๓. เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์(อู่) เมื่อวายชนม์ได้รับพระราชทานให้จัดการศพแบบพระศพ จัดงานศพที่วัดไชยวัฒนาราม ในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ

    ป้าของเจ้าขรัวเงินเป็นภรรยาเอกของท่านเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์(อู่)

    เจ้าขรัวเงินมีบรรพบุรุษสืบมาจากท่านอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์หมิงที่มาอยู่สยามประเทศ และเจ้าขรัวเงินคือพระสวามีของพระเจ้าพี่นางของรัชกาลที่๑ และเจ้าขรัวเงินคนนี้คือพระบิดาของสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๒

    สายสัมพันธ์ตระกูลท่านมีดองกันอยู่ค่ะ กว่าหนูจะจับโยงความสัมพันธ์ได้นานเหมือนกันจ๊ะพี่
     
  20. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    เจ้าพระยาบดินทร์เดชาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่พี่รัก และเลื่อมใส ซาบซึ้งในคุณความดีท่านที่มีต่อแผ่นดินไทยไม่น้อย ตลอดชีวิตท่านคือภารกิจหนักเพื่อแผ่นดินและกษัตริย์ ไม่เคยที่ท่านจะอยู่สุขสบายกับครอบครัวเลย โชคดีของแผ่นดินไทยที่มีลรรพชนเช่นนี้หลายยุคหลายสมัย เราจึงมีวันนี้ให้ลูหลานช่วยกันทำลาย กอบโกย กินโกง แบบปัจจุบัน

    ขอบคุณน้องทางสายธาตุที่เสริมความรู้ต่อเนื่องกับเรื่องที่กำลังเล่าสู่กัน ขอต่อยอดตระกูลพราหมณ์ที่สำคัญอีกตระกูล (จำแม่น..เพราะเป็นลูกศิษย์ศึกษาเรื่องทางศาสนาพราหมณ์กับท่าน สงสัยข้องใจก็วิ่งไปกราบเรียนถาม ที่ทำงานประกอบพิธีบวงสรวงวันสถาปนา ก็ไปขอความเมตตาท่านมาประกอบพิธี)

    นั่นคือตระกูลรังสิพราหมณกุล รังสิพราหมณกุล)ปัจจุบัน ผู้ดำรงตำแหน่งพระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2542 คือพระราชครูวามเทพมุนี(ชวิน รังสิพราหมณกุล)

    ท่านสำเร็จการศึกษาเศรษฐศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และบวชเป็นพราหมณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2521

    นอกจากดำรงตำแหน่งหัวหน้าพราหมณ์ สังกัดกองพระราชพิธี สำนักพระราชวังแล้ว ยังเป็นประธานคณะพราหมณ์ทำหน้าที่ดูแลองค์การศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อันได้แก่ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ สมาคมฮินดูสมาช และ สมาคมฮินดูธรรมสภา อีกด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...