การจะบรรลุธรรมต้องทำอย่างไรบ้าง

ความหมายของดิฉันคือ รอเวลามาตัดสินเรื่องที่คิดว่าจะเลิกพูดเพ้อเจ้อกับโกหกเล่นๆน่ะค่ะ คิดว่าน่าจะทำได้แล้ว แต่ว่า ต้องรอดูต่อไปค่ะ แต่จะพยายามไม่ให้หลุด ต้องมีสติตลอดเวลา
แต่ที่คุณเอกวีร์กล่าวมานี่หมายถึง ถ้าพูดแล้วให้พิจารณาดูตรงนั้นเลยใช่มั้ยคะ ว่าเรามีเจตนาอย่างไร

และปัญหาคือดิฉันเป็นคนพูดเยอะน่ะสิคะ T T
แต่ที่พูดเยอะคือ พูดความจริงซะส่วนมากนะคะ เพราะดิฉันไม่ใช่คนชอบโกหกค่ะ พอดียังเรียนหนังสืออยู่ก็ต้องคุยกับเพื่อนเป็นธรรมดา อาจมีล้อเล่นกันนิดหน่อยเพื่อความสนุกสนาน ไม่ทราบว่าการล้อเล่นนี่ผิดหรือเปล่าคะ แหะๆ

และพูดเยอะแบบนี้ต้องฝึกอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่า ฝึกสติอีกว่า อะไรควรพูด อะไรไร้สาระก็ไม่ควรคะ?

 

การจะบรรลุธรรมต้องทำอย่างไรบ้าง

[FONT=&quot](เริ่มต้นการสวดมนต์ด้วยการสวดนะโมสามจบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ [/FONT][FONT=&quot]
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ [/FONT][FONT=&quot]
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ [/FONT][FONT=&quot]

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ตะติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ
[/FONT][FONT=&quot]ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

[/FONT][FONT=&quot](สมาทานศีลห้า)
[/FONT]​

[FONT=&quot]มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
[/FONT][FONT=&quot]ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT]​

[FONT=&quot]ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
[/FONT][FONT=&quot]มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
[/FONT][FONT=&quot]สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
[/FONT][FONT=&quot]
สวดถวายพรพระ (พุทธคุณ 56 จบ)
[/FONT]​

[FONT=&quot]อิ ติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
[/FONT][FONT=&quot](ธรรมคุณ 38 จบ)[/FONT]​

[FONT=&quot]สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ [/FONT][FONT=&quot]
(สังฆคุณ 14 จบ)[/FONT]​

[FONT=&quot]สุ ปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ[/FONT][FONT=&quot]

(ตรงนี้ ตั้งนะโมสามจบอีกครั้ง แล้วสวดบทกรวดน้้ำ แผ่เมตตาที่เรารู้จัก หรือหลับตา ตั้งจิตอธิฐานอะไรก็ได้................................จากนั้น)

(ขอขมาพระรัตนตรัย)
โยโทโส โมหะจิตเตนะ พุทธัสมิง ปาปะกะโต ขะมะถะเม ภันเต
โยโทโส โมหะจิตเตนะ ธรรมมัสมิง ปาปะกะโต ขะมะถะเม ภันเต
โยโทโส โมหะจิตเตนะ สังฆัสมิง ปาปะกะโต ขะมะถะเม ภันเต

[/FONT]​

[FONT=&quot]อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ [/FONT][FONT=&quot](กราบ)[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][FONT=&quot]สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ [/FONT][FONT=&quot](กราบ)
[/FONT][FONT=&quot]สุปะฏิปันโน ภะคะวาโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ [/FONT][FONT=&quot](กราบ)[/FONT][FONT=&quot]
(จบการสวดมนต์)
[/FONT]​

วันนี้ เอาแบบสวดมนต์ แบบมาตฐานมาให้คนมีบุญกุศลอยู่ในหัวใจได้ใช้กันอย่างถูกต้อง ถ้าต้องการสวดยาว ก็สวดช่วงถวายพรพระ พุทธคุณ 56 ธรรมคุณ 38 สังฆคุณ 14 รวมเป็น 108 จบ ถ้าไม่ขยันก็สวดรวดเดียว ครังเดียวจบ

สำหรับ สิ่งที่จะได้จากการสวดมนต์นี้คือ คุณธรรมที่จะทำให้เป็นพระโสดาบัน ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแค่ลงมือทำให้เกิดขึ้น ซึ่งการสวดมนต์ข้างต้น จะช่วยตัดสังโยชน์เบื้องต้นเราไปสองข้อแล้ว นั่นคือ สีลพตปรามาส วิจิกิจฉา ที่เหลืออยู่ ก็แค่พิจรณาสักกายยทิฏฐิด้วยตนเอง
​

หนึ่งสีลพตปรามาส(ศีลห้า) อันเป็นหนึ่งในสาม ของสังโยน์เบื้องต้น สิ่งนี้ต้องอาศัยการลงมือทำ(รักษาศีล) จึงจะสำเร็จได้

สองวิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสอน สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย สิ่งนี้ต้องอาศัยความศรัทธา(ความเชื่อมั่น) อย่างแรงกล้า จึงจะสำเร็จได้


ส่วนข้อสาม ที่จะทำให้เป็นพระโสดาบัน ก็คือ ละสักกายทิฏฐิ สิ่งนี้ต้องอาศัยพิจรณา(คิดแล้วรู้แจ้ง) ในร่างกายตน ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้เป็นของธรรมชาติ อย่างไร จึงจะสำเร็จได้

สำหรับเรื่องกิเลส(ความเศร้าหมอง)ทั้งหลาย ถ้าไม่เคยทำกรรมหนักมา ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลย ไม่ต้องไปจัดการกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของใจที่ต้องมีกิเลสบ้างเป็นธรรมดา เดี๋ยวธรรมชาติความไม่แน่นอน(อนิจัง) ทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้(ทุกขัง) ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้(อนัตตา) จะช่วยจัดการให้เอง เพียงแค่อดทนดูตอนมันเกิดในจิตเพียงนิดหน่อย เดี๋ยวกิเลสมันก็อยู่ไม่ได้เองเป็นธรรมดา ถ้ามีความสุขก็เสพไป ไม่มีปัญหาขวางทางที่จะทำให้เป็นพระโสดาบันได้ ให้นึกถึงนางวิสาขา มีลูก มีบริวารเป็นพัน ยังไม่มีอุปสรรคใดๆ

สรุป ทำเรื่องที่คิดว่ายากให้ง่าย ก็จะง่ายดังที่บอกไปนี้จ้า...


ตอบ...คลิกที่ชื่อ"จริงนะ" ข้างกระทู้นี้ แล้วลองเข้าไปดูความเห็นต่างๆ ในนั้น เสร็จแล้ว สงสัยตรงไหน ค่อยคุยกันใหม่จ้า...

 

ไม่มีทางใดเลยที่ผมอยากจะแนะนำมากไปกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล ก็คือการทำใจของตัวเองให้ผ่องแผ้ว

สมาธิ ก็คือการรักษาความผ่องแผ้วอันสงบนั่นไว้

ปัญญา ก็คือความเข้าใจ รู้ ในสิ่งที่เกิดขึ้น พิจารณา ยอมรับ นอบน้อมและปล่อยให้เป็นไปโดยเราไม่ข้องติดในตัวตน

ขอให้เจริญในธรรมและขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ...

 

เอาบุญมาให้ร่วมโมทนากันครับผมไปปฏิบัติธรรมช่วงวันสงกรานต์ที่พระนครศรีอยุธยาครับ​

<TABLE id=post4605712 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_4605712 class=alt1>

งานบวชเนกขัมมภาวนา ในช่วงสงกรานต์

วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ​

<!-- google_ad_section_end -->
​

<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

</FIELDSET>

__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์วัดพระบาทน้ำพุ เพียงโทร1900222200 ครั้งละ15 บาท<!-- google_ad_section_end -->
<HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>Last edited by พ่อโชคดี; วันนี้ at 04:59 PM.

​

</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2> <SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("4605712")</SCRIPT> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=thead>พ่อโชคดี</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ดูรายละเอียดของ</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ส่งข้อความส่วนตัวถึงคุณ พ่อโชคดี</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ส่ง Email ถึง พ่อโชคดี</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ พ่อโชคดี</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>Add พ่อโชคดี to Your Contacts</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>พ่อโชคดี Donation Stats</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option>View พ่อโชคดี's Videos </TD></TR></TBODY></TABLE>​

<TABLE id=post4606167 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead> วันนี้, 05:10 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#177 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พ่อโชคดี<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4606167", true); </SCRIPT>

สมาชิก ​

​

วันที่สมัคร: Apr 2010


สถานที่: 9/11 ถ.มหาราช ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000


ข้อความ: 992


พลังการให้คะแนน: 335 ​

​

</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_4606167 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->งานบวชเนกขัมมภาวนา ในช่วงสงกรานต์

วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <!-- google_ad_section_end -->


<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND> </FIELDSET>​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

<FIELDSET></FIELDSET>​

</TD></TR></TBODY></TABLE>​

 

ลองดาวน์โหลดไปฟังดูนะครับ www.wimutti.net เป็นเรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวัน อ่านคำถามแล้วก็ดีใจด้วยที่พยายามมีสติตลอด เพียงแต่หลักมันปรับนิดหน่อยว่า จะพยายามทำให้มีสติตลอดเวลาไม่เผลอมันทำไม่ได้ คือไม่ว่าจะตั้งใจเท่าใด จิตก็ยังแฉลบไปซ้ายขวาคิดนู่นนี่อยู่เรื่อย หลักการคือการเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตอย่างนี้แหล่ะ บ้างบางทีก็มีสติกับกายกับจิต บ้างก็ตกไปในความหลงไปในความคิดว่าจะพูดจะคุยอะไรกับเพื่อน บ้างก็มีสติรู้ว่าโกรธ ว่าโลภอยู่นะ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ พอจิตมันยอมรับความจริงอย่างนี้ได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ อาจจะบรรลุก็ได้ หรือไม่ก็ได้ แต่ความทุกข์จะหดสั้นลงๆๆๆแน่ๆ

 

บรรลุธรรม บรรลุใจ ธรรมแท้แห่งความหลุดพ้นนั้น อยู่ที่ภายในกายในใจของทุกคนที่ตนเองเห็นตนเองจริงๆ เท่านั้นเอง(ฟังมาก อ่านมาก รู้มาก ก็แค่นั้น)

 

อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณมากสำหรับความรู้ที่ท่านใด้โพสให้อ่านค่ะ
เชื่อและศัทธาในพุทธองค์และท่านครูบาอาจารย์

 

ต้องมีสติก่อน สติต้องอยู่กับปัจจุบันจริง ๆ

สติอยู่กับปัจจุบันจริง ๆ ได้ มันจะหยุดคิด (แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม) มาอยู่ที่การรู้ตัว รู้ตัวอย่างเดียว รู้กับคิดไม่เหมือนกัน

อย่างตอนนี้ ลองหายใจเข้าให้ลึก ๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ กำหนดรู้ลมกระทบที่ปลายจมูก แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ รู้ลมที่กระทบปลายจมูกไว้ รู้ให้ชัดเจน ถ้าไม่ชัดสูดลมหายใจดังที่ว่าใหม่ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น พยายามตัดความกังวล ความสงสัย ตัดคำถามทิ้งไปให้หมด เหลืออยู่แต่การรู้ลมเฉพาะหน้านั้น ถ้าทำได้ สติอยู่กับปัจจุบันจริง ย่อมรู้ชัดได้ (ใหม่ ๆ อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างต้องอาศัยการฝึกฝน)

การมีสติอยู่กับปัจจุบันดีอย่างไร

- ทำให้เราได้รู้ตามความเป็นจริง เอาทีละขั้น รู้ตามความเป็นจริงคือรู้ลมหายใจที่กระทบปลายจมูกอยู่เวลานั้น ถ้าแวบไปคิดเรื่องอื่น แบบนั้นคือหลุดความจริง เกิดคิดว่า ลมหายใจช่างอ่อนนุ่มเหมือนโน้นเหมือนนี้ก็คือหลุดเหมือนกัน เอาให้รู้เฉพาะจริง ๆ ก่อน อย่างอื่นช่างมันเอาเก็บไว้ก่อน

- เป็นการทวนกระแส เดิมเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อย ไม่มีสติ ตอนนี้เอาสติมาจับอยู่กับลมหายใจที่กระทบปลายจมูก นี่คือการเริ่มฝึกไม่ตามกระแสโลก กระแสโลกคือกระแสของความคิดเรานี่เอง คิดไปโน่นไปนี่ เลิกคิด หยุด กลับมาอยู่ที่รู้ เอาให้ชำนาญ ให้จิตใจแข็งแกร่งก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง สร้างสติสร้างกำลังจิตขึ้นมาให้แข็งแกร่ง ไม่ไหลไปดั่งเคยให้ได้

- เป็นประตูสู่การรู้แจ้งในอริยสัจจ์ ความจริงของทุกข์เกิดจากการไม่รู้แจ้งในความจริง เพราะเราไม่เคยหยุดอยู่ ดูหรือศึกษาความจริงเลย เรามีแต่วิ่งตามกระแสความคิดกระแสโลกไป เราไม่เคยมีสตินิ่งรับรู้การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของมันตามความเป็นจริงเลย


ดังนั้นการมีสติอยู่ปัจจุบันให้ได้จึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ในทุกข์ตามความเป็นจริง ตั้งแต่ปลายเหตุทวนไปจนถึงต้นเหตุ การทวนกระแส ไม่ได้หมายความว่า ให้คิดย้อนไปหาต้น (ส่วนมากจะคิดกันแบบนั้นนะ) ที่จริงคือ เราต้องฝึกสติของเราให้เข้มแข็ง ใ้ห้เร็วให้ไวพอจนกระทั่งจากเดิมโกรธไปแล้วถึงรู้ตัว จนกระทั่งเห็นว่าก่อนจะโกรธมันเป็นอย่างไร เห็นตั้งแต่ความคิดเข้ามาปรุงแต่งจิตให้โกรธได้อย่างไร เอากันอย่างนั้น สติไวขนาดนั้น เห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น ไม่ใช่คิดย้อนไป แต่เห็นทันตั้งแต่ต้นกระบวนการไปเลยทีเดียว อย่างนั้นจึงจะใช้ได้ ถ้าไม่เห็นอย่างนี้ มันก็ผิดหมด เพราะไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง แต่กลายเป็นการนึกทบทวนเอา มันเลยไม่เกิดปัญญาพาพ้นทุกข์จริง ๆ ก็คิดว่าปฏิบัติมาตั้งนานทำไมยังเท่าเดิม ก็เพราะไม่เคยเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้เลย ต้องฝึกให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ให้ได้

ทีนี้กว่าจะเห็นตามความเป็นจริงได้ กิเลส ความอยาก ความเคยชินอีกเท่าไหร่ที่จะมาบดบังหรือชักลากเราออกจากการปฏิบัติ นั่นแหละเราต้องฝืนเอาชนะใจตนเองให้ได้ ใหม่ ๆ ย่อมอึดอัดกันทุกคน แต่ถ้าอดทนต่อไปเมื่อกำลังจิตมีมากขึ้น การไหลตามกระแสเดิม ๆ จะยากขึ้น เราก็มีโอกาสได้รู้เห็นตามความเป็นจริงได้มากขึ้น ๆ นั่นเอง

ถ้าทำได้ตามนี้แล้ว เข้าใจตามนี้จริง ๆ แล้วก็ขออนุโมทนาด้วย ถ้ายังก็ลองลงมือทำดูครับ

สาธุ..

สำหรับเรื่อง สักกายทิฏฐินั้นเห็นว่า คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนคนไม่เคยกินเกลือ คนที่เคยกินแล้วจะบอกว่าเกลือเค็มอย่างไร คนไม่เคยก็คงจะไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ต้องลองไปกินเองนั่นแหละถึงจะรู้ ว่าเค็มอย่างไร ให้มันรู้เองจากใจนั่นแหละ ดีที่สุด สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คำนี้ยังใช้ได้ดีเสมอ...

 

เล่าให้ฟัง เมื่อวานได้เอาของไปถวายพระวัดป่าภาวนาวังเพิ่ม ไม่เจอใครเลยเอาไปถวายที่กุฎีพระอาคันตุกะ ท่านได้เทศน์ให้ฟังพอควร ในเรื่องการปฎิบัติ ท่านถามว่าทำหรือเปล่า ทำแนวไหน ผมก็ตอบไปพอประมาณ ท่านเทศน์ประมาณนี้

การปฎิบัติมีรู้จักถามเป็นเรื่องดี แต่ถ้าถามมากไปก็วุ่นวายพะว้าพะวง ให้ลงมือทำ และทำให้สม่ำเสมอ ทำให้มาก ต่อให้ทำผิด ถ้าผิดจนหมด ผิดสัก 999 ครั้ง มันก็ต้องเจอที่ถูกเหลืออยู่ ถ้าทำถูกให้ได้สักครั้งจนพบกับความอัศจรรย์ของจิตได้ มันก็ไม่เอาอะไรแล้ว จะเอาแต่ความอัศจรรย์อันนั้น

จากการที่ท่านเล่าท่านก็กล่าวว่าท่านกล่าวเรื่องการลงมือทำนี้ ศึกษาจากหลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง ท่านยังต่อว่า วัดป่าบ้านตาดท่านก็ไปสมัยยังไม่บวช วันธรรมดาก็ทำงาน เย็นวันศุกร์ท่านก็นั่งรถไฟไป เย็นวันอาทิตย์ก็กลับ ไปอยู่ประมาณสิบปี ท่านบอกจะหาครูอาจารย์ก็ต้องไป

 

...ความจริงจะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่แค่ฝึกสมาธิ ได้อภิญญา เพราะการได้อภิญญาก็พาลงนรกได้เหมือนกัน" อนุโมทนา100ครั้งให้ท่านToffzzค่ะ กล่าวได้ถูกใจ เคยเจอ เคยเห็นพวกประมาณนี้เยอะมาก หลงคิดว่าการนั่งสมาธิแล้วได้อภิญญาเป็นผู้วิเศษเหนือคนอื่นเสียแล้ว ในความเป็นจริง อัตตาตัวตนยิ่งหนาแน่น ยังไม่รู้ตัวกันเลย บางคนเบื้องหน้าเป็นนักปฎิธรรม เบื้องหลังโสโครก ฟอนเฟะ น่าขยะแขยงยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ปฎิบัติซ่ะอีก นี่คือสิ่งที่น่ากลัว...

 

สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น :

ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และหาทางปฏิบัติ
จนจิตเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับสิ่งที่เข้าใจ.........บรรลุแล้ว.

 

สุดท้าย..ที่ขาดไม่ได้ก็คือ อิทธิบาท 4 ครับ..ขอให้เจริญในธรรม สาธุ...

 

นึกถึงตัวเองตอนที่อยากปฏิบัติธรรม
อยากมาก.....
ก็ไปเที่ยวหาวิธีมาปฏิบัติมากมาย นั่งสมาธิ พุทโธ ยุบหนอ พองหนอ
เดินจงกรม ดูกาย ดูจิต ดูเวทนา ดูธรรม ทำไปทำมาไม่เห็นได้เรื่องอะไรเลย
ก็เลยหยุด....
สรุปวิธีของผมก็คือศึกษาธรรมให้เข้าใจ
พอเข้าใจแล้ว เราจะรู้เองว่าจะต้องทำอะไร
ทำด้วยความเข้าใจ มันจะเป็นธรรมชาติเบาสบาย
ทำด้วยความอยากไม่ได้เรื่องหรอก
เพราะจะทำไม่ทำมันก็มีของมันอยู่แล้ว

ขอให้โชคดีครับ

 

ง่ายๆเลยคือ นั่งสมาธิจนจิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่านใดๆทั้งสิ้น แล้วพิจารณาว่า เราเกิดมา แล้วก็เรียนหนังสือ แล้วทำงาน แล้วก็ตาย ควรทำดี บริจาคเงิน ทุกๆคนก็เป็นแบบนี้

ปล.รับรองได้ผล ผมทำมาแล้ว อนุโมทนามิ

 

ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้โพสกระทู้ และผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ

 

ผมก็ไม่รู้นะครับ..แค่สงสัย คนสมัยก่อน เขาแค่ฟังธรรมแป๊บเดียว ..เขาก็บรรลุธรรม

 

...ความจริงจะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่แค่ฝึกสมาธิ ได้อภิญญา เพราะการได้อภิญญาก็พาลงนรกได้เหมือนกัน" อนุโมทนา100ครั้งให้ท่านToffzzค่ะ กล่าวได้ถูกใจ เคยเจอ เคยเห็นพวกประมาณนี้เยอะมาก หลงคิดว่าการนั่งสมาธิแล้วได้อภิญญาเป็นผู้วิเศษเหนือคนอื่นเสียแล้ว ในความเป็นจริง อัตตาตัวตนยิ่งหนาแน่น ยังไม่รู้ตัวกันเลย บางคนเบื้องหน้าเป็นนักปฎิธรรม เบื้องหลังโสโครก ฟอนเฟะ น่าขยะแขยงยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ปฎิบัติซ่ะอีก นี่คือสิ่งที่น่ากลัว...
คุณโชติกะ ครับ...ตรงนี้ผมเห็นด้วยอย่างแรงครับ..หนับหนุนเต็มที่