อะไรคือตรงกลาง...แล้วเริ่มต้นคืออะไร...สูงสุดคืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มะหน่อ, 15 กันยายน 2008.

  1. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    การพิจารณาความรู้ที่ท่านเขียนไว้อยู่.....ณานสมาบัติแปดนะครับท่านลองทำตามผมคือ

    เขียนหนึ่งสองสามสี่ห้าจนแปดห่างกันเท่ากันในหนึ่งบรรทัด

    แล้วขีดเส้นขวางลงมายาวๆตรงกลางระหว่างสี่กับห้านี่คืออุเบกขาสมาบัตินะครับ

    แล้วระหว่างหนึ่งกับสี่นี่รูปฌานหรือเปล่าครับ
    ห้าถึงแปดคืออรูปฌาน...เส้นตรงกลางคืออุเบกขา

    ตรงนี้แหละครับคือเส้นที่ผมจะบอกว่ามันอยู่ตรงที่เราจะเป็นจะตายหรือจุดแยกระหว่างกายกับจิตพอดี...คือลมหายใจดับไปใช่ไหมครับ...แยกเลยนะครับกายกับจิต...จิตคือวิญานของกายหรือเราตายไปแล้วคือเป็นวิญานใช่ไหมครับ...ต้องเลยจุดเส้นตายที่เราขีดแยกมาแล้ว

    ทำไมดูลมหายใจไปเริ่มมาหนึ่งสองสาม...แล้วหลวงพ่อเอามโนมาสอนให้พวกเราทำให้ได้...จนได้มโน...ดูลมหายใจนี่นับหนึ่งเป็นต้นไป

    ดูจิตเริ่มตรงไหนเริ่มตรงเส้นนี้เหมือนกัน....แต่ต้องมาดูกายหรือความรู้สึกที่เกี่ยวกับกายทั้งนั้นในตอนเริ่มแรกแต่ไปเอาจิตมาดูเรื่องของจิตนี่เริ่มที่อรูปฌานแล้วนะครับ....หากดูแล้วยิ้มแล้วไปนั่งลมหายใจหายได้มโนแล้วครับ....ดูจิตนี่กลับมาดูหนึ่งคือมาดูกายเช่นกัน...แต่จุดเริ่มต้นที่ไปยืนดูอยู่ไม่เหมือนกัน..คือเส้นกลางพอดีเลย

    แล้วธรรมกายละครับ....ลุกแก้วจะใสได้ก็ต้องเส้นนี้อีกเช่นกัน...ดังนั้นแนวทางการปฏิบัติของทางธรรมกายก็เอามโนมาฝึกแต่กลับมาดูกายเหมือนกัน...ดูลูกแก้วอยู่ที่สี่แล้วกลับมาดูหนึ่ง

    บุญญาบารมีคนเราไม่เท่ากันครับแต่มีจุดหมายเดียวกันคือต้องดูจนหมดณานสี่หรือให้ได้ที่สี่ก่อนทุกสำนัก

    บางคนมีบุญอยู่แล้ว...ได้สี่มาแล้ว...วิ่งไวมากครับ..กับดูจิตและธรรมกายแต่ดูลมหายใจนี่ดูง่ายเข้าใจง่ายหน่อยมีองค์ประกอบชัดเริ่มจากนับหนึ่งขึ้นมาเลย

    แต่ทั้งสองสามอย่างนี่หากว่าจิตเขาเก่งนะครับ.....เขาเรียนไปก่อนกายแต่กายยังไม่ประสีประสาหรือเข้าใจ.....เพระหากท่านจิตใจไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้วลุกแก้วไม่มีทางใส....ทางเดียวกันหากกายยังสกปรกอยู่ลูกแก้วไม่มีทางใส...ทางกายกับทางใจจะเท่ากันตลอด.....ดังนั้นไม่ว่าเริ่มฌานไหนต้องไปเป็นคนดีมีศิลธรรมมาด้วย....คือขัดเกลาทั้งกายและจิต

    คนที่ได้ณานสี่นี่สังเกตูอีกอย่างหนึ่งคือเบื่อโลก...(คือเส้นตรงกลางที่ผมบอกนี่แหละ)........เบื่อๆอยากๆ....ตรงนี้หากท่านไปเกิดอุปาทาน....ท่านก็บ้าแล้วครับคือไปสมมุติเอาเอง....สมมุติว่าเบื่อโลกเพระมันไม่สนุกตรงนี้ตายครึ่งอยู่ครึ่งนึง

    ผมจะบอกอะไร.....เสี่ยงลูกติลูกตบมาทุกอย่าง....พระอาจารย์ทุกสายท่านให้เรารู้ผลเห็นผลก่อนแล้วกลับไปปลูกมะม่วง.....บางท่านไม่ปลูกสมมุติว่ามีมะม่วง...หรือไปเอามะม่วงของอาจารย์มา....และเส้นนี้อธิบายได้ทุกอย่างเลยครับ....หากผมอยู่เมืองไทยผมจะไปลุยกับพวกท่านแล้ว....เพื่อให้มีความเข้าใจดียิ่งขึ้นว่าธรรมที่เราหาเราทำนี่คืออะไร...บางท่านยังไม่รู้จักว่าธรรมะคืออะไร...เสียเวลามากๆปีเลยครับ........ผมโพสไว้ตรงไหนกิเลสมีไว้ให้รู้จักมีไว้ให้ดูไม่ต้องไปฆ่าหรือปราบ.....เพระเป็นการรักษาสมดุล....แต่เราต้องรู้จักกิเลสตัวนี้ก่อน.....รู้ตั้งแต่มันเริ่มงอก...จนมาได้ณานสี่หมายถึงตัวกิเลส...คือเส้นตรงกลางนี่เช่นกัน...จนมันได้สมาบัติแปด....คือแบ่งกิเลสของกายและของวิญญานอีก...รู้อย่างไร...รู้แค่ไหน...รู้จนมันเกิดและมันตาย....จนมันเกิดขึ้นมาแล้วจบไป....รู้แล้วทิ้งมันเสีย....แล้วยิ้มเฉยๆคือระดับปรมาจารย์นู่น...แต่เราฝึกรู้..ระลึกรู้...รู้เท่าไรก็รู้แล้วยิ้มเฉยๆเพราะกิเลสตัวที่เรารู้เรารู้เท่าทันมัน.....แล้วเราอยากรู้ไปตลอดจนแจ้งไหมครับหากเรารู้ได้

    ที่ว่าตัวอยากแรกๆนี่คือกายอยาก......แต่ยากๆคือวิญานอยาก.....เอาง่ายๆนี่โมโหนี่กายอยากกินไหม....จึงไปอยู่ขั้นสุดท้ายที่ระดับเจ็ดและแปดของฌาน....แต่ผมไม่ทราบนะครับหากท่านไม่โมโหนี่ผมว่าท่านใกล้ปรมัติแล้ว....ในวิธีที่ขีดเส้นมานะครับ

    ตรงนี้ได้อะไร...เพระบางท่านๆปฏิบัติได้ดีมีความสุขกับชีวิตประจำวันเท่านั้นก็ทำมาในเวลาปัจจูบันด้วยอุเบกขา.....เพราะการกระทำคือเวลาปัจุบันทำได้เท่าไหนเอาเท่านั้น.........ผมว่าแต่ต้นแล้วครับอุเบกขาๆๆๆๆๆๆๆๆ.....แต่อย่างไรให้ได้ณานสี่.....บางท่านท่านฝึกดีมาก....เก่งมากครับ....สุภาพมากๆ....ผมเข้าไปหาเรื่องท่านและผมก็กราบท่านละครับ....ขอกราบขออภัยแก่ท่านยิ่งอโหสิกรรมแก่เกล้ากระผมด้วย.......คือเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์หรือตายแล้วไปไหน....ให้ได้ความสุขเท่าในชีวิตประจำวัน....ค่อยเป็นค่อยไป.....ตรงนี้แหละครับคืออุเบกขาในเวลาปัจจุบัน

    แต่ที่ผมดันอยู่อย่างมีโทสะจริตคืออยากรู้หรืออยากให้เหล่าบรรดามิตรรักสหายธรรมนี้รู้....หากได้กูญแจอุเบกขาดอกนี้....จะเข้าใจว่าชิวิตคืออะไร...ธรรมะที่เราปฏิบัตินี่คืออะไร....ฌานหนึ่งถึงแปด...กงล้อถึงโลก....คาบเกี่ยวกันอย่างไร....จะเกิดความง่ายขึ้นอย่างมากในการปฏิบัติ....อย่างมหาศาลต่อพระศาสนาและต่อความสงบร่มเย็นของมนุษย์.....และขจัดความสงสัยได้แจ้งกว่า....ที่เป็นอยู่...และสุดท้ายจะได้มีดวงตาเห็นธรรมที่ท่านกล่าวไว้...ผมอยากมีกระดานครับ...แต่ที่นี่ไม่อำนวย....ให้วาดลงกระดาษแสกนไป...ผมไม่มีแสกนครับ......และอยากบอกท่านว่าหากเข้าใจตรงนี้แก้ได้ทุกเรื่องในธรรมซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์เมื่อท่านเห็นผลมะม่วงแล้วก็จะได้รดน้ำใส่ปุ๋ยที่ถูกวิธี....การปฏิบัติจะดีขึ้นเร็วขึ้น

    ดังกับคำว่าอรหันต์....กับนิพาน
    ผมก็มาติดเช่นกัน....บางท่านเขียนว่าอย่างนั้นบางท่านเขียนว่าคงอย่างนั้น...บางท่านว่า...สำเร็จณานแปดตาย...บางท่านว่าอรหันต์ตายวันเดียว...บางท่านเถียงกันเรื่องมโน....บางท่านอธิบายแล้วไม่แจ้ง

    รู้ดี....รู้แจ้งต้องไม่สงสัยต่อไปเป็นคำตอบที่ไม่มีคำถามอีก....รู้ตั้งแต่เกิดขึ้นมาแล้วจบไป....แล้วว่างเปล่า

    เกิดมีใครปฏิบัติแล้วได้ปรมัตขึ้นมาไม่รู้เรื่องละครับ...ถามใคร
    ไปหาอาจารย์ที่ไหนอธิบายครับ

    ไม่ใช่ผมมาอวดรู้...หรือมาแสดงความรู้อวด....หรืออย่างไรก็แล้วแต่...ผมมีความตั้งใจในการจรรโลงศาสนา...และอยากช่วยเหลือผู้อื่น...อย่างเช่นที่ผมทำนี่....หากท่านก้าวไปได้แต่ไม่มีที่เหยียบข้ามคลองผมจะเดินลงไปลุยกลางคลองให้ท่านเหยียบหัวผมไปก่อนเลยครับ.....หากรู้ไม่จริงไม่แจ้ง...ท่านหลอกผม...ผมหลอกตัวเอง...ไปหลงทาง....เกิดมาสิบแปดชาติก็คงไม่พบทางออกใช่ไหมครับ....หลายท่านครับคงอยู่ปรมัต...แต่ยังไม่ตาย...จิตปรมัตไปแล้วแต่รอกายอยู่....ปรมัติคือว่างเปล่าหรือเปล่าครับ...หากจิตท่านว่างเปล่าเสียแล้ว...กายไม่ไปก่อนจิตแน่..........หากกายว่างเปล่า....สุดท้ายคือไม่อยาก...อย่าว่าแต่โทสะเลยครับ.....ข้าวปลาก็ไม่อยากกิน...หากยังอยากกินข้าวอยู๋แล้วจะไม่เรียกปรมัตใช่หรือเปล่าครับ....ไม่แจ้ง...กราบท่านละครับ.....ผมไม่ได้เอาปรมัตมาตีกัน...แต่ผมเอาเหตุมา....เพื่อล่อท่านออกมาเช่นกันมารุมผมหน่อย....เพื่อ...ผู้ไม่เข้าใจทั้งหลายอีกมากครับแล้วเมือ่ไรจะเข้าใจในเมื่อปรมัตกลัวกิเลสไปหมดแล้ว...มัตไม่มัต...เรามาช่วยกันจรรโรงศาสนากันไหมครับผมยินดีช่วยทุกเรื่องครับเท่าที่ความสามารถตัวเองทำได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  2. pop024

    pop024 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +529
    สำหรับผมคิดว่า

    จุดเริ่มต้นก่อนการปฏิบัติ คือ อวิชชา ความไม่รู้ ความโง่ จากนั้น

    ก็หมั่นเจริญสติ ในปัจจุบันขณะ จนเกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา

    จุดสูงสุดคือการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 ตราบจนเข้าพระนิพพาน

    ส่วนจุดตรงกลางก็คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อจะทำให้รู้แจ้งต่อไป

    ไม่ใช่แนวทางที่คดเคี้ยววกไปวนมา หรือ แนวทางปฏิบัติที่สุดโต่งจนเกินไป

    อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2008
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เริ่มแรกก็ผิดแล้วนะครับ....ผมขึ้นต้นว่า...ฌานสมาบัตแปดครับ....ความจริงต้องเขียนว่าการพิจารณาฌานสมาบัติแปดที่ท่านเขียนไว้......ประมาทครับ.....ผมมาอ่านกระทู้ตัวเองพิจารณาตัวเอง...แก้ไขแล้วนะครับ.....คือหากกระผมพลาดตรงไหนก็ขอกราบอภัยแก่ผู้เข้ามาอ่านทุกท่านด้วยนะครับ....เพระหากมองอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นการอวดรู้....ขอให้ถือว่าเป็นการสนทนาธรรมนะครับ....เพื่อความไม่รู้เรื่องต่างๆจะได้หมดไปเป็นเรื่องๆ..หรือหายสงสัยครับ.....ผมมีข้อสงสัยมากมายครับ...ขอให้ท่านช่วยชี้แนะแนวทางด้วยนะครับ
     
  4. v.mut

    v.mut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +274
    อึม ก็เพิ่งจะเห็น มีคนพูด เรื่องนี่ ก็คุณ มะหน่อ นี่ละ นะ แต่ บอกตามตรง ใครจะเข้าใจที่ พูดได้ละครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณไปเอามาจากไหน จะบอกว่า ไม่ใช่ มันก็ไม่เชิง จะบอกว่าใช่ มันก็ไม่เต็มคำ อันที่จริง แค่ณาน สี่ ก็ เป็นอุเบกขา เต็มเด็นชัดแล้ว แต่ถ้าจะให้ ครบขบวน ไม่ว่า จะ ณานไหน ตัวยืนฐาน ก็ต้องมี อุเบกขาเป็นพื้นทั้งสิ้นครับ เพียง่แต่การปรากฏจะเด็นให้รับรู้ในตอนไหนเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณานัยยะเจตนา ที่คุณ มะหน่อพยายามจะสื่อ ก็ โอเค แต่ ว่ายากไปครับ ถ้าจะถามว่าทำไมหรือ

    ผู้ที่จะชี้ ว่า ตรงไหน ตรงกลาง มัน ก็ต้องเห็นทั้งสองฝากฝั่ง ถึงจะบอกว่า ตรงนี่แหละ กลาง ไม่เช่นนั้น คนโน้น ก็บอกว่า ตรงนี้แหละกลาง คนนั้น ก็บอกว่า ตรงนี่สิกลาง เอาอะไรมาวัดว่าตรงไหนกลาง ของจริง มันก็ต้อง รู้ขอบทั้งสองด้านว่ามีสวนสุดแต่ละด้านตรงไหน มันเกินวิสัยโดยทั่วไป

    สิ่งที่กล่าว มันมิใช่ ไม่มี เพียงแต่ คุณอธิบายออกมาเป็นภาษาเฉพาะตนเท่านั้นเอง ไอ้ตรงกลางที่คุณว่า นะ ลองไปค้นพระไตรปฏิดกดูสิ ว่า ตอนที่พระพุทธองค์ ทรงละสังขารนั้น นะ ท่าน ละ ในณานสมาบัติ ตรงไหน ผมถึงถามว่า จะมีใครสักกี่คนเข้าใจ และ จะ ทำได้ ถ้าลองไปหาอ่านดู ท่านไล่ลำดับขึ้นลง พอเสร็จ ก็ละตรงที่คุณว่านั้น แต่ เป็นการเปิดออกในที่เดียว ถ้าจะอุปมาอุปมัย ก็ประมาณ เปิดหนังสือหน้าเดียว ณานสมายบัติทั้งแปด ปรากฏในขณะเดียวกัน รู้โดยรอบ ครอบคลุม ทั้งหมด

    พวกเราผู้ปฏิบัติตาม เอาแค่ ทำณานให้ ได้ก่อน จะดีกว่ากระมัง แต่ถ้าท่านใด อยู่ในฐานะพิเศษ ไม่ว่ากัน
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ต้องขอขอบพระคุณท่านยิ่งแล้วที่ต้องรบกวนอันมีค่าของท่าน...คือเกล้ากระผมอยากจะบอกว่ามีวิธีคิดหรือแนวทางคิดเอามาเสนอเพื่อเป็นข้อพิจารณาเท่านั้นเพราะวิธีคิดนี้ใช้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนความที่ท่านว่าเช่นกันและเป็นหลักการเดียวกันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวน....หากพินิจพิจารณาโดยถ่องแท้แล้วทุกสารสาระเลี้ยวรดเกี่ยวพันกันอยู่ในเรื่องเดียวกันนี้เท่านั้นเพียงแต่ว่าท่านมาทางไหนเข้าทางไหนจุดเริ่มต้นไม่เหมือนกัน...และก็แสดงกระทู้อย่างหยาบๆอย่างท่านกล่าวมาเรื่อยๆ....จนมาอย่างกลางๆ....และอย่างเต็มที่และอย่างบ้าๆอีกประเด็นหนึ่ง....กระผมเข้าใจและมีวิธีคิดง่ายๆอยากนำเสนอ....ตั้งแต่การพิจารณาครั้งแรกคือปฐมฌานอย่างที่บอก..จนถึงฌานสี่..และเข้าใจว่าทำไมมีโลกทำไมมีพระธรรมมาค้ำจุนโลก....

    เรื่องของเพื่อนสมาชิก...และอยากให้เพื่อนสมาชิก...ฝึกคิดมีแนวคิด...หรือหาวิธีคิดอีกแง่มุมหนึ่งหรือกรณีย์หนึ่งเท่านั้นเองขอรับ..ด้วยความรู้อันน้อยนิดนี้ก็อยากให้เพื่อนสมาชิกสหายธรรมท่านนำไปลองคิดพิจารณาดูเท่านั้น....หากถูกต้องก็ถูกจริตก็นำไปปฏิบัติไปคิด...หากทำแล้วไม่ด้ผลก็ทิ้งไป...การนำเสนอความรู้นั้นหรือการหาความรู้ไม่ว่าจะได้มาอย่างไรเสนออย่างไรก็ต้องมีวิธีคิดและกระบวนการอีกอย่างที่บอกอีกเช่นกัน...แต่บางครั้งก็ได้รับความกดดันจากหลายเรื่องซึ่งจะต้องสลัดเอาพันธนาการเหล่านั้นออก...กระจกมีสองด้าน...ด้านที่ใสที่สุดที่มองเห็นตัวเองนั้นอันตรายที่สุดหากคิดไปในทางอกุศลและด้านที่ใสที่สุดเช่นกันจะป็นคุณที่สุดหากมองเห็นตัวเองในด้านที่เป็นกุศล...กระผมด้วยนิสัยใจคอไม่เลี้ยวรด...จึงเข้ามาแบบใสสะอาดแม้ความรู้เพียงน้อยนิดก็ถูกอัตตาอัตนที่มีอยู่ของตัวตนขัดขวางโดยไม่พินิจพิจารณา...ซึ่งเป็นการไม่เป็นประโยชน์ที่จะมาเกี่ยวพันด้วยแต่ด้วยพระคุณที่ต้องทดแทนคุณเช่นกันอันไหนเล็กน้อยสามารถทำได้แม้เก็บกวาดวัดหรือเป็นภารโรงกระผมก็ทำได้...เพราะไม่มีทรัพย์จะมาบริจาค...

    ผมก็มาอาศัยท่านเรียนท่านอ่านและก็นำเสนอสิ่งเล็กๆน้อยๆเท่านั้นและเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์มากที่สุดในความรู้ที่ตนมีอยู่เพื่อเป็นแนวทางในการนำเสนอให้ผู้ไม่รู้อยากรู้...ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ได้ผลที่จะมีทั้งเล่ห์เพทุบายไปหลอกล่อเอาความรู้มาและเอาความรู้ของตัวเองมาแสดงเท่านั้น

    แต่ก็ได้เล็งเห็นแนวทางของความไม่ถูกต้องในการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องอีกเช่นกัน...ไม่ว่าทางสายตำรา...ทางสายกำลังและทางสายปัญญาเอามาตีกันยุ่งไปหมด...แล้วออกลูกแพร่หลานมาเป็นเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย......เป็นแนวทางของการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องทำให้พระศาสนายุ่งยากมากขึ้นไปอีกในภายภาคหน้าจึงอยากเข้ามานำเสนอแนวคิด...ก็มีเพื่อนเหล่าสมาชิกติดตามสนใจอยู่บ้าง...แต่มีปัญหาอีก...ก็ต้องแก้โดยวิธีนี้เท่านั้น

    ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านยิ่งแล้วที่รบกวนเวลาของท่านและท่านมาชี้แนวทางให้กระจ่างหากมีบุญมีวาสนาแล้วกระผมจะเดินทางไปในทางที่ท่านช่วยชี้แนะให้อย่างไม่สงสัยแต่การอ่านพระไตรปิฎกเป็นของสูงค่ายิ่ง....และยุ่งยากยิ่งเช่นกันดังท่านว่าไว้เป็นของส่วนตนที่ท่านทำแล้วท่านอ่านเอาความสามารถเข้าไปค้นคว้าศึกษามาได้ก็เป็นของส่วนตนอีก...ทำไมไม่มีผู้หันกลับมากล่าวหรือมาชี้แนวทางเหล่านั้นเลยไม่ว่าจะเป็นฆาราวาสหรือสงฆ์เองก็ตาม.....กระผมก็ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดังที่ท่านบอกเช่นกันว่ารู้ก็เหมือนไม่รู้...ทั้งในบรรดาเหล่ามิตรรักสหายธรรมหลายท่านมาแสดงความรู้สนทนาธรรมบางท่านเหมือนรู้แต่ไม่บอกเพราะเท่าที่พิจรณาแล้วเหมือนดังท่านเหล่านั้นรู้แจ้งแทงตลอด

    ก็คงต้องพึ่งพาบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธองค์แล้วที่บรรดาเหล่าพวกเราพุทธบริษัทที่ยังเวียนว่ายอยู่ใสสาระสารเหล่านี้...และขอพึ่งพาบารมีท่านช่วยชี้แจงในบางข้อบางประเด็นที่มีอยู่มากมายที่เกล้ากระผมยังไม่เข้าใจด้วยความกรุณษปราณีจากท่านด้วย

    ความยุ่งยากที่ได้รับไม่เหมือนกันเกล้ากระผมไม่ได้อยู่ในเมืองไทย...แต่เมื่อเวลามาถึงแล้วทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกระแสของห้วงแห่งผลกรรมนั้นและเกล้ากระผมก็จะขวนขวายศึกษายิ่งขึ้นต่อไป...กราบขอบพระคุณท่านยิ่งแล้ว
     
  6. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ท่านมะหน่อกล่าวได้ถูกต้องแล้ว
    รูปฌาน มี 4 อรูปฌานมี4 ตรงกลางระหว่างทั้ง 2ก็คือ อุเบกขา ซึ่งมีทั้งหยาบ กลาง ละเอียด หากตอนนี้ท่านนักปฎิบัติธรรมท่านใดยังไม่เข้าใจ ก็คิดเสียว่าพอเป็นแนวทาง ที่จะทำให้ท่านได้เข้าถึงพุทธธะ อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพระศาสนา ที่ท่านกำลังฝึกภาคเพียรกันอยู่ อุเบกขา มีอาการที่แสดงออกจริง ไม่ใช่เพียงตัวหนังสือ
    รูปฌาน พิจารณา รูปขันธ์
    อรูปฌาน พิจารณา นามขันธ์
    อุเบกขา ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งรูปและนาม มีอยู่เพียงปัจจุบัน
    เหมือนคนไม่ชอบจำ ไม่ชอบคิด อยู่แบบเฉยๆ แต่ยังมีสติ ตามระลึกรู้เสมอ สาธุกลับนักเจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  7. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    อาศัยอ่านจากท่านมะหน่อเปิดประเด็นครับ ขอบคุณครับ
    และทุกท่านๆที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมครับ
    ผมและท่านที่เริ่มใหม่ท่านอื่นๆ ต้องพึ่งความรู้ความเข้าใจที่ทุกๆท่านได้มอบไว้ให้ครับ

    พระพุทธศาสนาอาศัยผู้ซึ่งปฏิบัติถึงจริง มาช่วยเผยแพร่และบอกทางให้คนรุ่นใหม่ๆปฏิบัติ สืบต่อไปภายภาคหน้าครับ อนุโมทนาครับ


    [​IMG]
     
  8. v.mut

    v.mut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +274
    ปัญหาของผู้ ประพฤติธรรม ที่ พบเห็น หากแบ่ง ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ก็พอจะคะเนได้ว่า มี หนึ่ง ประพฤติธรรม โดยการอ่าน การฟัง อีกประเภท ก็คือ โดยการปฏิบัติลงมือกระทำ แต่ มักจะมิค่อยใส่ใจในการศึกษา จะด้วยเหตุผลใด ก็ตาม คนโดยส่วนมาก กลับมองว่า เป็นสองทางแยก และ บ่อย ๆ มักถกเถียงกัน ตามอนุพยัชนะบ้าง ตามประสบการณ์ที่ประสบพบเจอบ้าง

    พฤติกรรมทั้งสองส่วน แท้จริงต่าง ก็ขาดความเติมเต็มซึ่ง กัน ผู้ประพฤติที่ ค่อนไปในแนวศึกษามาก ฟังมาก อ่าน มาก ก็เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ ก็มิอาจพิสูตรธรรมได้ หนักๆ เข้า ตีความตามใจตนเอง หรือ ตามภูมิจิตแห่ง ตน แล้วคิดว่า นั้นคือ สิ่งถูก เพราะ ความครอบง่ำบดบัง ด้วยทิฐิของตน
    แต่ธรรมของพระพุทธองค์ นั้นครอบคลุม และ แสดงเค้าโครง มีนัยยะซ่อน จึงยากทีเดียว มันจึงเกิดการตีความกัน ส่วนผู้ประพฤติแบบปฏิบัติ ก็มีปัญหากันอีกแบบ ดำเนินไปด้วยจิตใต้สำนึก ลึก ๆ ด้วยมิอาจมั่นใจว่า ที่ทำนั้น มันถูก ใช้หรือเปล่า เว้น แต่ ผู้มี ทิฐิสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งมาก ก็มักจะยืนยันหนักแน่น ว่า สิ่งที่ ตนรู้ตนเห็น ได้ทำนั้น ถูกต้อง แต่กลับไม่เฉลีว ฉุกคิดว่า ญาณทัสนะแห่งตน นั้น ครอบคลุม เห็นได้หมดจดแล้ว หรือ ? สิ่งที่ว่าแน่นอน มักกลับพลิกผัน กลับกลายเป็น ความคลุมเคลือ ขึ้นมา เมื่อพ้นไปจากสิ่งหนึ่ง ก็ย่อมเจอในสิ่งหนึ่ง ที่ลาดลึกยิ่งกว่า เมื่อลาดลึกยิ่งกว่า ก็ย่อมจะพบความลาดลึกยิ่งขึ้นอีก ตราบใดที่ ยังมิสุดหนทางนั้น หรือมิครอบคลุมทั่ว เมื่อเป็นเช่นนั้น การจะกล่าว เสมือนว่าเป็นที่สุด มันก็จะมิพ้น ภัยอันตรายไปได้เลย
    เปรียบดังเช่นประโยค "มัชิมาปฏิปทา" ที่ผู้คนตีความ ว่า ทางสายกลาง ใคร ๆที่เคยได้ยินประโยคนี้ ต่าง ก็รู้กัน ทั้งนั้น และแปรว่า หนทางดำเนินสายกลาง แต่โดยสัจจแล้ว มันมิ่ใช่เสียเลยที่เดียว นัยยะแห่งมัชิมาปฏิปทา มันก็ผิดแผกไป เพราะเหตุใด ก็เพราะเหตุแห่งการตีความตาม อนุพชัณชนะ และ มิพยายามพิสุตรธรรม แท้จริง มันยากอยู่ ก็เข้าใจ แต่ผู้คนก็มักเลือกหนทางอันสะดวกง่าย
    แต่ความยากแห่งการประพฤติธรรม ถ้าจะพอเอาตัวรอดได้ ก็ต้องพึงกระทำ ทั้งสองส่วน คือ ประพฤติด้วยการกระทำ และ ตรวจสอบทานพระธรรม เพื่อความกระจ่าง และแก้ไขทิฐิ และยืนยันตรวจสอบสำเหนียก เนื่อง ๆ ด้วยความมิประมาท ว่า เราอาจจะผิด หาก สร้างพฤติกรรม เป็นอุปนิสยปัจจัย เป็น เหตุ เป็นนิสัย ก็ย่อม เข้าถึงความ ปราณีต ตามลำดับ ธรรมอันปราณีตก็ย่อมจะเข้าใจตามลำดับ ธรรมะย่อมมีลำดับ จิตที่ปราณีตก็ย่อมสัมผัส รู้ได้ในส่วนธรรมอันปราณีตขึ้น

    เมื่อท่านเข้าใจ จะพบว่า ตัวเราเองนั้น แทบมิมีเวลาพอที่จะต้องค่อยแก้ไข ผู้ใด สิ่งใด ความเข้าใจของผู้ใด มีแต่การ อนุเคราะห์เพียงครั้งคราวตาม อัธยาศัย เพราะท่านย่อมเห็นแล้ว ว่า ยังมีอีกมากมาย ที่รอการเข้าใจ และ รอการประจักรแจ้งแห่งตน คิดว่าว่าง คิดว่าที่สุด แต่กลับในบัดดล ว่า ยังมีงานค้างอีกมากมาย ที่รอการกระทำจากตัวเราเอง

    การอนุเคราะห์ด้วยจิตเมตานับว่าประเสริฐ แต่ ย่อมเป็นไปตามวาสนา ฐานะบุคคล ธรรมอันเดียว ยาชนิดเดียวครอบจักรวาล หามิได้ อย่างแน่นอน ในโลกนี้ นับประสาไรที่จะหวังว่า สิ่งที่ เรากล่าวเพียงสิ่งเดียว แล้ว คนโดยมากจะเข้าใจ
     
  9. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....รู้....

    ...เข้าใจ....

    ...ยอมรับ....

    ...เลิกสนใจ....
     
  10. หลับจิต

    หลับจิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    เรื่องแบบนี้พูดยากนะ เพราะมันเหนือคำสมมติใดๆ
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การปฎิบัติจนถึงฌาณ 4 จะมีความเบื่อหน่ายต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่มองเห็นแต่ความเป็นทุกข์

    เพียงเพราะติดอยู่ในอารมณ์แห่งฌาณ จึงได้เกิดความเบื่อหน่ายในการมีชีวิต

    ส่วนอุเบกขานั้น เป็นเพียงเพราะเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วเบื่อหน่ายต่อทุกข์นั้นๆ

    ส่วนการแยกกาย แยกจิต ที่มีกล่าวไว้นั้น ลมหายใจก็ยังมีอยู่ และ การหายใจจะนาน และ ยาวขึ้น

    เมื่อแยกกาย แยกจิต ตามที่ได้เข้าใจแล้ว ก็เป็นการขับเคลื่อนของจิต เพราะจิตในขณะนั้น เอาไปตั้งไว้ตรงไหน ก็จะอยู่อย่างนั้น จึงต้องขับเคลื่อน ผลักดัน หรือ ใช้งานเพียงแค่จิตเท่านั้น

    ในขณะที่ทรงอารมณ์ในฌาณ 4 นั้น อารมณ์จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่เข้ามากระทบทางกาย แต่เป็นชั่วขณะเท่านั้น ไม่ใช่เป็นอยู่ตลอดเวลา

    แต่หากว่ามีการขับเคลื่อนของจิตแล้ว จะไม่มีความสนใจทางกาย เพราะจะอยู่กับความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนจิต

    และสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะขับเคลื่อนจิตนั้น จะเห็นเด่นชัด รับรู้ได้ชัดเจน มากกว่าการนึกคิดเอาเอง

    เพราะการนึกคิดจะมีความขุ่นมัว เห็นไม่เด่นชัด รับรู้ไม่ชัดเจน มีความคลุมเครือ

    และ หากขับเคลื่อนจิตแล้ว สิ่งที่เห็นเด่นชัดนั้น ขอยกเป็นตัวอย่างไว้ การเริ่มต้นก็ดี หรือ บั่นปลายก็ดี จะมองเห็น เข้าใจ ได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ถึงอย่างไร ผู้ที่ยังไม่เห็นก็จะเข้าใจได้ยากยิ่ง ยังสงสัยในสิ่งที่ ได้มีผู้ไปเห็นแล้วมาบอกกล่าว

    และความสงสัยนี้ ที่จะกลายเป็นตัวปัญหาในการโต้เถียง และความสงสัยนี้ ก็เกิดมาจากความไม่รู้เป็นที่ตั้ง

    โดยสรุป การนึกคิดของมนุษย์ เป็นการปรุงแต่งที่สร้างแต่ปัญหา แต่หากได้รับรู้ และ เข้าใจด้วยตนเองแล้ว จะกระจ่างแจ้งในสิ่งนั้น

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...