ด้วยความสงสัยในอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คนอีสาน, 18 มีนาคม 2007.

  1. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    ในเมื่อนิพพานแล้วจะเข้าสู่สภาวะที่ไร้ตัวตน(อนัตตา)
    แล้วทำไมยังมีหนังสือ หรือ มีบางกระทู้บอกว่า มีพระอรหัตแยกกายทิพย์มาหา
    ทำให้ผมไม่เข้าใจอย่างมากเลยครับ
    ผู้รู้ช่วยตอบที่ครับ
     
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,334
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,277
    นิพพาน เป็น สภาวะที่ตัวของจิตปราศจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ยึดติดในรูปธรรม และ นามธรรมต่างๆ ที่อยู่ในโลกครับ ส่วนการที่มีครูบาอาจารย์มาหาคนนั้นคนนี้ก็เป็นเรื่องวาสนาบารมีที่มีต่อกันครับ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ครับ เพราะจิตสามารถไปได้ทุกที่ตามที่ต้องการ ยิ่งจิตของพระอรหันต์น่ะสบายมากครับ ก็อย่าไปกังวลกับเรื่องนี้มากครับ มันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนครับ
     
  3. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณมากๆครับ งั้นก็แสดงว่าแค่จิต ส่วนกายทิพย์เป็นส่วนแยกที่ยังมีตัวตนใช่มั้ยครับ
     
  4. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,334
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,277
    เข้าใจถูกต้องแล้ว เขาเรียกว่า กายธรรม ครับ ท่านใช้กายนี้สำหรับช่วยเหลือลูกหลานของท่านตามที่ท่านปรารถนาครับ แต่กายสังขารน่ะเสื่อมสลายไปนานแล้วครับ ก็เลยปรากฏมาเป็นกายทิพย์กายธรรมมาหาคนนั้นคนนี้อย่างที่เราเห็นนะครับ
     
  5. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา
    อนัตตาแปลว่าไม่มีตัวตน
    ถ้าไปคิดว่าพระนิพพานเป็นอนัตตาเท่ากับคิดว่าพระนิพพานไม่มี
     
  6. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    ถามตรงนี้เลยนะครับไม่หนักserver

    แล้วเราจะทราบได้ยังไงครับว่าเราบรรลุธรรมขั้นใดแล้ว อย่างเช่น เราจะทราบได้ไงว่าเราบรรลุโสดาบันแล้ว และจะทราบได้อย่างไรว่าผู้นั้นบรรลุแล้ว จะมีความรู้สึกทางจิตหรือป่าวครับ
     
  7. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,254
    แน่นอนครับผู้บรรลุธรรม มีมหาสติบริบูรณ์ มีวิมุติญาณทัสสนะ
    ดูตัวเองออก บอกตัวเองถูก รับรองตัวเองได้
    ไม่ต้องให้ใครรับรองว่าถึงขั้นไหน ๆ
    รู้ว่าตัวเองว่าสำเร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่พึงกระทำไม่มีแล้ว
     
  8. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    นิพพานไม่ใช่อนัตตา เห็นด้วยครับ

    อนัตตา เป็นลักษณะทั่วไปของสิ่งต่างๆ ทางโลก เรียกว่าหมวด "ไตรลักษณ์"
    อนัตตา ไม่ได้แปลว่า "ไม่มี" แต่ไม่ใช่ว่ามี เป็น "อัตตา" แน่นอน เป็น
    ลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่ไม่อาจแยกเป็นตัวๆ ตนๆ ได้


    สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นแยกจากกัน เพราะมี "ความว่าง" มาคั่นไว้ แต่มันกั้นได้
    ไม่หมด จึงไม่ได้แยกเป็นตัวใครตัวมัน สิ่งต่างๆ ไหลเข้าไหลออกผสมผสาน
    มั่วกันไปหมด ไม่รู้ของใครเป็นของใครได้ทั้งสิ้น


    เมื่อพิจารณาได้ดังนี้ ให้พิจารณา "จิต" ที่มี "อุปทาน" เพื่อคลายลงเสีย...
     
  9. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    เมื่อสิ่งต่างๆ ที่แยกกันด้วย "ความว่าง" แต่แยกไม่สนิทนั้น
    ไหลเข้าไหลออกมากๆ เข้า ก็แปรสภาพไปทั้งหมดทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรที่ไม่แปรสภาพไปเลย


    เรียกว่า "อนิจจัง"


    ดังนี้ "อนิจจัง" ไม่ได้แปลว่า "ดับ" ไม่ได้แปลว่า "หมด" หรือไม่มี
    วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า "สสารและพลังงาน" ไม่สูญหายไปแน่นอน



    พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่เกิดอีก เพราะไม่มีเชื้อเกิดชาติภพใดๆ
    แต่ไม่ได้แปลว่า "สูญหาย" แต่ไม่เรียกว่า "มีตัวเป็นอัตตา" อยู่ใน
    อีกสภาวะหนึ่ง


    ใช้คำว่า "นิพพาน" โดยไม่ต้องแปลไปเป็นอย่างอื่นเลยจะดี...
     
  10. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    อนึ่ง ไตรลักษณ์ไม่ใช่ลักษณะของ จิต, เจตสิก, นิพพาน
    เพราะ จิต ไม่ได้มีแต่ทุกข์, พระอรหันต์ก็ไม่ได้มีแต่ทุกข์
    เจตสิก ก็ไม่ได้มีแต่ทุกข์


    แต่ไตรลักษณ์ เป็น ลักษณะของ "รูป" ต่างๆ ต่างหาก
    ไม่ใช่ลักษณะของทุกสรรพสิ่ง อันรวมไปถึง นาม, และ นิพพาน
    อัน "นาม" นั้น (จิต และ เจตสิก) หาได้รวมในไตรลักษณะไม่
     
  11. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    งั้นก็แสดงว่าเมื่อนิพพานแล้วจะอยู่ในอีกสภาวะหนึ่งใช่มั้ยครับ
    แล้วอยู่ในสภาวะที่คล้ายกับพรหมหรือเทวดามั้ยครับ
    แล้วถ้าคล้ายก็ต้องมีสวรรค์ที่อยู่ของพระอรหันต์ใช่มั้ยครับ
     
  12. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณทุกคำตอบครับ
     
  13. thos1964

    thos1964 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +441
    ขันธ์ ๕ = รูป + นาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    ในเมื่อขันธ์ ๕ อยู่ในกฏพระไตรลักษณ์ ทั้งรูปและนามย่อมอยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ทั้งหมด

    จิต = เกิด-ดับ, เกิด-ดับ (เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป)

    ส่วนเรื่องพระนิพพานนั้น ครูบาอาจารย์ให้คำจำกัดความแตกต่างกันไปครับ ลองอ่านตามลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ

    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=12108

    ส่วนเรื่องประสบการทางจิตที่บางท่านมีอาจารย์พระอริยะมาสอนในสมาธินั้น เป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง" คือ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มีทั้งจริง และไม่จริง มีทั้งที่ท่าน (พระอริยะ) มาหา มาสอนจริง ๆ และมีทั้งที่เป็นเรื่อง "จิต" สอน "จิต" เอง

    เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ เราในฐานะผู้ฟัง ก็เพียงแต่กรองสิ่งดี ๆ แล้วน้อมเข้าใส่ตัว (โอปะนะยิโก) ก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าว่าเค้าเห็นจริงหรือเปล่า ท่านมาจริงหรือเปล่า เพราะไม่ว่าท่านจะมาจริง หรือไม่จริง ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเราเลย ธรรมต่าง ๆ ที่ท่านมาสอนต่างหาก ที่เมื่อเราน้อมเข้าใส่ตัวแล้ว จะมีประโยชน์กับตัวเรา "จริง"
     
  14. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    การศึกษาเรื่องของพระนิพพาน เป็นสภาวะธรรมอันเป็นปรมัตถธรรม หนึ่งด้วยด้วยเหตุที่ว่า คนโดยทั่วไป(มิได้ศึกษาพระปริยัติและมิได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง)ก็มักนึกคิดเอาว่า คำว่าอนัตตามันเป็นอย่างที่คิดที่นึกอย่างนั้นๆ แต่ความจริงแล้วพระนิพพานเป็น สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่มีข้อแตกต่างอย่างมากมายกับ ปรตถธรรมอื่น ซึ่งแต่ละธรรมะ ก็มี วิเสสลักษณะที่ต่างๆกัน ถ้าศึกษาอย่างละเอียดจะไม่เถียงกันว่าเป็น อนัตตา หรือ อัตตา
     
  15. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,334
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,277
    นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    (คัดจากหน้า 41-43)
    ขุนราชฤทธิ์บริรักษ์ (ถาม) : อันว่านิพพาน ปรมัง สุญญัง เป็นอันว่านิพพานเป็นสูญอย่างยิ่ง คือหมายความว่าสูญเลย คำว่าสูญเลยเป็นที่สงสัยอย่างเกล้ากระผมซึ่งมีกิเลสหนา คำว่าสูญเลยตามตำราบอกว่าขันธ์นั่นสูญ รูปขันธ์ก็หายไป วิญญาณขันธ์ก็หายไป แล้วสังขารขันธ์ก็หายหมด ทีนี้เกล้ากระผมไม่ทราบว่าอะไรเหลือ เมื่ออะไรมันหายหมด เพราะนิพพาน ปรมัง สุญญัง นี่ เพราะฉะนั้นในฐานะพระเดชพระคุณสมเดจเป็นนักปราชญ์ผู้มีความเปรื่องในธรรม โปรดได้อธิบายให้เกล้ากระผมเพื่อเป็นแนวทางซักหน่อย ก็จะเป็นพระคุณและได้บุญกับสาธุชนผู้ที่นั่งฟังอีกด้วยเป็นอย่างมาก

    สมเด็จ (ตอบ) : คำว่า นิพพาน นี้ต้องเข้าใจว่ามีหลักแห่งความจริงของคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ถ้าในหลักแห่งความจริงของพระสัมมาสัมพุทธโคดมแล้ว คำว่า นิพพาน ในโลกมนุษย์นี้ ก็คือว่า มนุษย์ผู้ใดปฏิบัติตนให้อยู่ในจิตแห่งความว่าง ให้อยู่ในจิตแห่งความนิ่ง ให้อยู่ในจิตแห่งความสิ้นจากสรรพกิเลสที่รอบล้อมอยู่ในตัว เขาเรียกว่า ....
    ใจกลางแห่งนิพพานตั้งอยู่เมือง
    รอบล้อมต่อเนื่องกำแพงอันแสนหนา
    ผู้ใดหาทางทะลุอยู่ในเมือง
    มนุษย์ผู้นั้นย่อมถึงนิพพาน
    นิพพานในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าปฏิบัติจิตให้ว่างที่สุด นานเท่านาน ผู้นั้นถึงนิพพานแห่งการเป็นมนุษย์ คือ สุญญัง นี้แหละเขาเรียกว่าสูญจากอาสวกิเลส สูญจากการป็นทาสอารมณ์แห่งการเป็นมนุษยจิตวิญญาณนี้พุ่งสู่แดนอรหันต์ ไม่ใช่สูญทั้งจิตและวิญญาณ ถ้าสูญทั้งจิตและวิญญาณ จะเอาอะไรไปเสวยกรรม สภาพการณ์วิญญาณที่สูญนั้นเขาเรียกว่า วิญญาณธาตุในเบญจขันธ์ วิญญาธาตุนี้เป็นอุปาทาน รูปนี้ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุจึงอยู่เป็นกาย แต่วิญญาณอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่าวิญญาณซึ่งวนเวียนอยู่ในกฏแห่งวิฏสงสารนั้นแหล่

    (คัดจากหน้า 61-62)
    เรื่องวิญญาณนี้เป็นเรื่องละเอียด ในหลักการแห่งวิญญาณของเทพพรหมชั้นสูงนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งในหลักทั่วไปของมนุษย์ ก็คือว่าเป็นอากาศ สภาวการณ์ท่านรู้ว่ามีอากาศ แต่ท่านไม่สามารถจับอากาศขึ้นมาเป็นตัวตนได้ นั่นคือสภาวะของวิญญาณเทพพรหมชั้นสูง

    ทีนี้วิญญาณเหล่าวิสุทธิเทพ วิญญาณเหล่าพรหมสุทธาวาส วิญญาณเหล่าอรหันต์ จะเปรียบให้เข้าใจในโลกมนุษย์นี้จะเปรียบเป็นอะไรเล่า อันนี้อาตมาภาพขอแถลงไขเปรียบเสมือนหนึ่งว่าวิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณละเอียด สภาวการ์แห่งการเป็นวิญญาณละเอียดเหล่านี้ไซร้ ท่านจะต้องฝึกสมาธิใช้จิตสัมผัสเหสมือนหนี่งเปรียบคือ ลม ท่านลองโบกมือดูสิ ว่ามีลมไหม เมื่อท่านโบกมือย่อมเกิดลม นักวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าเป็นชั้นด็อกเตอร์ก็ยังไม่สามารถเอาหน้าลมออกมาตีแผ่ให้มนุษย์ดูได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนยอมรับว่ามีลม เพราะฉะนั้นวิญญาณแห่งวิสุทธิเทพ วิญญาณแห่งเทพพรหมชั้นสูง วิญญาณแห่งอรหันต์ จึงเปรียบง่ายๆ เป็นภาษามนุษย์ว่า ลม

    ทีนี้วิญญาณเหล่าอมรมนุษย์ วิญญาณเหล่าผีเปรต อสรุกาย วิญญาณเหล่าเจ้าที่เจ้าทงเหล่านี้ วิญญาณจำพวกนี้ยังมีกายหยาบ ฉะนั้นต้องเข้าใว่า เมื่อท่านสิ้นจากโลกมนุษย์นี้แล้วไซร้ ท่านจะต้องไปเกิดในปรภพแห่งการเสวยกรรมวิบากที่ไม่เหมือนกัน เพราะต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสร้างมาไม่เหมือนกัน ทีนี้สภาวการณ์แห่งการสร้างกรรมไม่เหมือนกันก็คือว่าท่านที่สิ้นจากโลกมนุษย์ก็ยังเป็นวิญญาณปุตุนั้นก็จะเป็นกายหยาบหลุดออกจากกายเนื้อ ทีนี้ถ้าท่านบำเพ็ญในหลักแห่งวิสุทธิมรรค แห่งการเป็นพระอรหันต์ แห่งการเป็นพระพรหมสุทธาวาสแล้วไซร็ ท่านต้องละลายกายทิพย์เหลือแต่วิญญาณ ทีนี้วิญญาณแห่งกายที่มีกายหยาบเหล่านี้แหล่ ที่บางครั้งสามารถปรับในการรวมกระแสแห่งอำนาจที่ตนมีเป็นกายเป็นรูปร่างให้มนุษย์เห็นได้เป็นบางครั้งบางคราว

    ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ ท่านจะถึงหลักแห่งการถึงโลกอีกโลกหึ่ง แห่งโลกทิพยอำนาจนี้ ท่านจะไปได้อย่างไรเล่า ภาวการณ์แห่งการที่จะท่านจะไปโลกเหล่านี้ได้แล้วไซร้ ท่านจะต้องบำเพ็ญในด้านจิตวิญญาณ ตามที่องค์สัมมาสัมพุทธโคดมวางในหลักการให้เราเหล่านุษย์ทั้งหลายเจริญรอยตามท่าน ก็คือว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา

    หนังสือ ธรรมะ จากดวงวิญญาณบริสุทธ์ สมเด็จโต ชุด ของดีที่คนมองข้าม พระปัญญาวรคุณ วัดพนาสนฑ์ จ.นราธิวาส รวบรวม พิมพ์ครั้งที่ ๗ ปี 2536
     
  16. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ผมขอตอบแบบ คน โง่ นะครับ

    ต่างคน ต่างนิกาย ต่างคนต่างครูสอน แต่พระพุทธศาสนา เหมือนกัน พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน

    ปฏิบัติไปเถิดครับ แล้วจะเห็นผลเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2007
  17. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอถามอีกครับ ปัจจัตตัง คืออะไรเหรอครับ
     
  18. thos1964

    thos1964 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +441
    "ปัจจัตตลักษณะ" ลักษณะเฉพาะตน, ลักษณะเฉพาะของสิ่งต่างๆ เช่น เวทนา มีลักษณะเสวยอารมณ์ สัญญามีลักษณะจำได้ เป็นต้น, คู่กับ สามัญลักษณะ

    ที่มา
    http://www.manager.co.th/dhamma/DhmDictionary.asp?Alphabet=%BB

    อธิบายเพิ่มเติม
    คือ เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล อาจจะเหมือน หรืออาจจะต่างกันก็ได้ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง เช่น ในการนั่งสมาธิ บางคนจะเห็นโอภาส คือ แสงสว่างปรากฏ แต่บางคนไม่ปรากฏ กลับไปมีอาการเกร็ง ชา ตัวหายไป ตัวพองโต เป็นต้น จะเห็นได้ว่า แต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน แต่รวมแล้วก็เป็น "ปิติ" ทั้งสิ้น

    บางคนถือศีลแล้วยุงไม่กัด แต่บางคนก็ประสบเหตุการณ์แบบอื่น แต่เจ้าตัวก็มั่นใจว่าเป็นผลมาจากการถือศีล แบบนี้ก็เป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง" เหมือนกันครับ

    คุณ rinnn (รวมประสบการ์ณจริง ''ผลของการสวดมนต์'' จากสมาชิก) สวดมนต์ นั่งสมาธิแล้วอาการโรคภูมิแพ้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อคุณสวดมนต์ นั่งสมาธิ อาจจะได้อานิสงส์แบบอื่น สรุปก็ถูกทั้งคู่ เพราะต่างเป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง" ครับ

    อีกตัวอย่างที่ดีคือเรื่อง นิพพานจากคำครูบาอาจารย์ ตามลิ้งค์ข้างบนน่ะครับ นั่นก็ "ปัจจัตตัง" จะเลือกเชื่อพระอาจารย์ท่านไหน ก็ได้กำไรทั้งหมดแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2007
  19. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +283
    งั้นก็แสดงว่าปัจจัตตัง เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วแต่ผู้นั้นทำบุญมากับพระรูปใด หรือครับ
     
  20. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    ตอบ

    ไม่ใช่, เป็นความรู้ในแบบของตน เมื่ออรหันต์ จะรู้โดยไม่จำกัดศัพท์ธรรม
    ว่าต้องเหมือนใคร จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะในการอธิบายธรรม ที่แตกต่างไป
    เฉพาะตน แต่ก็รู้ได้ว่าเข้าถึงธรรม

    ยกตัวอย่างเช่น

    ท่านสุภัททะ อรหันต์ เพราะมองเห็นเมฆลอยผ่านดวงจันทร์ จึงกล่าวว่า
    "จิตเดิมแท้ประภัสสร มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว เหมือนดั่งเมฆลอยมา
    บดบังดวงจันทร์ฉะนั้นเอง" (โดยย่อประมาณเอา)


    การทดสอบพระอรหันต์ ว่าอรหันต์แท้หรือไม่ พระอรหันต์ด้วยกันจะดูจาก
    "ปัจจัตตัง" แบบนี้นี่เอง พวกที่ท่องจำมา พระอรหันต์จึงรู้ได้ว่าไม่อรหันต์
     

แชร์หน้านี้

Loading...