ถามเรื่อง การเก็บ รูปภาพพระพุทธรูป พระสงฆ์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Nattawut8899, 14 พฤศจิกายน 2011.

  1. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +7,050
    เรียน ถามพี่ ๆ ทุกท่านครับ

    ตอนนี้ผมมีรูปภาพพระพุทธรูป พระสงฆ์ อยู่พอสมควรครับ จากหนังสือบ้าง
    ทั้งการ์ดงานบวชก็มีรูปพระพุทธรูปครับ ถ้าผมได้มาเเล้วจะเก็บไว้ที่ชั้น
    หนังสือ

    มีคนถามว่าทำไมไม่ทิ้ง ผมตอบว่า ผมไม่กล้าทิ้งกลัวบาปมาก ๆ ครับ

    ควรทำอย่างไรดี
     
  2. คนเสียลูก

    คนเสียลูก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +89
    อยากทราบเหมือนกัน ดอกไม้ที่เปลี่ยนด้วยน๊ะค๊ะ
     
  3. ชำมะนาด

    ชำมะนาด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +13
    อยากทราบเรื่องธูปด้วยค่ะ
    1ถ้าเราจุดเป็นธูปไฟฟ้า เทียนไฟฟ้าได้ไหมค่ะ พอดีเป็นห้อง ไม่ค่อยถ่ายเทเรื่องเรื่องควันน่ะค่ะ

    2.เรื่องพระที่เราบูชาอยู่..
    นำท่านไว้ที่ตู้โชว์ได้ไหมค่ะ แบบมีกระจกปิด ตั้งไว้ที่ห้องพระเหมือนเดิม
    แต่เราสวดมนต์บูชาทุกวัน กันฝุ่นจับพระน่ะค่ะ


    3. ตอนนี้ตั้งหิ้งบูชาอยู่แต่พระท่านฝุ่นเยอะมากเลย จะเช็ดทำความสะอาดได้ไหมคะ..เราเป็นผู้หญิงไปโดนท่านจะบาปไหมคะ แล้วส่วนศรีษะท่านล่ะค่ะ
    ควรเช็ดอย่างไรค่ะ
    รบกวนท่านผู้รู้ ชี้แนะด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  4. Hanataro

    Hanataro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +490
    .....

    ในส่วน ของรุปพระ หรืออะไรต่างๆ ถ้ามีเยอะเรา สามารถนำไปแจกต่อได้ครับ เป็นทารบารมีด้วย

    หรือ เราจะไปถวายที่วัด ก็จะเป็นสังฆทานด้วย ถวายทานต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า100ครั้ง ไม่เท่า สังฆทานเพียง 1 ครั้ง

    หรือ จะเก็บรูปพระ ไว้ในกล่อง หรือ ม้วน ไว้ พับไว้ ในที่สูง หรือ ไว้ในห้องพระก็ ดีนะครับ



    ดอดไม้ ท่าน เหี่ยว แล้ว ก็ นำมาทิ้งได้ คับ ไม่บาป ดอกไม้ มันก็แห้งเหี่ยวไปธรรมดา พุทธองค์ ท่านไม่ตำหนิ ครับ

    ถ้า เรา ตั้งใจ จะนำดอกไม้ไปบูชาพระ ระหว่างทางเกิด ตายก่อน ก็ ได้ อานิงสค์แล้วคับ

    หากเพิ่มว่า เราจะนำไปบูชาพระ สิ่งศักด์สทิธิ์ หากระหว่างทำ หรือ ระหว่างทางเราตายไป ขอไปอยู่ นิพพาน กับ พระที่เดียว เราตายตอนนั้น ก็อยู่ไปนิพพาน
    กับพุทธเจ้า พระทั้งหมดทั้งนิพพาน เพราะ เราตั้ง เป้าหมายไว้แล้ว


    จิตก่อนตาย สำคัญที่สุด ใช่มั้ย ครับ หลายท่านคงจะทราบมา

    เกาะสิ่งไหนไปที่นั่น เกาะโลภ เป็น เปรต
    เกาะโกรธ หลง นรก
    เกาะหลง ก็ เป็น สัตว์ คน
    เกาะ บุญ ความดี ก็เป็น เทวดา นางฟ้า
    ตอนนั้น จิต เป็น สมาธิ ก็ไปเป็น พรหม ตามกำลังสมาธิ
    จิตตอนนั้น มีอารมณ์ ไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ไม่ว่าภพภูมิไหน ต้องการ เฉพาะนิพพาน จุดเดียว ตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ถ้า ตาย ตอนนั้นก็ไป
    พระนิพพาน



    2. จุด ธุป สามารถใช้เทียนไฟฟ้า ได้ ถวายจุดธูป ทั่วไป ก็จะได้อานิสงค์ ถวายของหอม

    จุดเทียน หรืออะไรๆที่เกี่ยวกับแสงสว่าง เช่น เทียน หลอดไฟ ลูกแก้ว ก็จะได้ ผล ทิพจักขุญาณ
    หรือ ตัวปัญญา

    พระท่านว่า ถ้าจุดธูป ไม่ระวัง ก็จะได้อานิงสงค์ เผาบ้าน ด้วย ถ้า เป็นธูปไฟฟ้า มากสุดก็แค่ไฟช็อต ไฟขาดอยู่ในนั้น ไม่ ทำให้เกิดไฟไหม้


    3. พระ ถ้าอยากเป็นตู้โชว์ได้ ครับ แต่ ควรไว้ในที่สูง ซะหน่อย

    เวลา ใครเห็น เขาก็ รู้สึกดี ตอนนั้น จิตเกาะพุทธเจ้า บางคนมีปัญหาทุกข์ใจ ไม่สบายใจ

    พอเห็นพระ ก็ สงบ สบายใจขึ้น ณ ตอนนั้น เขาก็ได้โมทนาคนที่สร้างพระ และจัดสถานที่ด้วย ครับ

    ได้บุญ หลายต่อ ถ้าจะเอาให้ละเอียด

    ถ้าทำความสะอาดให้สวดงาม ก็จะได้อีกครับ

    หรือ เปิดไฟ ส่องไปที่พระ ยิ่งถ้าพระสีเหลืองทอง แล้ว เปิดไฟสีเหลือง ใจยิ่งเกาะภาพพระง่ายขึ้น

    ครับ ดูแล้ว สบายใจ สวยงาม น่าโมทนา ก็จะได้ผล ของการถวายแสงส่วาง ถวายไฟ เป็น

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆพระองค์ด้วยครับ


    บุญ อยุ่ที่ เจตนา


    ถ้าเปิดเฉยๆ เพื่อความสวยงาม ก็ จะไม่ได้อานิสงค์ ของการถวายแสงส่วาง

    อยู่ที่วิธีคิด นิดเดียว อานิสงค์ก็ได้เพิ่มไปอีกอย่าง

    เช่น คนนึง ซักผ้า ล้างจาน แล้ว เทน้ำทิ้งไปเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคน พอล้างจาน ซักผ้า หรือทำอะไรๆก็ตาม ของกิน ของใช้ เททิ้ง แต่คิดเพิ่ม ต่อไปว่า สัตว์ทั้งหลาย จงใช้น้ำนี้ หรือ อาหาร นี้ใช้อยู่ใช้กิน ใช้ต่อชีวิต เทอ นะจ้ะ พระพุทธเจ้าว่า แค่นี้ ก็ได้บุญแล้ว


    บุญ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว



    ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจสงบทำให้เลือก คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร



    ที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น


    คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของบุญ หรือผลของบุญได้ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข เปรียบได้กับ "ไฟฟ้า" ซึ่งเรามองไม่เห็นตัวไฟฟ้าโดยตรง แต่เราสามารถรับรู้อาการของไฟฟ้าได้


    ตอนนั้น จิตเรามีเมตตา ก็ได้ต่อเมตตาไม่มีประมาณ

    ได้ ตัวทารบารมีด้วย อีกเยอะคับ ผลที่เราทำมีเยอะแยะ ตามวิธีคิด ของเรา ตาม เจตนา ของเรา

    มโนกรรม คือ กรรมทางความคิด ตอนนั้นเราคิดดี เราจึงได้บุญ ^ ^ แค่เปลี่ยนวิธีคิด หรืือ เจตนา ทุกอย่างก็เปลี่ยน

    เจตนา คือ ตัวกรรม ( บุญ และบาป)

    4. เป็นผู้หญิง ก็ ทำความสะอาดได้เลย ครับ

    ท่านนางวิสาขา ยัง ซ่อมแซมพระ ทำความสะอาดพระ ด้วยตัวเองเลย

    การทำความสะอาด พระ หิ้งพระ หรือ วัด หรือสถานที่ต่างๆ ยิ่งถ้าสาถนที่นั่น บริสุทธิ์มากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นผลมากเท่านั้น บางที่ทันตา เดี๋ยวนั้นเลย

    คนที่มีกรรมทางผิวพรรณ หรือ ผิวหนัง ก็จะช่วยได้ แม้ไม่อธิษฐาน

    แบบลงทุน คือ ถวายเสื้อผ้า ผ้าไตร อะไรๆที่เป็นเครื่องนุ่มห่ม ไม้กวาด ไม่้ ถู อุปกรณ์ ทำความสะอาด

    แบบลงแรง ต้องความสะอาดด้วยแรงกาย ยิ่งทำในที่ที่สกปรกมาก และยิ่งบริสุทธิ์มาก ยิ่งให้ผลเร็ว

    แบบไม่ต้องลงทุนและแรง ได้ผลเร็วสุด คือ อภัยทาน ไม่โกรธ แค้น อาฆาต จองเวร หงุดหงิด โมโห ใครอีก ก็ จะเห็นผล ทันตา

    สังเกตุจาก เวลาเราปฏิบัติธรรม เช่น อยู่ที่บ้าน หรือวัด วัด เรามีแต่ สวดมนต์ ทำสมาธิ จิตใจ มีแต่เรื่องดีงาม เป็นบุญกุศล ก็ ส่งผลให้ร่างกาย เราดีไปด้วย
    ใจเป็นนาย กายเป็น บ่าว แถม เรายังทำความสะอาด ช่วยงานวัด ช่วยงานส่วนรวม
    ทำอะไรๆหลายอย่างที่ดีๆ เพิ่มขึ้นไปอีก
    ผลก็เร็วขึ้น


    เราทำความสะอาด พระ ก็ได้ผล ของการทำความสะอาด พระ หรือสิ่งศักด์ิสิทธิ์ให้สวยงาม

    สิ่งไหนชำรุด เราก็ ซ่อมแซม ให้ดีขึ้น ถ้าเป็นพระ ก็ได้ผล ของการ ทำความสะอาด กับ

    สร้างพระใหม่อีกด้วย ถวาย ดอกไม้ ของหอม ต่างๆ ก็ได้ผล ถวายของหอม สิ่งสวยงาม อีกเยอะ

    หรือ อานิสงค์ ถึงเราไม่อยากได้ ก็มาอยู่แล้วคับ


    ให้สิ่งใด ทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น อะไรๆ ที่ดีก็ ทำไปเถอะครับ

    รู้ว่าดีจึงทำ สิ่งไหนไม่ดี ก็ ละ ทั้ง กาย วาจา คำพูด และ ความคิด ใจ


    สุดท้าย พระท่านว่า

    ทำทุกอย่าง หรือทำความดีอะไรๆก็ตาม ทำด้วยความเต็มใจ

    ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำเพราะอยากช่วย อยากทำ ทำตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

    ทำเพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวม เป็นชาติสุดท้าย

    และไม่อธิษฐานใดๆ เลย นอกจากพระนิพพานชาตินี้

    ก็ จะทำให้เรา ถึงมรรค ผล และพระนิพพานชาตินี้ ได้ ครับ ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ไปฝากพระที่วัดก็ได้ครับ....

    บอกท่านเลยว่ารูปที่บ้านมีเยอะ ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเอามา "ฝากไว้ให้" ขอเมตตาหลวงพี่ช่วยจัดแจงนะครับ.. ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011
  6. Hanataro

    Hanataro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +490
    +++

    ตั้งเป้าหมายว่าตายแล้วจะไปไหน ? <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : ช่วงนี้ถ้าทำวิปัสสนาให้กายว่าง แต่ทำไม่ค่อยบ่อยนะคะ นาน ๆ จะจับลมหายใจ ส่วนมากจะจับตอนนอน แล้วช่วงกลางวันนึกถึงความตายบ้าง วันหนึ่งประมาณครั้งเดียว ?

    ตอบ : ดีกว่าไม่นึกเลย ริ ง ๆ แล้วชีวิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าไปใหม่ก็ตายเช่นกัน เพราะฉะนั้น..ให้นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก นึกได้เมื่อไหร่ก็ เอ๊ะ...! เราจะตายแล้วหนอ ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก ก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ให้ตั้งเป้าไว้เลยว่าตายแล้วเราจะไปไหน

    ถ้าหากว่าเราคิดว่าเทวดาดี ตายแล้วเราจะไปเป็นเทวดา
    คิดว่าพรหมดี ตายแล้วเราจะเป็นพรหม
    ถ้าคิดว่าพระนิพพานดีตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน

    ตั้งเป้าของเราเอาไว้ ลักษณะของกำลังใจจะเหมือนกับจรวดนำวิถี ถึงเวลากำหนดเป้าไว้ ยิงเสร็จแล้วจรวดจะทำงานเอง

    เช้า ๆ ก็ตั้งเป้าว่า "ถ้าหากเราหมดอายุขัย หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันทำให้เราต้องตายไปภายในวันนี้ เราขอไปพระนิพพานที่เดียว"

    แล้วภาวนาให้กำลังใจทรงตัวสักพักหนึ่ง อาจจะ ๕ นาที ๑๐ นาที ถ้าทำอย่างนี้ได้

    วันนั้นทั้งวันต่อให้จิตใจวุ่นวายด้วยเรื่องงานเรื่องการอะไรก็ตาม ถ้าเราตายก็จะไปพระนิพพาน
    เพราะเราตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
    สมัยนี้ขีปนาวุธเขาทำได้..ใช่ไหม ? เราก็เลียนแบบบ้าง


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



    ตอกย้ำอธิษฐานบารมี <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาที่เราทำความดีแล้วแผ่เมตตาจิตส่งออกไป แต่ตัวเราไม่ได้ทำสมาธิ เขาจะได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้...แต่ได้ไม่เต็มที่ เพราะแรงส่งไม่ค่อยจะพอ

    เมื่อเราทำความดีทุกอย่างเช่น สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐาน ฯลฯ ถึงเวลาก็อธิษฐานรวบยอดไปด้วยว่า "ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน"

    เราเอาทั้งหมด ไม่ได้เอาเฉพาะครั้งนี้ แล้วที่เหลือจะอธิษฐานอยางไรต่อก็ว่าไป เช่น "ถ้า ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอความข้องขัดใด ๆ อย่าได้มีในการดำรงชีวิตของข้าพเจ้าเลย ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังทุกประการ ขอให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้"

    แต่ถ้าเราเป็นประเภทที่ขอน้อยแล้วไม่ตรงกำลังใจของเรา ก็ขอให้มาก ๆ เอาให้เหนี่อยลิ้นห้อยไปเลย


    ถาม : ขอทุกวันแบบนี้ เป็นเพราะเราทำได้ไม่ดี ก็เลยขอแต่ท่าน..?
    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ... ลักษณะแบบนี้เป็นการตอกย้ำตัวอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจของเรา ยิ่งตอกย้ำมั่นคงเท่าไร ถึงเวลาผลก็จะมั่นคงแค่นั้น

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕




    หยอดกระปุกทำบุญทุกวัน <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : ปกติจะหยอดกระปุกทำบุญทุกวัน แต่จะไม่อยู่บ้านหนึ่งเดือน ก็เลยหยอดเผื่อไว้ ๓๐ วันที่กำลังจะมาถึงข้างหน้า ทำแบบนี้ถือว่าถูกต้องไหมคะ ?


    ตอบ : ได้เหมือนกัน เป็นความตั้งใจของเรา ถ้าหยอดทุกวัน จิตของเราก็ได้สละออกทุกวัน การทำบุญครั้งละบาท ๓๐ ครั้ง โอกาสดีกว่าทำบุญครั้งเดียว ๓๐ บาท ดีกว่าตรงที่ว่าจิตเราได้สละออกทุกวัน ได้นึกถึงบุญทุกวัน จิตจะอยู่ในกุศลมากกว่า การทำครั้งเดียวก็ได้นึกถึงครั้งเดียว

    ความจริงก็ใช้ได้ทั้งคู่ แล้วแต่ว่าโอกาสจะอำนวย แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การหยอดทุกวันโอกาสจะดีกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสทำทุกวันก็ทำทุกวัน ถ้าไม่มีโอกาสทำทุกวันก็ทำครั้งหนึ่ง ๓๐ เหรียญ หรือจะทำ ๓๖๕ เหรียญก็ได้ ...(หัวเราะ)... ทำปีละครั้งไปเลย..!



    ทานบารมีอย่างเดียวก็ไปพระนิพพานได้ <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : อย่างทานบารมี หลวงพ่อบอกว่าทานบารมีตัวเดียวสามารถไปนิพพานได้ ต้องทำได้ถึงระดับไหน ?

    ตอบ : ก็ต้องให้จนกระทั่งไม่ติดทั้งดีทั้งชั่ว รู้ว่าดีก็ทำ ใครเขาอยากได้ก็ให้ ให้แล้วก็ไม่ไปตามคิดว่าเขาเอาไปทำอะไร ? เขาหลอกเราหรือเปล่า ? เขาไปใช้สมกับคุณค่าที่เราให้หรือเปล่า ? จะไม่มีตรงนี้


    ตัวสุดท้ายก็คือ พยายามให้อภัย พยายามสร้างความดีให้ทรงอยู่ในใจ ใครทำผิดคิดร้ายกับเราก็ตามะไม่ถือโทษโกรธเคืองทั้งสิ้น จิตใจอยู่กับการให้ตลอดเวลา พร้อมที่จะสละอยู่เสมอ เมื่อสร้างอารมณ์ใจมั่นคงแล้วก็ภาวนาต่อไปเลย

    คิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่เราให้นี้ เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จิตใจมุ่งตรงต่อพระนิพพานที่เดียว

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...