พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    ผมว่าเจอกันครั้งแรกควรใช้แบบมีล้อด้วยจะดีกว่าครับ 555
     
  2. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    แสดงว่าท่านพี่เฉลิมพลเจอพี่หนุ่มครั้งแรกใช้กระเป๋าแบบมีล้อไปใช่ไหมครับ 555 สำหรับผมคงไม่ได้หรอกครับผมต้องอุ้มลูกไปด้วยให้ไปรู้จักลุงหนุ่มชะหน่อย
     
  3. Nui28

    Nui28 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอสอบถามวิธีการฝึกจิตหรือสมาธิ (ในภาคปฏิบัติจริง)
    ผมอยากทราบเกี่ยวกับการฝึกเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ และอยากทราบแนวทางที่ถูกต้องอยากให้พี่ๆทุกท่านช่วยแนะนำหน่อยครับ
    ถ้าสมมติว่าผมไม่มีฟื้นฐานเลย หลักการเริ่มต้นจะทำอย่างไร และเราสามารถทราบได้อย่างไรว่าเราสามารถฝึกได้ผ่านทีละขั้นตอนอย่างถูกต้องแล้วครับ

    ปล.เนื่องจากผมได้ฝึกนั่งมาบ้างแล้ว(ฝึกเองโดยไม่มีอาจารย์สอนหรือคนอื่นบอก)แต่อยากทราบวิธีการที่ถูกต้องจริงๆครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    แสดงว่าท่านพี่เฉลิมพลเจอพี่หนุ่มครั้งแรกใช้ กระเป๋าแบบ มีล้อไปใช่ไหมครับ 555 สำหรับผมคงไม่ได้หรอกครับผมต้องอุ้มลูกไปด้วยให้ไปรู้จักลุงหนุ่มชะ หน่อย
    </td> </tr> </tbody></table>

    กระเป๋า ขนาดกลางๆ ก็พอ อิอิ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนวิธีที่ลัดที่สุดก็คือ อานาปานสติครับ

    เพียงแค่ดูลมหายใจ

    ยังไม่ต้องไปสนใจว่า ผ่านขั้นไหนแล้ว

    เบื้องต้นแค่นี้พอ

    ครูบาอาจารย์ผมสอนมาแบบนี้

    ท่านบอกว่า เล่นลม (ผมเคยนำมาลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้แล้ว)

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    กล่องรับจดหมายหรรษา สร้างความเฮฮาเมื่อได้เจอ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    ภาพ กล่องรับจดหมายหรรษา สร้างความเฮฮาเมื่อได้เจอ ตู้จดหมายสวย ตู้ไปรษณีย์แปลกๆ ที่สร้างจุดสนใจให้เราต้องเหลียวมอง เป็นการสร้างสีสันให้กับตู้จดหมาย ปัจจุบันถ้าไม่ร่วมพวกจดหมายใบเสร็จต่างๆ ก็แถบจะไม่มีใครส่งจดหมายกันแล้ว แต่ถ้าเรามี กล่องรับจดหมายสวยๆ แบบนี้อยู่หน้าบ้าน คงจะช่วยให้มีคนส่งจดหมายมาให้เราบ่อยๆ ให้ความสนุกสนานกับบุรุษไปรษณีย์ สร้างความจดจำว่าเป็นตู้จดหมายบ้านเรา


    -http://play.kapook.com/photo/show-123132-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • box1.jpg
      box1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.3 KB
      เปิดดู:
      52
    • box2.jpg
      box2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.5 KB
      เปิดดู:
      60
    • box3.jpg
      box3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • box4.jpg
      box4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      57
    • box5.jpg
      box5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • box6.jpg
      box6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.1 KB
      เปิดดู:
      47
    • box7.jpg
      box7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.8 KB
      เปิดดู:
      51
    • box8.jpg
      box8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.7 KB
      เปิดดู:
      62
  7. Nui28

    Nui28 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +7
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อานาปานสติ
    (สำหรับคนทั่วไป อย่างง่าย ขั้นต้นๆ เพื่อรู้จักไว้ทีก่อน)


    [​IMG]
    ท่านพุทธทาส
    ในกรณีปรกติ ให้นั่งตัวตรง (ข้อกระดูกสันหลัง จดกันสนิท เต็มหน้าตัด ของมันทุกๆ ข้อ) ศีรษะตั้งตรง ตามองไปที่ปลายจมูกให้อย่างยิ่ง จนไม่เห็นสิ่งอื่น จะเห็นอะไรหรือไม่เห็น ก็ตามใจ ขอให้จ้องมองเท่านั้น พอชินเข้า ก็จะได้ผลดีกว่าหลับตา และไม่ชวนให้ง่วงนอนได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะคนขึ้ง่วง ให้ทำอย่างลืมตานี้ แทนหลับตา ทำไปเรื่อยๆ ตามันจะหลับ ของมันเอง ในเมื่อถึงขั้นที่มันจะต้องหลับตา หรือจะหัดทำอย่างหลับตาเสียตั้งแต่ต้นก็ตามใจ แต่วิธีที่ลืมตานั้น จะมีผลดีกว่าหลายอย่าง แต่ว่าสำหรับบางคน รู้สึกว่าทำยาก โดยเฉพาะพวกที่ยึดถือในการหลับตา ย่อมไม่สามารถทำอย่างลืมตา ได้เลย มือปล่อยวางไว้บนตัก ซ้อนกันตามสบาย ขาขัด หรือซ้อนกัน โดยวิธีที่จะ ช่วยยัน น้ำหนักตัว ให้นั่งได้ถนัด และล้มยาก ขาขัด อย่างซ้อนกัน ธรรมดา หรือ จะขัดไขว้กัน นั่นแล้วแต่จะชอบ หรือทำได้ คนอ้วนจะขัดขา ไขว้กันอย่างที่ เรียกขัดสมาธิเพชรนั้น ทำได้ยาก และไม่จำเป็น แต่ขอให้นั่งคู้ขามา เพื่อรับน้ำหนักตัว ให้สมดุลย์ล้มยากก็พอแล้ว ขัดสมาธิอย่างเอาจริงเอาจัง ยากๆ แบบต่างๆ นั้น ไว้สำหรับ เมื่อจะเอาจริง อย่างโยคี เถิด
    ในกรณีพิเศษ สำหรับคนป่วย คนไม่ค่อยสบาย หรือแม้แต่คนเหนื่อย จะนั่งอิง หรือนั่งเก้าอี้ หรือเก้าอี้ผ้าใบ สำหรับเอนทอด เล็กน้อย หรือนอนเลยสำหรับคนเจ็บไข้ ก็ทำได้ ทำในที่ ไม่อับอากาศ หายใจได้สบาย ไม่มีอะไรกวน จนเกินไป เสียงอึกทึกที่ดังสม่ำเสมอ และไม่มีความหมายอะไร เช่น เสียงคลื่น เสียงโรงงาน เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรค (เว้นแต่ จะไป ยึดถือเอาว่า เป็นอุปสรรค เสียเอง) เสียงที่มี ความหมายต่างๆ (เช่น เสียงคนพูดกัน) นั้นเป็นอุปสรรคแก่ผู้หัดทำ ถ้าหาที่เงียบเสียงไม่ได้ ก็ให้ถือว่าไม่มีเสียงอะไร ตั้งใจทำไปก็แล้วกัน มันจะค่อยได้เอง
    ทั้งที่ตามองเหม่อ ดูปลายจมูกอยู่ ก็สามารถรวมความนึก หรือความรู้สึก หรือเรียกภาษาวัดว่า สติ ไปกำหนด จับอยู่ที่ลมหายใจ เข้าออก ของตัวเองได้ (คนที่ชอบหลับตา ก็หลับตาแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้) คนชอบลืมตา ลืมไปได้เรื่อย จนมันค่อยๆหลับของมันเอง เมื่อเป็นสมาธิ มากขึ้นๆ เพื่อจะให้กำหนดได้ง่ายๆ ในชั้นแรกหัด ให้พยายาม หายใจ ให้ยาวที่สุด ที่จะยาวได้ ด้วยการฝืน ทั้งเข้า และออก หลายๆ ครั้งเสียก่อน เพื่อจะได้รู้ของตัวเอง ให้ชัดเจนว่า ลมหายใจ ที่มันลาก เข้าออก เป็นทาง อยู่ภายในนั้น มันลาก ถูก หรือ กระทบ อะไรบ้าง ในลักษณะอย่างไร และกำหนดได้ง่ายๆ ว่า มันไปรู้สึกว่า สุดลง ที่ตรงไหน ที่ในท้อง (โดยเอาความรู้สึก ที่กระเทือนนั้น เป็นเกณฑ์ ไม่ต้องเอาความจริงเป็นเกณฑ์) พอเป็นเครื่องกำหนด ส่วนสุดข้างใน และส่วนสุดข้างนอก ก็กำหนดง่ายๆ เท่าที่จะกำหนดได้ คนธรรมดา จะรู้สึกลมหายใจ กระทบปลาย จะงอยจมูก ให้ถือเอาตรงนั้น เป็นที่สุดข้างนอก (ถ้าคนจมูกแฟบ หน้าหัก ริมฝีปากเชิด ลมจะกระทบ ปลายริมฝีปากบน อย่างนี้ ก็ให้กำหนด เอาที่ตรงนั้น ว่าเป็นที่สุดข้างนอก) แล้วก็จะได้ จุดทั้งข้างนอก และข้างใน โดยกำหนดเอาว่า ที่ปลายจมูก จุดหนึ่ง ที่สะดือจุดหนึ่ง แล้วลมหายใจ ได้ลากตัวมันเอง ไปมา อยู่ระหว่าง จุดสองจุด นี้ ขึ้นลงอยู่เสมอ ทีนี้ ทำใจของเรา ให้เป็นเหมือน อะไรที่คอย วิ่งตามลมนั้น ไม่ยอมพราก ทุกครั้ง ที่หายใจทั้งขึ้น และลง ตลอดเวลา ที่ทำสมาธินี้ นี้จัดเป็นขั้นหนึ่ง ของการกระทำ เรียกกันง่ายๆ ในที่นี้ก่อนว่า ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา"
    กล่าวมาแล้วว่า เริ่มต้นทีเดียว ให้พยายามฝืนหายใจให้ยาวที่สุด และให้แรงๆ และหยาบที่สุด หลายๆ ครั้ง เพื่อให้พบจุดหัวท้าย แล้วพบเส้นที่ลาก อยู่ตรงกลางๆ ได้ชัดเจน เมื่อจิต(หรือสติ) จับหรือ กำหนดตัวลมหายใจ ทึ่เข้าๆ ออกๆ ได้ โดยทำความรู้สึก ที่ๆ ลมมันกระทบ ลากไป แล้วไปสุดลง ที่ตรงไหน แล้วจึงกลับเข้า หรือ กลับออก ก็ตาม ดังนี้แล้ว ก็ค่อยๆ ผ่อน ให้การหายใจนั้น ค่อยๆ เปลี่ยน เป็นหายใจอย่างธรรมดา โดยไม่ต้องฝืน แต่สตินั้น คงที่กำหนดที่ ลมได้ตลอดเวลา ตลอดสาย เช่นเดียวกับเมื่อ แกล้งหายใจหยาบๆ แรงนั้นเหมือนกัน คือกำหนด ได้ตลอดสาย ที่ลมผ่าน จากจุดข้างใน คือ สะดือ (หรือท้องส่วนล่างก็ตาม) ถึงจุดข้างนอก คือ ปลายจมูก (หรือ ปลายริมฝีปากบน แล้วแต่กรณี) ลมหายใจ จะละเอียด หรือ แผ่วลงอย่างไร สติก็คงกำหนด ได้ชัดเจน อยู่เสมอไป โดยให้การกำหนด นั้น ประณีต ละเอียด เข้าตามส่วน ถ้าเผอิญเป็นว่า เกิดกำหนดไม่ได้ เพราะลมละเอียดเกินไป ก็ให้ตั้งต้นหายใจ ให้หยาบ หรือ แรงกันใหม่ (แม้จะไม่เท่าทีแรก ก็เอาพอให้กำหนด ได้ชัดเจน ก็แล้วกัน) กำหนดกันไปใหม่ จนให้มีสติ รู้สึก อยู่ที่ ลมหายใจ ไม่มีขาดตอน ให้จนได้ คือ จนกระทั่ง หายใจอยู่ตามธรรมดา ไม่มีฝืนอะไร ก็กำหนดได้ตลอด มันยาว หรือสั้นแค่ไหน ก็รู้ มันหนัก หรือเบาเพียงไหน มันก็รู้พร้อม อยู่ในนั้น เพราะสติ เพียงแต่คอยเกาะแจอยู่ ติดตามไปมา อยู่กับลม ตลอดเวลา ทำได้อย่างนี้ เรียกว่า ทำการบริกรรม ในขั้น "วิ่งตามไปกับลม" ได้สำเร็จ การทำไม่สำเร็จนั้น คือ สติ (หรือความนึก) ไม่อยู่กับลม ตลอดเวลา เผลอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันหนีไปอยู่ บ้านช่อง เรือกสวนไร่นา เสียเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ มารู้เมื่อ มันไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่า มันไปเมื่อไหร่ โดยอาการอย่างไร เป็นต้น (webmaster - อาการดังกล่าวนี้ที่เกิดขึ้น มักเกิดขึ้นได้ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ จิตส่งออกไปปรุงแต่ง หรือเกิดอาการตกภวังค์) พอรู้ ก็จับตัวมันมาใหม่ และฝึกกันไป กว่าจะได้ ในขั้นนี้ ครั้งหนึ่ง ๑๐ นาที เป็นอย่างน้อย แล้วจึงค่อยฝึกขั้นต่อไป
    ขั้นต่อไป ซึ่งเรียกว่า บริกรรมขั้นที่สอง หรือ ขั้น "ดักดู อยู่แต่ ตรงที่แห่งใด แห่งหนึ่ง" นั้น จะทำต่อเมื่อ ทำขั้นแรก ข้างต้นได้แล้ว เป็นดีที่สุด (หรือใคร จะสามารถ ข้ามมาทำขั้นที่สอง นี้ได้เลย ก็ไม่ว่า) ในขั้นนี้ จะให้สติ (หรือความนึก) คอยดักกำหนด อยู่ตรงที่ใด แห่งหนึ่ง โดยเลิก การวิ่งตามลมเสีย ให้กำหนดความรู้สึก เมื่อลมหายใจ เข้าไปถึง ที่สุดข้างใน (คือสะดือ) ครั้งหนึ่ง แล้วปล่อยว่าง หรือวางเฉย แล้วมากำหนด รู้สึกกัน เมื่อลมออก มากระทบ ที่สุดข้างนอก (คือปลายจมูก) อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยว่าง หรือ วางเฉย จนมีการกระทบ ส่วนสุดข้างใน (คือสะดือ) อีก ทำนองนี้ เรื่อยไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเป็นขณะที่ปล่อยว่าง หรือ วางเฉย นั้น จิตก็ไม่ได้หนี ไปอยู่บ้านช่อง ไร่นา หรือที่ไหน เลยเหมือนกัน แปลว่า สติคอยกำหนด ที่ส่วนสุด ข้างในแห่งหนึ่ง ข้างนอกแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้น ปล่อยเงียบ หรือ ว่าง เมื่อทำได้อย่างนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว ก็เลิกกำหนด ข้างในเสีย คงกำหนด แต่ข้างนอก คือที่ปลายจมูก แห่งเดียวก็ได้ สติคอยเฝ้ากำหนด อยู่แต่ที่ จะงอยจมูก ไม่ว่าลมจะกระทบ เมื่อหายใจเข้า หรือเมื่อหายใจออก ก็ตาม ให้กำหนดรู้ ทุกครั้ง สมมติเรียกว่า เฝ้าแต่ตรงที่ ปากประตู ให้มีความรู้สึก ครั้งหนึ่งๆ เมื่อลมผ่าน นอกนั้น ว่าง หรือ เงียบ ระยะกลาง ที่ว่าง หรือ เงียบ นั้น จิตไม่ได้หนี ไปอยู่ที่บ้านช่อง หรือที่ไหน อีกเหมือนกัน ทำได้อย่างนี้ เรียกว่า ทำบริกรรมในขั้น "ดักอยู่แต่ ในที่แห่งหนึ่ง" นั้น ได้สำเร็จ จะไม่สำเร็จ ก็ตรงที่จิตหนีไป เสียเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ มันกลับเข้าไป ในประตู หรือ เข้าประตูแล้ว ลอดหนีไปทางไหนเสียก็ได้ ทั้งนี้เพราะระยะที่ว่าง หรือ เงียบนั้น เป็นไปไม่ถูกต้อง และทำไม่ดีมาตั้งแต่ข้างต้น ของขั้นนี้ เพราะฉะนั้น ควรทำให้ดี หนักแน่น และแม่นยำ มาตั้งแต่ขั้นแรก คือ ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" นั้นทีเดียว
    แม้ขั้นต้นที่สุด หรือที่เรียกว่า ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" ก็ไม่ใช่ทำได้โดยง่าย สำหรับทุกคน และเมื่อทำได้ ก็มีผลเกินคาดมาแล้ว ทั้งทางกายและทางใจ จึงควรทำให้ได้ และทำให้เสมอๆ จนเป็นของเล่น อย่างการบริหารกาย มีเวลา สองนาทีก็ทำ เริ่มหายใจ ให้แรงจนกระดูกลั่น ก็ยิ่งดี จนมีเสียงหวีด หรือ ซูดซาด ก็ได้ แล้วค่อยผ่อน ให้เบาไปๆ จนเข้า ระดับปรกติ ของมัน ตามธรรมดาที่คนเราหายใจ อยู่นั้น ไม่ใช่ระดับปรกติ แต่ว่า ต่ำกว่า หรือ น้อยกว่าปรกติ โดยไม่รู้สึกตัว โดยเฉพาะ เมื่อทำกิจการงานต่างๆ หรือ อยู่ในอิริยาบถ ที่ไม่เป็นอิสระ นั้น ลมหายใจของตัวเอง อยู่ในลักษณะ ที่ต่ำกว่าปรกติ ที่ควรจะเป็น ทั้งที่ตนเอง ไม่ทราบได้ เพราะฉะนั้น จึงให้เริ่มด้วย หายใจอย่างรุนแรง เสียก่อน แล้วจึงค่อยปล่อย ให้เป็นไป ตามปรกติ อย่างนี้ จะได้ลมหายใจ ที่เป็นสายกลาง หรือ พอดี และทำร่างกาย ให้อยู่ในสภาพ ปรกติด้วย เหมาะสำหรับ จะกำหนด เป็นนิมิต ของอานาปานสติ ในขั้นต้น นี้ด้วย ขอย้ำ อีกครั้งหนึ่งว่า การบริกรรมขั้นต้น ที่สุดนี้ ขอให้ทำ จนเป็นของเล่นปรกติ สำหรับทุกคน และทุกโอกาสเถิด จะมีประโยชน์ ในส่วนสุขภาพ ทั้งทางกาย และทางใจ อย่างยิ่ง แล้วจะเป็น บันได สำหรับขั้นที่สอง ต่อไปอีกด้วย
    แท้จริง ความแตกต่างกัน ในระหว่างขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" กับขั้น "ดักดูอยู่เป็นแห่งๆ" นั้น มีไม่มากมายอะไรนัก เป็นแต่เป็นการผ่อนให้ประณีตเข้า คือ มีระยะ การกำหนดด้วยสติ น้อยเข้า แต่คงมีผล คือ จิตหนีไปไม่ได้ เท่ากัน เพื่อให้เข้าใจง่าย จะเปรียบกับ พี่เลี้ยง ไกวเปลเด็ก อยู่ข้างเสาเปล ขั้นแรก จับเด็กใส่ลงในเปล แล้วเด็กมันยัง ไม่ง่วง ยังคอยจะดิ้น หรือ ลุกออกจากเปล ในขั้นนี้ พี่เลี้ยง จะต้องคอย จับตาดู แหงนหน้าไปมา ดูเปล ไม่ให้วางตาได้ ซ้ายที ขวาที อยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เด็ก มีโอกาสตกลงมา จากเปลได้ ครั้นเด็กชักจะยอมนอน คือ ไม่ค่อยดิ้นรนแล้ว พี่เลี้ยง ก็หมดความจำเป็น ที่จะต้อง แหงนหน้าไปมา ซ้ายทีขวาที ตามระยะ ที่เปลไกวไป ไกวมา พี่เลี้ยง คงเพียงแต่ มองเด็ก เมื่อเปลไกว มาตรงหน้าตน เท่านั้น ก็พอแล้ว มองแต่เพียง ครั้งหนึ่งๆ เป็นระยะๆ ขณะที่เปลไกว ไปมา ตรงหน้าตน พอดี เด็กก็ไม่มีโอกาส ลงจากเปล เหมือนกัน เพราะ เด็กชักจะยอมนอน ขึ้นมา ดังกล่าวมาแล้ว ระยะแรก ของการบริกรรม กำหนดลมหายใจ ในขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" นี้ ก็เปรียบกันได้กับ ระยะที่พี่เลี้ยง ต้องคอยส่ายหน้าไปมา ตามเปลที่ไกว ไม่ให้วางตาได้ ส่วนระยะที่สอง ที่กำหนดลมหายใจเฉพาะที่ปลายจมูก หรือที่เรียกว่า ขั้น "ดักอยู่ แห่งใดแห่งหนึ่ง" นั้น ก็คือ ขั้นที่ เด็กชักจะง่วง และยอมนอน จนพี่เลี้ยง จับตาดูเฉพาะ เมื่อเปลไกว มาตรงหน้าตน นั่นเอง
    เมื่อฝึกหัด มาได้ถึง ขั้นที่สอง นี้อย่างเต็มที่ ก็อาจฝึกต่อไป ถึงขั้นที่ ผ่อนระยะการกำหนดของสติ ให้ประณีตเข้าๆ จนเกิดสมาธิ ชนิดที่แน่วแน่ เป็นลำดับไป จนถึงเป็นฌาณ ขั้นใด ขั้นหนึ่ง ได้ ซึ่งพ้นไปจาก สมาธิอย่างง่ายๆ ในขั้นต้นๆ สำหรับ คนธรรมดาทั่วไป และไม่สามารถ นำมากล่าว รวมกัน ไว้ในที่นี้ เพราะเป็นเรื่อง ที่ละเอียด รัดกุม มีหลักเกณฑ์ ซับซ้อน ต้องศึกษากัน เฉพาะผู้สนใจ ถึงขั้นนั้น
    ในชั้นนี้ เพียงแต่ขอให้สนใจ ในขั้นมูลฐาน กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็น ของเคยชิน เป็นธรรมดา อันอาจจะ ตะล่อมเข้าเป็น ชั้นสูงขึ้นไป ตามลำดับ ในภายหลัง ขอให้ ฆราวาสทั่วไป ได้มีโอกาส ทำสมาธิ ชนิดที่อาจทำ ประโยชน์ทั้ง ทางกาย และทางใจ สมความต้องการ ในขั้นต้น เสียชั้นหนึ่งก่อน เพื่อจะได้เป็นผู้ชื่อว่า มีศีล สมาธิ ปัญญา ครบสามประการ หรือ มีความเป็น ผู้ประกอบตนอยู่ใน มรรคมีองค์แปดประการ ได้ครบถ้วน แม้ในขั้นต้น ก็ยังดีกว่า ไม่มีเป็นไหนๆ กายจะระงับ ลงไปกว่า ที่เป็นอยู่ ตามปรกติ ก็ด้วยการฝึกสมาธิ สูงขึ้นไป ตามลำดับๆ เท่านั้น และจะได้พบ "สิ่งที่มนุษย์ ควรจะได้พบ" อีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ไม่เสียที ที่เกิดมา.

    หอสมุดธรรมทาน
    ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๑
    __________
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
    ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้
    ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ


    -http://nkgen.com/343.htm-

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .



    รวมหัวข้อ ฌาน สมาธิ
    [​IMG] หัวข้อ ที่เกี่ยวข้องกับฌานสมาธิ
    [​IMG]
    ฌาน สมาธิ รวมความรู้เกี่ยวกับฌานและสมาธิ ตลอดจนองค์ฌานต่างๆ พร้อมทั้งคุณและโทษ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เพราะเป็นเรื่องที่จำต้องเกี่ยวเนื่องพัวพันกับการปฏิบัติธรรมอยู่เนืองๆ เนื่องจากเป็นมรรคปฏิบัติอย่างหนึ่ง
    นิมิตและภวังค์ เรื่องเกี่ยวกับนิมิตที่ปรากฏแสดงขึ้นแก่นักปฏิบัติ และเรื่องเกี่ยวกับภวังค์อันชวนฉงนจึงน่ารู้ ที่ย่อมเป็นทางต้องผ่านของนักปฏิบัติธรรมเป็นธรรมดา
    ปุจฉา-วิสัชชา เรื่องสมาธิ เขียนในลักษณะถามตอบปัญหาธรรม ที่มักเกิดขึ้นจากการปฏิบัติพระกรรมฐานหรือฌาน,สมาธิ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการดำเนินไปในพุทธธรรมได้อย่างถูกต้องแนวทาง
    จิตส่งใน เป็นภัยต่อนักปฏิบัติ อาการเป็นไปโดยไม่รู้ตัว เป็นอาการของจิตที่ส่งเข้าไปคอยจดจ่อจ้องเสพความสงบ,ความสุข,ความสบาย,ความอิ่มเอิบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในตน อันเป็นผลที่เกิดจากฌาน,สมาธิ ทำให้เกิดการทำอยู่เสมอทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว จึงไปก่อให้เกิดการติดสุข,ติดปีติ,ติดความสงบ เป็นการติดเพลินชนิดให้โทษ และจัดเป็นวิปัสสนูปกิเลสจากการปฏิบัติอย่างรุนแรงโดยไม่รู้ตัวในภายหน้า อาการคือ จิตส่งในไปกระทำเองเสมอๆโดยไม่รู้ตัวด้วยเป็นสังขารวิบากที่เกิดจากการสั่งสม จนสามารถกระทำได้เองด้วยความเคยชิน เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาเป็นเหตุนั่นเอง ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิมานานควรอ่านดูเป็นความรู้
    ติดสุข และ อาการต่างๆที่มักเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เป็นอาการหรือผลที่เกิดจากการไปติดเพลินจนก่อโทษทุกข์ภัยไปในความสงบ ความสุข ความสบาย ความอิ่มเอิบอันเกิดขึ้นจากอำนาจของการปฏิบัติ คือเป็นผลอย่างหนึ่งจากฌานและสมาธิเช่นกัน ซึ่งตามปกติควรยังประโยชน์ให้แก่นักปฏิบัติ แต่เมื่อไปติดในความสุข,ติดในความสงบ,ติดในความสบายเข้าเสียแล้ว กลับให้โทษทั้งต่อธาตุขันธ์และจิตขันธ์ และเป็นวิปัสสนูปกิเลสอย่างหนึ่ง อาการคือติดจนเลิกไม่ได้ เพราะเป็นสังขารวิบากที่ได้สั่งสมจนกระทำเองได้ด้วยความเคยชินนั่นเอง มีความเนื่องสัมพันธ์กับอาการจิตส่งใน
    นิวรณ์ ๕กิเลสที่ขัดขวางไม่ให้ก้าวหน้าในธรรม,ในการปฏิบัติ, นิวรณ์ ๕ เป็นธรรมที่เป็นปรปักษ์หรือเป็นธรรมคู่ปรับกับฌาน,สมาธิโดยตรง กล่าวคือจะไม่เกิดอยู่ร่วมกันโดยธรรมหรือธรรมชาติ
    สมาธิสั้นในเด็ก แสดงการเกิดสมาธิสั้นในเด็ก อันเนื่องมาจากสมาธิที่เกิดขึ้นจากการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อย่างแน่วแน่แลต่อเนื่อง
    หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ - ปัญญา หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แสดงธรรมเกี่ยวกับการใช้สมาธิและปัญญาให้ถูกต้อง
    [​IMG]

    [​IMG]แนวทางการใช้สมาธิในการปฏิบัติ
    การปฏิบัติสมถวิปัสสนา แสดงแนวทางการใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เพื่อให้ถึงซึ่งพุทธธรรม
    สัมมาสมาธิ แสดงสมาธิที่มีทั้งสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิที่พาให้หลงทางหรือเกิดวิปัสสนูปกิเลส เพื่อการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
    สมาธิขั้นใด? ที่จำเป็นในการปฏิบัติ สมาธิหรือฌานระดับใดกันแน่? ที่จำเป็นต้องใช้ในการเจริญวิปัสสนาให้ได้ผล จำเป็นต้องได้สมาธิขั้นสูงจนถึงสมาบัติ ๘ หรือไม่? จริงหรือไม่ที่สมาธิแค่ระดับขณิกสมาธิ หรือวิปัสสนาสมาธิ ก็ให้ผลในการปฏิบัติดียิ่งเหมือนกัน
    บริกรรมภาวนา แสดงบริกรรมภาวนา ที่ไม่ใช่การปฏิบัติเบื้องต้นแต่อย่างเดียว และมีเจตนาเพื่อฝึกสติเป็นสำคัญ โดยหลวงปู่เทส เทสก์รังสี
    สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ใช้ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นเรื่องที่สับสนกันมาอย่างช้านาน ด้วยมายาของจิต
    [​IMG]

    [​IMG]หลักสมถะและวิปัสสนาจากครูบาอาจารย์
    ส่องทางสมถวิปัสสนา วิธีปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาในการปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    อานาปานสติ วิธีปฏิบัติอานาปานสติเบื้องต้น ที่ใช้สติกำกับกับลมหายใจ โดยท่านพุทธทาส
    หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ-ปัญญา การใช้สมาธิและปัญญาหรือวิปัสสนาอย่างถูกต้อง เพื่อให้การปฏิบัติดำเนินไปอย่างถูกต้อง โดยหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    บริกรรมภาวนา โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กล่าวแสดงว่าการบริกรรมที่ดีไม่ใช่ของเบื้องต้นอย่างที่เข้าใจกัน


    -http://nkgen.com/903.htm-

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    [FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC]อานาปานสติ[/FONT]



    ตอนที่ 1ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ ​
    ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ จงอยู่ด้วยอานาปานสติ อย่างพระพุทธเจ้า
    จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน ดื่ม ขับถ่าย ทำครัว ทำความสะอาดบ้าน ขับรถ ทำงานทุดชนิด ให้อยู่ด้วยอานาปานสติ เดินเล่น พักผ่อน ก็ทำอานาปานสติได้
    พูดได้ว่า ชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ
    เจริณอานาปานสติ เพื่อเป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ ให้ใจเป็นศีล
    โดยเพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกันอย่างต่อเนื่องและอย่าง สม่ำเสมอ ไม่ลืม ไม่เผลอ แม้แต่ขณะที่เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัส​
    การกำหนดรู้ต้องอาศัยจิตใจที่สงบจึงจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
    ก่อนที่จะฝึกอานาปานสติ ต้องพยายามปล่อยวางความคิดต่างๆ พยายามทำใจให้นิ่ง ให้สงบเสียก่อน แม้จะเป็นความสงบเพียงชั่วคราวก็ตาม​
    อานาปานสติ ทำได้ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
    ให้มีสติระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกัน โดยเฉพาะช่วงที่ปรารภความเพียรทำได้ 24 ชั่วโมง ในวันหนึ่งทีเดียว หรือเว้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้น​
    อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น สมถกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้
    อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น วิปัสสนากรรมฐาน ให้สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ได้​
    ในอิริยาบถบางอย่างไม่สะดวกที่จะเจริญอานาปานสติ หรือกำหนดรู้ลมหายใจ
    เช่น ขณะที่กำลังขับรถบนถนน บนทางด่วน เราไม่ต้องกังวล คือไม่ต้องระลึกถึงลมหายใจ แต่ให้อยู่ในหลัก อานาปานสติให้ครบถ้วนคือ​
    ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด
    ปัจจุบัน เป็นสำคัญ
    เรื่อง อดีต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
    เรื่อง อนาคต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง

    เรื่องคนอื่น ไม่สำคัญเท่าไหร่ โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก ตัวเราเองทำดี ทำถูก นั่นแหละ สำคัญที่สุด​
    ขอให้ตั้งใจขับรถดีที่สุด อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็ใช้ได้
    ใครจะขับรถไม่ดี ไม่รักษากฎจราจร แซงตัดหน้าเรา เกือบชน เกือบมีอุบัติเหตุก็ตาม น่าโมโหอยู่ แต่ช่างมัน เรื่องความชั่วของเขาอย่าให้เราเกิดโมโห อย่าให้ใจเสีย อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ รักษาใจเป็นปกติ ใจดี แล้วทำหน้าที่ให้ดีที่สุด​
    เมื่อเราเจริญอานาปานสติเป็นประจำ เราจะมีสติตลอดเวลา
    สามารถจัดการกับงานหลายอย่างที่เร่งรัดเข้ามาในเวลาเดียวกันได้ เพราะเมื่อรู้สึกวุ่นวาย สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีโดยอัตโนมัติ จิตจะเริ่มสงบและรับรู่สิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงทีละอย่าง ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไข หรือ จัดการกับงานเหล่านั้นให้สำเหร็จทีละอย่าง และเมื่องานแล้วเสร็จ สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีที่ว่างจากงาน เป็นการพักผ่อนด้วยอานาปานสติ​
    ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ
    คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี มีสุข
    อานาปานสติ
    อานะ (อัสสาสะ) คือ ลมหายใจเข้า
    อาปานะ(ปัสสาสะ) คือ ลมหายใจออก
    อานะ + อาปานะ คือ อานาปานะ ลมหายใจเข้า ลมหาใจออก
    สติคือ ความระลึกรู้ การกำหนดรู้ในปัจจุบัน ไม่ใช่การคิด จำเอา
    อานาปานสติ คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลหายใจออก ในปัจจุบัน แต่ละขณะ​
    อิริยาบถแห่งอานาปานสติ
    หลวงพ่อชาอธิบายว่า
    “เมื่อใดที่เราระลึกรู้ลมหายใจ ก็เป็นอานาปานสติเมื่อนั้น”
    ลมหายใจนี้อยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน แม้ขณะหลับอยู่ก็มีลมหายใจ
    เฉพาะอานาปานสติขั้นที่ 4 เท่านั้น ที่ต้องระงับลมหายใจแล้วเข้าสู่ฌาน​
    ในการปฏิบัติเราต้องอาศัยอิริยาบถนั่งมากเป็น พิเศษ ทำให้หลายท่านพูดว่า การเจริญอานาปานสติทั้งในอิริยาบถ ยืน เดิน นอน นั้นผิดพุทธบัญญัติ ต้องเข้าป่าแล้วก็นั่งขัดสมาธิเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วในอานาปานสติสูตรท่านก็ไม่เคยบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ใน อิริยาบถยืน เดินนอน แต่ที่นั่งเจริญอานาปานสติ ก็พราะว่าสะดวก ยิ่งอานาปานสติขั้นที่ 4 นั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะระงับกายสังขาร เข้าฌาน ก็ต้องนั่ง
    การปฏิบัติในเบื้องต้น ให้พยายามรักษาความรู้สึกที่ดี หรือจิตที่เป็นกุศลเอาไว้ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า-ออก ในทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน สำหรับบางคนอิริยาบถยืน เดิน อาจจะเหมาะมอกว่านั้น แต่เมื่อจะฝึกเข้าฌานหรือวิปัสสนาขั้นละเอียด อิริยาบถนั่งน่าจะเหมาะสมกว่า​
    ในที่สุด กำลังสติปัญญา ก็ต้องเสมอกัน ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เรียกว่า “อิริยาบถเสมอกัน” เป็นมหาสติ มหาปัญญา​
    [​IMG] อิริยาบถยืน : ยืนอานาปานสติ
    ยืนอย่างสำรวม เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร ประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อยืนได้อย่างมั่นคง และเอามือขวาทับมือซ้าย วางลงที่หน้าท้องเหมือนกับท่านั่ง เพื่อให้ดูเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะปล่อยมือข้างๆ ตัว ตามสบายๆ แบบโครงกระดูกที่ถูกแขวนไว้ก็ได้​
    จากนั้นทอดสายตาให้ยาวพอดีๆ ประมาณเมตรครึ่ง แต่ไม่ให้จ้องอะไร กำหนดสายตาไว้ครึ่งๆ ระหว่างพื้นดินกับตัวของเราเอง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ดูอะไรเป็นพิเศษนั่นเอง หรืออาจกำหนดดูที่ปลายจมูกก็ได้​
    บางครั้งอาจจะกำหนดสายตาไว้ที่ที่สบายตา เช่น กำหนดที่สนามหญ้าสีเจียว ต้นไม้ ดอกไม้ หรือสระน้ำ แต่ไม่ให้คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว​
    ถ้ารู้สึกมีอะไรเกะกะตาหรืออยู่ด้วยกันหลายคน อาจจะหลับตาก็ได้เหมือนกัน แต่ระวังอย่าให้ล้ม ต้องมีสติ ทรงตัวไว้ให้ดี​
    หายใจจากทางเท้า
    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ
    หายใจออกสบายๆ ปล่อยลมลงตามตัวทางเท้า​
    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ ตั้งกายตรง
    หายใจออก ปล่อยลมลงทางเท้า สบายๆ 2-3 ครั้ง หรือ 3-4 ครั้ง
    หายใจเข้าลึกๆ หน่อยๆ
    หลังจากนั้น หายใจสบายๆ ธรรมดาๆ แต่ส่งความรู้สึกให้มันถึงเท้าทุกครั้ง ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ลมเข้า ลมออก ยาวขึ้น​
    โอปนยิโก น้อมจิตเข้ามาดูกายยืน ไม่ให้ส่งจิตคิดออกไปข้างนอก ให้มีความรู้ตัวชัดๆ ในการยืน ยืนเฉยๆ ทุกอย่างให้มันเป็นธรรมดาๆ ยืนสบายๆ นั่นแหล่ะดี และถูกต้อง รู้ชัดว่ากายกำลังยืน รู้ชัดว่าลมหายใจปรากฏอยู่
    ลมหายใจปรากฏอยู่อย่างไรก็รับรู้ รับทราบ กำหนดรู้ ระลึกรู้เฉยๆ มีหลักอยู่ว่า ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น​
    การระลึกรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า คือ การรักษาใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ให้ติดอารมณ์​
    การหายใจให้ปล่อยตามธรรมชาติและธรรมดาที่สุด สบายๆ ที่สุด กำหนดเบาๆ ให้พยายามมีความรู้สึกนิดหน่อยว่า มีลมเจ้า มีลมออก ทุกครั้งไปเท่านั้น ถ้าสบาย สงบ มีความสุข แสดงว่า กำหนดได้ถูกต้อง​
    ถ้ากำหนดลมหายใจแล้วรู้สึกเหนื่อย เครียดและสับสน แสดงว่ากำหนดไม่ถูกต้อง ให้พิจารณาทบทวนใหม่ อย่าบังคับลมหายใจมากมาย หายฝขสบายๆ เป็นธรรมชาติที่สุด การส่งความรู้สึกหรือจิตไปถึงเท้า ก็เพื่อให้ลมหายใจค่อนข้างยาวขึ้นตามธรรมชาตินั่นเอง​
    นี่เป็นวิธีการหายใจจากทางเท้า​
    การฝึกระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการฝึกเจริญสติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย​
    ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
    เป็นการตั้งเจตนาถูกต้อง​
    เป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ คือ ใจสงบ ใจเป็นศีล คีลถึงใจเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาปฏิปทา​
    [​IMG] อิริยาบถเดิน : เดินอานาปานสติ
    การเดินที่ถูกต้องคือ การเดินธรรมดา
    เอากาย เอาใจ มาเดิน เมื่อกายกำลังเดิน ให้ใจเดินด้วยกัน ไม่ใช่ว่า เมื่อกายกำลังเดิน ใจคิดไปเที่ยวในอดีต อนาคต หรือคิดเที่ยวไปในโลก อย่าให้กายกับใจทะเลาะกัน อยู่คนละทิศ คนละทาง ให้กายกับใจสามัคคีกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน
    ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวพร้อมในการเดิน เดินให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติมากที่สุด​
    ลักษณะการเดิน
    มีมากมายหลายวิธี แล้วแต่สำนักและครูบาอาจารย์
    เดินช้า ๆ ช้ามาก ๆ ชั่วโมงละ 10 – 40 เมตร ก็ได้
    ค่อย ๆ เดิน
    เดินอย่างธรรมดา
    เดินเร็ว
    วิ่งก็มี
    โยมคนหนึ่งบอกอาจารย์ว่า หลวงพ่อใหญ่ (พระอาจารย์มั่น) เดินเร็วมาก ท่านเดินกลับไปกลับมาและเดินเร็วมาก​
    วิธีกำหนดขณะที่เดิน
    มี 2 วิธีด้วยกัน คือ กำหนดที่กาย และกำหนดที่จิต​
    วิธีกำหนดกาย คือ การตั้งกายเพ่งกำหนดดูการเคลื่อนไหวของเท้า เช่น เดินช้า ๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ค่อย ๆ เดิน พยายามกำหนดรู้ เท้าสัมผัสดิน หรือทำความรู้สึกอยู่ที่การก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว บางทีก็ให้นึกก้าวขาขวาว่า พุท ก้าวขาซ้ายว่า โธ ขวาพุท ซ้ายโธ พุทโธ ๆ เป็นต้น​
    วิธีกำหนดจิต ตั้งใจรักษาจิต หรือ พินิจพิจารณาในหัวข้อธรรมต่างๆ ไม่ต้องกังวลในอิริยาบถ ย่าง เหยียบ ฯลฯ เช่น พิจารณาความตาย พิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ หรือแยกออกเป็น ธาตุ 4 เป็นต้น เดินธรรมดาหรือเดินเร็ว หรือ เดินช้า ๆ แล้วแต่จริตนิสัย ของแต่ละบุคคล ไม่ต้องกังวลในเท้าที่เคลื่อนก้าวไป​
    การฝึกอานาปานสติ จะกำหนดทั้งกายและจิตพร้อมกัน
    ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คือ กาย
    จิตก็อยู่ที่ลมหายใจเฉพาะหน้า
    การกำหนดรู้ลมหายใจ จึงเป็นการตามดูจิต
    เป็นการรักษาจิตด้วย​
    เดินจงกรม
    เราจะฝึกเดินจงกรมแบบธรรมชาติที่สุด ให้เดินธรรมดา ๆ แต่ช้ากว่าปกตินิดหน่อย ขวาก้าว ซ้ายก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว เดินไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ คือ เดินจงกรม เดินเฉย ๆ ธรรมดา ๆ แต่ให้มีอาการสำรวม ระวังในการเดิน ​
    มีสติ ระลึกรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ทุกครั้ง​
    บางคนอาจจะไม่เคยชินกับการกำหนดลมหายใจขณะเดิน เพราะว่าความรู้สึกที่เท้ากำลังก้าวอยู่ ความรู้สึกที่ฝ่าเท้ากำลังถูกดิน ความรู้สึกในการเดินเด่นชัดมากกว่าลมหายใจหลายเท่า หลายสิบเท่าก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องสงสัยอะไร​
    อะไรที่กำลังปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ รับรู้ รับทราบหมด รู้ชัดว่ากายกำลังเดิน แต่เราไม่ทิ้งลมหายใจ ให้มีความพยายามที่จะกำหนดรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้นิดหน่อยว่า ลมเข้า ลมออก เท่านั้น เบาขนาดไหนก็ช่างมันแต่ให้มันรู้ติดต่อกัน​
    เดินไป เดินมา เริ่มจะเมื่อยคอ เมื่อยหลัง หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง ยืดตัวหน่อยๆ เป็นระยะๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายความรู้สึก​
    ทำให้เบาตัว สบายตัว เดินไปเรื่อยๆ ถ้าจิตไม่สงบ หยุดเดินก่อนก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง หรือนานพอสมควร จนกว่าจิตจะสงบเรียบร้อย ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วค่อยๆ เดินต่อไป ​
    เดินกำหนดอานาปานสติ เหมือนการยืนกำหนดอานาปานสติ ต่างกันเพียงการเคลื่อนไหวของกายเท่านั้น ​
    ไม่ว่าจะวิ่ง เดินเร็ว เดินธรรมดา เดินช้า หยุดอยู่ คือ ยืน เรามีหน้าที่ ระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกันเท่านั้น​
    หาจุดสบายๆ หายใจเข้า สบายๆ หายใจออก สบายๆ เป็นการเจริญสติที่ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการรักษาจิตใจให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย ใจให้สบายๆ กายสบาย สบายๆ ​
    อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี 5 อย่าง คือ​

    1. เป็นผู้ทนต่อความเพียร
    2. เป็นผู้ทนต่อาการเดินไกล
    3. เป็นผู้มีการเจ็บไข้น้อย
    4. อาหารที่บริโภคเข้าไปย่อมย่อยง่าย
    5. สมาธิ ซึ่งได้ขณะเดินจงกรม ดำรงอยู่ได้นาน
    เอกสารอ้างอิง

    1. พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก. อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข 1 ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ. ธรรมบรรยาย เล่มที่ 11.
      กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิมายาโคตมี; 2550.


    -http://www.drrungrueng.org/data/flame/anapanasati.html-

    .
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ต้องบอกว่า ลุง อ.เพชร นี่ทำนายได้แม่นยำ ฟันธงเลยครับ ตกลงท่านโด แข่งไวโอลิน ensemble ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศอีก5-6เดือนข้างหน้าครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ต้องบอก ว่า ลุง อ.เพชร นี่ทำนายได้แม่นยำ ฟันธงเลยครับ ตกลงท่านโด แข่งไวโอลิน ensemble ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศอีก5-6เดือนข้างหน้าครับ หุ หุ

    [​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table>

    ยอดเยี่ยมมากครับท่านโด

    คิดถึงม๊ากมาก จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



    .
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หุ..หุ...ตรงกับฤกษ์นั้น และมีความตั้งใจ และมีสามารถ ไม่พลาดครับ ความจริงเงื่อนไขที่ต้องใช้ทำนายมีมาก แต่เอาง่ายๆ...

    ขอแสดงความยินดีกับท่านโด สำหรับความสำเร็จเบื้องต้น ด่านสุดท้าย หากจวนตัวนี่ ขอปู่พระองค์ท่านช่วยเป็นกำลังใจดีมากๆ เรื่องศิลปะ ท่านย่าเก่งมากๆ...:cool:
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    กรรมฐาน ๔๐ กอง จริตเราชอบกองไหนก็ลองไปก่อน กรรมฐานแต่ละกอง ก็จะมีสำนักที่เชี่ยวชาญแนะนำทั่วไปอยู่แล้ว หรือจะพิจารณาตำรา กรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ได้ครับ จริตบางท่านก็ชอบมหาสติปัฏฐาน ๔ บางท่านก็ฝึกไปทางอภิญญา..

    สมาธิมี ๔ อิริยาบถคือ เดิน ยืน นั่ง นอน ผู้คนส่วนมากจะพูด หรือแนะนำ ท่านั่ง แต่ผมเอาสะดวก เดินจงกรมบ้าง ยืนเมื่อยก็นั่ง นั่งไม่ไหวก็นอน บางครั้งพูดว่า นั่งสมาธิ คนไม่เข้าใจก็รู้สึกว่ามันเมื่อย ขาเป็นเหน็บ นั่งสมาธิ แต่จิตไม่เป็นสมาธิมีถมไป ท่านั่ง เดิน ยืน นอน เราเห็นด้วยตา แต่ไม่มีใครรู้ว่า ข้างในจิต แท้จริงเป็นสมาธิหรือไม่ บางทีให้เวลา ๒๐ นาที ก็ฟุ้งซ่านไปทั้ง ๒๐ นาที นี่เพียงแค่ท่า ยังไม่ได้เริ่มเลยครับ หลวงพ่อท่านก็แนะนำให้ทำตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่า เวลานั่งถ่าย อาจตายกระทันหันได้ สมาธิจึงทำได้ทุกเวลา

    ครูบาอาจารย์ไม่ได้ให้ไปแนะนำผู้ใด ธรรมดายังเอาดีไม่ได้ จึงแนะนำเพียงหาตำรามาอ่านก่อนครับ ชอบปฏิปทาของใครก็ลองศึกษาธรรมะ+แนวทางของท่านนั้น เมื่อทำได้แล้ว เราก็ไม่ได้เกิดความอยากจะไปเปลี่ยนไปใช้ของคนนั้นคนนี้ การที่มีกรรมฐาน ๔๐ กอง ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า จริตคนไม่เหมือนกัน บางคนก็เริ่มที่อานาปานฯ บางท่านก็ถือดวงกสิณก่อน ผมเคยไปเข้า course ของพระอาจารย์วิริยังค์ วัดธรรมมงคล 2 หลักสูตร จาก ๓ หลักสูตร เพราะเห็นว่า น่าจะไม่ใช่แนวทางของเรา แต่ก็เข้าใจการเดินจงกรม การทำสมาธิเพื่อสะสมพลังจิต..
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แบงก์เตือน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อาละวาดหนัก! แฉพฤติกรรมลวงเหยื่อก่อนเชือด <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">13 มกราคม 2555 13:25 น.</td> </tr></tbody></table>

    ธ.กสิกรไทย ฝากเตือน ปชช.ระมัดระวัง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ยังระบาดหนัก อ้างตัวเป็น จนท.ทวงหนี้บัตรเครดิต กสิกรฯ ปปง. ธปท. สตง.เพื่อหลอกเหยื่อ โดยสร้างเรื่องให้วิตกกังวลในการที่จะเข้าไปพัวพันกับคดีต่างๆ แนะให้ตั้งสติพิจารณาให้ดี อย่าได้รีบเร่งดำเนินการใดๆ หากพบพิรุธให้แจ้งเจ้าหน้าที่ในทันที

    นายอาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่มีกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อ้างชื่อ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อทวงหนี้บัตรเครดิต และแอบอ้างชื่อของหน่วยราชการต่างๆ อาทิ สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อลวงถามข้อมูลส่วนตัวข้อมูลการเงิน แล้วสร้างเรื่องให้วิตกกังวลเรื่องหนี้สิน การถูกแอบอ้างชื่อทำบัตรเครดิต หรือการเข้าไปเกี่ยวพันกับแก๊งค้ายาเสพติด และหลอกให้เหยื่อทำธุรกรรมการเงินผ่านเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) หรือเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ ซึ่งได้ส่งผลเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง

    ธนาคารกสิกรไทย ขอชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูล หรือติดตามหนี้ แล้วให้ลูกค้าไปทำรายการต่างๆ ผ่านเครื่องเอทีเอ็ม หรือเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติแต่อย่างใด ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทย ให้ความสำคัญในการหาแนวทางป้องกันการทุจริตจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามจับกุมแก๊งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการตั้งทีมงานควบคุมและป้องกันการทุจริตขึ้นมาศึกษา ติดตามพฤติกรรม และหาวิธีป้องกันการทุจริตของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เริ่มตั้งแต่กระบวนการเปิดบัญชีของบุคคลและกลุ่มคนที่น่าสงสัย การติดตามการทำรายการทางการเงิน ทั้งฝาก โอน และถอนเงิน ซึ่งหากพบว่าน่าสงสัยจะอายัดบัญชี และติดต่อเจ้าของบัญชีทันที ทั้งนี้เพื่อพยายามป้องกันไม่ให้คนร้ายใช้บัญชีของธนาคารกสิกรไทยเป็น เครื่องมือในการกระทำการทุจริตต่อลูกค้าในรูปแบบใดๆ

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวมักจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวง ชื่อธนาคาร และหน่วยงานที่นำมาแอบอ้างไปเรื่อยๆ ดังนั้น หากลูกค้าได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ไม่คุ้นเคยสอบ ถามข้อมูลการเงิน หรือสร้างเรื่อง ซึ่งอาจจะทำให้วิตกกังวลในการที่จะเข้าไปพัวพันกับคดีต่างๆ ขอให้ตั้งสติพิจารณาให้ดี อย่าได้รีบเร่งดำเนินการใดๆ และหากไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์เข้าไปสอบถามรายละเอียดได้ที่ K-Contact Center โทร.0 2888 8888 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    สำหรับล่าสุดกรณีการหลอกลวงข้าราชการบำนาญ จนสูญเสียเงินไปร่วม 30 ล้านบาทนั้น รายการถอนเงินเกือบทั้งหมดเป็นการถอนจากสหกรณ์ออมทรัพย์ แล้วนำเงินสดไปฝากเข้าบัญชีคนร้าย 85 บัญชี ที่เปิดไว้กับธนาคารแห่งหนึ่งผ่านเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติของหลายธนาคาร ซึ่งบัญชีที่เกี่ยวพันกับการทุจริตทั้งหมดในครั้งนี้ไม่มีบัญชีของธนาคาร กสิกรไทย ทั้งนี้เหตุการณ์ล่าสุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการหลอกลวงที่ได้ เปลี่ยนจากการหลอกให้ทำธุรกรรมผ่านเครื่องเอทีเอ็ม ไปเป็นการให้ฝากเงินผ่านเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติแทน


    -http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000005426-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    เปิดปูม 3 เทพ "สไนเปอร์" คุยส่องเวียดกงดับกว่า 400 <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">14 มกราคม 2555 15:02 น.</td> <td valign="middle" align="left">


    </td></tr></tbody></table>


    [​IMG] <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="850" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="850" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">
    เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) นายพลนาซีในนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ยืนนิ่งกับที่หลังรู้ตัวว่าพลาด แพ้เหลี่ยมคมของวาสสิลิ เซ้ตซอฟ (Vassili Saytsev) โดยลุกออกจากจุดซุ่ม ขณะที่มือเพชรฆาตซึ่งแสดงโดย จูด ลอว์ (Jude Law) ยืนเล็งปืนอยู่ระหว่างตู้รถไฟ ก่อนลั่นกระสุนสังหารอย่างแม่นยำในฉากไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์ Enenmy at the Gate ฮอลลีวูดคือโลกแห่งมายา ภาพยนตร์ที่สร้างออกมาอาจจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ที่แน่ๆ ฌ็อง-ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) ผู้สร้างและกำกับ ได้ทำให้สุดยอดสไนเปอร์แห่งกองทัพแดงอดีตสหภาพโซเวียตเป็นที่รู้จักไปทั่ว โลก แต่อีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา ด้วยอาวุธที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ได้ทำให้เกิดสไนเปอร์ระดับเทพอีกหลายคนในช่วงสงครามเวียดนามและสงครามใน อัฟกานิสถาน. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ต้องขอบคุณภาพยนตร์ Enemy at the Gate ที่ทำให้โลกรู้จักวาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev) พลแม่นปืนที่ขับเคี่ยวกับนายทหารนาซีคนหนึ่งนาน 3 สัปดาห์ และ กลายเป็นผู้พิชิตนายพลสุดยอดฝีมือในศึกสตาลินกราด เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่ภาพยนตร์คือมายา ถึงแม้เซ้ตซอฟจะมีตัวตนอยู่จริงและเป็นสไนเปอร์ระดับเทพจริง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่จริง

    ไม่นานเพียง 2-3 ทศวรรษหลังศึกสตาลินกราด สไนเปอร์ชั้นเทพได้จุติขึ้นมาอีก 3 คน ในยุคสงครามเวียดนาม ทั้งหมดเป็นทหารอเมริกัน ซึ่งเมื่อรวมผลงานแล้ว สามเทพสามารถ "เก็บ" ฝ่ายข้าศึกได้รวมกันกว่า 400 คน

    เว็บไซต์ข่าวการทหารในสหรัฐฯ ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมจัดให้สไนเปอร์อเมริกันทั้งสาม เข้าอันดับ "10 สไนเปอร์มือหนึ่ง" นับแต่มีคนกลุ่มนี้อยู่ในโลก

    แต่ไม่ใช่แค่จำนวนเป้าหมายที่พวกเขา "ล้ม" ได้เท่านั้น ความสามารถพิเศษกับความทรหดอดทน เป็นคุณสมบัติสำคัญเช่นกันในการจัดอันดับเทพสไนเปอร์ทั้งสิบ

    1. คาร์ลอส นอร์แมน แฮธค็อกซ์ที่ 2 (Carlos Norman Hathcock II)
    .

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="575" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="575" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    แฮธค็อกซ์ เกิดวันที่ 20 พ.ค.2485 ถึงแก่กรรม 1 เม.ย.2542 เคยเป็นนักยิงปืนล่ารางวัลและได้รับหลากหลายรางวัลก่อนจะอาสาไปเวียดนาม ซึ่งพลทหารคนนี้สามารถ "ล้ม" ข้าศึกได้ 93 คนเท่าที่ยืนยันได้ และ ยังมีเป้าหมายที่ไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตไม่ได้อีกนับร้อย

    มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า กองทัพเวียดนามเหนือตั้งค่าหัวแฮธค็อกซ์ถึง 30,000 ดอลลาร์ หลังจากสังหารกำลังพลของฝ่ายนั้นไปมากมาย รวมทั้งระดับรองแม่ทัพคนหนึ่ง

    แฮธค็อกซ์เป็นสไนเปอร์เพียงคนเดียวในสงครามเวียดนาม ที่ "สอย" นักซุ่มของฝ่ายข้าศึกคนหนึ่งโดยยิงทะลุกล้องติดปืน ซึ่งมีเพียงโอกาสเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ทั้งสองฝ่ายเล็งปืนเข้าหากันในเวลาเดียวกัน แฮธค็อกซ์ลั่นไกก่อนและมันพุ่งทะลุเข้าลูกตาอย่างแม่นยำ

    เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่หมวดนาวิกโยธินที่แฮธค็อกซ์สังกัด กำลังลาดตระเวน สไนเปอร์ของเวียดนามเหนือเปิดฉากยิงจากระยะไกลแต่พลาด พลทหารโรแลนด์ เบิร์ค (Roland Burke) พลชี้เป้ามองเห็นแสงสะท้อนจากเลนส์กล้องติดปืน แฮธค็อกซ์เล็งไปที่นั่นทันทีทันใด และสร้างตำนานให้สไนเปอร์รุ่นหลังเล่าขาน

    ครั้งหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้ "เก็บ" นายพลเวียดนามเหนือคนสำคัญ แฮธค็อกซ์ปฏิบัติการเวลากลางคืน พรางตัวและคลานเป็นระยะทาง 1,500 หลาเข้าพื้นที่เป้าหมาย ช่วงหนึ่งเขาเกือบถูกงูเห่าฉก และอีกครั้งหนึ่งเกือบจะถูกทหารเดินยามเวียดนามเหนือคนหนึ่งเหยียบ

    แฮธค็อกซ์คลานถึงจุดซุ่ม เมื่อเป้าหมายไปถึงเขาก็พร้อมอยู่แล้วและเหนี่ยวไกทันที ท่านนายพลโดนเข้ากลางอกล้มลง ทหารฝ่ายนั้นออกค้นหาสไนเปอร์จ้าละหวั่น พลทหารนักแม่นปืนต้องคลานกลับอีก 1,500 หลา ให้พ้นพื้นที่ข้าศึก

    และ นี่คือสุดยอดสไนเปอร์ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 2 ในสังเวียนระดับโลก

    2. เอเดลเบิร์ต เอฟ วัลดรอน (Adelbert F Waldron)
    .

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="400" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="400" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    เกิดวันที่ 14 มี.ค.2476 ถึงแก่กรรม 18 ต.ค.2535 "เก็บ" ฝ่ายเวียดนามเหนือได้ 109 คน แต่ได้รับการยกย่องเป็นนักแม่นปืนที่แม่นยำที่สุดและมือดีที่สุดคนหนึ่งของ นาวิกฯ สหรัฐ

    พ.อ.ไมเคิล ลี แลนนิง (Michael Lee Lanning) นายทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนาม ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ว่า บ่ายวันหนึ่งขณะหมวดลาดตระเวนกำลังแล่นเรือไปตามลำน้ำโขง มีข้าศึกยิงจากฝั่งในระยะไกลโดนเข้าลำเรือ และขณะที่คนอื่นๆ ตื่นตระหนกหาที่หลบซ่อน จ่าวัลดรอนมองเห็น เขายกปืนขึ้นเล็งและสอยเวียดกงนักซุ่มลงจากต้นมะพร้าวที่อยู่ห่างออกไปราว 900 หลา

    มือวางอันดับ 2 ในสงครามเวียดนามและอันดับ 3 ในระดับโลก ได้รับการยกย่องในความมีสติ กับความแม่นยำยิ่ง ในเหตุการณ์ดังกล่าว เขาประทับไหล่ยิงขณะที่เรือยังคงแล่นไปข้างหน้า ซึ่งยากมากที่จะ "สอย" เป้าหมายที่อยู่ไกลขนาดนั้น

    "นี่คือพลแม่นปืนที่ดีที่สุดของเราคนหนึ่ง" พ.อ.แลนนิง เขียนเอาไว้ในหนังสือ "Inside the Crosshairs: Snipers in Vietnam"

    3. ชาร์ลส์ "ชัค" มอวินนีย์ (Charles ‘Chuck’ Mawhinney)
    .

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="625" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="625" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    เกิดปี พ.ศ.2492 เกิดในครอบครัวชาวนาแห่งทุ่งแพรรี่ ล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังเล็ก สมัครเข้ารับใช้ชาติในปี 2510 และ เพียง 16 เดือนในเวียดนาม พลทหารมอวินนีย์ ซัดข้าศึกด่าวดิ้นต่อหน้า 103 คน อีก 216 คน โดน "ส่อง" และอาจถึงแก่ชีวิต ในช่วงปีดังกล่าวเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะค้นหาศพเพื่อยืนยัน

    เมื่อปลดประจำการจากกองกำลังนาวิกโยธิน "ชัค" ไม่ปริปากเรื่องเวียดนามกับใคร มีเพื่อนนาวิกฯ เพียงไม่กี่คนที่รู้ จนอีก 20 ปีต่อมาหนึ่งในคนเหล่านั้นจึงเปิดเผยเรื่องราวอันน่าทึ่งของเขาออกมาให้โลก รู้จัก ซึ่งขณะนั้นมอวินนีย์เป็นครูสอนวิชายิงปืนที่สถาบันแห่งหนึ่ง

    "มันเป็นการล่าที่สุดยอด- คนๆ หนึ่งออกล่าอีกคนหนึ่งที่กำลังตามล่าตัวเขาเช่นเดียวกัน อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับการล่าสิงโตล่าช้างอย่างเด็ดขาด- สัตว์พวกนั้นไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ ไม่ได้ยิงโต้ตอบคุณด้วยไรเฟิ้ลติดกล้อง ผมรักการล่า (ในเวียดนาม) อย่างจับใจและรู้สึกพอแล้ว" เพื่อนนาวิกฯ ที่เขียนเรื่องราวของเขา อ้างคำพูดอันเป็นวรรคทองของมอวินนีย์

    ระยะซุ่มยิงของมอวินนีย์จะอยู่ระหว่าง 300-800 หลา แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาสอยข้าศึกร่วงจากระยะกว่า 1,000 หลา ซึ่งทำให้มอวินนีย์เป็นเทพสไนเปอร์อันดับ 3 ในสงครามเวียดนาม และนี่คือมือวางอันดับ 8 ของโลก

    <center> 10 เทพตลอดกาล </center>

    อีก 7 คนที่ขึ้นทำเนียบ 10 สุดยอดสไนเปอร์ จัดอันดับจากยอดนักแม่นปืน ตั้งแต่ยุคอาณานิคมในอเมริกาเหนือ ถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2

    1. สิโม ฮาห์ยา (Simo Häyhä)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="585" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="585" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    ในช่วงสงครามกับรัสเซีย พ.ศ.2482-2483 ในเวลาเพียง 100 วัน พลทหารกองทัพเล็กๆ ของฟินแลนด์คนนี้สังหารทหารรัสเซีย 505 คนด้วยปืนไรเฟิ้ลไม่ติดกล้อง กับอีกราว 200 คนด้วยปืนกล รวมผลงาน 705 ศพ

    ฮาห์ยาบอกกับคนใกล้ชิดในเวลาต่อมาว่า กล้องติดปืนเป็นอันตรายอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมด้วยหิมะ มันอาจสะท้อนแสงวาววับเมื่อไรก็ได้ ซึ่งจะทำให้ข้าศึกมองเห็นจุดซุ่มยิง เทคนิคการเอาชีวิตรอดอีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะลั่นไกเขาจะอมหิมะเอาไว้ ป้องกันมิให้ลมหายใจที่พวยพุ่งออกมากลายเป็นไอให้เห็น ภายใต้อุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นที่สังเกตของฝ่ายตรงข้าม

    จุดซุ่มของเขาจะมีหิมะปกคลุมช่วงปลายกระบอกปืนเอาไว้เสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ ไม่ให้ไอร้อนจากการยิงพวยพุ่งขึ้น

    เมื่อเขายิงสังหารฝ่ายรัสเซียเป็นจำนวนมากขึ้นทุกทีๆ ฝ่ายนั้นส่งทหารทั้งกองร้อย ออกค้นหาทั่วทั้งป่าและทุ่งหิมะ แต่ก็ไม่เคยพบ "ความตายสีขาว" (White Death) อันเป็นฉายาที่ข้าศึกมอบให้ด้วยความเคารพเลื่อมใส

    ..........

    ..........

    4. ฟรานซิส พีกะมากาโบว์ (Francis Pegahmagabow)
    เกิด 1 มี.ค.2431 ถึงแก่กรรม 5 ส.ค.2495 เป็นพลทหารชาวแคนาดา เป็นสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีประวัติสังหารทหารเยอรมันถึง 378 คน จับได้อีก 300 คนเศษ ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักสะกดรอยและสอดแนมในพื้นที่ยึดครองของข้าศึก
    .
    5. ลูดมิลา ปาฟลิเชนโก (Lyudmila Pavlichenko)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="615" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="615" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    เกิด 12 ก.ค.2459 ถึงแก่กรรม 10 ต.ค.2517 สมัครเข้าเป็นทหารเดือน มิ.ย.2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะกองทัพนาซีบุกสหภาพโซเวียต เธอเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิงราว 2,000 คนของกองทัพแดง ปฏิบัติการในเซวาสโตโปล (Sevastopol) คาบสมุทรไครเมีย ในทะเลดำ

    “นักฆ่าหน้าหวาน” มีประวัติสังหารนาซี 309 คน ในนั้น 36 คนเป็นสไนเปอร์เช่นเดียวกับเธอ
    .
    6. วาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="625" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="625" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .
    เกิด 23 มี.ค.2458 ถึงแก่กรรม 15 ธ.ค.2544 ดูจะเป็นสไนเปอร์ที่โลกรู้จักมากที่สุด ผ่านภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ ฌ็อง –ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) สร้างและกำกับ จูด ลอว์ (Jude Law) ประชันบทกับ ริชาร์ด ไฟนส์ (Richard Fiennes) เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) กับ เรเชล ไวส์ (Rachel Weisz)

    เซ้ตซอฟเข้าเป็นทหารกองทัพแดงของอดีตสหภาพโซเวียต เขาสังหารนาซีได้ 242 คน ระหว่างเดือน ต.ค.2485 ถึง ม.ค. 2486 ที่กองทัพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยึดครองนครสตาลินกราด (Stalingrad) เรื่องราวอันแท้จริงของเขาไม่มีรายละเอียดมากนัก เพียงแต่ว่าเขาสามารถสังหารเออร์วิน โคนิก (Erwin Kónig) สุดยอด "มือปราบสไนเปอร์" ของนาซีได้ และได้ปืนของคู่ต่อสู้เป็นรางวัลเกียรติยศ เนื่องจากเป็นของคนที่เป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกันกับตัวเขา
    .
    7. ร็อบ เฟอร์ลอง (Rob Furlong)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="334" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="334" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left"><center> โรเบิร์ต เฟอร์ลอง </center></td></tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เป็นอดีตพลทหารกองทัพแคนาดา ปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เป็นสไนเปอร์ที่ยิงสังหารได้จากระยะไกลที่สุดเท่าที่มีการบันทึกในประวัติ ศาสตร์ คือ 1.51 ไมล์ หรือ 2,430 เมตร

    ร็อบยิงด้วยปืน TAC 50 ขนาด .50 มม.ของแม็คมิลลันบราเดอร์ส (McMillan Brothers) และ ยิงด้วยกระสุน A-MAX เป้าหมายเป็นผู้นำระดับปฏิบัติการคนสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์ นัดแรกของเขาพลาดเป้า นัดที่สองโดนเป้สะพายหลัง

    ตอนกระสุนนัดที่ 2 โดนนั้น ร็อบได้เหนี่ยวไกยิงนัดที่ 3 ออกไปแล้ว แต่ก็เป็นช่วงที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวว่าถูกลอบยิง ระยะทางขนาดนั้นกระสุนแต่ละนัดใช้เวลาราว 3 วินาที แหวกอากาศสู่เป้าหมาย ซึ่งนานพอที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวว่าโดนซุ่มและหลบหาที่กำบัง

    แต่นักฆ่าชาวแคนาดามีสติมั่นคง เพียง 3 วินาทีก็มากพอที่จะยิงซ้ำนัดที่ 3 ซึ่งพุ่งเข้าทะลุหน้าอกของเป้าหมายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนร่วมทีม สังหารอีก 3 คน

    ..........

    9. “จ่าเกรซ” (Sgt Grace)
    ทหารราบพลปืนสังกัดกองพันทหารราบจอร์เจียที่ 4 ของฝ่ายสหพันธรัฐ ในช่วงสงครามกองทัพกับอังกฤษ เป็นผู้สังหารนายพลจอห์น เซ็ดจ์วิค (Gen John Sedgwick) ของฝ่ายข้าศึกจากระยะ 1,000 หลา

    จ่าเกรซยิงพลาดนัดแรกทำให้ทหารอังกฤษวิ่งหาที่กำบัง แต่นายพลเซ็ดจ์วิคยังอยู่ที่เดิม และ ยังดุผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตกใจกลัวเกินเหตุ ทั้งๆ ที่สไนเปอร์ยิงจากระยะไกลขนาดนั้น ท่านนายพลดุทหารซ้ำอีกครั้งว่า “ระยะขนาดนั้นยิงช้างยังไม่โดนเลย”

    แต่กระสุนนัดที่ 2 ของจ่าเกรซเจาะทะลุเข้าที่บริเวณใต้ตาข้างขวาของนายพลเซ็ดจ์วิค ซึ่งกลายเป็นผู้เสียชีวิตระดับสูงที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสงครามแย่งดินแดน อาณานิคมในอเมริกาเหนือ

    และเรื่องที่ขำไม่ออกก็คือ จ่าเกรซซุ่มยิงด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อวิธเวิร์ธ (Whitworth) ที่ผลิตในอังกฤษ

    10. โทมัส พลันเกตต์ (Thomas Plunkett)

    พลทหารชาวไอริชสังกัดกองทัพอังกฤษประจำการในแคนาดา เป็นผู้ยิงสังหารนายพลออกุสเต-มารี-ฟรังซัว โกลแบร์ต (Auguste-Marie-François Colbert) จากระยะไกล 600 เมตร ด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อเบเคอร์ (Baker)

    พลันเกตต์ไม่ได้ฟลุก เขายิงพลแตรของฝ่ายฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ที่เข้าไปช่วยเหลือท่านนายพลขณะใกล้จะสิ้นลม ถือเป็นผลงานสุดยอดด้วยไรเฟิ้ลในศตวรรษที่ 19

    ไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับพลทหารยอดฝีมือจากไอร์แลนด์ ทราบแต่ว่าเสียชีวิตในปี พ.ศ.2394.
    </td></tr></tbody></table>




    -http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9550000005903-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    มันมากับสายน้ำ “ปลาเอเลี่ยน” <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">14 มกราคม 2555 11:33 น.</td></tr></tbody></table>


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ฝูงสตัฟฟ์ของปลาเพคูหรือปลาจาระเม็ดน้ำจืด ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายปลาปิรินยา และเคยมีข่าวกัดอัณฑะมนุษย์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> .


    เหตุเพราะช่วงในช่วงอุทกภัย มีสัตว์สายสปีชีส์ถูกพัดพามาพร้อมกับสายน้ำ ในจำนวนนั้นมี “ปลาเอเลี่ยน” หรือปลาสายพันธุ์ต่างถิ่นที่ไหลมาพร้อมกระแสน้ำ ภายในกิจกรรม “ถนนสายวิทยาศาสตร์” จึงได้จัดนิทรรศการเพื่อให้เราได้รู้จัก


    หุ่นสตัฟฟ์ของ “ปลาช่อนอเมซอน” ตัวยักษ์ใหญ่กว่าเด็กประถมตั้งตระหง่านอยู่ในตู้ปลา คือส่วนหนึ่งของนิทรรศการภายในสถานี “มาตามน้ำ Alien Species” ใน กิจกรรม “ถนนสายวิทยาศาสตร์” รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2555 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ม.ค.55 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถ.พระราม 6

    สถานีดังกล่าวจับสถานการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 มาเป็นบทเรียนให้เราได้รู้จักเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) หรือสัตว์สายพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่เคยปรากฏในเขตที่พบมาก่อน แต่เมื่อนำมาปล่อยแล้วสามารถดำรงชีวิตและสืบพันธุ์ในพื้นที่นั้นได้ ซึ่งในกรณีที่บางสายพันธุ์มีความแข็งแรงจนสามารถยึดครองพื้นที่กลายเป็นสิ่ง มีชีวิตชนิดเด่น และทำให้สัตว์สายพันธุ์เดิมสูญพันธุ์หรืออาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสุขอนามัยของประชาชน สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นจัดเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์รุกราน (Invasive species)

    ตัวอย่างผลกระทบจากสายพันธุ์

    เป็นผู้ล่าต่อสัตว์พื้นเมืองเดิม (Predator) ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์และก่อผลเสียต่อระบบนิเวศ เช่น ปลาดุกรัสเซีย ที่เป็นตัวแก่งแย่งถิ่นที่อยู่อาศัย อาหารและพื้นที่สืบพันธุ์ของสัตว์ท้องถิ่นเดิมจนสูญพันธุ์ไปจากพื้นที่ เป็นต้น

    เอเลี่ยนสปีชีส์นำโรคหรือปรสิต (Disease and parasite carrier) ที่สัตว์พื้นเมืองไม่มีภูมิต้านทาน เช่น ปลาจีนเป็นพาหะนำโรคหนอนสมอและราปุยฝ้าย เป็นต้น

    รบกวนหรือทำลายระบบนิเวศ (Habitat Disturbance) ในท้องถิ่นเดิมมีผู้ล่าและผู้ถูกล่าอยู่ในจำนวนที่สมดุลอยุ่แล้ว แต่การเพิ่มของสัตว์ต่างถิ่นที่เข้ามาใหม่ ทำสมดุลทางนิเวศวิทยาเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบระยะยาว

    ก่อการเสื่อมทางพันธุกรรม (Genetic pollution, Erosion) เอเลี่ยนสปีชีส์บางชนิดมีลักษณะทางพันธุกรรมใหล้เคียงสัตว์พื้นเมืองจน อาจผสมข้ามพันธุ์เกิดเป็นลูกผสม ทำให้ลูกรุ่นต่อไปมีอัตรารอดต่ำหรือเป็นหมัน ทำให้ความหลากลหายทางพันธุกรรมเดิมเสื่อมลง เช่น ปลาดุกรัสเซีย ทำให้พันธุกรรมปลาดุกด้านหรือปลาดุกอุยปนเปื้อน กลายเป็นลูกผสมคือปลาดุกบิ๊กอุย เป็นต้น

    ทั้งนี้ ผู้สนใจเที่ยวชมกิจกรรมถนนสายวิทยาศาสตร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 14 ม.ค.55 ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ซึ่งสามารถโดยสารรถประจำทางสาย 8, 44, 67, 92, 97 ,ปอ.44, ปอ.157,ปอ.509 และ ปอ.538 หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งนี้ มีรถรับส่ง 3 จุด ได้แก่ ปากซอยโยธีใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, ฝั่งคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอาคารจอดรถ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

    สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 0-2577-9999 ต่อ 2108 หรือ 2109

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">นิทรรศการเกี่ยวกับปลาเอเลี่ยนในสถานี มาตามน้ำ Alien Species</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ปลานิลที่กินกันอยู่ทุกวันก็เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ เพราะไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่เราใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้ได้</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">เด็กๆ ชมปลาช่อนอเมซอนตัวเขื่องที่ถูกสตัฟฟ์ไว้ (ปลาช่อนอเมซอนหรือปลาอะราไพมาตัวนี้เป็นของสวนสัตว์แห่งหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตระหว่างขนส่ง และได้มอบให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาตินำไปสตัฟฟ์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">จรเข้ก็มาพร้อมสายน้ำ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ปลาดุกบิ๊กอุยที่เข้ามาสร้างปัญหาให้ปลาดุกด้านหรือปลาดุกหรือปลาดุกอุยที่เป็นพันธุ์ท้องถิ่น </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ปลาช่อนพันธุ์ท้องถิ่นของไทยก็กลายเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ในแหล่งน้ำสหรัฐฯ </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000005822-

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]พิจารณาตนเอง

    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. 9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร / watdevaraj [Engine by iGetWeb.com]


    การ พิจารณาตนเอง คือ การตรวจตราตนเอง สอบสวนตนเอง ใช้สติปัญญาให้รู้ว่า ขณะนี้ตนเองเป็นอย่างไร มีสถานภาพเป็นอย่างไร ทำอะไรอยู่ เหมาะสมแล้วหรือไม่ ติชมตนเองได้ว่ายังขาดสิ่งใดที่ต้องเติมเต็ม สิ่งใดเพียงพอแล้วก็รักษาระดับไว้

    เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทำ คำที่พูด เรื่องที่คิดไม่ถูกต้อง ก็ใช้สติเป็นเครื่องยับยั้งใจไว้ ไม่ปล่อยใจไปตามกระแสของอารมณ์ฝ่ายต่ำ คอยควบคุมพฤติกรรมที่เราแสดงออกทางกายและทางวาจา เพราะพฤติกรรมนั้นย่อมมีผลกระทบถึงผู้อื่นด้วย มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ว่าพฤติกรรมนั้นไปกระทบต่อกฎเกณฑ์ของสังคมเท่าไร

    การดำเนิน ชีวิตของคนเรา แม้จะเป็นส่วนที่เป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น การกิน การนอน ก็เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ต้องอาศัยผู้อื่นช่วย คือ ขณะที่ยังเป็นเด็ก ก็อาศัยพ่อแม่แนะนำ ฝึกฝนให้มีความรู้ ความสามารถในวิชาการต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น เมื่อประกอบอาชีพก็ต้องมีการฝึกงาน ทดลองงานก่อน

    ทุก ขั้นตอนของชีวิตต้องมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เริ่มตั้งแต่สังคมเล็กๆ คือ ครอบครัว ต้องเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และที่กว้างออกไปก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมงาน ร่วมอาชีพ แต่การที่เราจะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้นั้น ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกัน เป็นการละลายพฤติกรรมเข้าหากัน ยิ่งมีความสนิทสนมมากเพียงใดก็จะมีลักษณะนิสัยใกล้เคียงกันเพียงนั้น

    การ ใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตนให้ทราบชัด ว่าสิ่งที่กำลังทำ คำที่กำลังพูด ผิดหรือถูก ตนเองติเตียนตนเองได้หรือไม่ ท่านผู้รู้ติเตียนได้หรือไม่ ถ้ารู้ชัดว่าผิดพลาด ยังบกพร่องอยู่ ต้องรีบปรับปรุงแก้ไข ยอมลดมานะทิฐิไม่ถลำลึกต่อไป เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญด้วยสติปัญญาของตนเอง ตักเตือนตน เอง ไถ่ถอนตนเองจากกิเลสตัณหาและความชั่วต่างๆ ได้เอง ปรับปรุงตนเองได้ นับว่าประเสริฐสุด เพราะคนส่วนมากมักเข้าข้างตนเอง มองไม่เห็นความผิดพลาดของตน เห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น ดังภาษิตที่ว่า โทษของคนอื่นเห็นง่าย โทษของตนเห็นยาก

    บุคคลผู้หวังความเจริญ จงทำใจให้เป็นกลาง น้อมรับคำแนะ นำของผู้รู้ ไม่เข้าข้างตนเอง พิจารณาใคร่ครวญให้เห็นข้อดี ข้อเสียของตน แล้วปรับปรุงแก้ไข ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ถลำลึก ก็จะถึงความเจริญได้ดังประสงค์

    มีคำสุภาษิตที่ท่านได้กล่าวเตือนตนเอาไว้ว่า

    "ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด

    ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน

    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน

    ตนแชเชือนใครจะเตือนให้ป่วยการ"

    เมื่อตนเตือนตนได้แล้ว ตนก็เป็นที่พึ่งแห่งตน นอกจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว ก็ยังเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ด้วย
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOVEUwTURFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB4TkE9PQ==-

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    [FONT=Tahoma,]แบงก์จุกธปท.ขอรีดต๋ง4.6หมื่นล./ปี โอดต้นทุนมหาศาล-คลังเบรกโยนภาระลูกค้า



    นาย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ธปท. ได้หารือกับสมาคมธนาคารไทย ถึงแนวทางการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เพื่อนำเงินสมทบแก้ปัญหากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) วงเงิน 1.14 ล้านล้านบาท โดยธปท. จะขอเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากอัตราปัจจุบันที่ธนาคาร พาณิชย์นำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ในอัตรา 0.4% ของฐานเงินฝาก รวมทั้งจะเพิ่มการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยคำนวณบนฐานตั๋ว แลกเงิน (บี/อี) ด้วย โดยเบื้องต้นสมาคมจะกลับไปหารือ กับธนาคารพาณิชย์เพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง ก่อนเสนอธปท.ในสัปดาห์หน้า

    "ขณะ นี้ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป และข้อเสนอเบื้องต้นต่างๆ มากกว่า โดยทางสมาคมต้องการหารือกับสมาชิกก่อน" นายประสารกล่าว

    นอกจากนี้ ในที่ประชุม ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่กังวลถึงโครงสร้างระบบการเงินในอนาคตจากความลักลั่น ทางการ แข่งขันของสถาบันเฉพาะกิจรัฐ ซึ่งขณะนี้มีความได้เปรียบธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว เนื่องจากไม่มีภาระนำส่งเงินเข้าสู่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ดังนั้น หากในอนาคตธปท. มี มาตรการมากำกับธนาคารพาณิชย์อีก ระบบการเงินยิ่งถูกบิดเบือน โดยปัจจุบันสถาบันเฉพาะกิจของรัฐมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% จึงมีการเสนอให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินสมทบเข้าสคฝ. ด้วย

    นาย ชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ทางสมาคมได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นจากธปท. แล้ว และจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับสมาชิกธนาคารในลำดับ ต่อไป ก่อนจะเสนอความคิดเห็นกลับไปให้ธปท. ภายในสัปดาห์หน้า

    รายงานข่าวจาก ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ธปท. ได้เสนอให้เก็บเงินสมทบเพิ่มขึ้น 0.2% จาก 0.4% เป็น 0.6% ของยอดเงินฝาก ณ สิ้นปี เพื่อนำเงินไปชดเชยอัตราดอกเบี้ยและเงินต้นของเอฟไอดีเอฟซึ่งมีมูลค่ารวม 1.14 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์มียอดเงินฝากประมาณ 7.7 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากเก็บเงินส่ง เพิ่มเป็น 0.6% เท่ากับว่าทั้งระบบจะมีภาระนำส่งเงินเพิ่มเป็น 46,200 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นต้นทุนมหาศาลของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจมีการพิจารณาผลักภาระให้ประชาชนผ่านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากและ ค่าธรรมเนียมในบางส่วน

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า เท่าที่หารือกับธปท.เกี่ยวกับการชำระหนี้และดอกเบี้ยเงินกู้ของเอฟไอ ดีเอฟ ยืนยันว่าจะไม่มีการนำทรัพย์สินของเอฟไอดีเอฟ อาทิ หุ้นของธนาคารกรุงไทยออกขายเพื่อชำระหนี้ เพราะเท่าที่ดูเงินจากสคฝ. น่าจะเพียงพอ โดยจะไม่เรียกเก็บเงินนำส่งเข้าสคฝ. เพิ่มในจำนวนที่มาก เพื่อไม่ให้เป็นภาระประชาชน ซึ่งอาจจะเก็บเพิ่มนิดหน่อย เท่าที่อ่านในข่าวหนังสือพิมพ์ลงกันว่าเพิ่มอีก 0.2% จาก 0.4% เป็น 0.6% และในการชำระเงินต้นนั้นจะไม่เร่งรัด เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ที่ดูไว้อาจจะเป็น 25 ปี
    [/FONT]



    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNVEUwTURFMU5RPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB4TkE9PQ==-

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    อาหารไหว้วันตรุษจีน



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ใกล้เทศกาลตรุษจีนกันมาแล้ว หลาย ๆ คนคงตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะนี่คงเป็นเทศกาลที่จะได้พบปะกับญาติมิตรที่ไม่ได้เจอกันมานาน และได้อั่งเปาจากญาติผู้ใหญ่ แต่ก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้น เราคงสังเกตเห็นว่า มีการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษก่อนที่จะเข้าวันตรุษจีน เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต วันนี้ เราจึงเสนอของเซ่นไหว้ถูกหลัก พร้อมทั้งความหมายของของไหว้แต่ละอย่าง มาฝากกันค่ะ

    เดิมนั้น คนจีนจะแบ่งวันไหว้ออกเป็น 2 วัน นับเป็น 2 เทศกาลคือ วันที่ 29 หรือ 30 เดือน 12 ของจีน และ วันชิวอก ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเริ่มมาจากฤดูใบไม้ผลิของคนจีน แต่คนไทยมักจะรวม 2 วันนี้เป็นวันเดียวกัน และไหว้พร้อมกันทีเดียว

    [​IMG] ของไหว้ในวันที่ 29 หรือ 30 ของเดือน 12


    [​IMG]

    อาหารไหว้ช่วงเช้า


    [​IMG] ช่วงเช้า เวลาประมาณ 07.00 – 08.00 น. ตอนเช้าชาวจีนจะนิยมไหว้สิงศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน และไหว้ปุ้งเท้า ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นที่คนทำมาค้าขายนิยมบูชา โดยจะไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3 อย่าง หรือ ซาแซ เช่น

    [​IMG] หมู มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์
    [​IMG] เป็ด มีความหมายถึง ความสามารถอันหลากหลาย ความมั่งคั่ง ความมีมาก
    [​IMG] ไก่ มีความหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยหงอนไก่ที่มีลักษณะเหมือนหมวกขุนนาง มีความหมายถึงความซื่อตรง
    [​IMG] ขนมเข่ง มีความหมายถึง การมีเพื่อนมาก


    [​IMG]

    อาหารไหว้ช่วงสาย


    [​IMG] ช่วงสาย เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงก่อนเที่ยง จะเป็นการไหว้บรรพบุรุษและบรรพชน อาหารที่ไหว้มีดังนี้

    [​IMG] อาหารคาว อาหารคาวต่าง ๆ มีความหมาย ดังต่อไปนี้

    ลูกชิ้นปลา หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ ชีวิตราบรื่น
    ผัดต้นกระเทียม หมายถึง ความมั่งคั่ง มีเงินมีทองให้นับอยู่เสมอ
    ผัดตับกับกุยช่าย หมายถึง การมียศฐาบรรดาศักดิ์ ฐานะร่ำรวย
    แกงจืด หมายถึง การให้ลูกหลานมีชีวิตราบรื่น
    เป๋าฮื้อ หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ มีไว้ให้ลูกหลาน
    ผัดถั่วงอก หมายถึง ความงอกงาม เจริญรุ่งเรือง
    เต้าหู้ หมายถึง การเจริญเติบโต บุญ ความสุข
    สาหร่ายทะเล หมายถึง ความโชคดี ร่ำรวย

    [​IMG] อาหารหวาน มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    ซาลาเปา หมายถึง การห่อโชคลาภมาให้ลูกหลาน
    ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเจริญงอกงาม
    ขนมคัดท้อก้วย คือ ขนมไล้ถั่วต่าง ๆ ที่ทำเป็นลูกท้อ หมายถึง การอวยพรให้มีอายุยืนยาว
    ขนมไข่ หมายถึง การเจริญเติบโต
    ขนมอี๊ ทำจากแป้งกลม ๆ นวดแล้วเจือสีชมพู แล้วปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ต้มกับน้ำตาล จะทำให้ เคี้ยวง่าย ขนมอิ๊จึงหมายถึงความราบรื่น
    ขนมเทียน หมายถึง ความสว่างรุ่งเรือง

    [​IMG] ขนมเข่ง
    [​IMG] ชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่
    [​IMG] ข้าวสวย พูนใส่ให้ครบตามจำนวนของบรรพบุรุษ
    [​IMG] น้ำชา
    [​IMG] ผลไม้ ผลไม้ต่าง ๆ ที่ไหว้ในวันตรุษจีนมีความหมายดังต่อไปนี้

    ส้ม หมายถึง โชคลาภ วาสนา มีความหมายถึงโชคดี
    กล้วย หมายถึง การมีลูกหลานมาก และเรียกโชคลาภเข้าบ้าน
    แอปเปิ้ล หมายถึง การมีสุขภาพแข็งแรง และความสุขสงบ
    สับปะรด หมายถึง การมองเห็นได้กว้างไกล
    องุ่น หมายถึง ความมั่งคั่งและความแข็งแรง
    สาลี่ หมายถึง เงินทองไหลมาเทมา

    [​IMG] เครื่องกระดาษ มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    กระดาษเงินกระดาษทอง คนจีนเชื่อว่า เมื่อคนตายตายไปแล้ว ลูกหลานจะต้องส่งเงินทองไปให้เพื่อแสดงความกตัญญู และการเผากระดาษเงินกระดาษทอง ก็ยังหมายถึงสิริมงคลที่จะเกิดกับลูกหลานอีกด้วย
    กอจี๊ หรือ จี๊จุ๊ย หมายถึง กระดาษทองชิ้นใหญ่มีกระดาษแดงตัดเป็นตัวอักษรว่า เผ่งอัน หมายถึง ความโชคดี
    กิมจั๊ว หมายถึง กระดาษเงินกระดาษทองที่ลูกหลานนำมาทำเป็นชุด พับเป็นรูปดอกไม้ก่อนไหว้
    กิมเต้า หมายถึง ถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เทพยดาฟ้าดิน
    กิมเตี๊ยว หรือ แท่งทอง ใช้สำหรับไหว้คนตาย
    อิมกังจัวยี่ หรือ แบงค์กงเต็ก ใช้สำหรับเบิกทางไปสู่สวรรค์ขอคนตาย


    [​IMG]

    อาหารไหว้ช่วงบ่าย


    [​IMG] ช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.00 – 15.00 น. จะเป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ โดยประกอบไปด้วยเครื่องไหว้ดังนี้

    [​IMG] อาหารคาว
    [​IMG] อาหารหวาน
    [​IMG] เครื่องกระดาษ


    [​IMG]

    อาหารไหว้วันตรุษจีน


    [​IMG] วันตรุษจีน เป็นการไหว้ในช่วงเช้าของวันที่ 1 ด้วยของเซ่นต่าง ๆ หลังจากนั้นจะให้ออกไปไหว้เจ้านอกบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ เสร็จแล้วจะเดินทางไปเยี่ยมพี่น้อง โดยเครื่องไหว้ต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้


    [​IMG] ส้ม หมายถึง โชคดี
    [​IMG] ของหวาน 5 อย่าง
    [​IMG] ขนมจันอับ หมายถึง ความเจริญงอกงามดุจดังเมล็ดพืช


    เราหวังว่า วันตรุษจีนนี้ คงเป็นอีกวันที่เทพยดาฟ้าดินที่เราไหว้ จะนำพาความสุขสงบร่มเย็น พร้อมด้วยโชคลาภเงินทอง มาสู่เราตลอดปีนะคะ


    -http://hilight.kapook.com/view/19797-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...