ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    มีนั่มสวดยอด
    ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเซนกลับบรรลุเซนง่ายๆ
    แล้วที่ว่าเซนต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น เขารู้ทุกเหลี่ยมมุมของเซน ก็หน้าบรรลุเซนได้มากมาย
    หรือว่า เซนไม่มีอะไรต้องพูด เพราะไม่มีอะไรให้บรรลุ. ว่าไง น้องๆ
     
  2. leehonza

    leehonza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +78
    ช่วยอธิบายคำว่าว่างเปล่าวางซึ่งอารมณ์ทุกอย่างไม่ยึดอะไรเปงตัวเปงตนแม้อารมณ์มากระทบก็วา่งเปล่าช่วยแน่ะนำแบบละเอียดให้ฟังหน่อยครับท่านทีบรรลุ

    ขอบคุงครับ
     
  3. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แด่...ท่านผู้หลงทาง<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของมนุษย์ ไม่รู้ว่า ความจริงแล้วสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตน ปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้นเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในกฏของธรรมชาติ มนุษย์จึงสมมุติสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ในความหมายแห่งการมีตัวตน สมมุติผลของการกระทบของ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และใจขึ้นมา เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆนานา สมมุติสิ่งที่รองรับ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายขึ้นมา เรียกว่า จิต หรือจิตใจ <o:p></o:p>
    อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง ที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมานั้น มีมากมายสุดจะพรรณา เช่น รัก โลภ โกรธ หลง อาฆาต พยาบาท และอีกมากมาย เมื่อปรุงแต่งขั้นมาแล้ว ย่อมทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นเรา เป็นเขา เป็นของของเรา เป็นของของเขา เป็นความหมายแห่งการมีตัวตนต่าง ๆ นานา ด้วยความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของมนุษย์ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง มนุษย์จึงพยายาม ทำสิ่งสมมุติเหล่านี้ให้เต็ม ให้บริบูรณ์ ให้มั่นคง ให้คงทนถาวรอยู่ในความรู้สึกของตน หรือพยายามทำสิ่งสมมุติที่ไม่ต้องการให้หมดไป ให้สูญสลาย ให้หายไปจากความรู้สึกของตน โดยที่เราหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น เช่น ความอยากมีชื่อเสียง มนุษย์ผู้มีความหลงทั้งหลายอยากมีชื่อเสียง พยายามทำให้มีชื่อเสียง และให้ชื่อเสียงนั้นคงทนถาวรไม่เสื่อมไป โดยที่หารู้ไม่ว่า ความอยากมีชื่อเสียงนี้ เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น หรือเช่น มนุษย์ผู้พยายามทำความโกรธให้หมดไปให้หายไปจากความรู้สึก โดยที่ไม่รู้ว่า ความโกรธนี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ไม่มีอยู่จริง แล้วโดยธรรมชาติ โดยความเป็นจริง จะทำให้ความอยากมีชื่อเสียงเกิดขึ้น หรือทำให้ความโกรธหมดไป จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายเกิดขึ้นหรือหมดไปได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีอยู่จริง<o:p></o:p>
    พระพุทธองค์ท่านทรงตระหนักชัดในความเป็นจริงตามธรรมชาติเหล่านี้ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะสอนมนุษย์ผู้มีปัญญา ผู้ที่พอมีปัญญาอยู่บ้าง หรือผู้ที่ไม่หลงไปในทางสุดโต่งทั้งหลาย ให้เข้าใจ ให้หมดความหลง ให้หมดความลังเลสงสัยว่า โดยความเป็นจริง โดยธรรมชาติ สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตน ปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมันเอง ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้นและไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น แต่ตราบใดที่มนุษย์ยังฝืนธรรมชาติ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจ ก็ยังคงปรุงแต่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่ามีอยู่จริง ยังคงปรุงแต่งไปในความหมายแห่งการมีตัวตน ยังคงปรุงแต่งว่าจิต หรืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ว่ามีอยู่จริง และยังคงปรุงแต่งไปในความหมายแห่งการยึดมั่นถือมั่นว่า นี่คือเรา นี่คือเขา นั่นเป็นของของเรา นั่นเป็นของของเขา ที่สุดแล้วมนุษย์ก็ยังคง ไขว่คว้า ทะยาน ไปในความสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อยู่ดี <o:p></o:p>
    การเปรียบเทียบความนึกคิดปรุงแต่งที่พอใจ ประทับใจ ตรงกับความต้องการ แล้วเรียกรวมกันว่า ความสุข แล้วพยายามปรุงแต่งหรือรักษา อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ไว้ หรือทำให้เพิ่มพูลมากขึ้น ก็ยังคงเป็นสิ่งสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อยู่ดี การเปรียบเทียบความนึกคิดปรุงแต่งที่ไม่พอใจ ไม่ประทับใจ ไม่ตรงกับความต้องการ แล้วรวมเรียกว่า ความทุกข์ แล้วพยายามปรุงแต่งโดยทำให้ลืม ทำให้หมดไปหรือทำให้หายไป ก็ยังคงเป็นสิ่งสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเรียกความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายว่าความทุกข์ ความสุข หรือความรู้สึกอื่นใด เหล่านี้ก็ยังคงเป็นการฝืนธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะโดยธรรมชาติ โดยความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง แล้วจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไปได้อย่างไร ตราบใดที่มนุษย์ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจ ก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในสิ่งสมมุติอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อย่างนี้ต่อไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    แด่....ท่านผู้แสวงหา<o:p></o:p>
    ในโลกนี้คงจะมีผู้แสวงหาอยู่ไม่น้อย ผู้ที่หาทางออก นำตนเองออก ออกจากสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งว่า เป็นสิ่งมายา เป็นสิ่งสร้างความวุ่นวาย รำคาญใจ เศร้าหมองใจ ด้วยวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน แต่จุดประสงค์หลักของวิธีการปฏิบัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิธีทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยวิธีการฝึกสมาธิจนถึงระดับเป็นฌาณสมาบัติรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการทำให้สงบ รำงับ ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนการหนีโลก หนีความวุ่นวาย หนีจากสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งว่า เป็นความทุกข์ แล้วไปกำหนดจดจ่อ ให้เกิดสมาธิขึ้นมา ให้ลืมความวุ่นวาย หรือทำให้ความวุ่นวายหายไป แต่ยิ่งฝึก ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งปรุงแต่ง ในการปฏิบัติมากขึ้น ยิ่งปรุงแต่งไปว่าจิตสงบ จนถึงระดับนั้นระดับนี้ เป็นฌาณสมาบัติขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วยังปรุงแต่งว่า ต้องฝึกปฏิบัติไปจนถึงระดับได้สภาวะนิพพาน แต่ถ้าหากการปฏิบัติไม่ถึงหรือไม่ได้สภาวะ ไม่สงบอย่างที่ตนต้องการก็เป็นทุกข์ <o:p></o:p>
    หรือการปฏิบัติยังหย่อนเกินไป ต้องปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นไป เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่เป็นใจ ต้องหนีออกห่าง จากสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อหาที่สงบ ที่เหมาะแก่การปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปนาน ๆ ก็ยังไม่ได้สภาวะนิพพานสักที ยังไม่เด่นชัดในความรู้สึกของตน หรือบางคนหลงสภาวะ ปรุงแต่งว่าตนเองหลุดพ้นแล้ว แต่เมื่อเข้าไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ตนเองปรุงแต่งว่า วุ่นวาย ไม่สงบ ก็ยังปรุงแต่งต่อไปว่า ความโกรธยังมีอยู่ ความวุ่นวายใจยังมีอยู่ หรือความทุกข์ยังมีอยู่ ต้องอาศัยอยู่ในที่หลีกเร้นเท่านั้น สภาวะนิพพานถึงจะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เหล่านี้คือ การปรุงแต่งแบบผู้ปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติยิ่งปรุงแต่งว่า มีความทุกข์มากขึ้นกว่าเดิม หรือที่เรียกว่า ทุกข์แบบผู้ปฏิบัติธรรม <o:p></o:p>
    ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ของท่านผู้ปฏิบัติเอง เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า เมื่อนิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตนแล้ว เมื่อนิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมันแล้ว เมื่อนิพพานเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นแล้ว เมื่อจิตหรือจิตใจ และความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง ไม่มีอยู่จริงแล้ว ก็ไม่อาจจะมีวิธีการปฏิบัติใด ๆ ที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ หรือสงบ รำงับได้ การกำหนด จดจ่อ ให้เกิดสมาธิทั้งหลายเหล่านั้น ก็กลายเป็นการฝืนธรรมชาติไปเสียสิ้น<o:p></o:p>
    จุดหมายปลายทางของท่านผู้แสวงหาทั้งหลาย คือ การหลุดพ้น หรือที่เรียกว่า นิพพาน หากท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทำความเข้าใจถึงกฏธรรมชาติที่ว่า นิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน เป็นธรรมชาติอันปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ท่านก็จะได้เข้าใจว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้ทางให้สัตว์โลกได้เห็นถึงกฏธรรมชาติเหล่านี้ ถึงแม้พระพุทธองค์มิทรงชี้ทาง นิพพานก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นมาแต่ก่อนกาล แล้วท่านผู้แสวงหาทั้งหลายจักเอาวิธีการกำหนด จดจ่อ หรือทำให้จิตใจเกิดความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร ท่านทั้งหลายจะทำนิพพานให้แจ้งได้อย่างไร ในเมื่อนิพพานเป็นธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน จะเอาความมีตัวตนเพื่อทำให้เกิดความไม่มีตัวตน จะเอาการปรุงแต่งเพื่อทำให้เกิดการไม่ปรังแต่งได้อย่างไร ในเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน และเป็นธรรมชาติอันไม่ปรุงแต่ง เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน การทำนิพพานให้แจ้ง ให้เด่นชัด ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา ก็เป็นการฝืนธรรมชาติโดยสิ้นเชิง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ชีวิต....แห่งผู้รู้แจ้ง<o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าเคยเข้าใจ เหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันว่า นิพพาน ต้องเกิดจาก การฝึกปฏิบัติในวิธีการต่างๆ แต่เมื่อฝึกปฏิบัติไปนานๆ ก็เกิดความลังเลสงสัยว่า การฝึกปฏิบัติเหล่านี้ เป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งหรือไม่ เมื่อนิพพาน คือ การไม่ปรุงแต่ง แล้วจะเอาการ ปรุงแต่ง ไปสู่ การไม่ปรุงแต่งได้อย่างไร ข้าพเจ้าเลยศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจใหม่ จนกระจ่างว่า นิพพาน คือ การเข้าใจ(วิชชา) หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลาย และข้าพเจ้าก็เข้าใจอีกว่า ธรรมอันเป็นปรมัตถ์หมวดหมู่ใด ที่มีการกล่าวขัดแย้งกัน ความหมายไม่ตรงกัน และมีความหมายที่ฝืนต่อธรรมชาติ หลักธรรมนั้นก็มิใช่ ธรรมอันเป็น ธรรมชาติ ที่ชี้ทางให้บุคคลเข้าใจกระจ่าง หมดความหลง หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลายได้ <o:p></o:p>
    หากมีใครถามท่านผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งท่านใดว่า นิพพานเป็นอย่างไร มีสภาพอย่างไร มีสภาวะเป็นอย่างไร หรือมีอารมณ์เป็นอย่างไร ท่านผู้รู้แจ้งท่านนั้นก็คง ไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ เพราะนิพพานมิใช่สภาวะหรืออารมณ์ความรู้สึก เพราะสภาวะหรืออารมณ์ความรู้สึก ก็ยังเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ยังฝืนธรรมชาติอยู่ ยังไม่เป็นธรรมชาติ <o:p></o:p>
    หรือหากมีใครถามท่านผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งท่านใดว่า ผู้ที่รู้แจ้ง ผู้หมดความหลง ผู้หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว ท่านใช้ชีวิตกันอย่างไร ท่านผู้รู้แจ้งท่านนั้น ก็คงจะตอบเขาไปว่า ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่ในสังคมได้ตามปกติ แต่ที่แตกต่างจากปุถุชนคนทั่วไป คือ ท่านไม่ปรุงแต่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นความทุกข์ ความสุข หรือความรู้สึกอื่นใดได้อีกแล้ว เพราะท่านรู้ว่า เหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง ท่านไม่ปรุงแต่งสิ่งแวดล้อมที่ท่านอยู่ว่า เป็นที่ที่วุ่นวาย รำคาญใจ หรืออยู่ไม่ได้ ได้อีกแล้ว และในทางกลับกัน ท่านย่อมไม่ปรุงแต่งว่า สิ่งแวดล้อมที่ท่านอยู่นั้น น่าอยู่ สบายใจ หรืออยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ได้อีกแล้ว เพราะท่านรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง ท่านอยู่ได้กับปุถุชนทุกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งแยกว่าใครดีใครไม่ดี เพราะท่านไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตนได้อีกแล้ว และท่านย่อมอยู่ได้ภายใต้กฏเกณฑ์ของทุกสังคมอย่างลงตัว กลมกลืน นี่คือธรรมชาติแห่งผู้รู้แจ้งทั้งหลาย ท่านอยู่อย่างไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตนได้อีกแล้ว ท่านอยู่อย่างธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้อีกแล้วท่านอยู่กันอย่างนั้น เป็นเช่นนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น เป็นเช่นนี้ตลอดไป<o:p></o:p>
     
  4. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    แด่ ผู้ที่ถึง ไตรสรณคมน์ และ ยังละ ตัวตน ไม่ได้!

    <center>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส</center> <table align="center" background="" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" hspace="0" bgcolor="darkblue" width="100%">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    <center>อัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕ </center> [๗๘๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า) ภัยเกิดแต่อาชญาของตน ท่านทั้งหลายจงดู คนที่ทุ่มเถียงกัน เราจักแสดงความสังเวชตามที่เราได้สังเวชมาแล้ว.
    .
    .
    .
    <center>ว่าด้วยทำบุญต้องมุ่งนิพพาน </center> [๘๒๕] คำว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน ความว่า นรชนบางคนในโลกนี้ ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม เข้าไปตั้งไว้ซึ่งน้ำดื่มน้ำใช้ กวาดบริเวณ ไหว้พระเจดีย์ บูชาเครื่องหอมและดอกไม้ที่พระเจดีย์ ทำประทักบิณพระเจดีย์ บำเพ็ญกุศลที่ควรบำเพ็ญอย่างใด อย่างหนึ่งอันเป็นไตรธาตุ

    ก็ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งคติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งอุปบัติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปฏิสนธิ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งภพ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งสงสาร ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งวัฏฏะ

    แต่เป็นผู้มีความประสงค์ในอันพรากออกจากทุกข์ มีใจน้อมโน้มโอนไป ในนิพพาน ย่อมบำเพ็ญกุศลทั้งปวงนั้น แม้เพราะเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจ น้อมไปในนิพพาน. อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตะว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิ ทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อม ไปในนิพพาน.
    .

    .
    .
    และ
    .
    .
    .

    <center>ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา </center> สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวล เข้าแล้ว ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละโดยแยบคายเป็นอย่างดีในกายนั้นว่า เพราะเหตุนี้ๆ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ ดับ สิ่งนี้ก็ดับ กล่าวคือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วย สามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
     
  5. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    อนุโมทนากับคุณมังคละมุนี...ที่นำธรรมะที่เป็นเนื้อหาตรงๆ...มาเผยแผ่...สาธุ
     
  6. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แล้วเอ็งคิดว่า การตรัสรู้คืออะไรล่ะ พ่อหนุ่ม คือการที่ใครสักคนได้บรรลุประสบการณ์สุดพิเศษ บางอย่างหรือ? ชั่วขณะหนึ่งที่ประตูแห่งปรมัตถ์ธรรมเปิดออก บางอย่างที่เมื่อเข้าถึงแล้วบางสิ่งบางอย่างในตัวเราคงจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรสักอย่างที่พิเศษหรือ?

    หรือเป็นเพียงการที่ใครสักคนหาสิ่งที่เขาคนนั้นลืมไปนานแล้วพบ ....และเกิดความรู้สึกว่า อ้อ..เรานี่โง่จริง มันอยู่ที่นี่ตรงนี่มานานแล้ว แต่เรานั้นแหละลืมมันไป มิใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้น หรือ ได้มาใหม่ แต่อยู่ที่นี่อยู่แล้วล่ะ

    มันเหมือน ใครสักคนลืมกุญแจ เขาวิ่งไปนั้นไปนี่ อยู่นานปี แต่แล้วเมื่อเปิดออกดูกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกนั้น เขาก็พบว่า อ้อมันอยู่ที่นี่ ในกระเป๋าเสื้อเราล่ะพ่อหนุ่ม

    จะไม่ดีกว่าหรือ? ที่การตรัสรู้จะเป็นเพียงเรื่องธรรมดา สามัญ ที่ทุกๆๆย่างก้าว ทุกๆๆการกระทำ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะนั้นนั้นแหละคือชั่วขณะของการตรัสรู้ที่หลั่งไหลออกมาเสมอๆๆ มันมาของมันเอง ให้ช่วงเวลาสามัญเป็นช่วงที่ธรรมดาๆๆมากจนกระทั้งไม่ธรรมดา

    ตรงนี้จะมิใช่ความเบิกบานที่แท้จริงดอกหรือ พ่อหนุ่ม

    ตรัสรู้แล้วอย่างไร?ล่ะ ชั่วขณะนั้นเกิดขึ้นเหมือนผลไม้ที่สุกจนงอมแล้วร่วงลงจากต้น แล้ว เคยถามตัวเองไหมว่าแล้วอย่างไร?ต่อล่ะ เอ็งเห็นความธรรมดาในชั่วขณะนั้นไหม?ล่ะ ในทุกๆๆขณะที่ไม่ว่าจะเลวร้าย หรือ ดูพิเศษอย่างไร?มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงชั่วขณะธรรมดาสามัญ เป็นเช่นนั้นเองล่ะ ไม่เห็นหรือจิตที่คิดว่าการตรัสรู้เป็นสิ่งสำคัญเป็นสิ่งที่พิเศษ คือจิตที่แบ่งแยก แบ่งแยกออกเป็นขั่วๆๆเป็นสิ่งพิเศษ ไม่พิเศษ สิ่งสูงส่ง ต่ำต้อย จิตเช่นนี้จักเรียกว่าจิตที่ตรัสรู้แล้วได้อย่างไร? เมื่อข้าพูดึงจิตธรรมดาสามัญ จิตอันบริสุทธิ์ข้าหมายความว่า จิตที่ปราศจากการแบ่งแยกไม่ว่าประสบการญ์ใดๆๆจะเกิดขึ้น จะพิเศษ หรือ ไม่ จะดีชั่ว สูงต่ำ ดำขาว มันก็แค่เป็นอย่างที่มันเป็น เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญ


    นั้นแลคือสิ่งที่ข้าอยากจะสื่อ เอ็งคิดว่าจิตที่ยึดติดกับภาพลักษณ์ว่า ตอนนี้จิตของเราเปลี่ยนไปแล้ว เราคือผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะชั่วขณะนั้นชั่วขณะที่ความสับสน วิปลาสได้หายไปแล้ว
    แต่นั้นคือจิตของผู้ตรัสรู้จริงๆๆหรือ หรือเป็นเพียงกลลวงของจิตที่หลอกตัวเอง เป็นวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณล่ะ


    เอ็งเห็นพระพุทธองค์ไหม?เล่า เอ็งว่าพระพุทธองค์เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนไปจริงๆๆหรือ หรือ พระองค์ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ ยังคงรักษา ความธรรมดาสามัญ ความเบิกบาน ในทุกๆๆการกระทำไว้เช่นกาลก่อนล่ะ ยังคงปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างเสมอๆๆ ยังคงกระทำกิจต่างอย่างมีสติ อย่างมนุษย์สามัญล่ะ


    เอ็งไม่เห็นความงามของจิตของผู้เริ่มต้นหรือ? เอ็งไม่เห็นความตื่นตัวของจิตที่ไม่มีตะกอนใดๆๆทั้งสิ้นตกค้างหรือ มีแต่จิตเช่นนี้เท่านั้นแหละที่สัจจะจะเปิดออก ลองพิจารณาดูเถิด สมมติว่า เรากำลังอ่านคัมภีร์ จากนั้นความเข้าใจบางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกอิ่ม บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ บางอย่างที่ปิ๊งแว๊บออกมา และ นำสันติสุขมาสู่เรา จากนั้นเราอ่านมันอีกครั้ง เอ็งว่าครั้งนี้ประสบการณ์นั้นจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่? หรือมันไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้อีกแล้ว เพราะขณะนี้ เรารู้เกี่ยวกับมันแล้ว จนบางทีเราอาจจะเลิกอ่านมันไปเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะอ่านมันอีกครั้งเลย ประสบการณ์ช่างจืดจาง ไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก โยนมันไปแล้วไปหาเล่มอื่น

    การตรัสรู้ที่ถูกยึดราวกับสิ่งตายตัวก็เป็นเช่นนี้ ฉันรู้เรื่องนี้แล้ว เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูแล้ว จบแล้ว ทุกอย่างจบ เห็นอะไร เมื่อใครสักคนคิดว่าเขารู้เขาก็หยุดเรียนรู้ เมื่อใครสักคนคิดว่าเขาได้ไปถึงแล้ว เขาก็หยุดเดินทางแต่ชีวิตเป็นเรื่องของการเดินทางทุกย่างก้าวนั้นแหละคือเป้าหมาย มิใช่เส้นชัยที่อยู่ตรงหน้า ความจริงไม่มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน ในมรรคาแห่งการตรัสรู้มันอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ การตรัสรู้ก็อยู่ที่นี่ ตรงนี่ในทุกๆๆขณะที่ชีวิตและความตายได้เคลื่อนผ่าน ในทุกๆๆขณะที่เราหายใจ ใช้ชีวิต ในทุกๆๆขณะที่เราตระหนักรู้ถึงความโกรธ ความเกลียดชัง ความโลภ ความเบิกบาน สันติสุข

    เอ็งมิเห็นความงามของ การคงไว้ซึ่งจิตของผู้เริ่มต้น จิตอันไร้เดียงสา เหมือนจิตที่ตืนตัวมีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่พึ่งตายไปหรือ นี่คือความเล้นลับ คือศิลปะของการมีชีวิตทีเดียวนะพ่อหนุ่ม

    เมื่อศิษย์ประสบกับชั่วขณะแห่งความรู้แจ้ง เอ็งว่า อ.ที่แท้จะพูดอย่างไร?ล่ะ ระหว่างเธอค้นสิ่งนั้นพบแล้วสินะ ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องเรียรู้อีกต่อไปแล้ว เอาล่ะจบกันที หรือฉันดีใจกับเธอด้วย ก้าวหน้าขึ้นนะ จงรักษาปฏิบัติต่อไปล่ะ

    สุดท้าย อันนี้ไม่ได้ฝากให้เอ็งนะ แต่ข้าไม่ได้สอนเซนนะจ๊ะ นะจ๊ะ พอเห็นนิทานเซนเรื่องสองเรื่องแล้วมาคิดว่าข้าสอนเซน แล้วเรื่องที่ข้าแต่งเองเล่า นี่ถ้าข้าเล่านิทานเต๋า ก็คงจักพูดว่าข้าสอนเต๋า สินะ ช่างน่าขัน

    แล้วข้ากำลังทำอะไรล่ะ


    ข้าเพียงแต่พูดถึงศาสนา หรือ ชีวิตอย่างที่มันเป็น และ กล้ายืนยันได้เลยว่าศาสนาทุกศาสนา ล้วนพูดในสิ่งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซูฟี คริสต์ เต๋า ฮินดู เท่านั้นเองนะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
  7. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุกับปู่ในบางเรื่องบางประโยค...
    ผมเอาธรรมตรงๆมากล่าว...บางเรื่องที่ปู่พูดก็ตรงกัน
    แต่ผมว่า...ปู่ท่าจะฟุ้งไปไกลแล้วครับ
    ผมพูดอยู่เรื่องเดียวคือนิพพาน...ถ้ามากกว่านิพพาน...หรือนิพโพน
    ผมขี้เกียจอ่าน...มันวกวน...ไร้แก่นสาร...ครับ
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แถมเรื่องเซน ไอ้คนที่ไม่เคยปฏิบัติเซน ก็มักจะนึกไปว่า พระเซน เขาเพียงแค่เข้าไปโดนอ.ด่า โดนต่อย ตะโกนใส่ก็จะบรรลุธรรมได้ ความจริงบางรูปก็ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะบรรลุธรรมได้ พระเซนก็ศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝน ที่สำคัญคือ หนักยิ่งกว่าพระเถรวาทเสียอีก พระเซนต้องทำทุกอย่างแม้แต่ปลูกข้าวกินเอง บางรูปก็ต้องเลี้ยงดูพระชราถึง50รูปคนเดียว(ในกรณีพระหนุ่ม) จนบางรูปต้องหนีจากวัด เพราะทนรับการฝึกไม่ไหว เพียงแต่หนังสือที่เขียนเรื่องเหล่านี้มักไม่เน้นไปที่ตัวชีวิตพระ แต่เน้นที่เรื่องเล่าในการบรรลุธรรมของวีรบุรุษเซน พระเซนมีศีลมากกว่าพระเถรวาทเสียอีก

    ประเทศที่ฝึกฝนพระเซนได้หนักที่สุด คือเกาหลี ความจริงนิกายนี้จะเรียกว่าเซนก็ไม่ถุกเพราะแต่ล่ะประเทศเขาเรียกไม่เหมือนกัน เช่น ชอนในเกาหลี ญาณในจีน ธยานะในอินเดีย เซนในญี่ปุ่น และอื่นๆๆ

    นะจ๊ะ นะจ๊ะ

    ส่วนเรื่องมีเมีย เรื่องเป็นฉาวๆๆ นั้นส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่นจ๊ะ แต่ต้องเข้าใจว่ามันเป็นจุดเสื่อม ของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้กลายเป็นชาติที่เน้นทุนนิยมอันดับหนึ่ง ศาสนาไม่ได้รับความสนใจ อีกต่อไป เกาหลีก็เช่นกัน เวียนนามก็กำลังจะเป็นไปอีกประเทศ ดังนั้นพวกพระเซนจึ่งไปอยู่ตะวันตกหมด เพราะมองว่า ศาสนาพุทธไปไม่รอดแล้วในบ้านเกิดของตัวเอง แต่ในตะวันตกที่ไปได้รุ่งก็เพราะว่า คนตะวันตกมีทุกอย่างรายได้เฉลี่ยคนตะวันตกมีมากกว่าคนไทยกี่เท่าเอ็งคงรู้ ทีนี้พอมาจุดหนึ่งคนตะวันตกเติมเต็มในวัตถุจนเต็มที่ก็เกิดความคิดว่าลึกๆๆภายในเรายังว่างเปล่า คนพวกนี้จึ่งออกแสวงหาดังนั้นศาสนาจึ่งรุ่งเรืองมากในตะวันตกทุกวันนี้ ถ้าอยากเข้าใจพระพุทธศาสนาจริงๆๆ ต้องไปที่ตะวันตก(อันนี้พูดแล้วเศร้า)แล้วเดี๋ยวนี้ ทั้งครูที่มีความเข้าใจจริง ตำราทั้งหลายอยู่ที่นั้นหมด ดังตำราทั้งหลายที่เราใช้ก็มีที่มาจากตำราที่แปลจากของฝรั่งอีกที(ฝรั่งแปลมาจากบาลี สันสกฤต เช่น วิสุทธิ์มรรค วิมุตติมรรค มิลินทปัญหา และ อื่นๆ)

    ไม่แค่พุทธ ฮินดู ลัทธิใหม่ๆๆ เช่น โอโช กลุ่มของท่านเค กลุ่มของโชปรา กลุ่มของยู จี กฤษณมูรติ(คนล่ะคนกับเจ กฤษณมูรติผู้โด่งดัง) ก็ไปดังที่นั้น

    อย่างไรก็ตามนิกายเซนคือพระพุทธศาสนาที่คนตะวันตกนับถือมากที่สุด รองลงมาคือวัชรยาน มีคนกล่าวว่า ในศตวรรษที่ 20 สิ่งสำคัญที่สุดของที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกคือการปฏิวัติทางควอนตัมฟิสิกส์ และ จักรวาลวิทยาแนวสัมพัทธภาพ กับ การมาของพระพุทธศาสนาจากตะวันออก
    นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2012
  9. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แล้วมีสิ่งใดในโลกนี้ที่มันมีแก่นสารด้วยหรือพ่อหนุ่ม ถ้าเอ็งเข้าใจหรือเชื่อว่าความจริงนั้นบอกไม่ได้ด้วยถ้อยคำ แล้วนิพพานเป็นเรื่องที่เอามาพูดกันได้ด้วยหรือ? อีกประการก็เพราะมันเอามาแสดงไม่ได้ ก็เพราะมันมีข้อจำกัดที่ตัวภาษาดังนั้น มันก็ควรเป็นเรื่องธรรมดาที่มันต้องวกวนไม่ใช่หรือ? ไม่มีธรรมตรงๆๆ หรือ อ้อมๆๆดอกนะ พ่อหนุ่ม มีแต่ธรรมแบบที่มันเป็น อีกประการมีผู้เข้าถึงนิพพานได้ด้วยหรือ หรือเราเข้าถึงได้ก็เพราะไม่มีเราอยู่ที่นั้นล่ะ ไม่มีเราเพื่อที่จะเป็นอะไร?บางอย่าง ดั่งคำว่าสมเจตนาในทุกสิ่งโดยการหยุดนิ่ง

    บางสิ่งที่ดูไร้ประโยชน์ก็อาจจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้ มิใช่หรือ?

    เอ็งเข้าใจในสิ่งที่เอ็งพูดมาตั้งแต่กระทู้แรกจริงๆๆ หรือเป็นเพียงการเข้าใจแต่ถ้อยคำ แต่ไม่ใช่ความหมายล่ะ

    อีกประการเอ็งเคยเฝ้าดูสิ่งต่างๆๆ จริงๆแบบสักแต่ว่าดู โดยไม่ตัดสินคุณค่า ไม่เปรียบเทียบกับความเข้าใจของตัวเองไหม? ว่าตรงหรือไม่ตรง อะไรทำนองนี้ เคยอ่านเพื่อที่จะอ่าน เคยหายใจเพื่อที่จะหายใจไหมล่ะ ลองดูสิ รู้อะไรไหม? ในพระพุทธศาสนาคุณความดีนั้นมิได้อยู่ที่การบรรลุธรรมแบบได้อะไรมาใหม่ อะไรที่ขาดหายไป แต่อยู่ที่การรับรู้ความจริงที่ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ในทุกๆๆกิจที่เรากำลังทำอยู่นั่นต่างหาก ประตูแห่งมรรคอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ ด้วยความมีสติเป็นประการสำคัญ ปัญญาญาณแห่งพระพุทธศาสนามิอาจเกิดขึ้นด้วยสติปัญญาอย่างสามัญ ไม่อาจเกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรม จากการวิเคราะห์ทฤษฎี แต่อยู่ที่การคำรงสติมั่นของตนเพื่อมองดูตัวเองอย่างที่เป็นจริง นิพพานไม่ได้อยู่ที่นั้นเพื่อให้เราไขว่คว้ามา แต่นิพพานอยู่ที่นี่ ที่ซึ่งเรารู้จักตนเองเราตระหนักรู้ในตัวของเราเองในทุกๆๆการกระทำ เราไม่จำเป็นต้องหวังว่าการกระทำของเราจะนำเราไปเพื่อบรรลุอะไรอีก เพียงแค่มีสติอยู่เสมอกับทุกๆๆการกระทำนั้นแหละเราก็ได้บรรลุแล้ว เพราะตอนนี้จิตของเราได้อยู่ในสภาพหรือสภาวะที่ถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้น มันมาของมันเอง เหล่านี้คือการรู้แจ้ง และการรู้แจ้งดำรงอยู่กับมนุษย์ในทุกๆๆขณะ เป็นการดำรงอยู่อย่างเป็นทั้งหมด หัวสมองที่ขบคิด หัวใจเราที่รู้สึก ธรรมชาติแห่งการไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดไม่ตายของเราทั้งหมดเป็นเครื่องมืออันจักนำมาซึ่งความรู้แจ้ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาวะแห่งการดำรงอยู่ในปัจจุบันของคนเท่านั้น

    และบ่อยครั้ง ที่หัวสมองนั้นแหละที่ดึงมนุษย์ให้ห่างเหินออกไปจากชีวิตที่เป็นจริง ดังนั้นจึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งพุดเรื่องไร้สาระ อย่างนิพพาน เจตสิก ปรมัตถ์ธรรม อะไรสุดแล้วแต่ พวกนี้หากมิอาจจะทำให้มันสัมพันธ์กับชีวิตจริง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2012
  10. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ถ้าจะนิพพานด้วยอารมสงบนิ่งไม่ยึดติด ปล่อยความยึดมั่นในขันธ์5 ยึดอารมนิพพานเสมอ ็พอมีสิทธิที่จะไม่ต้องมาเกิดอีก
    เเต่ถ้าจะไปนิพพาน ด้วยความอยากนิพพาน ก็ต้องเสี่ยงโชคชตาเอา ชอบสบายลัดสั้นก็ต้องลองดูสักชาติ1

    ผมจะยก พระสูตรที่อธิบายการไม่มาเกิดอีกเเบบง่ายที่สุดเเล้ว คือการดับ ตัณหาเลย ความอยาก รวมไปถึงนิพพานด้วยละมั่ง ตายเเบบไม่ยึด ไม่อยาก ก็จะนิพพานได้ถึงเเม้จะมีเวทนาเกิด


    <TABLE border=0 width="65%"><TBODY><TR><TD>
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความดับลง (อตฺถงฺคโม) แห่งกองทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า? (ความดับลงแห่งกองทุกข์ เป็นอย่างนี้ คือ:)เพราะอาศัยซึ่งจักษุด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแห่งอุปาทาน;เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. นี้คือความดับลงแห่งกองทุกข์.เพราะอาศัยซึ่งโสตะด้วย ซึ่งเสียงทั้งหลายด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสียง+โสตะวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแห่งอุปาทาน;….ฯลฯ...นี้คือความดับลงแห่งกองทุกข์.</PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>
     
  11. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    มั่วแล้วครับคุณปู่...ถ้านิพพานเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้...แล้วพระพุทธองค์ตรัสเรื่องนิพพานออกมาได้อย่างไร
    แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ...ท่านจะเอาอะไรกับคำว่าสักแต่ว่า...เป็นแค่ธรรมเพื่อการนำออกเท่านั้น
    ความจริงไม่มีอะไรออกจากอะไร...แล้วจะมีอะไรตรงกับอะไรล่ะ
    ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของคุณปู่ที่จะเอื้อเฟื้อปุถุชน...หรือเพื่อพล่ามฟุ้งเฟื้อ...มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหัวชนฝาหรอกปู่...นี้ที่ผมพูดไม่ใช่เพื่อการให้คุณค่าหรือติเตือน...แต่พูดแบบคนที่มีจิตวิญญาณแห่งครูผู้ให้
    ถ้าปู่มาเพื่อเอื้อเฟื้อก็ดีแล้ว...แต่ถ้าจะมาน้ำท่วมทุ่งผมจะไม่อ่านของคุณแล้ว...ผู้สว่างแล้วน่ะเค้าจะทำหรือไม่ทำ อะไรเพื่ออะไร แต่ถ้าจะทำก็ไม่ได้ทำเพื่ออะไรเช่นกัน...
     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    บางอย่างที่ข้าพูดมัน สั่นสะเทือนความเข้าใจของเอ็งใช่ไหม? พ่อหนุ่ม เอ็งถึงได้พูดเช่นนี้ เอ็งสังเกตุตัวเองยังล่ะ เห็นอะไรไหม? เอ็งแน่ใจจริงๆๆหรือว่าตอนนี้จิตของเอ็งพบกับสันติ ความสงบสุขจริงๆๆแล้ว หรือเป็นเพียงรู้แบบหนึ่งของการหลอกตัวเอง เป็นการดัดจริตแบบหนึ่งทางจิตวิญญาณล่ะ


    พระพุทธเจ้าเคยพูดถึงเรื่องนิพพานด้วยหรือ หรือเป็นเพียงว่า เมื่อมีใครถามว่า นิพพานของพระองค์เป็นแบบนี้ใช่ไหม? พระองค์เพียงแต่ตอบว่า ไม่ๆๆนั้นไม่ใช่นิพพาน ไม่ๆๆนั้นไม่ใช่นิพพาน ที่ตถาคตพูด

    และเพราะเหตุนี้จึ่งมีคนติงว่า งั้นไอ้นั้นก็ไม่ใช่ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ งั้นแสดงว่า นิพพานไม่มีอยู่จริงนะสิ

    และเพราะเหตุนี้ พระองค์ถึงสอนสูตรนั้นมิใช่หรือ สูตรที่ว่าอสังขตธรรมหรือนิพพานนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่เพราะถ้าไม่มีอยู่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะหลุดพ้น

    อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ยังยืนยันที่จะไม่อธิบายเรื่องนี้เพียง แต่กว่าว่าเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน ต้องปฏิบัติเองเห็นเองล่ะ
    เปรียบประดุจรสแห่งชา เราสามารถบรรยายความรู้สึกที่ได้ลิ้มจากการลิ้มรสชานั้นให้ใครฟังได้ทั้งหมดด้วยหรือ หรือ เพียงแต่บรรยายได้แค่บางส่วนแล้วจึ่งกล่าวว่า ถ้าคุณอยากรู้รสของชา คุณก็ต้องดื่มเอง


    และนี่เองที่เป็นที่มาของธรรมเนียมในพระพุทธศาสนาที่ว่า การอภิปรายโต้แย้งการบรรยายถึง สัจภาวะอันสูงสุด ด้วยถ้อยคำนั้น เป็นหลักการที่ทางพุทธศาสนาปฏิเสธและไม่นิยมให้กระทำ มิใช่หรือ


    แล้วอะไรคือการตรัสรู้ล่ะ อะไรคือจุดมุ่งหมายอันสูงสุดขอพุทธศาสนา มันก็คือการเข้าถึงทัศนะแห่งสัจภาวะ หรือสัมมาทิฏฐิ อันอาจตรึงไว้ได้ด้วยพลังอำนาจแห่งสมาธิจิตและปัญญาญาณ หรือการหยั่งรู้ถึงอริยสัจ อันเป็นการรู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งสภาวะธรรมทั้งหลาย มิใช่หรือ แล้วเอ็งจะเห็นสิ่งนั้นได้ที่ไหนล่ะ ถ้ามิใช่ในชีวิตจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2012
  13. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ใช่แล้วปู่เห็นด้วยกับข้อความที่เป็นประโยชน์
    แต่ไม่เข้าใจที่ปู่พูดราวกับว่า...ปู่เข้าใจว่ายังมีส่วนหนึ่งส่วนใดในตัวผมสั่นสะเทือนอยู่น่ะ
    ปู่ปรุงขึ้นมาเอง...หรือหลงยึดมั่นถือมั่นไปว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงล่ะ
    หรือว่า...จะลองภูมิกันจนหมดลมหายใจไปสักข้างก็ยังได้...ลูกบ้าผมเยอะครับ...
     
  14. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุกับคุณ chottana ด้วยครับ...ธรรมนั้นตรงแล้ว
    ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้นะครับ...
     
  15. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อันที่จริง ลุง ก็ไม่รู้ดอกนะว่ามันจะสั่นหรือไม่สั่น ก็มีแต่เอ็งเองเท่านั้นที่จักตอบตัวเอ็งเองได้ว่าข้าพูดถูกหรือไม่ แต่ถ้าข้าจักรับรู้ได้บ้างก็จักแปลกอะไรเล่า ก็สรรพสิ่งย่อมเชื่อมโยงแลอิงอาศัยถึงกันนี่ รู้สึกว่าพระพุทธศาสนาก็ยืนยันไว้ชัดในสูตรที่มีชื่อว่าอวตัมสกสูตร และ พรหมชาตสูตร

    การเด็ดดอกไม้ทำให้ดวงดาวสั่นสะเทือนได้ฉันใด แลทำไม? ความสั่นไหวของความคิดของคนๆๆหนึ่งจะสื่อให้คนอีกคนหนึ่งรับรู้ไม่ได้เล่า มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จักรับรู้มันหรือเปล่า

    ปรุง ยึดมั่นถือมั่น อะไรอีกล่ะ เยอะไปหมด เอ็งเห็นอิทธิผลที่หล่อหลอมตัวเอ็งเองหรือไม่เล่า? ถ้าเอ็งไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ก็คงจะไม่มีถ้อยคำเหล่านี้ ไม่มีมุมมองเหล่านี้ แต่อาจจะเป็น เลือดและเนื้อของพระคริสต์ อตามัน ประกฤติ รชะ ตมะ อู๋เหว่ย ในกรณีที่เอ็งเป็นคนของศาสนาอื่น เพราะมีภูมิหลังที่ไม่ใช่คนไทยแต่ไปเกิดในที่ซึ่งไม่มีศาสนานี้ แต่มีศาสนาอื่น วึ่งถูกสอน ถูกฝึก อ่านรับรู้ เข้าสู่เป้าหลอม

    นั้นแล

    เอ็งเห็นสิ่งนี้ไหม เอ็งเห็นไหมว่า จิตสำนึกความเป็นฉันนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร? ภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวตนของเรามีขึ้นได้อย่างไร ภาพลักษณ์เรายึด เราคือผู้รู้ในศาสนาพุทธ แต่ไม่รุ้ศาสนาอื่น เรามีชื่อว่า พ่อแม่เราชื่อว่า เราเป็นคนไทย เรามีอาชีพนี้ เรานั้นนี่

    ความเป็นฉันต้องอาศัยเวลาในการสั่งสม อาศัยประสบการณ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น ยิ่งสั่งสมก็ยิ่งมีภาพลักษณ์แน่นขึ้น ดูชัดเจนขึ้น แต่มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นเพียงข้อมูลที่เราบันทึกไว้เป็นอดีต


    เอ็งเคยสังเกตุเห็นสิ่งนี้ในตัวเองไหม? เมื่อเอ็งพูดว่า ใช่แล้วปู่เห็นด้วยกับข้อความที่เป็นประโยชน์ ทำไมจึ่งเห็นด้วย ทำไมเราจึ่งเห็นด้วยกับสิ่งที่คนๆๆหนึ่งพูด ทำไมเราถึงไม่เห็นด้วยในสิ่งๆๆหนึ่งที่อีกคนหนึ่งพูดล่ะ

    เอ็งเคยสังเกตุไหม? ก็เพราะว่าทุกๆๆครั้งที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน สุดแล้วแต่จะรับรู้มาทางไหน? ไอ้เจ้าความคิดนั้นจะเข้ามามีบทบาทด้วย เพื่อเปรียบเทียบ ตัดสิน วิพากษ์ จากนั้นก็เกิดการแบ่งแยก นี่ตรงกับสิ่งที่ฉันเคยรู้ ฉันเคยเข้าใจ ดังนั้นมันสอดคล้อง มันน่าจะจริง หรือ จริง ฉันเห็นด้วยเลย นี่ไม่ตรงกับสิ่งที่ฉันเคยรู้ ฉันเคยเข้าใจ ดังนั้นมันไม่สอดคล้อง มันไม่น่าจะจริง หรือ จริง ฉันเห็นไม่ด้วยเลย การกระทำเพื่อสองตอบเกิดขึ้นตรงจุดนี้ ปัญหาอยู่ที่นี่ เอ็งเคยสังเกตุไหม?

    นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการชี้ ถ้าไม่เห็นถึงสิ่งนี้ ก็เรียกว่ายังมิรู้จักสัจจะ มิเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ข้ามิได้ต้องการจะลองภูมิเพื่อดูว่าเอ็ง รู้หรือไม่รู้อะไร? แต่ต้องการจะชี้ว่า เอ็งเห็นอิทธิผลของความคิดที่ครอบงำเราอยู่หรือไม่ เพียงแค่เห็นเท่านั้น เห็นจริง จากการสังเกตุตัวเองมิใช่การใช้สมองวิเคราะห์ ตรรกะ หรือมีใครพูดให้ฟังและเห็นด้วย

    เอ็งเห็นอิทธิผลความเป็นพุทธ ชาวพุทธ คำสอนพุทธที่ครอบงำเอ็งอยู่ เป็นเส้นผมบังความจริงอยู่หรือไม่ เอ็งไม่รู้จริงๆๆหรือว่าเอ็งกำลังพยายามเข้าถึงความจริงโดยอาศัย สมอง อาศัยความคิดสิ่งที่เรียนรู้มา แต่ไม่ใช่การสัมผัสกับความจริงนั้นโดยตรงนี่คือสิ่งที่ข้าพยายามจะบอก มันไม่ได้หมายความว่าข้าพูดว่าห้ามเรียน ห้ามศึกษา อะไรทำนองนั้นดอกนะ แต่หมายความว่าเรามีสติอยู่ทุกครั้งที่กำลังศึกษา กำลังพูดถึงสิ่งนี้ ว่าสิ่งนี้เป็นผลผลิตจากภูมิหลังในอดีตของเรา และ ครอบงำเรา ทุกครั้งเราสามารถเตือนตัวเองถึงสิ่งนี้ได้ไหม?

    ถ้าไม่พูดถึงเรื่องพระพุทธศาสนา แต่ข้าชวนคุยเรื่องคริสต์เล่า เอ็งจักพูดได้ไหม? เอ็งจะคุยได้ไหม? หรือไม่ได้เพราะเอ็งไม่รู้เรื่องนี้ เอ็งอาจจะพูดว่าผมไม่สนใจมัน ดังนั้นผมก็ไม่รู้ก็ไม่แปลก เอ็งเห็นขีดจำกันในการเข้าถึงวามจริง โดยอาศัยหลักการ อาศัยความคิด ความรู้ไหม? เอ็งอาจจะบอกว่าศาสนาคริสต์ผมว่ามันสู้ศาสนาพุทธไม่ได้ไม่มีความจริงอะไร หรือ มีแต่ไม่ถึงที่สุด เอ็งแน่ใจหรือ เอ็งรู้เกี่ยวกับศาสนานี้จริงๆๆหรือคิดว่ารู้ หรือไม่รุ้อะไรเลย

    เอ็งเห็นความจำกัดของสิ่งเหล่านี้ ความไร้แก่นสารของมันไหม? เห็นความจำกัดของความรู้ หรือ สิ่งที่เรารู้ไหม? จิตของผู้เริ่มต้น จิตเดิมแท้ ธรรมะชาติแห่งพุทธะ อะไรอีกล่ะก็คือจิตที่เห็นถึงสิ่งนี้ เห็นถึงขีดจำกัด และ หลุดพ้นจากความรู้ จิตอันว่าง เป็นภาวะที่สิ่งที่คิดว่ารู้หรือไม่รู้สิ้นสุดลง ไม่มีการแบ่งแยกตัดสินและยึดมั่นกับมันอีก

    ถ้าไม่พูดเรื่องพุทธศาสนา เอ็งจะมีอะไรจะพูดอีกเล่า ห้ามพูดคำอะไรเลยที่หยิบยืมมาจากพระพุทธศาสนา จะนิพพาน อนัตตา อิทัปปัจจยตา อะไรก็ตาม เอ็งเห็นความว่างเปล่าไหม? ความกระอักกระอ่วนของจิตเรา

    นั้นแลคือที่ข้าพยายามจะสื่อ สิ่งที่เอ็งทำอยู่เขาเรียกว่ารู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่ไม่อาจจักเรียกได้ว่ารู้พระพุทธศาสนาดอกนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2012
  16. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    อันที่จริง ลุง ก็ไม่รู้ดอกนะว่ามันจะสั่นหรือไม่สั่น ก็มีแต่เอ็งเองเท่านั้นที่จักตอบตัวเอ็งเองได้ว่าข้าพูดถูกหรือไม่ แต่ถ้าข้าจักรับรู้ได้บ้างก็จักแปลกอะไรเล่า ก็สรรพสิ่งย่อมเชื่อมโยงแลอิงอาสัยถึงกันนี่

    การเด็ดดอกไม้ทำให้ดวงดาวสั่นสะเทือนได้ฉันใด แลทำไม? ความสั่นไหวของความคิดของคนๆๆหนึ่งจะสื่อให้คนอีกคนหนึ่งรับรู้ไม่ได้เล่า มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จักรับรู้มันหรือเปล่า

    ฮ่าๆๆๆ...555...บอกว่าไม่รู้...แต่ถ้าจะรู้ก็ได้
    แค่นี้ก็ปล่อยไก่อีกแล้วครับ...จะเอาอะไรไปรู้กับอะไรล่ะครับ
    หรือว่า...สมมุติตัวรู้ขึ้นมา...แล้วเข้าไปรับรู้...มันก็ปรุงแต่งอีกล่ะครับคุณปู่
     
  17. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ขี้เมาคนหนึ่งตัวเหม็นไปด้วยกลิ่นเหล้า พร้อมบุหรี่ราคาถูกๆๆ เดินเมาโซเซไปบนรถเมล์ แล้วนั้งติดกับพระรูปหนึ่ง
    พร้อมถามว่า "หลวงพ่อครับผมมีอะไรสงสัยครับ ทำไมคนเราถึงเป็นโรคไขข้อล่ะครับ"

    หลวงพ่อตอบ ด้วยสายตาเมตตาว่า "มันเป็นเรื่องกรรมนะโยม กรรมที่เกิดจากการใช้ชีวิตไม่อยู่ในศีลธรรม เที่ยวผู้หญิง ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ "

    "โห กูว่าแล้ว" ขี้เมาพูด พร้อมนิ่งอึ้ง เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง?

    พระรูปนั้นเห็นดังนั้นก็ถามด้วยความเห็นใจในโชคชะตาของโยมขี้เมาผู้นี้พร้อมพูดว่า"ว่าไงล่ะ คุณโยม เป็นอะไรมากไหม? แล้วเป็นโรคไขข้อนี่เป็นมานานหรือยังล่ะ ไปหาหมอยัง"

    ขี้เมาหันกลับมา "ผมไม่ได้เป็นโรคไขข้อนะครับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อ คนที่เป็นนะสมเด็จพระสังฆราชนู้น พอดีผมอ่านหนังสือพิมพ์เจอว่าท่านเป็น"

    เอ้า ...เห็นไหม? ถึงตอนนี้ข้าจักทำอะไรได้เล่า..เมื่อคนเราพูดอะไรไปแล้ว ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคนอื่นเขาจะเข้าใจ และตีความไปอย่างไรตามจิตสำนึกของตน มันก็ขึ้นกลับว่าเขาจะเอาไปใช้อย่างไร? นั้นแล ข้าจักทำอะไรได้เล่า

    แซมมี่น้อยเล่าให้ปู่ฟัง ถึงทฤษฏีสัมพัทธภาพชื่อก้องโลกของไอสน์ไตน์
    ปู่ถามเธอว่า "แซมมี่ ไอ้ทฤษฏีสัมพัทธภาพนี่ มันคืออะไรหรือ?"
    แซมมี่พุดว่า "ปู่ค่ะ ทฤษฏีนี้เป็นของไอสน์ไตน์นะ คุณครูเล่าให้หนูฟังว่า มันเป็นทฤษฏีที่ยิ่งใหญ่มาก และทำให้เขากลายเป็นคนที่ฉลาดที่สุดค่ะ"

    "อย่างนั้นหรือ" ปู่พูด "แล้วมันว่ายังไงล่ะ หลานรัก" ปู่กล่าวอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น

    "คืออย่างนี้นะค่ะ สมมุติเรานั่งกับสาวสวยสัก3ชั่วโมงเราจะรู้สึกเหมือนว่าเรานั่งอยุ่กับเธอสามนาที แต่ถ้าเราเอามือวางบนเตาไฟร้อนๆๆแค่เพียงสามนาทีเรา จะรู้สึกว่าเราเอามือวางมาแล้วบนนั้นนานถึงสามชั่วโมง นี่คือทฤษฏีสัมพัทธภาพ" แซมมี่พูด


    ปู่ส่ายหน้าอย่างช้าๆๆๆ พร้อมถอนหายใจอย่างไม่ค่อยพอใจนัก "แซมมี่ แค่นี้ไอ...สตง ไอสน์ไตน์ ของเจ้าก็หากินได้แล้วหรือ?"




    ก็นั้นแล.....มนุษย์เราเขาก็เข้าใจสิ่งต่างๆๆ ไม่เกินไปจากระดับจิตสำนึกตน แลจักให้ลุงทำอะไรได้บ้างเล่า บ๊ะ

    รับรู้ แล้วปรุงแต่ง เอ็งแน่ใจหรือว่าเมื่อเรารับรู้เราต้องปรุงแต่งมันทุกครั้ง แล้ว พาหิยะสูตรคงเป็นคำสอนของคนบ้ากระมั้ง แลถ้าห้ามจักรับรู้ มนุษย์ก็คงเป็นเพียงก้อนหิน ที่ไม่มีการรับรู้อะไรเลย ช่างน่าเศร้านัก

    ว่าแต่รู้หรือไม่รู้ต่างกันตรงไหน?ล่ะ เหมือนเราสนใจสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริงเราก็รู้ถึงสิ่งนั้น ถ้ามิสนใจมิรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นเราก็ไม่รู้ แลจักประหลาดตรงไหนที่ข้าจักพูดว่าข้ารู้แลไม่รู้ สิ่งที่ไม่รู้ข้าก็สามารถทำให้รู้ได้ และ สิ่งที่เคยคิดว่ารู้บางทีอาจจะกลายเป็นว่าไม่รู้อะไรเลยก็ได้นะจ๊ะ นะจ๊ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤษภาคม 2012
  18. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุ...สาธุ เอาอีกปู่...เอาอีก
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พูดอะไรมามีแต่ขยะ ทั้งนั้น เหมือนคนเมา หาประเด็นไม่เจอ กระโดดไปทางนั้นทางนี้
    เดี๋ยวคริสต์ พราหมณ์ ไอน์สไตน์ คนในโลกนี้แห่ไปทางไหน ไอ้เทพ บ้าตามเขาหมด
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ติช นัดกัน อะไร ข้าไม่สน ข้ารู้แต่ว่าข้าไม่ใช่พวก ติช แบบ ไอ้เทพ
    ข้าใช้สติ ดูตัวเองพอ เชื่อในบรมครู กับพ่อแม่ครูอาจารย์เท่านั้นพอ
    นอกนั้นใครจะติช ก็ติชไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...