ผมคิดดัง ทรมาณมาก แปลกแต่จริงครับ ช่วยเข้ามาอ่านด้วยครับ

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย tanakornton, 17 กันยายน 2012.

  1. วสันตฤดู

    วสันตฤดู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,321
    ค่าพลัง:
    +8,714
    การฆ่าตัวตายเป็นบาปนะคะ ตายไปต้องไปอบายภูมิ เเ้ล้วถ้าเกิดเป็นคนก็ยัไม่พ้นกรรม ให้คุณปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระนิพพานเลยจะดีกว่า เริ่มจากรักษาศีลห้าให้บริุสุทธิ์ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เพื่อให้ไ่ม่ประมาทในการใช้ชีวิต (เเต่ห้ามฆ่าตัวตาย) เคารพพระอริยสงฆ์ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากนะคะ ดังนั้นเกิดมาเเล้วควรเร่งสร้างบารมี
     
  2. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ขอบคุณมากครับ ซึ้งใจมากครับ
     
  3. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ขอบคุณมากครับ ทุกสิ่งตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ขอให้มันผ่านไปเร็วๆด้วยเถอะครับ
     
  4. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ขอบคุณท่าน วสันตฤดูครับ
     
  5. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    "ไม่ทราบว่า ในเวลาที่เขียน คำตอบหรือคำถามนี้ ท่าน จขกท "พูด"ไปพร้อมกับ"คิด"หรือไม่?.. "
    ตอบ ไม่ครับ ผมอ่านในใจอย่างเดียวครับ แต่ก็มีเสียงครับ

    จากที่ค้นและอ่านในบล็อกของคน(ฝรั่ง)ที่เป็นโรคนี้ บางคน ไม่รู้ตัวว่าตัวเอง"พูด"ทันทีที่คิด บางคนบางคน"พูด"ในขณะเขียน email จนจบการเขียนเลย ..
    ตอบ ผมรู้ตัวว่าคิดดังครับ แต่ก็ต้องคิดครับเพราะธรรมชาติของคนเราต้องคิดตลอดเวลา
     
  6. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ผมได้อ่านทุกท่านแล้วก็ซึ้งใจครับ แต่ตัวผมเองก็หาทางรักษาต่อไปครับ
     
  7. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    ลองหัดเจริญ อานาปานสติ ครับ กำหนดอยู่กับลมหายใจตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีคำบริกรรมใดๆกำกับ ทำได้ตลอดเวลาครับตราบใดที่ยังมีลมหายใจ โดยเฉพาะเวลาที่รู้ตัวว่าจะต้องคิดเรื่องที่น่าละอายออกมาดังๆแน่ๆ จะได้ให้สติกลับมาอยู่กับลมหายใจ

    "พูดได้ว่า ชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ
    เจริญอานาปานสติ เพื่อเป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ ให้ใจเป็นศีล"
     
  8. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    ตอนที่ 1 ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ

    ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ จงอยู่ด้วยอานาปานสติ อย่างพระพุทธเจ้า
    จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน ดื่ม ขับถ่าย ทำครัว ทำความสะอาดบ้าน ขับรถ ทำงานทุดชนิด ให้อยู่ด้วยอานาปานสติ เดินเล่น พักผ่อน ก็ทำอานาปานสติได้
    พูดได้ว่า ชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ

    เจริณอานาปานสติ เพื่อเป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ ให้ใจเป็นศีล

    โดยเพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกันอย่างต่อเนื่องและอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืม ไม่เผลอ แม้แต่ขณะที่เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัส

    การกำหนดรู้ต้องอาศัยจิตใจที่สงบจึงจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
    ก่อนที่จะฝึกอานาปานสติ ต้องพยายามปล่อยวางความคิดต่างๆ พยายามทำใจให้นิ่ง ให้สงบเสียก่อน แม้จะเป็นความสงบเพียงชั่วคราวก็ตาม

    อานาปานสติ ทำได้ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
    ให้มีสติระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกัน โดยเฉพาะช่วงที่ปรารภความเพียรทำได้ 24 ชั่วโมง ในวันหนึ่งทีเดียว หรือเว้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้น

    อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น สมถกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้
    อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น วิปัสสนากรรมฐาน ให้สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ได้

    ในอิริยาบถบางอย่างไม่สะดวกที่จะเจริญอานาปานสติ หรือกำหนดรู้ลมหายใจ
    เช่น ขณะที่กำลังขับรถบนถนน บนทางด่วน เราไม่ต้องกังวล คือไม่ต้องระลึกถึงลมหายใจ แต่ให้อยู่ในหลัก อานาปานสติให้ครบถ้วนคือ

    ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด
    ปัจจุบัน เป็นสำคัญ
    เรื่อง อดีต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
    เรื่อง อนาคต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง

    เรื่องคนอื่น ไม่สำคัญเท่าไหร่ โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก ตัวเราเองทำดี ทำถูก นั่นแหละ สำคัญที่สุด

    ขอให้ตั้งใจขับรถดีที่สุด อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็ใช้ได้
    ใครจะขับรถไม่ดี ไม่รักษากฎจราจร แซงตัดหน้าเรา เกือบชน เกือบมีอุบัติเหตุก็ตาม น่าโมโหอยู่ แต่ช่างมัน เรื่องความชั่วของเขาอย่าให้เราเกิดโมโห อย่าให้ใจเสีย อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ รักษาใจเป็นปกติ ใจดี แล้วทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

    เมื่อเราเจริญอานาปานสติเป็นประจำ เราจะมีสติตลอดเวลา
    สามารถจัดการกับงานหลายอย่างที่เร่งรัดเข้ามาในเวลาเดียวกันได้ เพราะเมื่อรู้สึกวุ่นวาย สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีโดยอัตโนมัติ จิตจะเริ่มสงบและรับรู่สิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงทีละอย่าง ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไข หรือ จัดการกับงานเหล่านั้นให้สำเหร็จทีละอย่าง และเมื่องานแล้วเสร็จ สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีที่ว่างจากงาน เป็นการพักผ่อนด้วยอานาปานสติ

    ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ
    คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี มีสุข



    อานาปานสติ
    อานะ (อัสสาสะ) คือ ลมหายใจเข้า
    อาปานะ(ปัสสาสะ) คือ ลมหายใจออก
    อานะ + อาปานะ คือ อานาปานะ ลมหายใจเข้า ลมหาใจออก
    สติคือ ความระลึกรู้ การกำหนดรู้ในปัจจุบัน ไม่ใช่การคิด จำเอา
    อานาปานสติ คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ในปัจจุบัน แต่ละขณะ



    อิริยาบถแห่งอานาปานสติ

    หลวงพ่อชาอธิบายว่า
    “เมื่อใดที่เราระลึกรู้ลมหายใจ ก็เป็นอานาปานสติเมื่อนั้น”
    ลมหายใจนี้อยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน แม้ขณะหลับอยู่ก็มีลมหายใจ
    เฉพาะอานาปานสติขั้นที่ 4 เท่านั้น ที่ต้องระงับลมหายใจแล้วเข้าสู่ฌาน

    ในการปฏิบัติเราต้องอาศัยอิริยาบถนั่งมากเป็นพิเศษ ทำให้หลายท่านพูดว่า การเจริญอานาปานสติทั้งในอิริยาบถ ยืน เดิน นอน นั้นผิดพุทธบัญญัติ ต้องเข้าป่าแล้วก็นั่งขัดสมาธิเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วในอานาปานสติสูตรท่านก็ไม่เคยบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ในอิริยาบถยืน เดินนอน แต่ที่นั่งเจริญอานาปานสติ ก็พราะว่าสะดวก ยิ่งอานาปานสติขั้นที่ 4 นั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะระงับกายสังขาร เข้าฌาน ก็ต้องนั่ง
    การปฏิบัติในเบื้องต้น ให้พยายามรักษาความรู้สึกที่ดี หรือจิตที่เป็นกุศลเอาไว้ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า-ออก ในทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน สำหรับบางคนอิริยาบถยืน เดิน อาจจะเหมาะมอกว่านั้น แต่เมื่อจะฝึกเข้าฌานหรือวิปัสสนาขั้นละเอียด อิริยาบถนั่งน่าจะเหมาะสมกว่า

    ในที่สุด กำลังสติปัญญา ก็ต้องเสมอกัน ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เรียกว่า “อิริยาบถเสมอกัน” เป็นมหาสติ มหาปัญญา

    อิริยาบถยืน : ยืนอานาปานสติ

    ยืนอย่างสำรวม เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร ประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อยืนได้อย่างมั่นคง และเอามือขวาทับมือซ้าย วางลงที่หน้าท้องเหมือนกับท่านั่ง เพื่อให้ดูเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะปล่อยมือข้างๆ ตัว ตามสบายๆ แบบโครงกระดูกที่ถูกแขวนไว้ก็ได้

    จากนั้นทอดสายตาให้ยาวพอดีๆ ประมาณเมตรครึ่ง แต่ไม่ให้จ้องอะไร กำหนดสายตาไว้ครึ่งๆ ระหว่างพื้นดินกับตัวของเราเอง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ดูอะไรเป็นพิเศษนั่นเอง หรืออาจกำหนดดูที่ปลายจมูกก็ได้

    บางครั้งอาจจะกำหนดสายตาไว้ที่ที่สบายตา เช่น กำหนดที่สนามหญ้าสีเจียว ต้นไม้ ดอกไม้ หรือสระน้ำ แต่ไม่ให้คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว

    ถ้ารู้สึกมีอะไรเกะกะตาหรืออยู่ด้วยกันหลายคน อาจจะหลับตาก็ได้เหมือนกัน แต่ระวังอย่าให้ล้ม ต้องมีสติ ทรงตัวไว้ให้ดี

    หายใจจากทางเท้า

    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ
    หายใจออกสบายๆ ปล่อยลมลงตามตัวทางเท้า

    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ ตั้งกายตรง
    หายใจออก ปล่อยลมลงทางเท้า สบายๆ 2-3 ครั้ง หรือ 3-4 ครั้ง
    หายใจเข้าลึกๆ หน่อยๆ
    หลังจากนั้น หายใจสบายๆ ธรรมดาๆ แต่ส่งความรู้สึกให้มันถึงเท้าทุกครั้ง ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ลมเข้า ลมออก ยาวขึ้น

    โอปนยิโก น้อมจิตเข้ามาดูกายยืน ไม่ให้ส่งจิตคิดออกไปข้างนอก ให้มีความรู้ตัวชัดๆ ในการยืน ยืนเฉยๆ ทุกอย่างให้มันเป็นธรรมดาๆ ยืนสบายๆ นั่นแหล่ะดี และถูกต้อง รู้ชัดว่ากายกำลังยืน รู้ชัดว่าลมหายใจปรากฏอยู่
    ลมหายใจปรากฏอยู่อย่างไรก็รับรู้ รับทราบ กำหนดรู้ ระลึกรู้เฉยๆ มีหลักอยู่ว่า ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น

    การระลึกรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า คือ การรักษาใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ให้ติดอารมณ์

    การหายใจให้ปล่อยตามธรรมชาติและธรรมดาที่สุด สบายๆ ที่สุด กำหนดเบาๆ ให้พยายามมีความรู้สึกนิดหน่อยว่า มีลมเจ้า มีลมออก ทุกครั้งไปเท่านั้น ถ้าสบาย สงบ มีความสุข แสดงว่า กำหนดได้ถูกต้อง

    ถ้ากำหนดลมหายใจแล้วรู้สึกเหนื่อย เครียดและสับสน แสดงว่ากำหนดไม่ถูกต้อง ให้พิจารณาทบทวนใหม่ อย่าบังคับลมหายใจมากมาย หายใจสบายๆ เป็นธรรมชาติที่สุด การส่งความรู้สึกหรือจิตไปถึงเท้า ก็เพื่อให้ลมหายใจค่อนข้างยาวขึ้นตามธรรมชาตินั่นเอง

    นี่เป็นวิธีการหายใจจากทางเท้า

    การฝึกระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการฝึกเจริญสติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย

    ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
    เป็นการตั้งเจตนาถูกต้อง

    เป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ คือ ใจสงบ ใจเป็นศีล คีลถึงใจเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาปฏิปทา

    อิริยาบถเดิน : เดินอานาปานสติ

    การเดินที่ถูกต้องคือ การเดินธรรมดา
    เอากาย เอาใจ มาเดิน เมื่อกายกำลังเดิน ให้ใจเดินด้วยกัน ไม่ใช่ว่า เมื่อกายกำลังเดิน ใจคิดไปเที่ยวในอดีต อนาคต หรือคิดเที่ยวไปในโลก อย่าให้กายกับใจทะเลาะกัน อยู่คนละทิศ คนละทาง ให้กายกับใจสามัคคีกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน
    ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวพร้อมในการเดิน เดินให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติมากที่สุด

    ลักษณะการเดิน

    มีมากมายหลายวิธี แล้วแต่สำนักและครูบาอาจารย์
    เดินช้า ๆ ช้ามาก ๆ ชั่วโมงละ 10 – 40 เมตร ก็ได้
    ค่อย ๆ เดิน
    เดินอย่างธรรมดา
    เดินเร็ว
    วิ่งก็มี
    โยมคนหนึ่งบอกอาจารย์ว่า หลวงพ่อใหญ่ (พระอาจารย์มั่น) เดินเร็วมาก ท่านเดินกลับไปกลับมาและเดินเร็วมาก

    วิธีกำหนดขณะที่เดิน

    มี 2 วิธีด้วยกัน คือ กำหนดที่กาย และกำหนดที่จิต

    วิธีกำหนดกาย คือ การตั้งกายเพ่งกำหนดดูการเคลื่อนไหวของเท้า เช่น เดินช้า ๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ค่อย ๆ เดิน พยายามกำหนดรู้ เท้าสัมผัสดิน หรือทำความรู้สึกอยู่ที่การก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว บางทีก็ให้นึกก้าวขาขวาว่า พุท ก้าวขาซ้ายว่า โธ ขวาพุท ซ้ายโธ พุทโธ ๆ เป็นต้น

    วิธีกำหนดจิต ตั้งใจรักษาจิต หรือ พินิจพิจารณาในหัวข้อธรรมต่างๆ ไม่ต้องกังวลในอิริยาบถ ย่าง เหยียบ ฯลฯ เช่น พิจารณาความตาย พิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ หรือแยกออกเป็น ธาตุ 4 เป็นต้น เดินธรรมดาหรือเดินเร็ว หรือ เดินช้า ๆ แล้วแต่จริตนิสัย ของแต่ละบุคคล ไม่ต้องกังวลในเท้าที่เคลื่อนก้าวไป



    การฝึกอานาปานสติ จะกำหนดทั้งกายและจิตพร้อมกัน
    ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คือ กาย
    จิตก็อยู่ที่ลมหายใจเฉพาะหน้า
    การกำหนดรู้ลมหายใจ จึงเป็นการตามดูจิต
    เป็นการรักษาจิตด้วย



    เดินจงกรม

    เราจะฝึกเดินจงกรมแบบธรรมชาติที่สุด ให้เดินธรรมดา ๆ แต่ช้ากว่าปกตินิดหน่อย ขวาก้าว ซ้ายก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว เดินไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ คือ เดินจงกรม เดินเฉย ๆ ธรรมดา ๆ แต่ให้มีอาการสำรวม ระวังในการเดิน

    มีสติ ระลึกรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ทุกครั้ง

    บางคนอาจจะไม่เคยชินกับการกำหนดลมหายใจขณะเดิน เพราะว่าความรู้สึกที่เท้ากำลังก้าวอยู่ ความรู้สึกที่ฝ่าเท้ากำลังถูกดิน ความรู้สึกในการเดินเด่นชัดมากกว่าลมหายใจหลายเท่า หลายสิบเท่าก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องสงสัยอะไร

    อะไรที่กำลังปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ รับรู้ รับทราบหมด รู้ชัดว่ากายกำลังเดิน แต่เราไม่ทิ้งลมหายใจ ให้มีความพยายามที่จะกำหนดรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้นิดหน่อยว่า ลมเข้า ลมออก เท่านั้น เบาขนาดไหนก็ช่างมันแต่ให้มันรู้ติดต่อกัน

    เดินไป เดินมา เริ่มจะเมื่อยคอ เมื่อยหลัง หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง ยืดตัวหน่อยๆ เป็นระยะๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายความรู้สึก

    ทำให้เบาตัว สบายตัว เดินไปเรื่อยๆ ถ้าจิตไม่สงบ หยุดเดินก่อนก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง หรือนานพอสมควร จนกว่าจิตจะสงบเรียบร้อย ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วค่อยๆ เดินต่อไป

    เดินกำหนดอานาปานสติ เหมือนการยืนกำหนดอานาปานสติ ต่างกันเพียงการเคลื่อนไหวของกายเท่านั้น

    ไม่ว่าจะวิ่ง เดินเร็ว เดินธรรมดา เดินช้า หยุดอยู่ คือ ยืน เรามีหน้าที่ ระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกันเท่านั้น

    หาจุดสบายๆ หายใจเข้า สบายๆ หายใจออก สบายๆ เป็นการเจริญสติที่ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการรักษาจิตใจให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย ใจให้สบายๆ กายสบาย สบายๆ

    อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี 5 อย่าง คือ

    เป็นผู้ทนต่อความเพียร
    เป็นผู้ทนต่อการเดินไกล
    เป็นผู้มีการเจ็บไข้น้อย
    อาหารที่บริโภคเข้าไปย่อมย่อยง่าย
    สมาธิ ซึ่งได้ขณะเดินจงกรม ดำรงอยู่ได้นาน
    เอกสารอ้างอิง
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก. อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข 1 ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ. ธรรมบรรยาย เล่มที่ 11.
    กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิมายาโคตมี; 2550.


    ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก www.drrungrueng.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2012
  9. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ขอบคุณครับ (พิมพ์สั้นเกิน)
     
  10. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เป็นโรคแปลกนะคะ เพิ่งมาเป็นเหรอคะ เป็นมานานเท่าไหร่แล้วคะ ... และคงใช้ชีวิตลำบากมาก เพราะความคิดบางครั้งเราไปห้ามมันไม่ได้ บางทีก็คิดไม่ดีต่างๆ แต่นี่เล่นพูดออกมาเลย ....
    ทุกคนพยายามช่วยอยู่นะคะ ทุกคำตอบก็เป็นการแนะนำที่ดี แต่ไปหาหมอก่อนน่าจะชัวร์ และน่าจะลองหมอหลายๆแขนง เอาใจช่วยนะคะ แต่อย่าอยากตายเลย มันไม่ใช่ทางออกค่ะ
     
  11. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    เป็นโรคแปลกนะคะ เพิ่งมาเป็นเหรอคะ เป็นมานานเท่าไหร่แล้วคะ
    ตอบ 4 ปีแล้วครับ
    ... และคงใช้ชีวิตลำบากมาก เพราะความคิดบางครั้งเราไปห้ามมันไม่ได้ บางทีก็คิดไม่ดีต่างๆ แต่นี่เล่นพูดออกมาเลย ....
    ตอบ คิดออกมาเป็นเสียงเลยครับ เหมือนรั่ว ประมาณนั้น
    ทุกคนพยายามช่วยอยู่นะคะ ทุกคำตอบก็เป็นการแนะนำที่ดี แต่ไปหาหมอก่อนน่าจะชัวร์ และน่าจะลองหมอหลายๆแขนง เอาใจช่วยนะคะ
    ตอบ ขอบคุณครับ
    แต่อย่าอยากตายเลย มันไม่ใช่ทางออกค่ะ
     
  12. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ไม่อยากให้คิดสั้นเลยค่ะ คุณมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจคุณในนี้นะคะ (อย่างน้อยก็ไม่ได้ยินนะ) คุณยังไม่ได้ตอบคำถามข้อสุดท้ายของดิฉันเลยนะคะ ....
    ตอนนี้ที่ยังหาทางรักษาคือโรค แต่ถ้าคุณคิดสั้นแบบนั้น มันไม่สามารถจะหายได้นะคะ ทุกคนมีความหวัง และดิฉันเชื่อว่าคุณจะหาทางรักษาโรคนี้ได้ (เชื่อนะ) ขอแค่คุณใช้ความอดทนนะคะ ดิฉันและหลายๆคนในนี้เป็นกำลังใจให้นะคะ
     
  13. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    ลองนึกถึง( ผมใช้นึกล่ะกัน) ผู้ที่เขาพิการ เป็นใบ้ เขาคิดไหมครับ
    แม้จะห้ามความคิดไม่ได้ดังที่กล่าวไว้ แต่หากไม่สามารถพูดสื่อสารอะไรออกมาได้เลย
    ความทุกข์นั้น ๆ ก็ย่อมก่อเกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไร
    แต่ทว่า...ทำไมเขาเหล่านั้น ถึงดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างเป็นสุขดีล่ะครับ
    ความหวังและกำลังใจ คือส่วนหนึ่งจากตรงนั้นครับ ซึ่งมันจะผลักดันทัศนคติในด้านที่ไม่พึงควร
    ออกไปจากจิตใต้สำนึก แม้กระทั้งคำว่า ปมด้อยนั้นก็จะไม่มีเกิดขึ้นในจิตใจเราอีกเลย

    ส่วนเรื่องความอยากตายนี่เลิกคุยครับ ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ไฟในใจอย่าได้จุดมันขึ้นมาเลยครับ
    ทางโลกหากเห็นสมควรแล้ว ก็พึ่งแพทย์ไว้ก่อนครับ และช่วงนี้ลองหมั่นศึกษา ปฏิบัติธรรมดู
    เพียรไว้ให้มาก เจริญให้ยิ่งครับ จะเป็นการดี ท่านกล่าวไว้ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เช่นไร
    ความคิดมาจากจิต ส่งผลต่อการกระทำใด ๆ หากเมื่อจะหยุด จะลดละแล้ว
    แนะนำให้คุณพึงเจริญด้วยสติปัฏฐาน 4 ครับ อย่าลืมว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ช่างยากยิ่งนัก

    เป็นกำลังใจให้ ขอให้คุณพ้นจากทุกข์นี้โดยเร็ววัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  14. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ไม่อยากให้คิดสั้นเลยค่ะ คุณมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจคุณในนี้นะคะ (อย่างน้อยก็ไม่ได้ยินนะ) คุณยังไม่ได้ตอบคำถามข้อสุดท้ายของดิฉันเลยนะคะ ....
    ตอบ ความหดหู่หัวใจและท้อแท้ว่าไม่มีทางรักษาทำให้อยากตายครับ
    ตอนนี้ที่ยังหาทางรักษาคือโรค แต่ถ้าคุณคิดสั้นแบบนั้น มันไม่สามารถจะหายได้นะคะ ทุกคนมีความหวัง และดิฉันเชื่อว่าคุณจะหาทางรักษาโรคนี้ได้ (เชื่อนะ) ขอแค่คุณใช้ความอดทนนะคะ ดิฉันและหลายๆคนในนี้เป็นกำลังใจให้นะคะ
    ตอบ ขอบคุณมากครับ ผมก็อยากหายครับ เป็นมาสามสีี่ปีแล้ว ทำให้เพื่อน ญาติมิตรหนีหาย
     
  15. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ลองนึกถึง( ผมใช้นึกล่ะกัน) ผู้ที่เขาพิการ เป็นใบ้ เขาคิดไหมครับ
    แม้จะห้ามความคิดไม่ได้ดังที่กล่าวไว้ แต่หากไม่สามารถพูดสื่อสารอะไรออกมาได้เลย
    ความทุกข์นั้น ๆ ก็ย่อมก่อเกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไร
    แต่ทว่า...ทำไมเขาเหล่านั้น ถึงดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างเป็นสุขดีล่ะครับ
    ความหวังและกำลังใจ คือส่วนหนึ่งจากตรงนั้นครับ ซึ่งมันจะผลักดันทัศนคติในด้านที่ไม่พึงควร
    ออกไปจากจิตใต้สำนึก แม้กระทั้งคำว่า ปมด้อยนั้นก็จะไม่มีเกิดขึ้นในจิตใจเราอีกเลย

    ส่วนเรื่องความอยากตายนี่เลิกคุยครับ ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ไฟในใจอย่าได้จุดมันขึ้นมาเลยครับ
    ทางโลกหากเห็นสมควรแล้ว ก็พึ่งแพทย์ไว้ก่อนครับ และช่วงนี้ลองหมั่นศึกษา ปฏิบัติธรรมดู
    ตอบ ครับ ขอบคุณครับ
    เพียรไว้ให้มาก เจริญให้ยิ่งครับ จะเป็นการดี ท่านกล่าวไว้ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เช่นไร
    ความคิดมาจากจิต ส่งผลต่อการกระทำใด ๆ หากเมื่อจะหยุด จะลดละแล้ว
    แนะนำให้คุณพึงเจริญด้วยสติปัฏฐาน 4 ครับ อย่าลืมว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ช่างยากยิ่งนัก

    เป็นกำลังใจให้ ขอให้คุณพ้นจากทุกข์นี้โดยเร็ววัน
    ตอบ ขอบคุณมากครับ ได้กำลังใจดีๆจากในเว็ปนี้ ผมก็ยังคงตั้งหน้าหาหมอต่อไป
    ขอบคุณทุกท่านมากครับ ขออนุญาตรบกวนพื้นที่ในเวปต่อไปเผื่อจะมีท่านไหนเคยพบหรือรู้ทางรักษาครับ
     
  16. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    www.drrungrueng.org

    มารู้จักคลินิก

    http://www.drrungrueng.org/FService_ud.html

    ประวัตินายแพทย์รุ่งเรือง

    ลองดูที่นี่ไหมครับเผื่อเป็นทางเลือก
    เป็นศูนย์เวชศาสตร์บูรณาการ ให้การรักษาลักษณะผสมผสานแบบองค์รวม
    ไม่ทราบว่าคุณหมอจะรักษาให้หายได้ไหม แต่ดูแนวทางของคุณหมอแล้วน่าจะให้คำปรึกษาได้ดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  17. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ตอบ ขอบคุณครับ พอดีผมอยู่อิสาน หารักษาแถวอิสานให้หมดก่อน
    แต่ว่าดูจากเว็ปแล้วท่าทางจะดีมาก ยังไงเก็บไว้ก่อนครับ ในอนาคตคงได้ไปแน่ ขอบคุณมากครับ
     
  18. นางพญา20

    นางพญา20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +1,163
    สติและปัญญา ทำให้เราสามารถรักษาใจให้สงบได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในสถานการณ์อะไรก็ตาม จึงนำความสุขอันปราณีตมาให้แก่เราได้ในทุกโอกาส แม้จะอยู่บนท้องถนน ในเมือง หรือท่ามกลางฝูงชนไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ยังเป็นปกติอยู่ได้ จึงเป็นความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก และประเสริฐกว่าความสุขที่เกิดจากสิ่งเร้าจิกระตุ้นใจ เป็นสุขที่ทำให้เราไม่ต้องดิ้นรนไล่ล่า มันทำให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง นี่ใช่ไหมป็นความสุขที่เราควรมีโอกาสสัมผัสขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่
     
  19. tanakornton

    tanakornton Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +90
    ขอบคุณครับที่เมตตาช่วยผม ตอนนี้เครียดมาก แต่ก็หาทางรอดต่อไปครับ
     
  20. combatgirl

    combatgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +121
    หาหมอหรือยังคะ ถ้ายัง แนะนำให้ไปหาก่อน ได้ทุกโรงพยาบาลค่ะ ถ้าคุณคิดจะรักษาจริงๆ สมมุติว่ามีคนที่เส้นประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อเสื่อม เฝ้าแต่ถามคนนั้นคนนี้ว่าทำยังไงแขนขาจะขยับได้เหมือนเดิม ทำยังไงอาการชาๆ จะหายไป คนนั้นก็ให้ไปนวด คนนี้ให้กินยาโน่นยานี่ แต่มันไม่ตรงจุดสักที ก็ไม่หาย พอเจอหมอ หมอบอกอ๋อ เป็นเพราะเส้นประสาทถ้าให้มองก็มองไม่ออก เพราะความผิดปกติที่เกิดไม่เห็นด้วยตาเปล่า รักษาแบบนี้ๆ หาย
    ตอนนี้ แนะนำเดินจงกรม หรือฝึกสมาธิแนวสติปัฏฐานค่ะ อยู่กับปัจจุบัน หรือจะลองทำงานศิลปะก็ได้นะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...