ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี !!

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย siwasak, 3 ตุลาคม 2012.

  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:เล่ามาห้า ท่อน เน็ตหลุดหมดเลยเหลือท่อนท้ายนิดเดียว มีเวลาเดี๋ยวมาเล่าใหม่ครับ:cool:แต่ผมไม่เอาเพราะว่าผมยังเลวอยู่ จึงอยากให้มันตายไปพร้อมกับผม และที่ผมนำมาเล่า ก้เพราะ เห็นคนใช้ตำรามาเล่าเยอะแยะ ออกมากมาย แล้วเรามาประสพ ด้วยตนเองทำไม จะเอามาเล่าบ้างไม่ได้ จึงคิดมุมกลับครับพี่น้อง
     
  2. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    ขอให้อดทนในการทำความดีและสร้างบุญกุศลครับ ผมเองก็เจอถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ ทำมาหากินไม่ก้าวหน้า เจอแต่คนรอบข้างสร้างแต่ความทุกข์ใจทั้งในครอบครัวและสังคมในการทำงาน และเจอแต่คนไม่รักษาคำพูด คนพาล และสุดท้ายที่เจอบ่อยที่สุดคือเวลาทำอะไรดูเหมือนว่ากำลังจะไปได้ดีจะต้องมีเหตุให้สิ่งที่ทำต้องล้มเลิกต้องมีปัญหาติดขัดตลอด ตอนนี้ทำใจได้ระดับหนึ่ง แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังจะมาเรื่อยๆบีบคั้นให้เรา เครียด รู้สึกคับแค้นในใจตลอด บางอย่างพูดแล้วไม่มีคนรับฟัง คนรอบข้างเมื่ออธิบายเหตุผลกลับไม่รับฟัง ทั้งๆที่ตัวผมเองเป็นผู้ถูกกล่าวหาอย่างนั้นอย่างนี้ รู้อะไรไม่จริงกลับมาโวยใส่ผม ผมเองก็ต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ทำอะไรที่ผิดศีลธรรม ต้องคอยคอบคุมอารมณ์ตลอดเวลาในช่วงนี้ เหมือนกับว่าเรายิ่งตั้งใจมุ่งมั่น ดูว่าเจ้ากรรมนายเวร หรือเหล่ามารทั้งหลายก็จะยิ่งตามถล่มเรา เหมือนจะลองใจเราว่าเราจะทนได้ไหม และทุกๆวันนี้ผมก็ยังโดนอยู่เสมอ....
     
  3. pandablahblah

    pandablahblah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +71
    แฮปปี้มาช่วยเป็นกำลังใจนะคะ ^^

    แฮปปี้ก็เคยเป็นค่ะ แบบนี้ เคยคิดว่า เราทำดีตั้งมากมาย ทั้งสำรวม แต่ทำไมมีแต่คนใจร้ายหยาบคายใส่เรา ก็ร้องไห้ น้อยจเหมือนกัน ตั้งแต่มาอ่านเจอในหนังสือ อำนาจแห่งกรรม ของ สมเด็จพระสังฆราช ก็ไม่น้อยใจอีกเลยค่ะ แฮปปี้จะลองสรุปให้ฟังง่ายๆนะคะ ^^

    เรา (จิตที่เวียนว่าย) ก็เหมือนกระดาษใบหนึ่งค่ะ สีขาวๆบางๆ นึกภาพว่าเป็นกระดาษ A4 แผ่นหนึ่ง แผ่นนั้นคือเรา (จิตเราที่อุปทานยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราไงคะ) น้ำหมึกคือกรรมของเรา (การกระทำทั้งเจตนาและไม่เจตนา) แล้วปากกาก็คือเครื่องมือสร้างกรรมของเรา (ขันธ์ทั้ง 5 ที่เรามี) ตั้งแต่แรกเริ่ม เราก็นำปากกานี้เขียนลงไปในกระดาษ A4 ของเราตั้งแต่ต้นจนจบ ครั้งแรก คือชาติที่ 1 ของเรา ทีนี้ก็เอาปากกาเขียนประโยค หรือข้อความใหม่ๆทับลงไปอีกเป็นครั้งที่ 2-3-4-5 เรื่อยๆๆๆ ก็คือชาติภพแห่งทุกข์ที่ 2-3-4-5 เราเกิดเรื่อยๆเหมือนกัน แล้วการที่เราเกิดนั้นมันช่างยาวนานจนนับไม่ได้ การเขียนปากกาของเราก็มีมากมายนับไม่ได้เหมือนกัน บางครั้งเราก็เขียนสิ่งดีๆ วาดภาพสิ่งที่สวยงามลงไป แต่บางครั้งเราก็เขียนสิ่งที่ไม่ดี ลงไปเหมือนกัน การเขียนทั้งหมดเกิดขึ้นในหน้ากระดาษแค่ในเดียวใบนั้นเท่านั้น น้ำหมึกมันก็ทับถมกับไปเรื่อยๆๆจนอ่านไม่ออก มองไม่เห็น จำไม่ได้เลยว่า เราเขียนอะไรไปก่อนหลัง หรือเขียนอะไรไว้บ้าง หากตัวไหนเราใช้น้ำหมึกสีสวยๆ เขีนตัวโตๆ หน่อย เราก็เห็นได้ชัด หาดใช้น้ำหมึกเข้มเขียนตัวหนาๆ เราก็จะเห็นมันก่อนเพื่อน แต่ตัวหนังสือบางๆ ตัวเล็กๆ เราก็มองไม่เห็นมันเลย

    กรรมก็เหมือนกันค่ะ :) เราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ใน 1 ชาติเรามีอายุตั้งเท่าไหร่ รวมเป็นกี่วันกี่ชั่วโมง ตลอดทั้งชั่วโมง ก็เป็นไปได้ว่าเราก็ไม่ได้ทำดีตลอด 60 นาทีจริงไหมคะ? ลองคิดเล่นๆ สมมุติๆว่า เราอารมณ์ดี 2 นาที เดินเผลอไปเหยียบไส้เดือนตาย 1 ตัว เราก็เศร้า 3 นาที แล้วมีคนเดินมาชน เราก็โกรธเขาต่ออีก 5 นาที พร้อมกับแอบนินทาเขาในใจ เสร็จแล้วก็ต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ คนเบียดกัน เรารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ รถก็ติด หงุดหงิดอยู่ 20 นาที (เป็น 30 นาทีแล้วนะคะ) พอถึงวัด ได้ทำบุญ ปลื้มใจไป 10 นาที ออกมาซื้อนกปล่อย ปรากฎว่ารู้ว่าแม่ค้าเอายาให้นกกิน นกสีซีดเหลืองนางสงสาร เราเศร้า 10 นาที แถมโดนแม่ค้าโกงราคาขายให้แพงๆ เราติเขาในใจไป 5 นาทีด้วยความโกรธ จู่ๆเพื่อนโทรมา อยากคลายเครียดเลย อำเพื่อนเล่นๆไม่คิดจริงจัง แต่เพื่อนจริงจัง เรารู้สึกผิดอย่างไม่ตั้งใจไป 5 นาที รวมเป็น 30 นาที เหตุการณ์แรก และเหตุการณ์ที่ 2 รวมกันได้ 1 ชั่วโมง แต่ชีวิตของเราไม่ได้มีแค่ 1 ชั่วโมงจริงไหมคะ? ชีวิตของเรายืนยาวพอสมควรเลย แล้วเราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ก็คงจิตนาการได้ว่า มีกรรมมากมายหลายล้านๆๆๆสิ่งที่เราคงจะเคยก่อมา ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แล้วกรรมนั้นให้ผลเที่ยงตรง ซื่อสัตย์ ยุติธรรม หากกุศลกรรมมีกำลังแรงกว่า ก็ให้ผลเร็วและชัดเจนกว่า หากอกุศลกรรมมีกำลังแรงกว่า ก็ให้ผลที่เร็วและชัดเจนกว่าเช่นกัน เหมือนการแข่งรถฟอมูล่า ที่แข่งกันแซงไปๆมาๆ หากเครื่องใครแจ่มกว่า ก็จะแซงไป แล้วเข้าเส้นชัย (กระทบกันผู้ก่อกรรม) ก่อน

    แม้กรรมที่ไม่เจตนาทำ เราไม่บาป แต่ก็ถือว่ามีกรรม เช่น ถ้าเราเขียนๆหนังสืออยู่ เผลอเอามือไปปัดขวดหมึกหกโดยไม่ตั้งใจ หมึกก็ย่อมเลอะกระดาษของเราด้วย แล้วน้ำหมึกก็ยังคงอยู่ ติดอยู่กับกระดาษของเรา หากโชคดีมีน้ำหมึกน้อย กระดาษก็ไม่เปื้อนมาก แต่หากหมึกมาก ก็เลอะเทอะไปหมด ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งแฮปปี้เคยเจอกับตัวเองมาแล้ว สิ่งที่เราไม่เจตนาทำ ก็สะท้อนมาหาเราจนเราเองก็เดือดร้อนใจเหมือนกัน ยิ่งสิ่งที่เราตั้งใจทำมันลงไป เราก็ยิ่งเสียใจมากๆๆๆ

    พระพุทธเจ้าของเราท่านจึงสอนว่า ความชั่วอย่าทำเลยเสียจะดีกว่า นั่นเป็นเรื่องจริงพอเราระลึกได้ว่าผลที่เราได้รับเป็นกรรมที่เราเคยทำไว้ แล้วเราจะเข้าใจว่าทำไมท่านจึงสอนให้มีสติระลึกรู้ตลอดเวลา แล้วเราจะเห็นความสำคัญของจิตประภัสสร และการให้อภัย การมองข้ามสิ่งหยาบคายที่คนอื่นทำใส่เรา เพราะเราจะเข้าใจว่า กรรมทั้งหลายย่อมมีผลแก่ผู้ทำแน่นอน

    คนขี้โกง หรือคนไม่ดี ที่ได้รับแต่สิ่งดี ก็เป็นเพราะสิ่งที่เขาเคยทำมา ที่เป็นผลของกุศลมีกำลังมากกว่า จึงมาตัดรอนอกุศล (เพิ่งอ่านเจอเมื่อคืนนะคะว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า หากกุศลให้ผล จิตเราก็จะน้อมไปเสวยกามคุณนั้น) แต่ถ้าบุญเขาหมดล่ะก็ คงต้องเหมือนหนังสยองขวัญที่เราต้องปิดตาชมแน่นอนค่ะ พระสังฆราชท่านจึงเปรียบกรรมชั่วเสมือนรถบรรทุกที่แล่นด้วยความเร็วไล่ทับบดขยี้เรา แล้วเราก็วิ่งหนีด้วยความกลัว ถ้ากำลังเราหมด (กุศล) เราก็ถูกทับตายแน่นอน

    ดังนั้นอย่าน้อยใจเลยนะคะ ทำจิตให้ประภัสสรดีกว่า เมื่อก่อนที่แฮปปี้จะไปบวชแฮปปี้ก็น้อยใจมาก จนอยากจะตายๆๆๆๆๆๆไปเสีย แต่พอบวชเสร็จ มาปรับความเข้าใจ อื้มนะ ต้องขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราได้สิ่งที่ดีมาประดับใจ ได้เข้มแข็ง ได้เข้าถึงธรรมะ ตอนนี้ไม่น้อยใจเลย มีความสุขได้ทุกวันๆ ทั้งที่รอบข้างมันน่าอึกอัด แต่ผู้มีปัญญาต้องรู้จักมองข้ามสิ่งที่ไม่น่าสนใจ (ความทุกข์)ไป (อ่านเจอในนิตยสาร ซีเครท ค่ะ ไม่ได้พูดเองนะ อิอิ) แล้วก็ฝึกเมตตา ถ้าเราคิดว่าเราสำรวม และจิตใจใสสะอาดจริง ก็ไม่ต้องไปงอนงุงิ ว่าทำไมไม่ได้ดีเสียที เพราะนั่นถือเราเราไม่ใสจริงนะคะ :p

    มีเรื่องเล่า ว่า มีชายคนหนึ่งถวายภัตาหารและฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าของเราแล้ว ก็ไปล้างหน้าที่ริมลำธาร ปรากฎว่ามีโจรวิ่งมาโยนถุงเงินไว้ข้างๆชายคนนั้น ชาวบ้านที่วิ่งตามมานึกว่า นี่น่ะโจรผู้ร้าย จึงทุบตีชายผู้แสนดีเสียชีวิต ก่อนที่จะตาย เขาก็พยายามพูดว่า "เราไม่ได้ทำ"... พอเหล่าพระสงฆ์ทราบข่าว ก็มาทูลแก่พระพุทธเจ้าว่า "เขาเป็นคนดี ไม่สมควรได้รับความตายเช่นนี้เลยพระเจ้าค่ะ" พระพุทธเจ้าผู้ทรปรีชาของเราจึงตรัสว่า "ความตายที่เขาได้รับในชาตินี้ไม่สมควรแก่เขาก็จริงอยู่ แต่ก็สมควรกับกรรมที่เขาได้กระทำในชาติปางก่อน" พระภิกษุจึงขอให้พระพุทธเจ้าของเราเล่าความเป็นมา พระพุทธเจ้าของเราจึงเล่าว่า

    ชายคนนั้นเคยเกิดเป็นหัวหน้าทหารของพระราชา ในยุคนั้นมีโจรป่าชุกชุมคอยดักปล้นชาวบ้านที่ต้องการเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ พระราชาจึงให้ทหารทั้งหลายไปเฝ้าอารักขาชาวบ้านชาวเมือง ชายคนนั้นก็ต้องไปควบคุมทหารด้วยอยู่ที่ข้างลำห้วยแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง มีคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวเดินมาถึงห้วยนั้น แล้วขอให้ชายหัวหน้าทหารอำนวยความสะดวกในการข้ามห้วยให้หน่อย ปรากฏว่าชายหัวหน้าทหารเกิดไปตกหลุมรักและอยากครอบครองภรรยาของชายชาวบ้าน จึงออกอุบายว่า ให้พักค้างคืนก่อน เพราะเริ่มเย็นแล้ว พอชายชาวบ้านหลับ ก็เอาอัญมณีของตัวเองไปใส่ในถุงผ้าของชายชาวบ้าน รุ่งเช้ามาก็แกล้งทำเป็นโวยวายว่า อัญมณีของตัวเองหายไป ต้องมีใครขโมยแน่ๆ ก็สั่งให้ค้นตัวชายชาวบ้านนั้น พอเจออัญมณีในถุงผ้าของชายคนนั้นก็เข้าทางพอดี เลยสั่งให้ทหารลูกน้อง ทุบตีชายชาวบ้านคนนั้นจนเสียชีวิตทั้งๆที่เขาก็ปฏิเสธจนถึงครั้งสุดท้ายก่อนตายว่า ไม่ได้ทำ...

    เห็นไหมคะ กรรมอะไรที่เราได้รับในชาตินี้โดยที่คิดว่า ไม่น่าเลยไม่สมควรเลย แต่ชาติที่แล้วๆมาเราอาจจะสร้างความทุกข์หนักหนาไว้ให้กับใครต่อมิใครในปางก่อนก็ได้ :3

    สิ่งที่เราได้รับ สมควรแล้วแก่การก่อน ทั้งดีและไม่ดี เราอาจจะโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่ไม่มีพระธรรมรักษาใจก็ได้นะคะ เพราะเรายังมีที่พึง ยังมีที่ศึกษาให้เข้าใจ ให้สบายใจ บางคนที่ไม่มีต้องจบทุกอย่างด้วยชีวิต แล้วปล่อยให้คนข้างหลังร้องไห้ก็มี

    ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะน้อมรับทุกสิ่งได้อย่างอ่อนโยน เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดี เราก็ยังมีแต่ความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ (สุขที่ใจสงบ สุขที่ใจเรารู้ว่า เอ๊ย! เราไม่โกรธ เราไม่ทุกข์ เราไม่เศร้าเลยนี่ สุดยอดๆๆๆ แบบนี้อ่ะค่ะ) ไม่พอเราจะคิดอีกว่า ไหนๆดูซิ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ยินดีนะๆ พอใจๆ เราจะรับผิดชอบทั้งหมดเลยล่ะ <3 เราจะคิดได้ด้วยรอยยิ้มเลยนะคะ มันมหัศจรรย์มาก

    เคล็ดลับก็คือ การทำความเข้าใจ แล้วอ่อนโยนให้มาก เมตตาให้มาก (แฮปปี้ฝึกจากการแผ่เมตตาใหญ่ แบบ ทำเสียงอ่อนโยนสุดๆๆๆๆๆ ถ้าวันไหนขี้เกียจก็คิดว่า เปรตเขาหิวนะ เขาทุกข์กว่าเรา ก็ต้องงัวเงียๆ มาอ่อนโยนให้ได้) พอทำได้ เราจะไม่เหนื่อยเลยค่ะ แถมนอนไม่หลับ เพราะปิติ จน แบตเตอร์รี่ของจิตเรามันเต็ม เครื่องไม่ดับ เลยนอนไม่หลับ ฉวยโอกาสนั่งสมาธิเลยค่ะ ติดใจมากๆ พอเวลานอนจริงๆก็ไม่ฝันร้ายเลย ^^

    พอทำขั้นนี้สำเร็จ ก็จะไปสู่ขั้นการเปลี่นความกลัวเป็นความเมตตา มันน่าสนุกมากเลยนะคะ แต่ตอนนี้แฮปปี้มาขอให้กำลังใจคุณก่อน ย๊าวยาว ไม่ทราบว่าคุณจะได้อ่านจบไหม แต่ว่า แฮปปี้ก็มาฝากข้อความไว้ อันนี้แฮปปี้ปฏิบัติแล้วเห็นผลจริงค่ะเลยมาแนะนำ เพราะเคยประสบเรื่องแบบนี้ แล้วหลายๆคนกำลังประสบ ก็อยากมาช่วยหาทางออก อย่างไรกคุยกันได้นะคะ ยินดีรับมิตรภาพใหม่ๆเสมอเลยค่ะ

    คุณเป็นผู้มีคุณธรรมเรื่องความรักกตัญญูต่อคุณแม่มากๆ แล้วคุณแม่ของคุณก็น่ารักมากๆเลยนะคะ ที่ปฏิบัติธรรมแม้จะประสบสิ่งที่ร้ายๆ เป็นคนที่หาได้ยากนะคะ เพราะหลายคนมักจะถอดใจ แฮปปี้ก็ขอชมเชยมากๆเลย แล้วขออวยพรให้คุณกับคุณแม่มีแต่ความสุขความเจริญใจนับจากนี้ไป ขอให้ธรรมะคุ้มครองชีวิตและจิตใจของคุณ ขอให้คุณและคุณแม่ประสบแต่กัลยาณมิตรที่จะช่วยเหลือ ส่งเสริมคุณในทุกๆด้านให้คลายจากความทุข์นะคะ ^^
     
  4. วรรณนรี05

    วรรณนรี05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +903
    การทำดี ถ้าดีแท้ ดีจริง เข้าใจ ในธรรมปฎิบัติ เราจะ ไม่ไปสนใจ ในกรรมของผู้อื่นเลย และไม่มีเวลามาเปรียบเทียบ ว่ากรรมของเราเป็นอย่าง นี้ อย่างนั้น ถ้าเข้าใจ เราก็จะอยู่กับปัจจุบันของเราได้ อย่างมีความสุข ทั้งยามที่มีทุกข์มาเยือน เช่นถูกเขาโกง เรียกว่า ปกิณณกทุข์ เป็นทุกข์ ที่จรมาเป็นครั้งคราว ได้ แก่ ความเศร้าโศก ความเสียใจ คับแค้นใจประสปกับสิ่งที่ไม่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ และความผิดหวังที่ไม่ได้ดั่งต้องการ สิ่งเหล่านี้ นักปฎิบัติ ที่ทำเป็นแล้ว จะไม่หวั่นไหว และจะมองเป็นเรื่องธรรมดา คุณแม่ของคุณท่านอาจจะเข้าใจ ดีแล้ว และท่านยอมรับสภาพได้ เพียงแต่คุณรักและหวังดีต่อท่าน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี อ้อ การปฎิบัติไม่จำเป็นต้องยึดตำรามาก ขอเพียงให้เข้าใจ สภาวะธรรมในขณะปัจจุบัน ก็ พอ
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ข้อความน้อง แฮปปี้ ยอดเยี่ยมมากจ็ะ ... :cool::cool::cool:
    ขออนุโมทนาเน้อหล้า ... สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) ไหนๆก้ไหนๆแล้ว ขอแหย่เล่นหน่อย ท่านย่าผมเป็นหมอตำแย และผมสมัยเด็กๆ เคยไปกับท่าน และรู้วิธีการ คลอดลูก เรียกว่าไม่เคย จับ ท้องผู้หญิงเท่านั้นเอง แต่วิธีการรู้เกือบหมด ว่าเวลาผู้หญิง ปวดท้อง ต้องทำอย่างไร บ้าง และใช้วิธี ถ้าเด็ก ไม่หันหัวออก ต้องใช้มือ คลำ แล้วค่อย ใช้ให้เขากลับหัวลง ออกทาง ช่องคลอด ถ้าเด็ก ใช้ขาและแขน ออกมา มันออกไม่ได้ มันขวางทาง ช่องคลอด เราต้อง ดันมือออกไปอีทางหนึ่ง แล้ว ผักหัวหันมาทางช่องคลอด

    ถ้าเด็กกำลังจะคลอด แม่ไม่มีแรง ใช้ตะไคร้ทุบ ให้สูดดม บางครั้ง เราจะใช้เสียง อืดๆๆๆ เบ่งๆเข้าๆอืดๆๆ และเป็นเสียงอื่นก็มี แต่ที่แน่ๆ น้องผมอย่างน้อย ๓-๔ คนผม ช่วยแม่เวลาออกน้อง ช่วยหนุนหลัง ช่วยจับ เวลาน้องออกมา ผมเป็นคน ใช้ไม้ลวกผ่าเอาผิว มาตัดสดือ ก่อนจะตัด เอาได้มัดก่อน แล้วเอาไพรมาลองสะดือ ใช้ผิวไม้ลวก เฉือนฉับ ขาดเลย แต่เดี๋ยวนี้สบาย หมอสมัยใหม่ทำให้เสร็จ ออกมาเอา ผ้าขนหนูห่มให้ เขาฉลาด กว่าคนสมัยก่อน สมัยก่อน ออกมาแล้ว เอาไปอาบน้ำอุ่น เด็กร้องจ้า อุแหว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วเอาผ้า ห่ม แล้ว เอาเหมาะ มาลองรับ ใส่ไว้ในกระด้ง แทนเปลครับ ฮ่าๆฮ้าๆๆๆๆๆๆ

    เห็นแล้ว ทั้งสงสารตอนท่านผู้หญิงทั้งหลายออกลูก เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เคยซักผ้า ที่มีเลือด มากมาย เป็นลิ่มๆๆ และมีลกติดมา เป็นกองใหญ่ บางครั้ง กั้นใจไว้ไม่ไหวมันเหม็นคาวจนอ๊วกแตกอ๊วกแตน จึงใช้วิธี ส้นตีน ถู ดันให้ออกมา แล้วเอาไปทำกับขี้ตม หลายๆครั้ง เสร็จแล้ว ค่อยเอาผงซักฟอก มาซักอีกที ไอ้เลือดคนตอนออกลูกนี่มันเหม็น กว่าเลือดออกปรกติ หลายเท่า ทั้งน้ำคราวปลา น้ำคร่ำ โอ๊ยจิปาถะ มันถึงเหม็นนักหนา แค่นี้ดีกว่าจบครับ:cool:
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:({) ขอเล่า แบบเบาๆสมองครับ ผมอ่านของคุณแฮปปี้ไม่หมดดี แต่ก็เข้าใจ เพราะสิ่งที่คุณ เล่ามา ผม โดนมาแล้ว และมากกว่านี้ อีกหลายเท่านัก ไม่ได้เอามาข่มนะ แต่มันเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน ก็ยังมีอยู่ ตาบใด ถ้ายังมีลมหายใจ อยู่ยังต้องมีคู่กับมัน ว่ามากหรือน้อยครับ ผมน่ะโดนทั้งตำรวจ ป่าไม้ อนุรักห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ ป่าไม้ ทหารมีนิดหน่อยเอง ค่อยยังชั่วหน่อย ตำรวจนี่มากพอดู เจ้าหน้าที่อีกหลายส่วน ส่วนใหญ่เขาไม่ชอบขี้หน้า ไปขวางทางปืน และการทำมาหากินของเขา ถ้าเล่า ๒ วัน ๒ คืนไม่จบแน่นอนครับ

    ผมพูดรวมๆเลยนะ ถ้าการปฏิบัติ มันได้มรรคผลง่ายคงมีพระอรหันต์ทั้งเมืองแล้วครับ ที่เกิดมาชาตินี้ ก็ถือว่า ลองมาแล้วไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย จะว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ คือเมื่อก่อนอารมย์ฉุนเฉียวง่าย แต่เดี๋ยวนี้ อารมย์ เบาลงถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนครับ โกรธง่ายหายเร็ว แต่ถ้าคนใกล้ชิด จะใช้เวลานานหน่อยครับ ผมทั้งบวชเณรเถร ชีพราหม์ บวชพระ ๒๒๗ ศิล ๕ ศิล ๘ ศิลเณร เสขิยวัตรอีก ๗๕ เป็น ๘๕ อยู่ในถ้ำ หุบ เหว ป่า ในเมือง ในกรุง แม้แต่กินข้าวเอาน้ำทะเลหุงข้าว ก็เคยกินมาแล้ว กินเจ อยู่เกือบ ๑ พรรษา สมาทานไม่พูดกับใคร ครั้งหนึ่ง ๑๐ วัน บ้าง ๑๕ วันบ้าง ก็เคยทำ แต่มันก็ไม่เห็นมันสำเร็จ อะไรเลย

    แต่ก็รู้คุณค่าของ การปฏิบัติธรรม เคยถ้อ บ่อยๆมาก ทั้งถอยตั้งหลัก ถ้าเราถอย แต่ถอยมาตั้หลัก ไม่ใช่ถอยแล้วเลิก เมื่อมีกำลัง ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้กับมันอย่างไม่ย่อถ้อ เหมือนกัน บางครั้ง อาจจะบ่อย เป็นครั้งคราว เคยทำความชั่ว ประชด เสียเลย แต่ยิ่งทำยิ่งลงต่ำ และทรุดหนัก จึง เลิกทำ เรื่องหนักที่สุด ขนาดจ้าง มือปืนมาช่วยร่วม ยิงคน ผก อยู่ ๓ วัน ยิงทิ้ง แล้วเข้าป่าเลย ทิ้งทั้งโลกอยู่ป่าดีกว่า มันเหตุ พระเทวดาท่านคงไม่ให้ทำ มีเหตุให้มันแคล้วคลาดทุกครั้ง และผมต้องวางภาระลง ใช้ อุเบกขาน้อยๆวางลง แล้วสู้อย่างผู้ แพ้ แต่ อยู่ได้ แต่ชาตินี้ ทำไม เกิดมาเพื่อแพ้ แต่อยู่ได้ และใครก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ จะแพ้ภัย ตัวเองมากกว่า สิ่งใดๆที่เล่ามานี่ครับ เอ่าพอก่อน เดี๋ยวมาต่อ เรื่องเบาๆ วันนี้ไป วัดป่าเรไรมาครับ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:


    :cool:({) มันคงไม่ง่ายหรอกครับ พูดมันดูเหมือนง่าย แต่การกระทำ แสนจะยาก แค่เขา ว่าเรา ก็ไม่พอใจแล้ว อารมย์หงุดหงิด ยิ่งด่าคำที่หนักมากๆ คงทำได้ยากหน่อย แต่ก็ไม่ว่าหรอกครับสำหรับคนที่ทำได้ ขออนุโมทนาสาธุ คนที่มีใจแก่กล้า เขาย่อมทำได้แน่นอน การปฏิบัติธรรมนั้น หมื่นคน จะได้มรรคผล คนหนึ่ง นั้นแสนยาก แล้ว ๑ ในพันคนจะ ได้ทิพยจักษุญาณ ก็แสนยากเหมือนกัน แต่ผมก็ยังพยายามอยู่ วันละเล็กละน้อย ก็พอใจแล้ว แต่เมื่อก่อนไม่พอใจเท่าไหร่ เดดี๋ยวนี้ ได้เท่าไหน เอาเท่านั้น ไม่เคร่งเคลียด จนเกินไปครับ

    มาว่าต่อ ปี ๒๒-๒๓ ผมบวชแล้วไปกราบหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวงอ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ท่านได้เอายา รักษาโรค หัวใจ โรคประสาท โรคกลัว และหายในที่สุดครับ ผมนั่งวงเดียวกับหลวงปู่ แถบผมนั่งมีแต่ข้าวจ้าว ไม่มีข้าวเหนียว ก็นึกอยากกินข้าวเหนียว นึกไม่จบดี หลวงปู่ท่านจิตท่านไวมาก แค่นึกยังไม่จบ ท่านก้ยก บารต ข้าวเหนียว แล้วพูดว่าเอ่าเดี๋ยวมาภาคเหนือจะไม่ได้กินข้าวเหนียว แหม วันนี้เลยซัดข้าวเหนียวอิ่มแป้เลย มื้อเดียว สบายไป ย่อยยากนานๆกีนครั้งหนึ่ง และผมสังเกตุดู เวลาผมก้มลงกราบ ๑ กราบพระพุทธเจ้า กราบ ๒ กราบพระธรรม กราบ ๓ กราบ พระอริยะสงฆ์ ผมสังเกตุดูท่าทางท่าน ๆ ไม่ค่อยเต็มใจให้ผมกราบ

    ผมก็สังเกตุหลายครั้ง ก็เป็นอย่างเดิมอีก เลยคราวนี้ ตัดสินใจใหม่ ว่า กราบ ๑ กราบ พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ กราบ ๒ กราบพระธรรม กราบ ๓ กราบพระสงฆ์ แหมท่านยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงใจดีมากๆ ผมก็นึกในใจว่า ท่านคงเป็นพระโพธิสัตว์แน่นอน เพราะท่านแสดงอาการอย่างนั้น เพราะท่านยังมิใช่พระอริยะเจ้า จริงๆผมก็คิดมุมกับอีก พระโพธิสัตวืก็เหมือนพระอริยะเจ้า ทำไม่หลวงจึงแสดงอาการอย่างนั้น ครั้งหลังๆผมมาหาหลวงปู่ ก็จะกราบแบบที่ผมอธิบายมาครับ จิตท่านไวมากครับ หลวงพ่อฤาษีท่านบอก ทิพยจักษุญารของท่าน ใส และเห็นคล้ายๆกลางวัน ถ้าจำผิด ขออภัยด้วยครับผม และอีกคราวหนึ่งผมมาหาท่าน และเอาของให้ท่าอธิษฐานจิตให้ ผมออกให้ท่านหมด

    ท่านบอกยังไม่หมด ไม่หมด ผมบอกหมดแล้วครับ ท่านยืนยันเหมือนเดิม ผมล้วงเข้าไปในย่าม ไม่กล้าเอาออกมา หลวงปู่บอกเอาออกมา แหมเจ้างของยังไม่รู้ แต่หลวงปู่ท่านรู้ ผมก็งัดออกมามันเป็ปลัดขิกครับตัวเท่าข้อมือผมครับ ทั้งผู้หญิงผู้ชายลูกศิษย์ท่านหัวเราะ ฮาตึมๆ และปลัดขิกตัวนี้ เป็นรากลวดทนง หลวงปู่ถามว่า แบบนี้มีเยอะไหม ผมตอบท่านว่า มีครับหลวงปู่ที่วัด พระแท่นดงรัง อ.ท่าเรือ จ.กาญจนบุรี ครับ ผมรับปาก จะไปขอทางวัด และขุดมาให้ท่านทำยา รักษาโรค นี่เห็นไหมว่าท่าน รู้ยิ่งจริงๆ และไวจริงๆ

    มาว่าต่อครับ และปี ๒๙-๓๐ ตอนผมเป็นนักการภารโรง มีอยู่วันหนึ่ง ผม ก็นั่งคิดสัปดล อยากมีลูก เป็นพระโพธิสัตว์ นึกถึงหลวงปู่ปาน แต่แล้วมันมาคิดถึงหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย และหยุดอยู่ตรงนี้ คิดเป็นวัน ฟุ้ง และรุ่งขึ้น หลวงพ่อสั่งพี่ปีมา พี่ปีแกเป็นแม่ครัว ทำอาหารให้เด้กนักเรียน พระสุธรรมวิทยา เป็นพี่สาวของอาจารย์พรนุช คืนคงดีครับ พี่ปีบอกมาว่าหลวงพ่อสั่งมาให้ ไปบอกบุญทรงทีว่าหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย ท่านทำความปราถนา เป็นพระอครสาวกเบื้องขวา ของพระศรีอริยะเมตตรัย ครับ ผมหายสงสัยทันที ถึงบางอ้อแล้ว ที่ท่านแสดงอาการดังที่ผมเล่ามา แต่ก่อน ท่านอาจจะทำความปราถนา พระพุทธเจ้าแล้ว เปลี่ยนใจมาเป็น พระอัครสาวกเบื้องขวา พระศรีอริยะเมตตรัยก็ได้ครับนี่ความเห็นผมนะครับ:cool:
     
  9. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    สุดยอดเลยครับคุณน้า..... อนุโมทนาครับผม
     
  10. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    มันเป็นเหมือนการทดสอบใจ ว่าถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดี เองยังจะทำอยู่ไหม ความจริงเวลาทำดี ใจจะชุ่มช่ำไปด้วยบุญ ได้ที่ใจก่อนที่อื่น ส่วนโลกมันเป็นแบบนี้เราจะเป็นแบบไหนก็เลือกเอา ข้อทดสอบยากๆ มีไว้สำหรับคนพิเศษเท่านั้น ไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีอะไรเลย
     
  11. pawanakun

    pawanakun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +181
    ขออนุโมทนา ในความเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรมค่ะ
    (ขอแนะนำว่า ถ้าต้องการเข้าใจเรื่องชีวิต ขอให้ศึกษา พระอภิธรรมค่ะ
    ว่าด้วยเรื่องชีวิตล้วนๆ)

    หางานราชการ
     
  12. Sathuja

    Sathuja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +218
    บุญใหม่เราทำ บาปเก่าก็ยังมีเหมือนกัน

    นึกถึงที่หลวงพ่อเคยสอน ว่าถือศีลแค่กี่ปี แต่ที่เราขาดทุนมาตั้งเท่าไหร่แล้ว >.<
     
  13. ขวัญพิภพ

    ขวัญพิภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +93,514
    -----------คนรวยมองแบบโลกๆ ที่เคยอ่านและโดนใจเป็นจริงมากที่สุด
    -----------แม้ชอบพระปฏิบัติมากกว่าแต่ทว่า--ความจริงท่านจันทร์ สันติอโศกก็มีข้อคิดดีดี
    ----------คนรวยในสมัยนี้เขาแบ่งแค่สองประเภท
    ----------รวยเพราะบุญเก่า และคนรวยเพราะบาปใหม่
    ----------ข้างหลังจะเยอะมากมาก
     
  14. ขวัญพิภพ

    ขวัญพิภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +93,514
    ------------------สายพุทธทาส ที่พะเยาว์เขาก็สอนดีนะ
    ------------------เขาบอกว่าในช่วงไม่ถึง 100ปี
    ------------------จะเอาชีวิตที่มีความพร้อมมาวัดยังไม่ได้
    ------------------ต้องดูชีวิตหลังความตายเข้าประกอบ
    -------------------พร้อมด้วยเงินทอง ------------โกงลูกน้อง พี่น้องท้องเดียวกันหรือไม่ใครจะรู้
    -------------------มีที่ดินมากมาย----------------โกงพ่อแม่ มาก็เยอะ
    -------------------มีหน้าตา-----------------------สร้างภาพหลอกสังคมมาตลอดชีวิตหรือไม่
    -------------------มีความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง-------ใช้หน้าที่โกงชาติโกงคนทั้งแผ่นดินมา ตลอดใช่หรือไม่
    ---------------------ต้องดูกันยาวยาว
     
  15. ขวัญพิภพ

    ขวัญพิภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +93,514
    -------------ชีวิตที่สมบรูณ์ในโลกมนุษย์คือห้าสิบเปอร์เซนต์แรก
    -------------อีกห้าสิบ คือ ชีวิตหลังความตาย ที่เหลือ ว่าใครจริงใครเท็จ
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) ผมเข้าวัดมา ประมาณว่า พ.ศ.๒๐ กว่าๆ เมื่อเข้าวัด ผมจะรักษา ศิล ๘ ทุกครั้ง และรวมๆอยู่ วัดนับเป็นสิบๆปี ผมจะรักษา ศิล ๘ มาหลายปี เอาแบบเบาๆครับ แต่มาพังเมื่อพ.ศ. ๔๗ เข้าวัดแล้วกินข้าวเย็น เอาแค่ สิล ๕ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เอาแบบว่า สตายฉัน เคยนึกนะ ทำไมเราทำบุญมาเกิน ๒๐ ปี แต่ไม่ให้ผล น้อยใจ ทั้งอดสู แต่แล้ว เราก็สำเร็จได้ระดับ หนึ่ง กล้านำมากล่าว ในกระทู้นี่ไงครับ ว่าทั้งบุญและบาป ให้ผลผมมาแล้ว ทั้ง ๒ อย่างในชาตินี้ ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว ไม่ใช่อย่างเดียว หลายอย่างด้วย ทั้งสองแบบ ฟันธงได้เลย ใครจะเชื่อไม่เช่อ ไม่สนใจอีกแล้วครับ นี่คือ ประสพการณ์ จริงครับ

    วันนี้ก่อนจะเข้ากรุงเทพ มาเล่า เสียก่อน ตอนที่ผมปฏิบัติธรรม ไว้นวดเครา ธรรมมันเกิดขึ้นมาในใจ อยู่อย่างหนึ่ง ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เราจึงใช้วธีนั้น ปฏิบัติมาพักหนึ่ง การนุ่งของผม ท่อนล่าง นุ่งสีกลัก แบบสบง มีอังสะ คล้ายพระ แต่ใส่เสื้อสีขาว แขนยาวบางครั้งอาจใส่แขนสั้น แขนยาวเมื่อออก ไปข้างนอก หรือทำไปทำธุระ ผมปล่อยยาว แต่หวีแบบมีระเบียบ เรียบร้อย ธรรมเกิดอย่างนี้ ว่า การนุ่งของเรา หัวปล่อยผมยาว เปรียบ เสมือน คือ ศิล ๕ เป็นบาทฐาน ของศิล ๘ ตรงกลางสีขาว ศิล เป็นบาทฐาน ของสิล ๑๐ เสขิยวัตรอีก ๗๕ ข้อ ทอนล่าง เป็นสีกลัก ตอนนั้น ผมปฏิบัติ แบบนี้ ในความรู้ศึก ของผม และศิล ๑๐ ของเณร เสขิยวัตร ๗๕ ข้อ เณรต้องปฏิบัติตามนี้ เพราะชาวบ้าน เขาต้องกราบไหว้ ให้ข้าวกิน และศิล ๑๐ เป็นบาทฐาน ของศิล ๒๒๗ ข้อ ถ้าพระองค์ไหน ไม่มีศิล ๕ ถือว่าไม่ใช่พระแล้วครับ เป็นสัตว์นรก



    ถ้าผู้ใด ไม่ทำตาม ถือเป็นเดียรถีเข้ามาบวช หากิน ตอนนั้นการปฏิบัติ เหมือนจะได้ มรรคผลนิพพาน แต่แล้ว เมื่อกรรมให้ผล ผมก็ศึกออกมา อีกครั้ง ถอยมาตั้งหลัก ฌาณโลกีย์ก็ยังนี้แหละ ขึ้นๆลงๆ และไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชเป็นฆราวาส ก็ทำได้ และทำได้ดีกว่า ตอนบวชด้วยซ้ำไป และที่ไป ทำงานต่างๆ ผมไปใช้กรรมด้วย และสร้างบุญใหม่ด้วย จึงมีประสพการณ์ มากมาย ในชีวิต ของเรา ผมไม่ว่าจะไปอยู่ จังหวัดใด หรือที่ใดก็ตาม จะ ไปช่วยบูรณะ หรือ ทำบุญ วัดนั้นๆ ตามกำลัง ของตนครับ ไม่เคนทิ้ง เพื่อจรร โลงพระศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ต่อไป เพื่อจะได้ให้พระสงฆ์ ดำรงณ์ พระศาสนาต่อไป ครบ ๕,๐๐๐ ปีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2012
  17. manigold

    manigold เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +123
    คิดว่าในปัจุบันเราไม่ได้ดีแบบคนอื่น เพราะชาติที่แล้วเราคงทำกรรมเอาไว้เยอะ ตอนนี้มีโอกาสก้หมั่นทำความดีหมั่นทำบุญเอาไว้เยอะๆครับ
     
  18. aneikpol

    aneikpol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +311
    หลวงพ่อจรัญ ท่านสอนเป็นร้อยกรอง เรื่องความดีความชั่วไว้ดังนี้
    ทำความดี ได้ดี นั้นมีแน่
    ขอเพียงแต่ หมั่นทำ ความดีไว้
    ที่ทำชั่ว ได้ดี มีมากไป
    ไม่มีใคร จีรัง พังทุกราย
    ใครทำดี ได้ดี มีอยู่ทั่ว
    ใครทำชั่ว ได้ชั่ว ต้องมัวหมอง
    ความดีชั่ว บังคับ คอยรับรอง
    ผลทั่งสอง ถึงตัว ทั้งชั่วดี
    :z12
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({)
    ทำดีให้สุดขั้ว หนีชั่วให้สุดขีด ผมนึกออกแล้วครับว่าเป้นคำพูดของใคร เป็นคำของท่าน อ.ไกรสร พรหมพิทัก ครับท่าน ผมจึงนำคำขวัญนี้ มาไว้ในใจผม เพราะอะไร ก้เพราะว่า ผมทำอยู่แล้ว จนเป็น ปรกติ บังเอิญ ท่านพูดมามัน มาโดนใจผม เขาเรียก ขี้ตรงล่องพอดีครับผม:cool:
     
  20. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    [​IMG]

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
    ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี..

    คุณขีด : กระผมอยากทราบเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะเป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญและบาปก็เพราะไม่รู้จักกฎแห่งกรรม บางคนไม่เชื่อว่าบุญมีจริงบาปมีจริง แล้วบางทีทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่ทราบชัดในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดสักหน่อยครับว่ามีกฎอันแท้จริงอย่างไร

    สมเด็จโต : กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างในอดีตภพย่อมนำมาสู่ท่านในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมไปเพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะมนุษย์ผู้นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย

    ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติว่าเมื่อสองปีก่อนท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วท่านหนีไปอยู่ที่หนองคาย (เปรียบเหมือนท่านฆ่าคนตายในภพก่อนแล้วมาเกิดใหม่ในภพนี้) เรียกว่าท่านเกิดภพนี้ทั้งที่เป็นคนเดิมคือจิตวิญญาณเดิมจากภพก่อน แต่มาอยู่ภพนี้หรือเมืองนี้

    ในขณะที่ท่านหนีจากกรุงเทพฯ (ภพก่อน) ไปอยู่หนองคาย (ภพนี้) เกิดสำนึกผิดขึ้นมา จึงถือศีลทำบุญให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่หนองคาย ชาวบ้านที่หนองคายก็ยกย่องสรรเสริญว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างไว้คือฆ่าคนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ชาวบ้านที่หนองคายไม่รู้กับท่านด้วย และตำรวจ (กรรม) นั้นก็กำลังตามหาท่านอยู่ เปรียบเสมือนการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น

    แม้ว่าท่านกำลังถือศีลถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ หรือแม้ว่าบางคนมาบวชเป็นพระเพื่อหนีคุกหนีตารางก็ตามที เมื่อตำรวจสืบพบเจอตัวท่าน แม้จะอยู่ที่วัดถือศีลหรือบวชเป็นพระอยู่ ตำรวจก็จับท่านทันทีเพื่อไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง คนที่หนองคายแถวที่ท่านอยู่ย่อมไม่พอใจ หรือด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถือศีลในอุโบสถอยู่

    ก็เหมือนกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาทันท่านตอนที่ท่านกำลังทำดี ทำให้ท่านคิดว่าทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี กลับพบเจอและได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจลืมกรรมที่ท่านทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาจนจำไม่ได้ว่าทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดี

    คล้ายกันกับคนทำชั่วหรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่กลับได้ดิบได้ดี เพราะภพชาติก่อนเขาเคยทำดีไว้ แล้วกรรมดีนี้ตามมาทันและส่งผลให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบันเขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตามที เพราะเป็นกรรมคนละส่วนกับกรรมเก่าที่เขาทำดีในภพชาติก่อน ส่วนกรรมใหม่ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ยังไม่ส่งผล ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนเราเพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนาออกดอกออกรวงข้าวในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยย่อมเป็นไม่ได้ จะต้องรอเดือนรอเวลาจนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนดที่จะออกรวงให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรมก็เช่นเดียวกันกับกฎธรรมชาติ

    เช่น การปลูกพืชปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ย่อมต้องจะรอการออกดอกออกผลเป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ ที่จะใช้เวลาไม่เท่ากันนานเป็นเดือนหรือนานเป็นปีจึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริกย่อมให้ผลิตผลเร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าวย่อมให้ผลเร็วกว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น เช่นเดียวกันกับผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนักกรรมเบา มีเจตนาหรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบาต่างกันต่างเวลาตามเหตุปัจจัย

    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีไว้ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้นอาจจะให้ท่านเสวยผลในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงกรรมกงเกวียนที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบันชาตินี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติเป็นกงกรรมกงเวียนที่ทับถมทั้งดีและชั่ว โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก

    ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านคิดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็แยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่าเวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนมีโทสจริต เวลาไหนมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้ว่า ท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพชาติแน่นอน ..

    โอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธิ์สมเด็จโต
    พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่
    ประจำวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔
    ……………………………………………………………………………………………………………
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13719<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0001.jpg
      0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.6 KB
      เปิดดู:
      128
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...