กำเนิดบั้งไฟพญานาค

<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/dycVCUdGt1g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

ກຳເນີດບັ້ງໄຟພະຍານາກ

<iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/lGhvF7X_4GM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

ມື້ນີ້ພວກເຮົາພາກັນໄປພິສູດບັ້ງໄຟພະຍານາກມາ ສະຖານທີ່ກໍແມ່ນຢູ່ຝັ່ງລາວເຮົານີ້ແຫລະ ແຕ່ບໍ່ຂໍລະບຸສະຖານທີ່ແຈ້ງເນາະ ເອົາເປັນວ່າ ຢູ່ຝັ່ງເຮົາ

ກໍໄປກັນຕັ້ງແຕ່ບ່າຍ 2-3 ໂມງ ເພື່ອຈະໄດ້ບໍ່ຕ້ອງຍາດບ່ອນໃຜ ເພາະຢ້ານຄົນຫຼາຍ ໄປຮອດແລ້ວກໍປາກົດວ່າບໍ່ຄ່ອຍມີຄົນ ມີແຕ່ຊາວບ້ານ ກໍເລີຍໄດ້ເລືອກບ່ອນຕາມໃຈ ແລ້ວກໍນັ່ງຖ້າຈົນຮອດຄ່ຳ

ຝັ່ງລາວເຮົາບໍ່ມີຫຍັງຫຼາຍຄືວ່າຫັ້ນລະ ແຕ່ຝັ່ງໄທຄົນຫຼາຍຍຍຍຍ ຫຼາຍພິລຶກພິໂລ ຫຼາຍເອົາແທ້ເອົາວ່າ ເຂົາກໍນັ່ງຖ້າ ນັ
່ງຈອງບ່ອນກັນແຕ່ເວັນ ຖ້າຈົນຄ່ຳ

ຕົກຄ່ຳມາກໍນັ່ງຖ້າຈົນເດືອນພົ້ນເດັ່ນຂຶ້ນຟ້າ ພວກເຮົາກໍນັ່ງເບິ່ງ ນັ່ງສັງເກດໄປເລື້ອຍໆ ຈົນຮອດເວລານຶ່ງ ໄດ້ຍິນສຽງເຮຮຮຮຮຮຮຮຮຮ ຈາກຝັ່ງໄທ ແລ້ວກໍສຽງ ໂຮຮຮຮຮຮຮຮ ດັງຕໍ່ມາ ເພາະວ່າເຂົາເຫັນບັ້ງໄຟພະຍານາກປາກົດຂຶ້ນ ພວກເຮົາກໍຊອກເບິ່ງ ແຕ່ກໍບໍ່ເຫັນ ແລ້ວກໍງຽບໄປອີກໄລຍະນຶ່ງ ຈາກນັ້ນຝັ່ງໄທກໍພາກັນຮ້ອງເຮໂຮກັນອີກ ເປັນແບບນີ້ຊ້ຳໄປຊ້ຳມາຫຼາຍເທື່ອ

ໃນຂະນະທີ່ທີມພວກເຮົາກຳລັງສິ້ນຫວັງ ຄິດວ່າຄົງບໍ່ມີໂອກາດໄດ້ເຫັນບັ້ງໄຟສັກສິດ (!?) ແລ້ວ ກໍປາກົດວ່າມີສຽງໂຮດັງຂຶ້ນອີກຈາກຝັ່ງໄທ!!! ແລ້ວໃນວິນາທີນັ້ນເອງ ເປັນວິນາທີທຳອິດທີ່ຂ້າພະເຈົ້າໄດ້ເຫັນບັ້ງໄຟພະຍານາກລອຍພົ້ນເດັ່ນຂຶ້ນຟ້າ! ສີຂອງມັນເປັນບົວເຂັ້ມ ອາດຈະເຂົ້າຂັ້ນສີແດງເລີຍກໍເປັນໄດ້ ມັນເຄື່ອນທີ່ບໍ່ໄວຫຼາຍ ແລ້ວກໍບໍ່ຊ້າຫຼາຍ ມັນລອຍຂຶ້ນຟ້າ ແລ້ວກໍດັບໄປ

ນັ້ນເປັນວິນາທີທີ່ຕື່ນເຕັ້ນຫຼາຍສຳລັບຄະນະຂອງພວກເຮົາ ເຊິ່ງບາງຄົນກໍເຫັນ ບາງຄົນກໍບໍ່ເຫັນ ແຕ່ສຳລັບຂ້າພະເຈົ້າທີ່ເຫັນນັ້ນ ແປກໃຈຫຼາຍ ເພາະມັນບໍ່ເປັນຄືທີ່ຟັງເຂົາເລົ່າກັນມາ

ຫຼັງຈາກບັ້ງໄຟລູກນັ້ນແລ້ວ ພວກເຮົາກໍນັ່ງຕັ້ງໜ້າຕັ້ງຕາລໍຄອຍຕໍ່ໄປ ແລະພະຍາຍາມເບິ່ງໄປທີ່ຜິວນ້ຳ ແຕ່ກໍບໍ່ປາກົດເຫັນ ໄດ້ຍິນແຕ່ສຽງໂຮ່ຈາກຝັ່ງໄທ ບໍ່ຮູ້ເຂົາຮ້ອງໂຮ່ຫຍັງ ເຫັນມີແຕ່ພາກັນຍິງພຸໄຟ ແລ້ວກໍຈູດກະໂພກ ແລະອັນທີ່ເຈັບຫົວທີ່ສຸດລະແມ່ນພາກັນລອຍໂຄມໄຟຂຶ້ນຟ້າ ເຮັດໃຫ້ສັບສົນວ່າອັນໃດແມ່ນບັ້ງໄຟ ອັນໃດແມ່ນໂຄມໄຟກັນແທ້!

ຫຼັງຈາກຜ່ານໄປຮ່ວມຊົ່ວໂມງ ພວກເຮົາກໍເຫັນບັ້ງໄຟພະຍານາກປາກົດຂຶ້ນອີກ ແຕ່ເທື່ອນີ້ແມ່ນຢູ່ລຽບແມ່ນ້ຳທາງຂວາມື ເຊິ່ງຂ້າພະເຈົ້າກໍມີໂອກາດໄດ້ເຫັນອີກຄັ້ງ!

ນັ່ງເບິ່ງໄປດົນເຕີບ ປາກົດວ່າ ພາກັນໄດ້ຍິນສຽງປືນຍິງດັງຂຶ້ນຈາກທາງຊ້າຍມື ພໍແຕ່ຫຼຽວໄປເທົ່ານັ້ນລະ ເຫັນບັ້ງໄຟພະຍານາກລອຍຂຶ້ນຟ້າ!!! ແລ້ວກໍໄດ້ຍິນສຽງປືນດັງຂຶ້ນອີກ ແຕ່ບໍ່ເຫັນບັ້ງໄຟຂຶ້ນ ສ່ວນຝັ່ງໄທຫັ້ນຫວາ? ກໍໂຮຫັ້ນລະຕິພີ່ນ້ອງ!!!

ພວກເຮົານັ່ງສັງເກດຢູ່ດົນເຕີບ ຈຶ່ງພາກັນຮູ້ວ່າ ບັ້ງໄຟພະຍານາກມັນມັກຂຶ້ນຢູ່ບ່ອນທາງລຽບແມ່ນ້ຳຟາກຂວາມື ກໍເລີຍພາກັນໄປເບິ່ງ ມັນເປັນກົກໂພ ຫຼືກົກໄຊ ຫຼືກົກຫຍັງຈັກຢ່າງ ຂະໜາດໃຫຍ່ໆ ປົກຄຸມທົ່ວບໍລິເວນນັ້ນ ລອງສອບຖາມເດັກນ້ອຍຊາວບ້ານ ກໍບອກວ່າເປັນເຂດທີ່ຜູ່ໃຫຍ່ບໍ່ໃຫ້ເຂົ້າ ເພາະມັນອັນຕະລາຍ ໂດຍສະເພາະໃນຍາມກາງຄືນ ບາງຄົນກໍວ່າເປັນເຂດດິນຂອງວັດ ບາງຄົນກໍວ່າມີສານເຈົ້າ ຫຼືສານຫຍັງຕ່າງໆ ຢູ່ໃນນັ້ນ ເຊິ່ງຂະນະທີ່ກຳລັງລົມກັນຢູ່ນັ້ນ ສິ່ງທີ່ບໍ່ຄາດຄິດກໍເກີດຂຶ້ນ!!!

ມີລູກໄຟລອຍຂຶ້ນມາຈາກໃນປ່າແຫ່ງນັ້ນທີ່ພວກເຮົາກຳລັງເບິ່ງຢູ່! ມັນເປັນລູກໄຟສີແດງ ລອຍຂຶ້ນມາ ຄວາມໄວມັນເປັນແບບລູກໄຟທີ່ພວກເຮົາເຫັນ ແລະເຂົ້າໃຈວ່າເປັນ "ບັ້ງໄຟພະຍານາກ" ໃນຕອນທຳອິດນັ້ນເອງ!

ເດັກນ້ອຍແຖວນັ້ນບອກວ່າ ຢູ່ນີ້ເຫັນຂຶ້ນຕະຫຼອດ ບາງຄົນເຫັນຮອດ 17 ລູກແລ້ວ ພວກເຮົາຈຶ່ງຕັ້ງຫຼັກກັນສັງເກດການຢູ່ຫັ້ນ ເຊິ່ງກໍສັງເກດເຫັນມີຄົນຢູ່ໃນປ່ານັ້ນ (ເຊິ່ງປ່ານັ້ນເປັນດອນທີ່ມີນ້ຳອ້ອມ ບໍ່ສາມາດຂ້າມໄປໄດ້ຫາກບໍ່ໃຊ້ເຮືອ) ລາວກໍຍ່າງໄປຍ່າງມາ ແລ້ວກໍຫຼຽວມາເບິ່ງຄະນະຂອງພວກເຮົາ ຈາກນັ້ນກໍຫາຍໄປໃນປ່າ ແລ້ວກໍອອກມາອີກ ເປັນແບບນີ້ຢູ່ສອງສາມຮອບ ຈາກນັ້ນກໍມີລູກໄຟປາກົດອອກມາຈາກໃນປ່າອີກ ແລະແນ່ນອນ ... ຝັ່ງໄທກໍຮ້ອງໂຮຂຶ້ນ...

ຫຼັງຈາກນັ້ນ ນຶ່ງໃນທີມງານທີ່ໄປນຳຄະນະຂອງພວກເຮົາຍ່າງມາຫາ ແຕ່ລະຫວ່າງທາງປາກົດວ່າພົບກັບໃຜກໍບໍ່ຮູ້ຈັກ ຍ່າງສວນທາງມາແລ້ວບອກວ່າ "ລະວັງໂຕໄວ້ໃຫ້ດີ" ແລ້ວກໍຍ່າງກາຍໄປ

ພວກເຮົາຮູ້ແບບນັ້ນກໍບໍ່ສະບາຍໃຈ ຄິດວ່າໜ້າຈະມີຫຍັງແລ້ວລະ ແຕ່ກໍຍັງອົດຖ້າຢູ່ເບິ່ງຕໍ່ໄປ ເຊິ່ງກໍບໍ່ເຫັນຫຍັງອີກເລີຍ ຝັ່ງໄທກໍເຊົາໂຮ ຝັ່ງລາວກໍງຽບ ເຮົາກໍງົງ ຈາກນັ້ນກໍເຫັນຄົນພາຍເຮືອໄປຫາບ່ອນປ່ານັ້ນ ແລ້ວກໍມີຄົນໃນປ່າຍ່າງໄປຫາເຮືອ ແລ້ວກໍຫາຍໄປ

ຢືນຖ້າຢູ່ດົນເຕີບ ແລ້ວກໍລົມກັນໄປເລື້ອຍ ຂະນະທີ່ກຳລັງລົມກັນນັ້ນເອງ ສຽງປືນກໍດັງຂຶ້ນຈຳນວນ 10 ລູກຕິດຕໍ່ກັນ! ພວກຂ້າພະເຈົ້າເຫັນລູກໄຟສີແດງທີ່ເອີ້ນແລະເຊື່ອກັນວ່າ ມັນຄື "ບັ້ງໄຟພະຍານາກ" ລອຍມາຈາກທາງຫຼັງຂອງພວກເຮົາ! ແລະສຽງນັ້ນກໍເຊັ່ນກັນ ມັນດັງມາຈາກຫຼັງຂອງພວກເຮົາ!! ມີຄົນຍິງປືນຢູ່ທາງຫຼັງເຮົານີ້ເອງ! ພໍແຕ່ໄດ້ສະຕິແລ້ວ ຂ້າພະເຈົ້າກໍເອີ້ນໃຫ້ສະຫາຍທີ່ໄປນຳກັນຟ້າວອອກຈາກບ່ອນນັ້ນທັນທີ ເພາະບໍ່ຮູ້ຈະເກີດຫຍັງຂຶ້ນຕໍ່ໄປ ເມື່ອຄົນທີ່ຍິງບັ້ງໄຟພະຍານາກນັ້ນ ຢູ່ໃກ້ຂະໜາດນີ້! ເຊິ່ງກໍແນ່ນອນ ສິ້ນສຽງປືນລູກທີ 10 ແລ້ວ ສຽງໂຮຈາກຝັ່ງໄທກໍດັງຂຶ້ນຕາມມາ

ຖ້າປຽບດັ່ງການສະແດງ ນີ້ຄົງເປັນການສະແດງທີ່ເອີ້ນໄດ້ວ່າ The Best Performance!

ປ.ລ. ລະຫວ່າງຖ້າຕອນກ່ອນຄ່ຳ ປາກົດວ່າມີສົບຄົນຖືກໄຟໄໝ້ (ຫຼືຊັອດ?) ຕາຍລອຍມາອີກ ບຶ໋ຍຍຍຍຍ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=4209659277649&set=a.1315679849972.2041152.1169970930&type=1

 

แสดงว่าจขกท. และนักข่าว itv ไม่เคยได้เห็นบั้งไฟของจริงสินะ

ของจริงลักษณะเป็นยังไง ขึ้นจากตรงไหน ความเร็วแค่ไหน ไว้ไปดูเองแล้วจะรู้ว่าต่างจากแสงในคลิปหรือไม่ ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าเพิ่งมาพูดเลยครับ

ในงานมีทั้งการจุดประทัดต่างๆ แต่ไม่ใช่เอะอะเห็นแสงลอยขึ้นจะทึกทักเป็นบั้งไฟ เพราะบั้งไฟพญานาคมีลักษณะพิเศษต่างจากแสงอย่างอื่น (คนที่ไม่เคยดูมาก่อนเห็นแสงอะไรก็ฮือฮา แต่ถ้าเคยเห็นสักครั้งก็จะบอกได้อันไหนบั้งไฟ อันไหนไม่ใช่บั้งไฟ) และปัจจุบันก็ยังอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ผู้ที่รู้เรื่องพญานาค เคยเห็นพญานาคก็มีอยู่และยืนยันได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริง

ปล. พลาดปีนี้ก็ไว้ไปดูปีหน้าละกันนะครับ
ปล.2 ในงานจะรำคาญพวกเล่นพลุเล่นประทัดหน่อยนะ คนเราน่าจะดูพญานาคเป็นตัวอย่าง เขาบูชาด้วยบั้งไฟแบบเงียบๆไม่สร้างความเดือดร้อนรบกวนให้ใคร

 

ผมไม่ได้สนใจอะไรกับบังไฟพญานาคครับ มีหรือไม่มีไม่สำคัญ แต่ที่มีแน่ๆ คือกรรมดีกรรมชั่ว นรก สวรรค์ เทวดา มนุษย์ สัตว์นรก เปรต ผี นาคก็มี
นาคพ่นไฟในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกไว้ ครูบาอาจารย์หลายท่านก็เคยพบเห็นพญานาค มนุษย์ก่อนบวชก็ต้องเป็นนาค นาคคือพญางู พระไตรปิฎกมีบันทึกไว้ครับ
จะเชื่ออะไรก็อย่างมงาย นาคเกลียดนาคอยากบวชต้องแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช เกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสแล้ว อย่าปล่อยให้วันคืนผ่านไปเปล่า ๆ

 

เรื่องพระสาคตะ
[๕๗๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบทได้ดำเนินทรง
ไปทางตำบลบ้านรั้วงาม คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ คนชาวนา คนเดินทาง ได้แลเห็น
พระผู้มีพระภาคกำลังทรงดำเนินมาแต่ไกลเที่ยว. ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอ-
พระองค์อย่าได้เสด็จไปยังท่ามะม่วงเลย พระพุทธเจ้าข้า, เพราะที่ท่ามะม่วงมีนาคอาศัยอยู่ในอาศรม
ชฏิล เป็นสัตว์มีฤทธิ์เป็นอสรพิษร้าย มันจะได้ไม่ทำร้ายพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า.
เมื่อเขากราบทูลเรื่องนั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงดุษณี,
แม้ครั้งที่สองแล ... แม้ครั้งที่สามแล ...
ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านรั้วงามแล้ว ทราบว่า พระองค์
ประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงามนั้น.
ครั้งนั้นแล ท่านพระสาคตะเดินผ่านไปทางท่ามะม่วง อาศรมชฎิล. ครั้นถึงแล้วได้เข้า
ไปยังโรงบูชาไฟ ปูหญ้าเครื่องลาด นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า. นาคนั้น
พอแลเห็นท่านพระสาคตะเดินผ่านเข้ามา ได้เป็นสัตว์ดุร้ายขุ่นเครือง, จึงบังหวนควันขึ้นในทันใด.
แม้ท่านพระสาคตะก็บังหวนควันขึ้น. มันทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที. แม้ท่าน
พระสาคตะก็เข้าเตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟต้านทานไว้. ครั้นท่านครอบงำไฟของนาคนั้น
ด้วยเตโชสิณแล้ว เดินผ่านไปทางตำบลบ้านรั้วงาม.
ส่วนพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงาม ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จ
หลีกไปสู่จาริกทางพระนครโกสัมพี. พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า พระคุณเจ้า
สาคตะได้ต่อสู้กับนาคผู้อยู่ ณ ตำบลท่ามะม่วง. พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับถึง
พระนครโกสัมพี. จึงพวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไป-
หาท่านพระสาคตะ กราบไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง, แล้วถามท่านว่า ท่านขอรับ
อะไรเป็นของหายากและเป็นของชอบของพระคุณเจ้า พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี?
เมื่อเขาถามอย่างนั้นแล้ว, พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าวตอบคำนี้กะพวกอุบาสกว่า มี ท่าน
ทั้งหลาย สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เป็นของหายาก ทั้งเป็นของชอบของพวกพระ ท่านทั้งหลาย
จงแต่งสุรานั้นถวายเถิด.
ครั้งนั้น พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ได้จัดเตรียมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบไว้
ทุกๆ ครัวเรือน, พอเห็นท่านพระสาคตะเดินมาบิณฑบาต จึงต่างพากันกล่าวเชื้อเชิญว่า นิมนต์
พระคุณเจ้าสาคตะดื่มสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบเจ้าข้า, นิมนต์พระคุณเจ้าสาคตะดื่มสุราใสสีแดง
ดังเท้านกพิราบ เจ้าข้า.
ครั้งนั้น ท่านพระสาคตะได้ดื่มสุราใสสีแดงดังเท้าดังนกพิราบทุกๆ ครัวเรือนแล้ว เมื่อจะ
เดินออกจากเมือง, ได้ล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง.
พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก, ได้ทอดพระเนตร
เห็นท่านพระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง, จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงช่วยกันหามสาคตะไป.
ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว หามท่านพระสาคตะไปสู่อารามให้นอนหัน
ศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาค. แต่ท่านพระสาคตะได้พลิกกลับนอนผันแปรเท้าทั้งสองไปทาง
พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความ
เคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เออก็บัดนี้ สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตอยู่หรือ?
ภิ. ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคอยู่ที่ตำบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ?
ภิ. ใช่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะต่อสู้แม้กับงูน้ำได้หรือ?
ภิ. ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่?
ภิ. ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉน สาคตะจึงได้ดื่มน้ำที่ทำผู้ดื่มให้เมาเล่า? การกระทำของสาคตะนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๐๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย.
เรื่องพระสาคตะ จบ.

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๕๐๘/๗๑๗

 

เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช
[๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล นาคตัวหนึ่งอึดอัด ระอา เกลียดกำเนิดนาค จึงนาคนั้นได้
มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์
เร็วพลัน. ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้ประพฤติธรรม
ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเรา
จะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะพ้นจากกำเนิดนาค
และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไป
หาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท. สมัยต่อมา พระนาคนั้น
อาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูปหนึ่ง. ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุรูปนั้น ตื่นนอนแล้ว
ออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง. ครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว. พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด. วิหาร
ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู. ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง. ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วยตั้งใจจัก
เข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู เห็นขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจ จึงร้อง
เอะอะขึ้น.
ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ท่านร้องเอะอะไปทำไม?
ภิกษุรูปนั้นบอกว่า อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทาง
หน้าต่าง.
ขณะนั้น พระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน.
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านเป็นใคร?
น. ผมเป็นนาค ขอรับ.
ภิ. อาวุโส ท่านได้ทำเช่นนี้เพื่อประสงค์อะไร?
พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน
เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วได้ทรงประทานพระพุทธโธวาทนี้แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาค
มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔
ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพ
เป็นมนุษย์เร็วพลัน. ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา
ก็เสียใจหลั่งน้ำตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความ
ปรากฏตามสภาพของนาค มีสองประการนี้ คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาค ผู้มีชาติเสมอกัน ๑
เวลาวางใจนอนหลับ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว
ต้องให้สึกเสีย.

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๔๓/๓๐๔

 

ผู้ถูกทอดทิ้งไว้ในนรก

[๒๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔๐ ประการ เป็นผู้ถูกทอดทิ้งไว้ในนรก เหมือนสิ่งของที่เขานำมาทอดทิ้งไว้
ธรรม ๔๐ ประการ เป็นไฉน คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการฆ่าสัตว์ ๑
พอใจ ในการฆ่าสัตว์ ๑
กล่าวสรรเสริญการฆ่าสัตว์ ๑
ลักทรัพย์ด้วยตนเอง ๑
ชักชวน ผู้อื่นในการลักทรัพย์ ๑
พอใจในการลักทรัพย์ ๑
กล่าวสรรเสริญการลักทรัพย์ ๑
ประพฤติผิดในกามด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการประพฤติผิดในกาม ๑
พอใจ ในการประพฤติผิดในกาม ๑
กล่าวสรรเสริญการประพฤติผิดในกาม ๑
พูดเท็จ ด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการพูดเท็จ ๑
พอใจในการพูดเท็จ ๑
กล่าว สรรเสริญการพูดเท็จ ๑
พูดส่อเสียดด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการพูดส่อเสียด ๑
พอใจในการพูดส่อเสียด ๑
กล่าวสรรเสริญการพูดส่อเสียด ๑
พูดคำหยาบด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการพูดคำหยาบ ๑
พอใจในการพูด คำหยาบ ๑
กล่าวสรรเสริญการพูดคำหยาบ ๑
พูดเพ้อเจ้อด้วยตนเอง ๑
ชักชวน ผู้อื่นในการพูดเพ้อเจ้อ ๑
พอใจในการพูดเพ้อเจ้อ ๑
กล่าวสรรเสริญการพูด เพ้อเจ้อ ๑
อยากได้ของผู้อื่นด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการอยากได้ของผู้อื่น ๑
พอใจในการอยากได้ของผู้อื่น ๑
กล่าวสรรเสริญการอยากได้ของผู้อื่น ๑
มีจิต ปองร้ายด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในการปองร้าย ๑
พอใจในการปองร้าย ๑
กล่าวสรรเสริญการปองร้าย ๑
มีความเห็นผิดด้วยตนเอง ๑
ชักชวนผู้อื่นในความ เห็นผิด ๑
พอใจในความเห็นผิด ๑
กล่าวสรรเสริญความเห็นผิด ๑
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔๐ ประการนี้แล เป็นผู้ถูกทอดทิ้งไว้ในนรก เหมือนสิ่งของที่เขานำมาทอดทิ้งไว้ ฯ
จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต ทุติยวรรคที่ ๒

http://palungjit.org/threads/เตือนใจให้ได้สติ-ผู้ถูกทอดทิ้งไว้ในนรก.286632/

 

แล้วรู้หรือเปล่าว่าสมัยนั้นไอทีวีโดนแฉว่าไปจ้างทหารฝั่งลาวยิงปืนเพื่อถ่ายทำรายการ ซึ่งผิดจรรยาบรรณของสื่อ

 

ฉบับเต็ม

<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/QlngR2RJeLc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

Top Comments

ลองดูในคลิปเต็มนะครับ น่าจะได้คำตอบทั้งหมดที่สงสัย เช่น ฝั่งลาวเค้าไม่ได้โกหกเค้ายิงกั­นเป็นประเพณีเหมือนปีใหม่คนไทยจ­ุดพลุ แต่คนที่โกหกคือคนที่พยายามจัดใ­ห้เป็นเทศกาล ให้ไปดูกันหารายได้ / กระสุนก็ไม่ได้แพง ไม่กี่ร้อยบาท เทียบกับรายได้ช่วงนั้นเป็นสิบเ­ป็นร้อยล้าน / บั้งไฟที่บอกว่ามีเป็นร้อยปีนั้­นมีแต่พูดกันเอง ไม่มีบันทึกไว้ในพงศาวดารใดๆ ขณะที่กระสุนแสงนั้นมีมาตั้งแต่­สมัยสงครามโลกแล้ว / ผมพยายามให้คนไทยเลิกพูดคำว่า ไม่อย่าอย่าลบลู่ ครับ ประเทศชาติจะเจริญได้ต้อง ไม่เชื่อแล้วพิสูจน์ ครับ

jessadad in reply to Sandy sine (Show the comment) 2 days ago

 

บุญบั้งไฟเป็นงานประเพณีในเดือน ๖ ตามฮีตสิบสองคลองสิบสี่ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เป็นงานบุญที่ทำกันทั่วไปในภาคอีสาน โดยเฉพาะที่จังหวัดยโสธรงานบุญบั้งไฟนั้นถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด เป็นงานเทศกาลประจำปีที่นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศนิยมมาเที่ยวชม

บุญบั้งไฟนั้นเป็นงานบุญที่สนุกสนาน ชาวอีสานนิยมทำกันราวเดือน ๖ หรือเดือน ๗ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มฤดูกาลทำนาปี บุญบั้งไฟเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน ซึ่งส่วนใหญ่การทำนาต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ความไม่แน่นอนของฝนฟ้านั้นบั่นทอนกำลังใจเกษตรกรพอสมควร ชาวบ้านจึงร่วมกันจัดงานบุญบั้งไฟขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจว่าได้ประกอบบพิธีกรรมเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่ไร่นาในปีนั้น ๆ แล้ว ต้นกำเนิดของประเพณีบุญบั้งไฟ จึงปรากฎอยู่ในตำนานต่าง ๆ ของภาคอีสาน เช่น ตำนานท้าวผาแดง - นางไอ่และตำนานพยาคันคาก ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวกับการให้พญาแถน (เทวดา) ผู้สร้างสรรพชีวิต บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล สะท้อนความหวังเรื่่องความอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับข้าวปลาอาหารของผู้คนในสังคมเกษตรกรรม

ดังนั้น ลักษณะที่เด่นชัดประการหนึ่งของงานบุญบั้งไฟก็คือ การใช้สัญลักษณ์ทางเพศต่าง ๆ ประกอบพิธี เช่น "บักแบ้น" ซึ่งก็คือ ไม้แกะสลักเป็นรูปอวัยวะเพศชาย แบกร่วมไปในขบวนแห่บั้งไฟด้วย หรือท่าเซิ้งต่าง ๆ ที่เลียนแบบท่าการร่วมเพศ เพราะตามคติความเชื่อพื้นบ้านนั้น ความอุดมสมบูรณ์เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับอวัยวะเพศชาย - หญิง และการร่วมเพศ เป็นหนทางไปสู่การกำเนิดและความเจริญงอกงามสัญลักษณ์ทางเพศต่าง ๆ จึงถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของงานบุญบั้งไฟ พิธีขอฝนเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของชาวอีสาน

งานบุญบั้งไฟนั้น ทุกบ้านในชุมชนจะต้องร่วมสนุกในพิธีอย่างน้อยต้องส่งคนในครอบครัวมาเป็นตัวแทน โดยเชื่อกันว่าหากใครไม่เข้าร่วมพิธีก็อาจถูกผีปู่ตาเข้าสิงได้ เหตุที่งานบุญบั้งไฟคาดหวังให้ทุกคนในชุมชนเข้าร่วมพิธี ก็เพราะในสังคมเกษตรกรรมเพื่อยังชีพในอดีตนั้น "ชุมชน" มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลิต เช่น การควบคุมจัดสรรน้ำ ก็ต้องอาศัยความร่วมมือ ยินยอมของคนทั้งชุมชนที่จะผ่อนปรนให้แก่กันและกัน การเก็บเกี่ยวก็ต้องช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าว ดังนั้นงานบุญบั้งไฟจึงเป็นพิธีกรรมที่จะช่วยย้ำจิตสำนึกความเป็นปึกแผ่นของชุมชนให้เด่นชัดขึ้นในยามที่ฤดูการทำนาจะมาถึง

ดังนั้นเมื่อหมู่บ้านใดจะจัดงานบุญบั้งไฟ ก็จะเชื้อเชิญหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาร่วมงานด้วย ซึ่งหมู่บ้านที่ได้รับเชิญมานี้โดยมากจะเป็นเครือญาติกัน หรือต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในชีวิตประจำวัน หรือวิถีการผลิต การเชื้อเชิญนี้เรียกว่า "เตินป่าว" ซึ่งบางแห่งอาจมีการเชิญด้วยหนังสือใบลานที่เรียกว่า "สลากใส่บุญ" สำหรับหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพจะประชุมลูกบ้านเรี่ยไรเงินและสิ่งของเพื่อตระเตรียมงาน

เดิมทีนั้นงานบุญบั้งไฟอาจไม่ใช่งานบุญหรืองานประเพณีทางศาสนา เพราะเป็นการบูชาเทวดา ผีฟ้า แต่ต่อมาชาวไทย - ลาว คงได้ผนวกงานบุญบั้งไฟนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา โดยจัดให้มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของงานบุญบั้งไฟ เช่น งานบวช และการ "ฮดสงฆ์" ซึ่งเป็นการถวายสมณศักดิ์ในระดับชาวบ้าน เพื่อยกย่องพระดี มีคุณธรรม มีความสามารถในชุมชน วัดจึงเป็นศูนย์กลางของการจัดงานบุญบั้งไฟ เพราะเป็นแหล่งรวมความรู้ด้านต่าง ๆ รวมทั้งการทำบั้งไฟด้วย

ก่อนงานหนึ่งวัน ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่ไปศาลปู่ตาของหมู่บ้าน เพื่อทำพิธีเซ่นสรวงและจุดบั้งไฟขนาดเล็กที่เรียกว่า "บั้งเสี่ยง" เพื่อทำนายถึงความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จในการทำนาในปีนั้น เสร็จแล้วจะดื่มเหล้าและฟ้อนรำรอบ ๆ ศาลปู่ตา เป็นที่สนุกสนาน ซึ่งขบวนแห่นี้เป็นผู้ชายล้วน ๆ จากนั้นขบวนแห่ต่าง ๆ จะไปรวมตัวกันที่วัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการจัดงาน จึงเรียกวันนี้ว่า "วันโฮม" (วันรวม) และระหว่างที่แห่ไปนั้น ก็จะมีการร่ายรำท่าหมัดมวย ซึ่งบางครั้งอาจมีการชกต่อยกันจริง ๆ มีการเซิ้งท่าต่าง ๆ และผู้ร่วมขบวนจะแต่งกายให้ผิดไปจากปกติ เช่น ชายแต่งกายเป็นหญิง เอาโคลนหรือแป้งมาพอกหน้าตา เป็นต้น การละเมิดกฎเกณฑ์หรือธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ ก็เพื่อจะคลายความกดดันในชีวิตประจำวันของผู้คน ที่ต้องอยู่กันภายใต้กฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียมของชุมชน อันเคร่งครัด เพราะสังคมอีสานมีความเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดกันมาก กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสังคมจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนในชุมชนอย่างยิ่ง

แต่เดิมนั้นบุญบั้งไฟจะเป็นงานที่สนุกสนานโลดโผนของผู้ชายผู้หญิงเป็นเพียงแค่ผู้ดูเท่านั้น เพราะวัฒนธรรมอีสานในอดีตฝ่ายชายมักจะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวของฝ่ายหญิง อยู่ในความควบคุมดูแลของสังคมญาติฝ่ายหญิง ผู้ชายจึงอยู่ในฐานะที่โดดเดี่ยวและมีความกดดันสูง ดังนั้นจึงต้องมีพิธีกรรมบางอย่างเพื่อปลดปล่อยความกดดันที่เกิดขึ้นในขบวนแห่บั้งไฟ จึงอนุญาตให้ผู้ชายสามารถละเมิดกฎเกณฑ์บางอย่างของสังคมได้ เช่น การแต่งกาย การพูดเรื่องเพศ หรือการที่ลูกเขยจะล้อเลียนพ่อตา ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ขอบเขตของพิธีกรรม

ตกตอนบ่ายก็จะมีการ "ตีกลองโฮม" เรียกให้ขบวนบั้งไฟทั้งหมดไปรวมกันที่วัด โดยแห่บั้งไฟไปรอบ ๆ ศาลาโรงธรรมแล้วจึงนำบั้งไฟทั้งหมดไปรวมไว้เพื่อรอจุดในวันรุ่งขึ้น ในช่วงนี้เองที่จะทำพิธีบวชนาคหรือฮดสงฆ์ไปด้วยพร้อมกัน

ครั้นถึงเวลากลางคืนก็จะมีการ "เส็งกลอง" หรือการตีกลองแข่งกัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะนำกลองกิ่งของวัดในหมู่บ้านมาตีแข่งขันกัน ส่วนขบวนเซิ้งก็จะสนุกสนานกันต่อไป และอาจไปเซิ้งที่หน้า "ผาม" เพื่อเกี้ยวพาราสีสาว ๆ ที่มาร่วมงานเทศกาลบุญบั้งไฟ จึงเป็นโอกาสหนึ่งที่หนุ่มสาวจะได้ทำความรู้จักและสานสัมพันธ์ต่อกัน

รุ่งเช้าของวันงาน จะมีการถวายจังหันพระสงฆ์ (ถวายภัตตาหาร) เมื่อตกบ่ายจึงแห่บั้งไฟไปยัง "ค้าง" ที่จัดเตรียมไว้ เพื่อจุดบั้งไฟให้ทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซึ่งจะแข่งขันกันว่าบั้งไฟของบ้านใดจะยิงขึ้นไปได้สูงกว่ากัน เพื่อแสดงความสามารถของช่างบั้งไฟบ้านนั้น บั้งไฟบ้านใดขึ้นได้ดี ก็อาจนำเอาช่างบั้งไฟไปสรงน้ำ แต่หากบั้งไฟบั้งใดจุดแล้วไม่ขึ้นช่างผู้ทำก็จะถูกโยนลงตม (โคลน) เป็นที่สนุกสนานกัน

งานบุญบั้งไฟในปัจจุบันได้กลายเป็นเทศกาลประจำปีที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากทางราชการ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากที่ต่าง ๆ ให้มาเที่ยวชมงานขบวนแห่บั้งไฟ จึงมีการตระเตรียมงานกันอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ขบวนเซิ้งที่เคยเป็นการเล่นสนุกสนานของชายหนุ่ม ก็พัฒนารูปแบบให้เป็นการแสดงเซิ้งของสาว ๆ ที่ได้รับการฝึกซ้อมจนพร้อมเพรียงสวยงาม บั้งไฟในขบวนแห่ก็ได้รับการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร บั้งไฟนี้เรียกว่า "บั้งเอ้" ใช้เพื่อประกวดความสวยงามเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถจุดได้ สัญลักษณ์ทางเพศและการเล่นโลดโผนตามประเพณี ความเชื่อดั้งเดิมก็ลดลง เพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ได้อยู่บนฐานเกษตรกรรมเพื่อยังชีพอีกต่อไป ดังนั้นงานบุญบั้งไฟของจังหวัดยโสธรในวันนี้ จึงมีลักษณะเป็น "การแสดง" เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นงานบุญสนุกสนานของชุมชนอย่างเช่นวันวาน

ที่มา : หนังสือ "ถิ่นฐานบ้านเรา" บริษัท ต้นอ้อ ๑๙๙๙ จำกัด
บุญบั้งไฟ

 

การกระทำของมนุษย์
ภาพถ่ายบั้งไฟพญานาค เวลาเปิดหน้ากล้อง 15 วินาที ที่ บ.ท่าม่วง อ.รัตนวาปี วันที่ 12 ต.ค. 54

ไอทีวีแสดงภาพให้เห็นว่ามีบุคคลจากทางฝั่งลาวยิงบั้งไฟส่องแสงขึ้นฟ้า ในเวลาขณะที่คนฝั่งไทยรอชมบั้งไฟพญานาค และเมื่อสัมภาษณ์คนท้องถิ่นในเขตอำเภอโพนพิสัย หนองคายและบริเวณใกล้เคียง เมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2546 ชาวบ้านในพื้นที่ก็รู้ดีว่ามีการยิงลูกไฟในฝั่งลาวในวันออกพรรษา แต่ลักษณะจะแตกต่างจากบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นจากบริเวณกลางแม่น้ำโขง และสามารถแยกแยะออกว่าอันไหนของจริง อันไหนคนทำ[6]

เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ไม่มีก๊าซชนิดใดในโลกที่สันดาปเองแล้วกลายเป็นลูกไฟลอยสูงขึ้นไปสูงๆได้ เว้นแต่มีการสันดาปด้วยเชื้อเพลิงขับ เช่น ดินปืน พลุ หรือกระสุนส่องแสง ขึ้นจากฝั่งตรงข้ามแต่หลอกตาเหมือนขึ้นจากน้ำ และยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมายังไม่มีภาพถ่ายวิดีโอใดๆเลยที่ชี้ให้เห็นว่าลูกไฟขึ้นจากน้ำได้จริง โดยมักเป็นภาพลูกไฟที่ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว พร้อมขอให้มีการสร้างบั้งไฟพญานาคเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติขึ้นมาเพื่อพิสูจน์

บั้งไฟพญานาค - วิกิพีเดีย

 

<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/cM4kE53ZvwY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

เคยไปดูของจริงมาแล้ว และก็เคยยิงปืนด้วย กระสุนส่องสว่างมีกี่แบบรู้ไหม เวลายิงไปแล้วมันมีลักษณะอย่างไร บั๊งไฟกับกระสุนมีความแตกต่างกันมาก บั๊งไฟเคลื่อนตัวเร็วแต่ก็ช้ากว่าความเร็วกระสุนมากสามารถมองตามได้ทัน กระสุนส่องสว่างวิ่งเร็วมากและก็ไม่มีวงกลมแบบดวงไฟ บั๊งไฟลอยแล้วก็ดับ แต่กระสุนยิงแล้วจะโค้งตกลงมา มีอะไรแตกต่างกันมาก
บั๊งไฟพญานาคจะเป็นฝีมือคนหรือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติก็ตาม ยังไงก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่แล้ว แต่ขอยืนยันว่ามีความแตกต่างระหว่างดวงไฟกับกระุสุนส่องสว่างมากจนไม่สามารถสรุปแบบมั่วๆว่าเป็นของสิ่งเดียวกัน เป็นมีเธนยังเข้าท่ากว่าเลย
ถ้าไม่ไปเห็นด้วยตาตนเอง ก็อย่าเชื่ออะไรง่ายๆเพียงแค่ว่ามันเข้ากับความรู้สึกของตน เห็นแล้วก็ยังต้องมาพิจารณาอีก พิจารณาแล้วยังไม่พอต้องดูแบบลึกซึ้งให้ถึงเบื้องหลัง ดูสื่อแต่อย่าให้ใครก็ไม่รู้มาจูงจมูก

 

ปรากฏการทางทำธรรมชาติหลายอย่าง ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้
มีหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ สร้างไว้ ทำไว้ พอกาลเวลาผ่านไป ทฤษดีบางอย่างก็ไม่เป็นดั่งที่เคยกล่าวไว้ ผู้คนก็หลงเชื่อก้นมานาน......เหมือนหมอดู หมอเดาได้ในบางครั้ง
ยิ่งเดี่ยวนี้ทุกโปรเจคมีงบจำกัด และไม่ใช่ว่าจะชองบกันได้ง่ายๆ ส่วนมากต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติถึงตั้งงบได้ ที่สำคัญต้องคุ้มค่าและตอบสนองโจทย์กับพวกสปอนเซอร์

 

ลองไปหาภาพยนต์ เรื่อง 15ค่ำเดือน 11 ดูซิ เค้าเรื่องจะคล้ายๆของ ITV

 

สำหรับคนที่ไม่มีโอกาสไปดู ผมลอง search มาให้ดูละกัน

- อันนี้คือเหมือนที่เคยไปดูมา พุ่งขึ้นตรงๆ
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=rOg2yD6Bcj8]บั้งไฟพญานาค ปี 51 - YouTube[/ame]

อันนี้ลักษณะใกล้เคียงแต่ไม่เหมือนที่เคยไปดูมา น่าจะเป็นคนทำ
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=GUvHgjp8DaY&feature=related]บั้งไฟพญานาค ขึ้นจากน้ำ - YouTube[/ame]

อันนี้กระสุนส่องแสง
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=9H8946ZGVpM]วิธีทำ บั้งไฟพญานาค เหมือนสุดๆ - YouTube[/ame]

ดูแล้วจะเห็นความแตกต่าง อย่างน้อยก็เรื่องทิศทางล่ะ

 

ไอ้รูปที่ท่านโน้นท่านนี้โพสไว้นะใครก็รู้ว่าพลุ หรือบั้งไฟแบบที่คนใช้จุด
แต่ไอ้ที่มันโผล่จากลำน้ำใกล้กับคนดู ทำไมท่านไม่ลองดำลงไปพิสูจน์ดูล่ะว่าข้างล่างใต้ลำน้ำมันมีอะไร หรือว่ากลัว เป็นถึงนักวิทย์...ลงเรือไปลอยดูที่กลางแม่น้ำเลยเตรียมชุดดำน้ำขั้นเทพพร้อมอุปกรณ์ไปด้วย ดูเฉพาะลูกไฟที่ชึ้นจากลำน้ำก็พอ บนฝั่งไม่ต้องสนใจ
และถ้าเห็นลูกไฟขึ้นจากน้ำ ก็กรุณาดำลงไปพิสูจน์ด้วยนะ จะได้ไม่ต้องเสียดายเวลาที่เล่าเรียนมา และเปลืองงบค่าใช้จ่าย แต่ถ้าอยากถ่ายรูปพลุละก็นี่เลย 5 ธันวาคม นี้ ที่ท้องสนามหลวง เพียบเลยมีให้ถ่ายจุใจ นี่ก็จะไปถ่ายพลุเหมือนกัน

 

ทำไม ไม่มีต่างชาติ แห่มาทำรายการ ทำข่าว กันไปทั่วโลก