"พระสัพพัญญู" ผู้รู้สิ่งทั้งปวง เป็นอย่างไร?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Prophecy, 16 พฤศจิกายน 2012.

  1. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    [​IMG]

    047 ความหมายของสัพพัญญู

    ปัญหา คำว่า “สัพพัญญู” ผู้รู้สิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นพระนามประการหนึ่งของพระพุทธเจ้านั้นหมายความว่า พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น หรือหมายความแค่ไหนแน่?

    พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญาณญาณทัสสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้วและชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง

    “ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ ) ดังนี้แล เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม....

    “ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง..... ตลอดสังวัฎวิวัฎกัปเป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น... เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้

    “ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิฉาทิฐิ เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมทิฐิ..... เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์

    “ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง...”

    จูฬวัจฉโคคตสูตร ม. ม. (๒๔๑-๒๔๒)
    ตบ. ๑๓ : ๒๓๗-๒๓๘ ตท.๑๓ : ๒๐๓-๒๔๒
    ตอ. MLS. II : ๑๖๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012
  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ตามความเข้าใจของผม
    การรู้ทุกขณะจิตนั้น ไม่เป็นความจริง
    พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ในยามปกติที่ทรงกายเนื้ออยู่ ก็อยู่กับปัจจุบันจิต เท่านั้น
    ทำวัตรปกติ.....จำวัตรปกติ(ปิดการรู้)
    แต่เมื่อ"ต้องการรู้ ในแต่ละครั้ง จึงเข้า ฌานดู แล้วญานอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงเกิดขึ้น จึงเห็น จึงรู้ เป็นครั้งคราวไป มิใช่รู้เสมอไปทุกขณะจิต
     
  3. พุืทธวจน000

    พุืทธวจน000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,051
    เห็นด้วยกับคุณ NARKA...ครับ
    พระศาสดารู้ทุกอย่างที่ต้องการรู้ แต่เรื่องใดที่ยังไม่ต้องการรู้ก็จะไม่น้อมจิตไปรู้ครับ...
     
  4. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    สิ่งที่เราควรรู้ที่สุด คือ สติของเราว่าสิ่งที่เรากำลังคิดนั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไร ท่านสอนไว้ว่าเรื่อง 4 อย่างที่ไม่ควรคิดหรือ อจินไตย 4 มี โลกวิสัย,กรรมวิสัย,ฌาณวิสัยและพุทธวิสัย ซึ่งคือความสามารถของพระพุทธเจ้าว่าท่านทำแบบนั้นแล้วเป็นอย่างนั้นและท่านทำได้อย่างไร เราแค่รู้ว่า สัพพัญญู แปลว่า รู้ทุกอย่างก็พอแล้ว หากมากกว่านี้ นั่นคือ สังขารปรุงแต่งของตัวเราเอง เพราะท่านคือพระพุทธเจ้า เราไม่สามารถรู้วาระจิตท่านได้ คาดเดามีแต่เท่าตัวกับขาดทุน เพราะหากถูกเราก็ไม่รู้ก็เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ถ้าผิดไม่ใช่อย่างนั้น คนฟังที่เชื่อก็อาจเข้าใจผิดต่อๆ กันไป อาจเป็นกรรมปรามาสพระรัตนตรัยเปล่าๆ พึงระวังจะดีที่สุด เจริญในธรรมทุกท่าน...สาธุ
     
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    บางครั้งก็พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้อง ในกำลังจากฌาณสมาธิเสมอไป ในการที่จะต้องการรู้ บางครั้งก็มีเทพมาบอกพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่ต้องเข้าฌาณให้เหนื่อยเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...