กำเนิดอาณาจักรพญานาค(ดีมากลองเข้ามาอ่านดูครับ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Bens, 1 เมษายน 2007.

  1. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "เมืองบาดาล ใต้ลำน้ำโขงซึ่งเป็นภพซ้อนภพ คือ เป็นภพละเอียด ของนาค ซ้อนอยู่ในภพหยาบของโลกมนุษย์ และครอบคลุม ดินแดนทั้งฝั่งไทยลาว"​
    ย้อนอดีตไปเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปี มีอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณริม แม่น้ำโขงทั้ง ๒ ฝั่ง อาณาจักรแห่งนี้มีความ เจริญรุ่งเรืองมาก ชาวเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนมีจิตใจงดงาม เป็นคนดี มีศีลธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน มีความเคารพ กันตามลำดับอาวุโส ความดีงามเหล่านั้นก็ยัง สืบทอดมาเป็นวัฒนธรรมสองแผ่นดินไทย ลาวจนถึงในปัจจุบัน ลูกมีความกตัญญูต่อบิดา มารดา เลี้ยงดูท่านให้อยู่ดีมีสุข เกิดความ อบอุ่น ไม่ทอดทิ้งท่าน ให้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย ลำบากลำบน
    <TABLE id=Table_01 height=450 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระราชาปกครองบ้านเมือง ด้วยทศพิธราชธรรม ในสมัยนั้นพระพุทธศาสนายังไม่เกิดขึ้น ประชาชนนับถือคัมภีร์ไตรเพทของศาสนาพราหมณ์ ไตรเพทประกอบด้วยคัมภีร์ ๓ เล่ม คือ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท

    ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยบทสวด สรรเสริญความยิ่งใหญ่ดีงามของเทพเจ้า ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยบทสวดอ้อนวอน ในพิธีฆ่าสัตว์บูชายัญ เพื่อให้เทพเจ้าเกิดความเมตตาสงสารรักใคร่

    สามเวท เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยบทเพลงสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนอง ให้เทพเจ้าเพลิดเพลินเคลิบเคลิ้มในพิธีฆ่าสัตว์บูชายัญ เชื่อว่าเมื่อเทพเจ้าเพลิดเพลินเคลิบเคลิ้ม ก็จะได้ประทานพรให้โดยง่าย
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระราชามีปุโรหิตสำคัญท่านหนึ่ง เป็นผู้มีจิตใจดีงาม มีปัญญามาก ชำนาญแตกฉาน ในไตรเพท ก่อนจะมาเกิดเป็นปุโรหิต ท่านเคยสร้างบารมี โดยตั้งความปรารถนา ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต แต่อยู่ในระดับนึกในใจ ยังไม่เคยเปล่งวาจา หรือชักชวนใครให้ร่วมสร้างบารมีด้วย หลังจากนั้น ก็เวียนว่ายตายเกิด จนมาเป็นปุโรหิตในเมืองนี้

    ท่านปุโรหิตมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรม บวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพราะประชาชนส่วน มากมีความเชื่อว่า นาคเป็นผู้ให้น้ำ
    นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ราชการของพระราชา คอยแนะนำให้พระราชา บริจาคทานให้แก่คนยากจนมิได้ขาด ตัวท่าน เองก็มักจะบริจาคทานเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ตัดสินคดีความ ซึ่งท่านก็ปฏิบัติ หน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมอีกด้วย
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านปุโรหิตมีใจผูกพันกับพญานาคมาก จึงตั้งใจประกอบพิธีกรรมบวงสรวงทุกปี เมื่อ หมดอายุขัย ด้วยจิตที่ผูกพัน จึงได้ไปบังเกิด เป็นพญานาค มีชื่อว่า โอฆินทรนาคราช มีกาย สีทองสวยงามมาก และได้เป็นผู้ปกครองชุมชน นาคในระดับภุมเทวา ณ เมืองบาดาล ใต้ลำน้ำ โขงซึ่งเป็นภพซ้อนภพ คือ เป็นภพละเอียด ของนาคซ้อนอยู่ในภพหยาบของโลกมนุษย์ และครอบคลุมดินแดนทั้งฝั่งไทยลาว


    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มเหสีของโอฆินทรนาคราช อดีตเป็น ราชธิดาของกษัตริย์โบราณแถบลุ่มแม่น้ำ โขงเช่นกัน เธอเป็นผู้มีจิตใจงดงาม โอบอ้อม อารี มีเมตตา ชอบช่วยเหลือคนทุกข์ยาก แต่ ในสมัยนั้นพระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น ประชาชนมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าแห่งลำน้ำ จึงมักจะทำพิธีกรรมบวงสรวงเทพนาคราช เป็นประจำทุกปี ด้วยจิตใจผูกพันกับเทพเจ้า แห่งลำน้ำ เมื่อละโลกแล้ว จึงไปเกิดเป็นอัครมเหสีของเทพเจ้าแห่งลำน้ำ คือ โอฆินทรนาคราชนั่นเอง

    ขณะเกิด เธอเกิดแบบโอปปาติกะเช่น เดียวกับโอฆินทรนาคราช คือเกิดแล้วโตทันที และเกิดบนแท่นบรรทมของโอฆินทรนาคราชด้วย เป็นนางนาคมาณวิกาสาวทันที โอฆิน ทรนาคราชได้พบนางก็ทราบทันทีว่า นางคือ นางแก้วผู้มาเกิดเป็นมเหสีคู่บุญของตน จึงได้สถาปนาให้เป็นอัครมเหสี ต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดมา
     
  2. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    สมบัตินาคราช

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=620 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=style4 bgColor=#fbf5d0><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "มธุรนาคราช ชื่อนี้ถือนิมิตจากผิวพรรณของท่านว่าเหมือนสี น้ำผึ้ง คือ เป็นสีน้ำตาลทองเข้มๆ ซึ่งเป็นอานิสงส์แห่งการถวาย น้ำผึ้งครั้งเป็นมนุษย์"
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD rowSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ย้อนอดีตไปเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีที่แล้ว ณ หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในยุคนั้น ผู้คนทั้งหลายมีความเชื่อว่า วิญญาณ ของบรรพบุรุษหลังจากตายแล้วไม่สูญ จะคอยติดตามคุ้มครองดูแลลูกๆ หลานๆ ต่อไป แล้วก็มีความเลื่อมใสในเรื่องเทพเจ้าแห่งลำน้ำ ซึ่งปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงอยู่
    ในครั้งนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ ในหมู่บ้านนั้น มีอาชีพหาของป่าและตัดฟืน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นเดียวกับผู้คนในยุค สมัยนั้น

    ต่อมาวันหนึ่ง มีพระดาบสเหาะมาจาก ป่าหิมพานต์ มาบำเพ็ญพรตที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ บริเวณริมฝั่งโขง ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งนั้นนัก

    ดาบสผู้นี้มีลักษณะสง่างาม ผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีรัศมีพวยพุ่งออกมารอบกาย แม้จะมีอายุเป็นพันปีแล้ว ก็ยังดูหนุ่มแน่น ท่านได้บรรลุฌาน ๔ อภิญญา ๕ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้

    วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นเข้าป่า เพียงลำพังเพื่อหาน้ำผึ้ง เขาได้ น้ำผึ้งมาเต็มกระบอกไม้ไผ่ เมื่อได้ มาพบดาบสนั้น เห็นรัศมีผิวพรรณ ของท่านผ่องใส ก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายน้ำผึ้งแก่ดาบส โดยวางไว้ตรงหน้า โดยคิดว่าดาบสท่านนี้ คงเป็นเทพยดาที่อยู่บริเวณนั้น เป็นแน่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ดาบสท่านนี้ เป็นผู้สำเร็จแล้ว แม้ไม่ต้อง ขบฉันอาหารเยี่ยงคนทั่วไป แต่ก็รับไว้ด้วย อาการดุษณีภาพ คือ นั่งเฉยๆ เพื่ออนุเคราะห์ แก่ชายหนุ่ม

    หลังจากชายหนุ่มกลับไปถึงหมู่บ้านแล้ว ก็เล่าเรื่องราวที่ไปพบดาบส ซึ่งตัวเองเข้าใจว่า เป็นเทพยดาให้เพื่อนบ้านฟัง

    วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มก็พาเพื่อนบ้านกลุ่ม ใหญ่มา เพื่อจะสักการะดาบส ได้เตรียมอาหาร หวานคาวมาด้วย แต่ดาบสไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว จึงพากันวางอาหารหวานคาวและเครื่อง สักการะต่างๆ เป็นการเซ่นสรวงสถานที่ที่ ดาบสเคยนั่ง คือ ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่นั่นเอง

    ในใจของชายหนุ่มนั้น ยังคงมีความปีติ และประทับใจในการที่ได้พบ ได้ถวายน้ำผึ้งแก่ดาบสผู้สำเร็จนั้น เมื่อใกล้จะละโลก เขาได้เห็นนิมิตภาพที่ตนเองเคยถวายน้ำผึ้ง รวมกับความผูกพันที่มีต่อสายน้ำโขง และความเชื่อต่อเทพเจ้าแห่งลำน้ำ ดังนั้นเมื่อละโลกแล้ว จึงไปเกิดเป็นบุตรของพญานาคราชโอฆินทร* ณ เมืองบาดาลใต้สองผืนแผ่นดิน ไทยลาว บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง โดยเกิดแบบโอปปาติกะ บนตักของอัครมเหสี พญานาคราชดีใจ ที่ได้บุตรผู้มีบุญญาธิการ ได้ทำพิธีสมโภช และขนานนามแก่บุตรว่า มธุรนาคราช

    ชื่อนี้ถือนิมิตจากผิวพรรณของท่านว่า เหมือนสีน้ำผึ้ง คือ เป็นสีน้ำตาลทองเข้มๆ ซึ่ง เป็นอานิสงส์แห่งการถวายน้ำผึ้งครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ผิวพรรณกลับเปล่งปลั่ง เป็นสีทอง เหล่านาคทั้งหลายจึงขนานนาม ท่านว่า สุวรรณมธุรนาคราช แปลว่าพญานาค น้ำผึ้งทอง

    ฝ่ายชาวบ้านที่มีจิตเลื่อมใสในพระดาบส และตามมาสักการะแต่ไม่พบ ภายหลังได้มา เกิดเป็นบริวารของสุวรรณมธุรนาคราช โดยเกิดเป็นนาคในกำเนิดต่างๆ ตามกำลังบุญ ของตน ซึ่งมีทั้ง ๔ กำเนิด คือโอปปาติกะ (เกิดแล้วโตทันทีเช่นเดียวกับเทวดานางฟ้า) สังเสทชะ (เกิดจากเหงื่อไคล หรือที่ชื้นแฉะโสโครก) ชลาพุชะ (เกิดในครรภ์เช่นเดียวกับมนุษย์) และอัณฑชะ (เกิดในฟองไข่เช่นเดียวกับงูทั่วไป)
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่ออายุเกือบ ๕๐๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงอยู่ในวัยรุ่น มธุรนาคราชได้ติดตามพญานาคราช โอฆินทร บิดา ขึ้นไปบนพื้นดิน และได้เห็นเหตุการณ์วันเทโวโรหณะ๑ ขณะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดโลกด้วย ในวันนั้นเอง โดยพุทธานุภาพทำให้สัตวโลกทั้งหลายใน ภพสาม นอกจาก จะแลเห็นพุทธลักษณะ อันงดงามและฉัพพรรณรังสีอันสว่างไสวรอบพระวรกายแล้ว ทั้งสัตว์นรก มนุษย์และเทวดา ยังสามารถเห็นซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน อีกด้วย

    ครั้งนั้น ทั้งพญานาคและมนุษย์ เมื่อได้ ยลพุทธลักษณะต่างบังเกิดความศรัทธาเคารพ เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต่างตั้งใจ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามสติปัญญา และอานุภาพของตน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อเวลาผ่านไป ราชบุตรโตเต็มที่ ถึงเวลา ที่จะต้องมีดวงแก้วประจำตัวเกิดขึ้น โอฆินทรนาคราชผู้เป็นพระราชาจึงให้บุตรชายไปจำศีล ณ สะดือแม่น้ำโขง

    หลังจากรักษาศีลจนกระทั่งถึงคืนวันเพ็ญ ด้วยบุญที่ถวายน้ำผึ้งแก่ดาบส ทำให้ดวงแก้ว ประจำตัวบังเกิดขึ้นโดยง่าย มีความสว่างไสวยิ่งนัก ซ้ำยังบันดาลให้เกิดวิมานทอง ตลอดจน สมบัติมากมาย ณ บริเวณสะดือแม่น้ำโขง นั่นเอง โอฆินทรราชาแห่งนาครู้ว่า บุตรของตน มีบุญญาธิการมาก จึงได้ยกตำแหน่งพระราชา ให้ปกครองนาคพิภพแทนตนสืบไป

    อัครมเหสีของสุวรรณมธุรนาคราชนั้น อดีตชาติเคยเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้า ไชยเชษฐาธิราช อดีตกษัตริย์ผู้ปกครองอาณา จักรล้านช้าง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พระองค์มีราชธิดา ทั้งหมด ๓ พระองค์ องค์ที่เป็นอัครมเหสีของสุวรรณมธุรนาคราช นั้น เป็นราชธิดาองค์กลาง ขณะเป็นมนุษย์มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้สร้างพระสุกไว้ แต่ไม่ค่อย ได้เจริญสมาธิภาวนา และยังมีความเลื่อมใสศรัทธา ในเรื่องอานุภาพของพญานาค อย่างแรงกล้า ตามความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เมื่อละโลกแล้วได้ไปบังเกิดเป็นนางนาคในภพบาดาล ในกำเนิดโอปปาติกะ โดยเกิดบนแท่นบรรทม ของสุวรรณมธุรนาคราชเมื่อสุวรรณมธุรนาคราช ได้พบก็ทราบทันทีว่า เธอคือนางแก้วคู่บุญของตน ถึงแม้ว่านางจะมาทีหลังมเหสีองค์อื่น แต่เธอก็มีบุญญาธิการมากที่สุด จึงได้รับการสถาปนา ไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ความเป็นอยู่และการปกครอง

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=620 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#f8f9dd><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พวกกำเนิดแบบโอปปาติกะนั้น เป็นพญานาคชั้นปกครองปกครองประชากรนาคด้วยระบบบุญญาธิปไตร โดยถือหลักผู้มีบุญมาก ปกครองผู้มีบุญน้อย "
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความเป็นอยู่และการ ปกครองของนาคราชในอาณา จักรต่างๆ ของภพบาดาลใต้ แม่น้ำโขง ครอบคลุมมาถึงใต้ แผ่นดินที่เป็นปริมณฑลกว้าง ใหญ่ ทั้งฝั่งไทยและลาว ยาว ตลอดลำน้ำโขง บริเวณสะดือ แม่น้ำโขงซึ่งอยู่ตรงกับอำเภอ โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ถือว่า เป็นศูนย์กลางการปกครองของ ภพบาดาล ทั้งใต้น้ำและใต้ดิน
    การปกครองของพญานาค
    พญานาคมีการปกครองด้วยระบอบ บุญญาธิปไตย คือ ผู้มีบุญมากปกครองผู้มี บุญน้อย ลำดับชั้นปกครอง ได้แก่
    พวกกำเนิดแบบโอปปาติกะ ปกครอง พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ

    พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ ปกครอง พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ

    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ ปกครอง พวกกำเนิดแบบอัณฑชะ เป็นไปตามลำดับ
    ลักษณะของพญานาคแต่ละกำเนิด

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พวกกำเนิดแบบอัณฑชะ คือ เกิดใน ฟองไข่ ส่วนใหญ่เป็นงูชั้นล่าง เช่น งูเหลือม งูเห่า งูจงอาง เป็นต้น
    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ
    ดีขึ้นมาหน่อย คือ เกิดในครรภ์ เป็นงูขนาดใหญ่มากขนาดท่อนซุงหลายสิบต้นต่อกันยาวเป็น ร้อยเมตร อยู่ใต้น้ำลึก คนมักจะเรียกว่า งูเทพเจ้า
    พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ ก็ดีขึ้นมาอีก พวกนี้จะเป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานและกึ่งทิพย์ เมื่อ อยู่ในเมืองบาดาลสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ ได้ โดยจะทำหน้าที่เป็นบริวารรับใช้อยู่ในวิมาน ที่ภพบาดาลของพวกโอปปาติกะ
    ส่วน พวกกำเนิดแบบโอปปาติกะ นั้น เป็นพญานาคชั้นปกครอง ปกครองประชากรนาคด้วยระบอบบุญญาธิปไตย โดยถือหลักผู้มี บุญมาก ปกครองผู้มีบุญน้อย

    อายุขัยของพญานาค


    พญานาคใต้แม่น้ำโขง เป็นพญานาค ระดับภุมเทวาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอายุแตกต่าง กันตามกำลังบุญ พวกกำเนิดแบบโอปปาติกะจะมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปี
    พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ เกิดจาก เหงื่อไคล ในน้ำที่หมักหมม จะมีอายุประมาณ ๑,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ ปี

    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ เกิดในครรภ์ หรือประเภทงูเทพเจ้า จะมีอายุประมาณ ๑๐๐ - ๕๐๐ ปี

    พวกกำเนิดแบบอัณฑชะ เกิดในไข่ เป็นงูสามัญ จะมีอายุ ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง
    การแปลงกายเป็นมนุษย์

    พวกเกิดแบบโอปปาติกะ สามารถแปลงกายได้ทั้งขณะอยู่บนบกและอยู่ในน้ำ

    พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ ซึ่งเกิดในเมืองบาดาล แปลงกายได้เฉพาะขณะอยู่ในเมืองบาดาล ถ้าหากออกพ้นเมืองบาดาลก็จะกลายร่างเป็นนาคเหมือนเดิม

    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ และอัณฑชะล้วนแปลงกายไม่ได้ เพราะบุญน้อย ฤทธิ์ก็น้อย ตาม จึงอยู่ในสภาวะของงูตลอดไป

    อาหารของพญานาค

    พวกกำเนิดแบบอัณฑชะ หรืองูทั่ว ๆ ไป จะกินพวกกบเขียดปลาเล็กๆ เป็นอาหาร

    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ
    หรืองูเทพเจ้า จะกินปลาใหญ่เป็นอาหาร

    พวกกำเนิดแบบสังเสทชะ และโอปปา ติก
    ะ จะกินอาหารทิพย์ที่เกิดจากบุญภายใน วิมานตนเองใต้ภพบาดาล

    วิมานในภพบาดาล

    เป็นทองคำ พื้นรอบนอกวิมานจะเป็นทรายเงิน ทรายทอง ทรายแก้ว ตามกำลังบุญของเจ้าของวิมาน ภายในวิมานจะมีคลังเก็บสมบัติ ทั้งที่เป็นหีบแก้วแหวนเงินทอง และรัตนชาติ บางส่วนก็เป็นสมบัติโบราณ ที่ตนเองมีหน้าที่เก็บรักษา เช่น พระพุทธรูปโบราณที่จมลงไปในดิน หรือสิ่งก่อสร้างสำคัญของวัดวาอารามที่ปรักหักพัง หรือเทวรูปต่างๆ
    มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎก เกี่ยวกับอดีต ชาติของพระรัฐปาล๕ ซึ่งคัดย่อเฉพาะเนื้อหา ที่เกี่ยวข้องกับพญานาคว่า มีพระดาบสองค์ หนึ่งได้เห็นสมบัติอันอลังการของพญานาค ก็ กลับไปเล่าให้โยมอุปัฏฐากฟัง โยมอุปัฏฐาก ก็เชื่อพระดาบสนั้น จึงปรารถนาสมบัติพญานาค เมื่อทำบุญก็จะอธิษฐานให้ไปเกิดในภพพญานาค เมื่อตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็น พญานาคสมดังใจที่ได้อธิษฐานไว้
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> หน้าที่ของพญานาค
    นาคพวกกำเนิดแบบอัณฑชะ มีความเป็นอยู่เหมือนงูทั่วไป

    พวกกำเนิดแบบชลาพุชะ เป็นงูเทพเจ้า มีหน้าที่เฝ้าสถานที่สำคัญ เช่น วัดวาอาราม เก่าๆ หรือเฝ้าสมบัติโบราณ นักขุดสมบัติมักจะ เจองูใหญ่ประเภทนี้ไล่ขบกัด ต้องวิ่งเผ่นหนีกัน กระเจิดกระเจิง บางทีก็มาเข้าฝันเจ้าของสมบัติ ว่า อยากจะไปเกิดแล้ว ให้มาขุดเอาสมบัติไป ก็มี เช​
     
  4. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    กิเลสพญานาค

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=617 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#fef4e7><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคจะมีเรื่องทะเลาะกันก็เพราะเรื่องกามนี้เป็นหลัก คดี ที่เกิดขึ้นมักจะเป็น เรื่องเหล่านี้ ผู้ปกครองต้องตัดสินเกี่ยวกับ เรื่องผัวๆ เมียๆ ตลอดเวลา"
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แท้จริงแล้วพญานาคก็คืออดีตมนุษย์ จึงต่างต้องวนเวียนตกเป็นทาสของกิเลสมาร อยู่ในทั้งสามเรื่องนี้เช่นเดียวกับมนุษย์ คือ เรื่องกิน กาม และเกียรติ

    เรื่องอาหารการกินของพญานาคใน กำเนิดโอปปาติกะ เกิดขึ้นจากบุญซึ่งตนเอง ทำไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ ส่วนบริวารคือพวก ที่เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในน้ำสกปรก ใน เหงื่อไคล ก็จะอาศัยอาหารการกินที่เกิด จากบุญของเจ้านายรวมกับบุญของตน รวมถึงการบริโภคสมบัติ ซึ่งแต่ละชิ้น ก็เกิดด้วยบุญ ใครจะแย่งชิงกัน หรือลักขโมย กันไม่ได้ เพราะบุญของผู้นั้นคุ้มครองสมบัติ ของตนเอาไว้ ปกครองกันแบบบุญญาธิปไตย
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในเรื่องของเกียรติหรือศักดิ์ศรีก็แย่งกัน ไม่ได้เช่นเดียวกัน มีการแบ่งพื้นที่เขตแดนใน การดูแลตามกำลังบุญของตน หรือตามแต่ เจ้าเมืองนั้นจะมอบหมายให้ตามกำลังบุญ ไม่ มีการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงพื้นที่กัน ยกเว้น พวกกำเนิดต่ำกว่า คือกำเนิดแบบอัณฑชะและชลาพุชะ บางครั้งจะมีการแย่งชิงพื้นที่หรือ หากินข้ามเขตกันบ้างเป็นครั้งคราว

    เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ก็แบ่งกันตาม กำลังบุญ และตามกำเนิดสูงต่ำ จึงไม่มีการ ทะเลาะกันเรื่องตำแหน่งและเกียรติยศ ไม่ เหมือนมนุษย์ซึ่งยังแย่งชิงกัน ทั้งตำแหน่ง หน้าที่และการงาน
    ส่วนเรื่องกามนั้น พญานาคจะมีเรื่อง ทะเลาะกันก็เพราะเรื่องกามนี้ เป็นหลัก คดีที่เกิดขึ้นมักจะ เป็นเรื่องเหล่านี้ ผู้ปกครองต้อง ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องผัวๆ เมียๆ ตลอดเวลา ดังเช่นคดีตัวอย่าง อีกคดีหนึ่ง เกิดขึ้นที่เมืองของ เจ้าแม่สองนาง

    เรื่องมีอยู่ว่า บริวารของ เจ้าแม่สองนาง ล้วนแต่เป็นหญิง ส่วนหนึ่งจะมีวิบากกรรมเรื่อง ไร้คู่ครอง อีกส่วนหนึ่งสามารถมีคู่ครองได้ แต่ เมื่อมีคู่ครองแล้วต้องย้ายไปอยู่กับคู่ครอง ซึ่ง อยู่อีกเมืองหนึ่ง ปล่อยให้อยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ได้ เพราะเมืองของเจ้าแม่สองนางนั้น มีแต่ ผู้หญิงล้วน ถ้ามีผู้ชายเข้ามาอยู่ ก็อาจจะเกิด ปัญหาเรื่องชู้สาวขึ้นมาได้ง่าย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> ครั้งหนึ่งบริวารหนุ่มของสุวรรณมธุรนาคราชตนหนึ่ง มีนิสัยเจ้าชู้ นาคหนุ่มนั้นรู้ ดีว่าเมืองเจ้าแม่สองนาง เต็มไปด้วยนางนาค มาณวิกา สวยๆ สาวๆ แรกรุ่นดรุณีทั้งนั้น จึงหาเวลาว่างตอนออกจากเวรหน้าที่ของตน ออกไปว่ายน้ำนอกเมือง คอยหาโอกาสจีบ นางนาคของเมืองเจ้าแม่สองนาง ขณะที่เธอ ออกมาว่ายน้ำเล่น

    มีนางนาคตนหนึ่งออกมาว่ายน้ำเล่น ตามลำพัง ด้วยความคึกคะนองของนาคหนุ่ม ก็โผเข้าใส่ทันที เอาหางเกี่ยวกระหวัดรัดร่าง นาคสาว กระตุกเบาๆ เป็นเชิงทักทาย นาง นาคน้อยสะดุ้ง สั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อถูก ลวนลามเธอตกใจร้องลั่น

    "จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ อย่านะ อย่า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ" ร้องไปดิ้นไป สะบัดตัวไปมา จนน้ำกระจาย เจ้านาคหนุ่มหัวเราะอย่างสบ อารมณ์ ในความไม่ประสีประสาของนาคสาว

    "โอ้ สาวน้อย แสนงาม อย่าดิ้นเลย ไม่ ได้ทำให้เจ็บสักหน่อย หยอกเล่นนิดเดียวน่านะ อย่าโกรธนะ รักกันนะ พี่รักเธอตั้งแต่แรกเห็น นะ" นาคหนุ่มค่อยๆ คลายรัดนาคสาว ยิ้ม อย่างประจบเอาใจ

    "สวยจัง น่ารักจัง ตัวนุ้มนุ่ม หอมด้วย" พูดพลางเบียดกระแซะเข้ามาหานาคสาว ผู้อ่อนต่อโลก

    "ไปว่ายน้ำเล่นทางโน้นดีกว่า" นาคสาว ว่ายน้ำตามไปอย่างเคลิบเคลิ้ม ในทีท่าและคารมของนาคหนุ่มรูปงาม เธอปักใจเชื่อว่า นาคหนุ่มนี้รักตนจริงๆ

    เมื่อถึงถ้ำใต้น้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ในที่ ลับหูลับตา นาคหนุ่มก็ใช้ความเจนจัดชั้นเชิง เจ้าชู้กับสาวนาค จนเธอไม่สามารถควบคุม อารมณ์และความต้องการของธรรมชาติใน ตัวตนได้

    สัมพันธ์สวาทอันลึกซึ้งที่เธอได้รับคือ ความประทับใจครั้งแรกในชีวิต แต่สำหรับ นาคหนุ่ม มันคือประสบการณ์ของลูกผู้ชาย นาค ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความสำเร็จ และความภาคภูมิใจในชั้นเชิงเจ้าชู้ของเขา ที่ สามารถทำให้นาคสาวตกลงปลงใจได้โดย ง่ายดาย
    หลังจากประสบความสำเร็จไปหนึ่งราย แล้วก็ติดใจ นาคหนุ่มจอมเจ้าชู้จึงมาเลียบๆ เคียงๆ เพื่อหาเหยื่อสาวนาคมาณวิการาย ใหม่ต่อไป

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ได้มาพบกับนาค มาณวิกาสาวรายใหม่ ที่ออกมาว่ายน้ำเล่นนอก เมืองตามลำพัง เธอช่างสวยงามเป็นพิเศษ นาคหนุ่มเห็นแล้ว ไม่รีรอเลย ตรงเข้าไปจีบ โดยใช้วิธีการเดิม คำพูดเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผล มาแล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน สำเร็จโดยไม่ยากเลย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> นาคหนุ่มยิ่งหมกมุ่นมัวเมาในสัมผัสอัน ละมุนของนางนาคสาวยิ่งขึ้นไปอีก แอบมา เมียงมอง เพื่อหาเหยื่อรายอื่นๆ ต่อไป พอ ถึงรายที่สาม วิธีเดิมไม่ได้ผลเสียแล้ว ต้อง ใช้วิธีใหม่ โดยแผ่พังพานใหญ่ แสดงลีลา ให้ดูสง่างาม เข้มแข็ง พร้อมที่จะปกป้องเธอ ทุกเวลา
    นาคหนุ่มมาดักเจอนาคสาวทุกครั้ง ไม่ซ้ำรายกันเลย เพราะรู้กำหนดเวลาในการ เข้าเวรและออกเวรที่ไม่ตรงกันของนาคสาว ในเมืองเจ้าแม่สองนาง ส่วนตัวนาคหนุ่มที่มา ได้ตามเวลานัดหมายกับสาวนาคไว้ เพราะ อาศัยแลกเวรกับเพื่อนนาคหนุ่มด้วยกัน

    ในสังคมของนาคสาวมาณวิกานั้น เมื่อ อยู่รวมกันก็เหมือนมนุษย์อย่างนี้ แหละ จะคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ คุยไปคุยมา ก็วกมาคุยถึงนาคหนุ่ม อีกเมืองหนึ่ง ว่าได้ไปเจอหนุ่มนาค เมืองนั้นนะ รูปหล่อ พูดเพราะ พูด ว่ายังงั้น พูดว่ายังงี้นะ คุยไปคุยมา เอ๊ะ ทำไมถึงพูดเหมือนกัน คำเดียว กัน ประโยคเดียวกัน ลีลาแบบเดียว กัน เอ๊ะ มันยังไงกันนี่ ยังกับตัวตนเดียวกันยังไงยังงั้นเลย น่าสงสัย ก็ได้แต่สงสัยเท่านั้นไม่มี โอกาสพิสูจน์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> วันหนึ่งมีการปรับเวรในการ รับหน้าที่ นาคสาวมาณวิกาสองนาง ที่เคยมีความสัมพันธ์กับนาคหนุ่ม เจ้าชู้ในช่วงต่างเวลากัน จึงได้มี โอกาสมาพักพร้อมกับนาคสาวอีก ตนหนึ่ง นาคสาวตนแรกนัดเวลาเจอ กับนาคหนุ่มอยู่ก่อนแล้ว ก็มาตามวันเวลาที่ นัดหมาย โดยไม่รู้ว่าอีกนางนาคหนึ่งก็ปรับ เวลาเปลี่ยนเวรมาหยุดในวันเดียวกันพอดี
    ด้วยอำนาจความรักและความคิดถึง นาคหนุ่มนั้น เธอจึงคิดว่าน่าจะออกไปเที่ยว นอกเมืองดู เผื่อว่าจะเจอสุดที่รักของตนบ้าง เมื่อออกไปนอกเมืองบาดาล ก็บังเอิญเจอ จริงๆ เจอนาคหนุ่มสุดที่รัก แต่ว่าตอนนี้ นาคหนุ่มสุดที่รักกำลังพลอดรักกับเพื่อน นาคสาวของเธอเองอยู่ในถ้ำใต้น้ำ ซึ่งเป็นที่ พลอดรักประจำของตน ภาพบาดตาบาดใจอย่างนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่การทรยศหักหลัง เสียแรงที่มาด้วยความคิดถึง ถ้างั้นก็เสียแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ลุยให้สมแค้น หายคิดถึงไปเลย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> นาคมาณวิกาสาว พุ่งตัวเข้าชนร่างสองร่าง ที่กำลังรัดกันกลมเป็นเกลียว แรงฤทธิ์หึงนี่มันสุดๆ จริงๆ ร่างสองร่างหลุดกระเด็นออกจากกัน ยังไม่ทันตั้งตัว ก็โดน กัดซ้ำจมเขี้ยว นาคหนุ่มตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก สุดที่รักเก่ารายที่หนึ่ง กับสุดที่รักใหม่รายที่สอง กัดกันเป็นพัลวัน นาคสาวที่อยู่ ในบริเวณนั้นได้ยินเสียงก็เข้ามาห้าม จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม มาเป็นหมู่เลย มาช่วยกันห้าม แต่ห้ามไม่ไหว

    ในที่สุดหัวหน้าบริวารต้องเข้ามาห้ามเอง ควบคุมตัวนาคสาวทั้งสอง พร้อมด้วยนาคหนุ่มตัวต้นเหตุไปสอบสวน จึงได้รู้ว่า สาเหตุมาจากความหึงหวง นาคหนุ่มเจ้าชู้เที่ยวหลอกเขาไปทั่ว บรรดานาคสาวมาณวิกาตัวอื่นๆ ที่เคยถูกหลอก และมีสัมพันธ์กับนาค หนุ่มนี้จำได้ จึงรุมด่าว่าต่างๆ นานา
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เจ้าแม่สองนาง จึงตัดสินบริวารของตนว่า ให้นางนาคทั้งสองตัวที่ทำร้ายกัน โดนกักบริเวณ โดยตนหนึ่งให้ไปจำศีลอยู่ที่ถ้ำใต้น้ำ ส่วนอีกตนหนึ่งให้ไปจำศีลอยู่ที่โพรงดินใกล้ตลิ่งริมแม่น้ำโขง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนนาคหนุ่ม เจ้าแม่สองนางไม่สามารถตัดสินได้ เพราะอยู่ต่างเมือง จึงควบคุมตัว ไปส่งให้กับสุวรรณมธุรนาคราชตัดสิน

    สุวรรณมธุรนาคราช สืบสวนแล้ว เห็น ว่านาคหนุ่มนั้นทำความผิดร้ายแรง เนื่อง จากตั้งใจทำผิดศีลข้อ ๓ หลายครั้ง พร้อม ทั้งพิจารณาเห็นว่า บุญในตัวของนาคหนุ่ม หมดแล้ว เพราะหน้าตาผิวพรรณหมองคล้ำ ซึ่งเป็นอาการของการหมดบุญ

    จึงตัดสินให้ส่งตัวไปยมโลก โดยแจ้ง ไปที่หัวหน้าเขตที่เป็นกุมภัณฑ์ หัวหน้าเขต จึงแจ้งไปที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นพญานาค ซึ่งช่วย ราชการพิเศษ เป็นกำลังเสริมในยมโลก มา รับตัวนาคหนุ่ม ไปลงโทษในยมโลกต่อไป โดยให้ไปปีนต้นงิ้ว ถูกอีกาปากเหล็กจิก ถูกสุนัขปากเหล็กกัด จนกระทั่งตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วกลับตายอีก ทนทรมานเช่นนี้ นานเป็นล้านๆ ปี นับตามเวลาในโลกมนุษย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  5. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    บทลงโทษ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=617 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "การตัดสินต้องพิจารณาจากจุตินิมิตของนาคตนนั้นด้วยว่ามี ลักษณะเศร้าหมองหรือไม่ ต้องประกอบไปด้วย

    ๑. ความผิด ๒. กำลังจะหมดบุญ มีจุตินิมิตเกิดขึ้น"
    การลงโทษของพญานาคในลุ่มแม่น้ำ โขงนั้น มีหลายวิธี ตามลำดับดังนี้
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วิธีที่ ๑ สำหรับโทษเบา ให้ไปรับเวร มากขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ให้เพิ่มเวลาในการตรวจ เข้าเวรยาม หรือเพิ่มเวลาในการเข้ารับใช้ หัวหน้าเขต จึงมีเวลาพักน้อยลง

    ดังคดีตัวอย่างคือ ครั้งหนึ่งนาคบริวาร ตนหนึ่ง มัวแต่แสดงความรักกับภรรยานาค สาวที่วิมานของตน จนลืมเวลาเข้าเวร ไม่ได้ มาเข้าเวรตามหน้าที่ ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ หัวหน้าบริวารจึงทำโทษ โดยการเพิ่มเวลา ในการเข้าเวรมากขึ้น

    อีกคดีหนึ่ง นางนาคมาณวิกาสาวสวย ตนหนึ่ง เพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร มากเกินไป ด้วยความเมาในรสอาหาร จึง เผลอหลับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวัน ไม่ได้ไปเข้าเวร หัวหน้าบริวารจึงสั่งลงโทษ โดยการเพิ่มเวลาในการเข้าเวรมากขึ้น
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> วิธีที่ ๒ สำหรับโทษหนักขึ้นมาอีก ให้ไปเฝ้าสถานที่ หรือพระพุทธรูป หรือ สถูปโบราณ พญานาคที่ถูกทำโทษจะต้องทำ ตามอย่างเคร่งครัด และห้ามหนีโดยเด็ดขาด เพราะเป็นจารีตที่ถูกกำหนดขึ้น ของสังคม พญานาค

    ถ้านาคที่ถูกทำโทษไม่ทำตามจะต้องถูก ขับออกจากเมือง ส่วนผู้ปกครองจะมอบหมาย ให้หัวหน้าเขตหรือผู้ช่วยหัวหน้าเขตคอย ตรวจตราเป็นระยะๆ ระหว่างที่ถูกกักบริเวณ โดยจะให้เจ้าหน้าที่คอยส่งอาหารให้ จนกว่า จะพ้นโทษ วิธีการส่งอาหารคือ พญานาค ที่มีหน้าที่ส่งอาหารจะคอย เนรมิตอาหารให้กับพญานาค ที่กำลังถูกลงโทษนั้น
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> วิธีที่ ๓ สำหรับผู้ที่มีโทษ หนักขึ้นไปอีก จะถูกลงโทษให้ เข้าไปจำศีล หรือกักบริเวณ ที่ให้ทำเช่นนี้ เพื่อให้สงบสติ อารมณ์และสำนึกผิด การที่ จำศีลเช่นนี้ ผู้ที่ถูกลงโทษจะ ถูกบังคับให้อดอาหาร ถ้าหาก สามารถสงบสติอารมณ์ได้ มี จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ก็สามารถ อยู่ได้จนครบกำหนด ลักษณะการอยู่เช่นนี้ ก็คล้ายๆ กับกบ หรือปลาจำศีลในฤดูแล้ง หลัก การคือการเคลื่อนไหวร่างกาย จะต้องลดน้อยลง เป็นผลให้ การเผาผลาญอาหารลดต่ำลง สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกิน อะไรตลอดฤดูร้อน

    แต่ถ้าหากว่า ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ ของตนเองได้ ธาตุไฟก็จะแตกหรือตายเพราะอดอาหารในที่สุด การจำศีลเพื่อสำนึกผิดนี้ ต่างจากการจำศีลเพื่อเอาบุญ ของพญานาคราชโอฆินทรและบริวารที่ไปจำพรรษาที่แม่น้ำ โขง การจำศีลเพื่อเอาบุญนั้น นาคแต่ละตนสามารถกินอาหารได้ ถ้าต้องการกินและไม่ถูกกักบริเวณ
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ส่วนการจำศีลเพื่อให้ดวงแก้ว ดึงดูด มหาสมบัติเกิดขึ้นนั้น เป็นการจำศีลแบบ ระยะสั้น บางครั้ง ๑ วันบ้าง ๓ วัน บ้าง ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง
    วิธีที่ ๔ เป็นการลงโทษที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับนาคที่ทำความผิดมาก เช่น คดีนาค จอมเจ้าชู้ที่ผ่านมา การตัดสินต้องพิจารณา จากจุตินิมิตของนาคตนนั้นด้วยว่า มีลักษณะเศร้าหมองหรือไม่ ต้องประกอบไปด้วย

    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> ๑. ความผิด ๒. กำลังจะหมดบุญ มีจุตินิมิต เกิดขึ้น
    ถ้าจุตินิมิตชัดเจนก็จะต้องถูกส่งตัวไป ยมโลก โดยจะแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่นาค ซึ่งไป ช่วยกิจการพิเศษที่ยมโลก ในสายนาคอีกทีหนึ่ง (เจ้าหน้าที่ยมโลกโดยทั่วๆ ไป มาจากกุมภัณฑ์ แต่บางครั้ง เจ้าหน้าที่สายกุมภัณฑ์ไม่สะดวก ต้องส่งเจ้าหน้าที่นาคไปช่วย ในกรณีพานาคไปลงโทษ) หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ยมโลกก็จะพาไปหาพญายมราช พญายมราชจะตัดสินบุญบาป ไปตามหลักเกณฑ์ของยมโลกต่อไป ซึ่งแน่นอนทั้งหมดนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจกฎแห่งกรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  6. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ถิ่นกำเนิดบั้งไฟ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=668 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคในลุ่มแม่น้ำโขง จะรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกแล้วเกิดปีติ จึงพ่นดวงไฟ หลากสีขึ้นมาเป็นพุทธบูชา"
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บั้งไฟพญานาค มีเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำ โขงเท่านั้น เพราะพญานาค ที่ลุ่มแม่น้ำโขงเป็น พวกมีสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อถึงวันออกพรรษา พญานาคในลุ่มแม่น้ำ โขง จะรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลก แล้วเกิดปีติ จึงพ่นดวงไฟหลากสี ขึ้นมาเป็นพุทธบูชา จากดวงใจที่ใสบริสุทธิ์กลั่นมาเป็นดวงไฟที่ สดสวยงดงาม ผ่านสายน้ำขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่มนุษย์ทั้งสองฝั่งน้ำโขง ต่างก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยไปพร้อมๆ กัน

    ส่วนพญานาคใต้แม่น้ำคงคา ใต้แม่น้ำ เนรัญชรา ซึ่งเป็นถิ่นเกิดของพระพุทธศาสนา ในยุคต้นๆ พญานาคเหล่านั้นก็เคยก็พ่นบั้งไฟ มาก่อนเหมือนกัน และพญานาคบางตนใน ครั้งนั้นยังตั้งความปรารถนาที่จะเป็น พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตด้วยแต่ในยุคหลัง พระพุทธศาสนาถูกรุก รานจากศาสนาอื่น มนุษย์ทั้งหลายจึงอพยพ ย้ายถิ่นฐานบ้าง เปลี่ยนศาสนาบ้าง กระแส กรรมต่างๆ จากมนุษย์ล้วนส่งผลถึงนาค อย่างเต็มที่มนุษย์ที่มีความเคารพบูชาเทพเจ้า มี ใจผูกพันในเทพเจ้าต่างๆ หวังจะยึดเอา เทพเจ้าเป็นที่พึ่งของตน แต่เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ได้เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง ถึงใครจะทุ่มเท สักการะบูชามากมายเพียงใด เขาเหล่านั้น ก็ได้ความปีติเพียงเล็กน้อย บุญก็เกิดน้อย เมื่อมนุษย์เหล่านั้นละโลกแล้วจึงได้เกิดเป็น แค่ภุมเทวาในสายต่างๆ ซึ่งเป็นเทวดาชั้นต่ำ ระดับล่างประเภทเดียวกับพระภูมิเจ้าที่ และอาศัยอยู่ในแถบนั้น เมื่อเกิดเป็นภุมเทวาก็ยัง ติดนิสัยมิจฉาทิฏฐิ และความเชื่อแบบเดียว กับเมื่อครั้งที่ตนยังเป็นมนุษย์
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ดังนั้นความเป็นอยู่และการปกครองจึง เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของตน กลาย เป็นการปกครองประเภทศรัทธาธิปไตย คือ ถือเอาความเชื่อเป็นใหญ่ พวกเทวดาศรัทธา ธิปไตยเหล่านี้ก็พยายามบังคับให้เทวดาตน อื่น ๆ เชื่อตามตน บางพวกก็ตั้งป้อมเป็นศัตรู กับเทวดาที่ไม่ได้นับถือเช่นเดียวกับความเชื่อ ของตนอีกด้วย

    เทวดา คืออดีตมนุษย์ ตอนเป็นมนุษย์ หากมีความเชื่ออย่างไร เมื่อตายไปได้เป็น เทวดาก็ยังมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่อีก เทวดาที่ นับถือเทพเบื้องบนคนละองค์ ก็ทะเลาะเบาะแว้งระรานกัน เพราะต่างมีความเชื่อว่าเทพ ที่ตัวนับถืออยู่สูงศักดิ์กว่า แต่ตัวเองก็ไม่เคย เห็น และไม่เคยเข้าถึง เทพที่ตนเองนับถือก็ ไม่เคยลงมาเยี่ยมทักทาย มันเป็นเพียงความ เชื่อเลื่อนลอยเท่านั้น

    แต่ความเชื่อเลื่อนลอยนั้น ถูกทึกทัก จากพวกมิจฉาทิฏฐิให้กลายมาเป็นความเชื่อ จริงจัง เทวดารวมถึงพญานาคที่นับถือพระพุทธศาสนา ในถิ่นนั้นก็พลอยถูกระราน ไปด้วยเมื่อเป็นมนุษย์พวก ที่ต่างความเชื่อก็ระรานกัน ครั้นตายไปเป็นเทวดา พวกที่มีความเชื่อต่าง กัน ก็ระรานกันต่อ เทวดาทั้งหลายที่นับถือ พุทธศาสนารวมถึงพญานาคที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ด้วย จึงจำใจต้องย้ายถิ่นอพยพหนีความรำคาญ แต่มิใช่เพราะความกลัว มาอยู่แถบแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นอาณาเขตนับถือพระพุทธศาสนา

    ปัจจุบัน พญานาคซึ่งถือกำเนิดแถบ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำเนรัญชราต่างมิได้ถือ กำเนิดมาจากถิ่นที่มีชาวพุทธอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงไม่ได้พ่นบั้งไฟเหมือนสมัยหลังพุทธกาล ยุคต้นๆ เพราะต่างมีความเชื่อในเทพเจ้าที่ เลื่อนลอย ไม่สามารถทำให้เกิดปีติ จึงไม่มี พลังพอที่จะกลั่นใจตนเองให้เกิดเป็นดวงไฟ สวยงามหลากสีได้
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปัญหาของเทวดาในเขตแม่น้ำคงคานั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ตนยังเป็นมนุษย์ ถ้าใคร ต้องการจะแก้ไข ก็ต้องเข้าไปช่วยแก้ไขกันตั้ง แต่เขายังเป็นมนุษย์ โดยการบำเพ็ญตนเป็น กัลยาณมิตรนำธรรมะแผ่ขยายไปให้ถึงเขา ให้ เขามีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นก่อน ให้หันมานับถือ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก่อน

    ตลอดลำแม่น้ำโขงจะมีเมืองเล็กเมือง น้อย เมืองใหญ่ ของเหล่าพญานาคเกิดขึ้น เรื่อยๆ เป็นกลุ่มๆ ขยายจากโพนพิสัยไป อำเภอบึงกาฬ อำเภอรัตนวาปี อำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนนับถือพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น โดยมีเมืองของโอฆินทรนาคราช เป็นเมืองหลวง เมืองของเจ้าแม่สองนางเป็นเมืองบริวาร ปกครองโดยนางพญานาคี ที่ในอดีตเป็นธิดากษัตริย์ เมื่อฤดูเข้าพรรษามาถึง พญานาคทั้ง หลาย มีโอฆินทรนาคราชและสุวรรณมธุรนาคราชเป็นผู้นำ ได้พาบริวารออกจากวิมาน มาจำศีลที่ใต้แม่น้ำโขง บริเวณที่จำศีล บาง ส่วนก็เป็นโพรงดิน บางส่วนก็เป็นโพรงน้ำ บางส่วนก็เป็นถ้ำใต้น้ำ ต่างก็อยู่รวม ๆ กัน และจะสมาทานอุโบสถศีล ในช่วงเข้าพรรษา ถือพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดไม่ยุ่งเกี่ยวกับ กามคุณเลย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [MUSIC] D:\เพลง\ไอซ์&โรส - 01 Perhaps Love (Thai Ver).mp3[/MUSIC]
     
  7. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ตบะพญานาค

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=624 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#fcf1ef><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=578 bgColor=#ed6855><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคบางตน ขณะจำศีลทนคิดถึงนางนาคมาณวิกาไม่ได้ ตบะแตกกลางคัน ต้องกลับวิมานก่อนกำหนดก็มี"
    การออกมาจำศีลของพญานาคนั้น ออกมาทั้งนาคเพศหญิง นาคเพศชาย แต่ โดยส่วนใหญ่ พญานาคเพศชายจะออกมา จำศีลมากกว่า และมักสามารถจะอยู่ได้ตลอด พรรษามากกว่า สาเหตุเพราะโดยปกตินาง นาคมาณวิกามีหน้าที่คอยร้องเพลง ร่ายรำ ระบำ ปรนนิบัติในวิมานของพญานาคเป็น ประจำ จึงติดนิสัยรักสวยรักงาม เต็มไปด้วย ราคะจริต ไม่ค่อยมีความอดทนที่จะอยู่รักษา ศีลให้ตลอดพรรษา
    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นาคมาณวิกาส่วนมาก จะออกมาจำ พรรษาเฉพาะวันโกนกับวันพระเท่านั้น จึง ไม่มีกำลังพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาค (กำลัง ในที่นี้หมายถึงกำลังแห่งมหาปีติ) ทำให้บั้ง ไฟพญานาคที่ปรากฏในวันออกพรรษานั้น เป็นของพญานาคเพศชายพ่นขึ้นมาเป็นส่วน ใหญ่ ของพญานาคเพศหญิงก็มี แต่เป็นส่วน น้อย

    ในแต่ละปี พญานาคจะออกมาจำศีล จำนวนไม่เท่ากัน บางปีก็มาก บางปีก็น้อย ขึ้น อยู่กับว่า พญานาคทั้งหลายยังเพลิดเพลิน ในการบริโภคกามมากน้อยเพียงใด ยังสนุก สนานในการร้องรำทำเพลง หลงชื่นชมทิพยสมบัติของภพพญานาคขนาดไหน บางตน ขณะจำศีลทนคิดถึงนางนาคมาณวิกาไม่ได้ ตบะแตกกลางคันต้องกลับวิมานก่อนกำหนด ก็มี

    ขณะจำศีล พญานาคจะมีพุทธานุสติ เป็นอารมณ์ พวกที่เคยเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเทโวโรหณะ ก็จะระลึกถึงเหตุการณ์ ในวันนั้น แล้วจะบอกเล่าให้ผู้ที่มา ในภายหลัง ให้ระลึกถึงตามไปด้วย
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    โอฆินทรนาคราช กับสุวรรณมธุรนาคราช ทั้งบิดา และบุตรได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันเทโวโรหณะทั้งคู่ ตั้งแต่ปีนั้น เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อถึงฤดูเข้าพรรษา จึงเกิดกุศลศรัทธาแรงกล้า สามารถจำศีลได้ ตลอด ๓ เดือน ตั้งแต่วันเข้าพรรษา จนกระ ทั่งถึงวันออกพรรษา พญานาคจะยึดถือการ นับวันเวลาเข้าและออกพรรษาเอาตามปฏิทิน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นปฏิทิน เดียวกับที่เจ้าหน้าที่เขตของเทวดา ส่งบัญชี บุญไปให้ท้าวจตุโลกบาลตรวจสอบ และตรง กับวันออกพรรษาของลาว (วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามปฏิทินลาว คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของปฏิทินไทย) ในวันนั้น พระ จันทร์จะกลมโตใสสว่างกว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ของไทย

    พญานาคจะพร้อมใจกันกับบริวารพ่นบั้ง ไฟตอนกลางคืน ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากดาวดึงส์ในตอนสายของวันออก พรรษา หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ที่เป็น เช่นนี้เพราะ

    ประการที่ ๑ เทวดาและพญานาค ทั้งหลายจะยึดวันเวลาตามจันทรคติ จึงใช้ ดวงจันทร์ เป็นเครื่องกำหนดรู้

    ประการที่ ๒ ดวงจันทร์วันเพ็ญนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของพญานาคมาก เมื่อ พญานาคได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะทำให้ มีกำลังปีติมาก มากพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาคออกมา

    ประการที่ ๓ ในคืนเดือนเพ็ญเป็นคืน ที่มนุษย์และเทวดาสามารถรับกระแสบุญ จากพระนิพพานได้อย่างเต็มที่
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> หากสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า บาง พื้นที่บริเวณกลางลำแม่น้ำโขง เมื่อก่อนเคย มีบั้งไฟบังเกิดขึ้นในวันออกพรรษา เป็นระยะ ทางต่อเนื่องกันยาวหลายกิโลเมตร แต่ภาย หลังหายไปบางส่วน ทั้งนี้เพราะพญานาครุ่น เก่าๆ ส่วนหนึ่งละโลกไปตามอายุขัย หรือบาง แห่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีบั้งไฟ แต่บัดนี้กลับมามี ก็เพราะได้มีพญานาครุ่นใหม่มาเกิดในบริเวณ นั้น และมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยตามนาค บริเวณอื่นๆ ส่วนบางแห่งเป็นเพียงสระน้ำ ใหญ่ก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น เพราะใต้สระน้ำนั้นมีพญานาคไปจำศีลอยู่เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม พญานาคที่สามารถพ่นบั้งไฟ ได้ จะเป็นเฉพาะพวกกำเนิดในโอปปาติกะกับ พวกสังเสทชะเท่านั้น และจะต้องเป็นพวกที่ จำศีลอย่างเคร่งครัดในช่วงเข้าพรรษาด้วย

    มนุษย์ที่มาคอยดูทั้งสองฝั่งก็มีผลต่อ การพ่นบั้งไฟพญานาคด้วย เพราะถ้าปีไหนมี มนุษย์ไปดื่มเหล้าเมายามาก และต่างพากันส่ง เสียงดังเป็นการรบกวน ก็จะทำให้พญานาค ขาดสมาธิในการกลั่นใจให้เกิดเป็นบั้งไฟ พญานาค ให้เป็นดวงไฟสวยๆ ผ่านท้องน้ำ ขึ้นไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนท้องฟ้า ปีนั้นบั้งไฟก็จะเกิดขึ้นน้อย และเกิดไม่ตรง ตามเวลา ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> แต่ถ้าปีไหนมนุษย์ไปรวมกันด้วยความ สงบ มีการสั่งสมบุญต่างๆ ตั้งแต่เช้าของวัน ออกพรรษา เช่น มีการใส่บาตร เจริญภาวนา รักษาศีลและพร้อมใจกันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ประสานงานร่วมใจกันบูชาพระสัมมา สัมพุทธเจ้าระหว่างมนุษย์และพญานาค ปีนั้น พญานาคก็จะเกิดจิตปีติยินดี สมาธิจะตั้งมั่น เป็นพิเศษ และสามารถสร้างเหตุอัศจรรย์อื่นๆ ยิ่งกว่าบั้งไฟตามมาอีกด้วย

    บั้งไฟพญานาค ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เกิดด้วย แรงปีติ มหาปีติของพญานาค ซึ่งเจริญ พุทธานุสติบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการร่วมชุมนุมกันเป็นมหาสมาคม เพื่อสร้างบุญใหญ่ประจำปีของเหล่าพญานาค ทั้งสองแผ่นดินนั่นเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  8. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    อานิสงส์

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=617 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfbfd><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ความมีสิริมงคล อันเป็นเครื่องรองรับมหาโชคมหาลาภทั้งหลาย ให้แก่ตนเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะไปยังแห่งหนใดก็จะได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาตลอดไป"
    อานิสงส์อันยิ่งใหญ่ซึ่งเหล่ามนุษย์ได้ร่วมกับพญานาคบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง คือ ความมีสิริ มงคล อันเป็นเครื่องรองรับมหาโชคมหาลาภ ทั้งหลายให้แก่ตนเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะไปยังแห่งหนใดก็จะได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาตลอดไป
    <TABLE id=Table_01 height=500 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ผู้ที่มนุษย์และเทวดาปกปักรักษาก็จะเป็นทางมาแห่งทรัพย์สมบัติมหาศาล สามารถเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ และเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่ายในภพนี้ เขาเหล่านั้นย่อมมีโอกาสที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต แม้ลึกลับเพียงไหนก็สามารถ เข้าใจได้โดยง่าย เพราะเป็นผู้มีศรัทธา อันประกอบด้วยปัญญาอย่างลึกซึ้ง เป็นผลให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงาม เมื่อถึงคราว ละโลกจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ และมีรัศมีกายสว่างไสวกว่าเทวดาเหล่าอื่นๆ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ขณะเป็นมนุษย์ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใดๆ ศัตรูหมู่ภัยย่อมครอบงำไม่ได้ จะแวดล้อมด้วย คนดี อุปสรรคต่างๆ ในชีวิตจะมลายหายสูญ ไปโดยง่าย จะปลอดภัยจากสัตว์ที่มีพิษร้าย ต่างๆ ที่สำคัญคือ ย่อมไม่มีภัยทางน้ำอันเกิด จากสัตว์ร้ายทั้งหลาย เพราะได้รับการคุ้มครอง จากพญานาคผู้เป็นเทพเจ้าแห่งลำน้ำ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  9. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    พญานาค คือใคร?
    [ 1 ม.ค. 2549 ] - [ คนอ่าน : 21719 ]

    [​IMG]


    พญานาค คือใคร ?


    *พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ
    • ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
    • ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว
    • ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
    • และตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ
    **พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ แบบโอปปาติกะเกิดแล้วโตทันที แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม แบบชลาพุชะเกิดจากครรภ์ แบบอัณฑชะเกิดจากฟองไข่ พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ

    ---------------------------------------------------
    * มก. ขุททกวัตถุขันธกะ เล่ม 9 หน้า 11
    ** มก. นาคสังยุต เล่ม 27 หน้า 556
     
  10. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,255
    ขอบคุณครับ
    อนุโมทนาด้วย
    เวรกาเมฯ นี่ให้ทุกข์ให้โทษไม่เว้นกายหยาบกายละเอียด ... พึงสังวร
     
  11. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    *-*

    [​IMG] <!--sizeo:4--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--coloro:#ff0000--><!--/coloro-->ใครพอจะทราบและรู้จักปั้มน้ำมันแห่งนี้บ้าง...มีอยู่จริงตามเนื้อเรื่อง
    หรือปล่าวค่ะ<!--colorc-->
    <!--/colorc--> [​IMG]
    <!--sizeo:4--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    ท่านที่เดินทางผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ อาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงาน มีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น

    แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริเวณแถบดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก
    มีสภาพเป็นป่าละเมาะกลาย ๆ ต่อมาเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนก็มองหาที่ดินทำมาหากิน แล้วก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้ เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านเท่าใดนัก

    แต่เขาหารู้ไม่ว่า ที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่

    โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอก ไม่เป็นอันหลับนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจาก เดิม

    ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้น มีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปีแม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้้น มีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมีลูกไฟลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน

    ที่ดินบริเวณนี้แม้จะมีผู้ปันส่วนจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพณ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน หากทว่าทุกคนก็เงียบไม่ปริปากให้คนภายนอกได้รับ รู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

    หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่น ผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้
    ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่ แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร เครื่องยนต์ก็ดับทุกที ทั้ง ๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดี

    เมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอ ย่าง เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว!

    เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เนื่องจากนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจ

    สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้าน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้น โดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติ ๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ

    เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่างราว กับไม่มีปั๊มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคัน ที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลาย

    ในที่สุด เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง ๓ รูปที่อยู่คนละแห่งต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน
    จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้า นาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไป

    และก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการ
    และปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา

    อ้อ...ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบ ริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป

    <!--sizec--><!--/sizec-->
     
  12. poohchi

    poohchi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +430
    ที่มาเขียนเล่าให้ฟังก็เพราะ เห็นรูปที่คุณ pasaway007 ลงเอาไว้ก็เลยนึกถึงความฝันนี้ขึ้นมาได้ค่ะ
    คือเมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสไปที่โคราช ไปที่ปราสาทหินพิมาย ก็ไปกันหลายคนนะคะ แต่ตอนเดินชมสถานที่ ก็เดินอยู่คนเดียว ในความรู้สึกตอนนั้นยังจำได้ดีเพราะว่าเดินเพลินเข้าไปด้านใน ไกลจากกลุ่มที่ไปด้วยกันมาก จนคนในกลุ่มต้องออกตามหา แล้วพวกเค้าก็ถามว่าทำไมเดินออกมาไกลแบบนี้ เราก็ตอบไปว่า ไม่รู้สิเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าอารมณ์ดีแล้วก็เหมือนจะรู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน การเพิ่งจะเคยไปเป็นครั้งแรกนะคะ แล้วก็เดินตามเพื่อนกลับไป แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย พอกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก็ลืมเรื่องนั้นไปแล้วเพราะไม่เห็นมีอะไร แต่หลังจากกลับมา 3 วัน ก็เลยฝันว่าอยู่ที่นั่นก็เดินไปเรื่อยๆ อีกนั่นแหละค่ะ จนมาถึงผนังหินสุดทาง มันเป็นทางตันแล้วก็เลยจะหันกลับออกไป พอหันไปก็เจอพญานาคตัวใหญ่มากเลย ขดตั้งหัวขึ้นอยู่จนเต็มทางออกเลย มองเห็นแต่แสงด้านนอกข้างตัวของพญานาค ก็เลยยืนมอง ก็มองกันไปมองกันมา เราก็สังเกตุรูปพรรณของพญานาคไปเรื่อยๆ พญานาคตนนี้ร่างกายเป็นสีดำนิล เงามากเลยค่ะ เกล็ดก็ใหญ่เรียงกันสวยมากเหมือนกับเอานิลมาต่อๆ กันไว้เรียบร้อย แล้วครีบกับหงอนก็เป็นสีทอง ตาสีแดงจัด แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรก็แค่มองกันไปมองกันมาอยู่อย่างนั้น ในฝันก็เลยพูดออกไปว่า อยากกลับบ้านแล้ว ถ้าขวางทางอยู่แบบนี้ก็กลับบ้านไม่ได้ ขอให้ถอยไปหน่อยค่ะ พญานาคเค้าก็ไม่ถอย ก็ยืนพูดอยู่แบบนั้น จนในที่สุดก็เลยพูดว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรานะ เราจะกลับบ้านแล้ว พอพูดจบ พญานาคก็หดตัวลงมาแล้วก็หลีกทางให้ พอเดินพ้นพญานาคไปก็หันกลับไปมองอีก พญานาคก็เลื้อยออกมานิดหน่อยเหมือนจะมาส่ง ( คิดเอาเองค่ะ ) ก็เลยหยุดแล้วหันกลับไปพูดว่า ไม่ต้องมาส่งหรอก ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาใหม่ละกัน พูดเสร็จแล้วก็เดินไปแล้วก็หันกลับมามองอีกเป็นระยะๆ เค้าก็ยังคอยตามมาส่ง
    คงแค่นั้นแหละค่ะจำได้แค่นี้ แต่ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวเลย รู้สึกสบายๆ ถึงพญานาคจะตัวใหญ่ แต่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นอันตรายหรืออะไรเลย ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าที่ฝันแบบนี้คืออะไรนะคะ ใครรุ้ช่วยบอกหน่อยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ

    และขออนุโมทนาบุญให้กับ คุณ pasaway007 ที่นำข้อมูลความรู้นี้มาให้ได้อ่านด้วยนะคะ
     
  13. poohchi

    poohchi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +430
    เหมือนมากๆ เลยค่ะ ที่แตกต่างก็ตรงหัวน่ะค่ะ ไม่มีด้านข้าง มีแต่หงอนด้านบน ใหญ่ๆ สูงๆ เป็นสีทองค่ะ ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะค่ะว่าเป็น พญานาคตระกูลสีดำ ตระกูลกัณหาโคตรมะ
     
  14. AJ_Purngkan

    AJ_Purngkan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +3,789
    เซฟไว้แล้ว ไว้จะมาอ่านครับ
     
  15. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    รูปภาพ ประกอบคำบรรยาย สวยงามมาก .....
     
  16. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,066
    ค่าพลัง:
    +7,067
    ภาพสวยมากค่ะ เหมือนที่เห็นใน DMC เลย โมทนาค่ะ สรุปว่าพญานาคและที่เอามาให้อ่านกันนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ...
     
  17. buaaa

    buaaa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    พญานาคมาเข้าฝันด้ายหรือเปล่าคะ

    ฝันเหมือนกันค่ะ ฝันว่าได้ยินเสียงมาบอกว่า เปนพญานาค ยอกอายุด้วยนะคะอายุเท่าไรจำไม่ได้ แต่จำชื่อได้ชัดเจนเลยค่ะ ท่านชื่อ รัตนะธรนินทร์ ไม่เคยคิดถึง และไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ถ้าเปนนิมิตรที่ดี ก็คงดีค่ะ แต่กลัวว่าเปนจิตใต้สำนึกตัวเอง นี่เรื่องจริงนะคะ แปลกใจมากที่ฝันแบบนี้ ภาพในฝันเหนเป็นต้นไม้ที่มีห้วของพญานาคงอกออกมาเหมือนต้นที่เคยลงข่าว แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน ได้ยินเสียงก้องมากในฝัน เพิ่งจะย้ายห้องใหม่ด้วย ไม่รู้ว้าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ใครทราบช่วยตอบด้วยนะคะ
     
  18. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ขอบคุณ คุณ pasaway007 ที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่านกัน


    .
     
  19. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    คุณคือ พญานาคจากภพอดีต
    ภพนี้ คุณคือ ผู้ถูกเลือก ให้ร่วมงาน สานต่อพระพุทธศาสนา ให้กงล้อธรรมจักร หมุนเวียนต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด
    ขอแสดงความยินดี ที่จะมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต นับแต่นี้ไป ขอจงตั้งใจ ทำในสิ่งที่ดี
    [b-hi] [b-hi] [b-hi] ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2007
  20. นาย Touru

    นาย Touru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +1,160
    จากที่เคยได้ยินมาหลาย ๆ ที่ และที่ได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง

    ที่ดินบางแห่งที่มีต้นไม้ใหญ่ ใกล้แหล่งน้ำ มักจะมีเจ้าที่เป็นพญานาค หากเราต้องการเข้าไปสร้างที่อยู่อาศัยในที่ดินนั้นจริง ๆ ไม่ควรตัดต้นไม้ใหญ่นั้น และเราควรเคารพ บูชา เจ้าที่ด้วยครับ

    อนุโมทนากับคุณ pasaway007 ที่นำเรื่องราวตำนานพญานาคมาให้อ่านกันครับ (b-smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...