เจริญมรณะสติ รบกวนผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ด้วยค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย gaiou419, 30 กันยายน 2011.

  1. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันได้คิดอย่างประมาทไปจริงๆด้วย มัวแต่คิดว่าสัก 70
    หากมันเกิดก่อนก็คงไม่ทันทำอะไรเป็นแน่ จะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ค่ะ
    วันนี้ระหว่างทำงานก็นึกถึงคำว่า "เมื่อไหร่จะตายหนอ" ก็เป็นแง่คิดที่
    ใหม่มากสำหรับดิฉัน ไม่น่าเชื่อว่าแค่กลับเปลี่ยนคำถาม ก็ได้แง่คิดและ
    อารมณ์ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับการที่ปรกติเฝ้ารอมันอย่าง
    หวาดกลัว ว่าจะมาเคาะประตูบ้านเมื่อไหร่ กับการออกไปยืนหน้าปาก
    ซอยเพื่อชะเงื้อมองดูเขาว่ามาหรือยัง
    คนทั่วไปรอคอยความสุขจากการมีคู่ อยากจะหนีจากความเหงา
    ว้าเหว่ เขารำพึงกับตนเองว่า "เมื่อไหร่จะมีแฟนสักทีหนอ"
    หากเราสามารถรำพึงกับตัวเอง ด้วยอารมณ์เดียวกันนี้ คือรอคอย
    อยากให้มาถึงเร็วๆ อย่างคาดหวัง สบายๆ "เมื่อไหร่จะตายหนอ"
    อันหลังนี้สมหวังแน่นอน เพราะคู่ มาหรือไม่ ก็ไม่แน่ ดีหรือเลว
    ก็ไม่แน่ แต่ความตายมาแน่นอน เราจะไม่ผิดหวังกับเขา เพราะเขาไม่
    เคยทำให้ใครผิดหวัง
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ ความตายไม่เคยโกหกเราครับ เมื่อเห็นดั่งนี้จะเห็นชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างครับ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ทำปัจจุบันกรรมให้ดีที่สุด ไม่มีอดีตและอนาคต วิชาของพระพุทธเจ้าเน้นเรื่องปัจจุบัน ระลึกความตายเพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาทและหลงทาง กล้าหาญที่จะตายในทุกขณะจิต

    ทีนี้ก็ไปคิดต่อว่าจะตายแบบไหน เตรียมดีไซน์ล่วงหน้าได้เลย การดีไซน์ก็ต้องเริ่มจากการสร้างเหตุปัจจัยของปัจจุบันอันจะนำไปสู่อนาคต ละเว้นกรรมชั่ว ทำกรรมดีให้ถึงพร้อม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ดำรงค์ชีวิตอยู่ด้วยความสันโดษ รับรองตายแล้วสบายไม่ไปอบายแน่นอน
     
  4. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ผมชอบใจและเคยใช้อยู่สี่แบบ ลองดูนะครับ

    โควต้าลมหายใจ
    แต่ละคนที่เกิดมามีโควต้าลมหายใจเข้าออก แต่ไม่มีใครทราบว่าแต่ละคนมีโควต้ากี่ครั้งจนถึงวันตาย ก็แล้วแต่บุญบาปกำหนด แต่ความจริงก็คือเราเข้าใกล้ความตายไปอีกครั้งเมื่อหายใจเข้า เราเข้าใกล้ความตายไปอีกเมื่อหายใจออก โควต้าหายใจมันหมดไปเรื่อยๆ มันหมดไปเลยไม่มีวันเรียกกลับมาได้อีก วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายก็ได้ที่เราจะมีโอกาสได้หายใจอีก

    ตายต่อหน้าต่อตา
    เวลาเราเห็นคนโดดตึกตายลงมาต่อหน้าเรา เรารู้สึกว่าทั้งน่ากลัวและสังเวชใจกับชะตากรรมของเค้า แต่เราต่างกับเขาตรงไหนหรือ ร่างกายมันก็ตายไปทีละลมหายใจเข้าออกต่อหน้าต่อตาเรา เราไม่สังเวชตนเองหรือที่หลงโง่ต้องเกิดมาเพื่อเจอการตายต่อหน้าต่อตาแบบนี้หรือ

    ชีวิตคือรัสเซี่ยนรูเล็ต
    น่ากลัวมั๊ย ถ้าชีวิตใครสักคนจะเกิดมาแล้วโดนบังคับให้ต้องเล่นรัสเซี่ยนรูเล็ตทุกวัน วันละหลายๆรอบ มันน่ากลัวจนแทบจะบ้าเลยไหม ที่เราไม่รู้ว่า การลั่นไกปืนครั้งไหน ของวันไหน จะเป็นครั้งที่เจอลูกกระสุนบรรจุอยู่พอดี แล้วเราก็โดนยิง เราก็ตาย

    ชีวิตเราที่เกิดมา ก็ไม่ต่างอะไร เราทุกคนก็โดนกรรมบังคับให้ต้องเล่นรัสเซี่ยนรูเล็ตกับมันอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เราไม่มีวันรู้เลยว่าเราจะตายหลังหายใจครั้งไหน เราจึงอาจจะตายวันนี้ก็ได้
    แล้วเราไม่สังเวชตนเองกับการเกิดมาแบบนี้หรือ เรายังอยากโง่เกิดต่อไปเพื่อมาเจอชีวิตที่น่ากลัวแบบนี้อีกหรือไง

    การตายใครว่ายาก
    เราคิดว่าการตายยากนักหรือไง จริงหรือที่แก่ตายที่โรงพยาบาลกันหมดทุกคน
    บางคนเดินๆอยู่เป็นลมตายก็มี
    บางคนเดินสะดุดอะไรหน่อย วูบตายไปเลยก็มี
    บางคนหัวใจวายตายขณะทำงานก็มี
    บางคนเบ่งอุจจาระตายไปเลยก็มี
    บางคนนอนหลับเพลียไหลตายไปก็มาก
    หลายคนตายแต่ตอนเด็ก
    หลายคนตายตอนเป็นหนุ่มสาว
    หลายคนตายตอนวันกลางคน
    การตายจึงไม่ใช่เรื่องยาก เกิดได้ง่ายๆ เกิดได้ทุกอิริยาบถ
    เราแน่ใจหรือว่าจะตายตอนแก่
    เราอาจอยู่ไม่ถึงนาทีข้างหน้าก็ได้ !


    ลองดูนะครับว่าแบบไหนที่ถูกใจเจ้าของกระทู้
    แต่ในทุกแบบให้ลงท้ายมรณานุสสติด้วย พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ แล้วสรุปด้วยอุปสมานุสสติ คืออารมณ์จบกิจตัดอวิชชา

    โดยคิดต่อจากมรณานุสสติไปว่า เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ แต่เรารู้ว่าเราเคารพจริงในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เรารู้ว่าเราไปดีแน่ เราจึงไม่มีอะไรต้องกลัวตาย ที่เรารู้ว่าเราไปดีแน่เพราะตอนนี้เราไม่ได้มีใจคิดประทุษร้ายใครเลย เรามีแต่ความเห็นใจที่ทุกคนต้องเกิดมาเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับเรา เราเห็นทุกข์โทษของการเกิดมาเพื่อตายแล้ว การตายครั้งนี้จึงจะเป็นการตายครั้งสุดท้ายของเรา เราไม่ต้องการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีการตายเป็นสมบัติอันน่าสังเวชแบบนี้อีก ถ้าตายตอนนี้ได้ก็ดีเราจะได้หมดกังวลไปนิพพาน แต่ถ้ายังไม่ตายก็ช่างมัน อีกไม่นานมันก็ตายแน่ เราก็แค่อยู่ไปวันๆ มีโอกาสเราก็ทำความดีตอบแทนคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ประเทศชาติ ผู้มีพระคุณเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพานจุดเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  5. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    รู้สึกว่าจะเป็นรูปแบบความคิดที่ทำให้กลัว กลัวจนชินไปเลย ดิฉันว่า
    เข้าท่าดี โดยเฉพาะรัสเซี่ยนรูเล็ต มันเห็นภาพดีว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้
    จะลองเก็บไปต่อจินตนาการดู ขอบคุณมากค่ะ
     
  6. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ไม่หายใจออก ก็ตาย

    ไม่หายใจเข้า ก็ตาย

    ตอนนี้เราก็ตายผ่อนส่งทุกวัน ร่างกายตอนเราเป็นทารก หายไปไหน ตายไปแล้วใช่ไหม

    สัตว์ที่เรารักมากที่สุดก็ตาย ต้นไม้ก็ตาย น้ำเน่า(ตายเหมือนกัน)

    บางคนเน่า แต่ยังไม่ตาย แต่ตายทั้งเป็น ...อากาศหน้าร้อน พอหมดหน้าร้อน ก็เข้าหน้าฝน หน้าหนาว แต่ละฤดู เกิดดับ ๆ หมุนวนกันไปทั้งหมด เรียกว่าตาย แล้วเกิด แล้วตาย ได้ไหม


    ค่อย ๆ ดูสิ่งรอบ ๆ ตัวไปจะเห็นทุกอย่างมันตายเหมือนกัน แล้วค่อย ๆ พิจารณา

    แม้แต่ความรัก มันก็มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน โทสะ ก็เหมือนกัน ทุกอย่างตายหมด

    การตายเป็นแค่การเปลี่ยนสภาวะหนึ่ง ไปอีกสภาวะหนึ่งเท่านั้น

    การที่คิดว่า ยังไงก็ต้องตาย กับการที่จิตยอมรับว่า ยังไงก็ต้องตาย มันต่างกัน
     
  7. youngzu

    youngzu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +20
    หลวงพ่อวิริยังค์ท่านสอนว่า เมื่อจิตนิ่งให้โยนคำถามว่า "ใครคือผู้รู้" ทำแบบนี้ทุกครั้ง คำตอบจะออกมาเอง ครูสมาธิในสถาบัน บางท่านโยนคำถามก่อนนั่ง เมื่อนั่งและจิตนิ่ง คำตอบที่สงสัยหลายๆอย่างจะออกมาเอง ตำราทางตะวันตกกล่าวว่า "ห้องสมุดแห่งจักรวาลจะเปิด"
    ผมได้คำตอบหลายๆอย่างจากการนั่งสมาธิครับ "เป็นเรื่องแปลกแต่จริง"

    ขอให้ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยนะครับ

    "นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภาติ" แสงสว่างอันใด เฉิดฉายเกินกว่าปัญญานั้นไม่มี
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....ถ้าจำแนกให้ถี่ถ้วนแล้ว มรณะสติ กับ กายคตาสติ..เป็นการระลึกรู้คนละอย่างกันครับ...............................กายในกายตามมหาสติปัฎฐาน รวมเอา อานาปานสติ --อริยาบถคือกายเมื่อเดินอยู่รู้ชัดว่าเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่รู้ชัดว่าเรายืนอยู่เป็นต้น---สัมปชัญญะ(รู้ตัวทั่วพร้อม)ในการก้าว ในการถอย เป็นต้น--มนสิการในสิ่งปฎิกูล(ในกาย)----มนสิการในธาตุ(ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ)---หมวดนวสีวถิกา(พิจารณาซากศพ ตายวันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง เป็นต้น):cool:
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ส่วนมรณะสติ นั้น มีพระวจนะ----พระสูตร--" สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ร ปราสาทสร้างด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณสติ อันภิกษุเจริยแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงค์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ก็มรณะสติอันภิกษุเจริยแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงค์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันผ่านไป กลางคืนย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า....เหตุแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเรา แมลงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลง อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อย ดีของเราพึงกำเริบ เสมหะของเราพึงกำเริบ หรือลมพิษเพียงดังศาสตราของเรากำเริบ เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจาณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมอันเป้นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืน มีอยู่หรือหนอ?...ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้กระทำกาละในกลางคืนยังมีอยู่ ภิกษุนั้นพึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติ สัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้น................เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าโพกศรีษะถูกไฟไหม้ หรือมีศร๊าะถูกไฟไหม้ พึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับผ้าโพกศรีษะหรือศรีาะนั้น ฉะนั้น ....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันพึงจะเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืนไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปิติและปราโมทย์ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เถิด................ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางคืนผ่านไป กลางวันย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เหตุแห่งความตายของเรามีมาก หนอ คืองูพึงกัดเราแมลงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลง อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อย ดีของเราพึงกำเริบ เสมหะของเราพึงกำเริบ หรือลมที่ีมีพิษเพียงศาสตราของเราพึงกำเริบ เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา ............ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวันมีอยู่หรือหนอ ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้กระทำกาละในกลางวันยังมีอยู่...ภิกษุนั้นพึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าโพกศรีษะถูกไฟไหม้ หรือมีศรีษะถูกไฟไหม้พึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟที่ผ้าโพกศรีษะ หรือที่ศรีษะนั้น ฉะนั้น ............ดูก่อนภิกาุทั้งหลาย ก้ถ้าภิกษุพิจาณาอยู่ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป้นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวันไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มี ปิติ และ ปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลายทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เถิด...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มรณะสติอันภิกษุเจริยแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงค์มากหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด---ทุติยมรณัสติสูตร--(พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม 36 หน้าที่575...:cool:น่าสนใจตรงที่ว่า ภิกษุพึงเป็นผู้มีปิติและปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งกลางวันกลางคืนอยู้่
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ........มรณัสติสูตร กล่าวเรื่องความไม่เนิ่นช้า ในความไม่ประมาทในการปฎิบัติภาวนา เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ...:cool:
     
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ผมต้องขออภัยเพื่อนหลายท่านที่โพสมาล่วงหน้า
    ผมจะพยายามอ่านนะขอรับ

    ทำไมต้องบอกว่ากายตาย
    กายนี้มีกายเดียวคือชืวิตในความหมายหรือไม่อย่างไร

    ทุกอย่างตายทุกขณะ
    ทุกอย่างคืออะไร

    กายหรือตอนนี้.........กลาย........ไปเสียแล้วไม่เหมือนวินาทีก่อน
    เวทนา....ความรู้สึกตายคือความรู้สึกวินาทีก่อนกาลก่อนเวลาก่อนไม่เหมือนปัจจุบันนี้เสียแล้ว
    เรารู้สึกหนาวมาตั้งแต่หน้าหนาวปีที่แล้วยังไม่หายหรือไม่

    จิตเราคิดถึงเขาคิดถึงแข้งถึงขาทุกลมหายใจไม่ตายหรือไม่

    ธรรมมะเป็นอกาลิโกขึ้นกับเหตุและปัจจัย

    อะไรเที่ยงแท้ถา..................วังวิงวงวรณ์
    หากมีวรณ์แล้ว
    นิวรณ์
    อาวรณ์
    เราจะตัดอะไรลงไปได้กระทั่งผมเส้นเดียวก็ไม่ตัด

    กายบ้าง
    เวทนาบ้าง
    และต่อไปเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่อย่างไรขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มรณะสติ
    มรณะกาย
    ขอบพระคุณท่านยิ่งแล้ว
    ขนาดกายตายแล้วสติยังมีเหลืออยู่หรือไม่อย่างไร

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...