จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    อารมณ์พระอนาคามีและอารมณ์พระอรหันต์

    หลวงปู่ครูบาพรหมจักร ท่านก็เมตตาสอน เรื่องอารมณ์พระอนาคามีและอารมณ์พระอรหันต์ให้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. ในสายตาของพระอรหันต์นั้น ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่สวยไม่งามมาแล้ว ในสมัยที่ผ่านอารมณ์พระอนาคามีมาแล้ว เห็นรูป รูปก็ไม่เที่ยง แม้เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็ไม่เที่ยง สิ่งเหล่านี้อาศัยร่างกายมีอายตนะสัมผัส จึงรับรู้ได้ว่าสิ่งกระทบภายนอกเข้ามาเป็นอย่างไร เช่น ตาเห็นรูป เป็นต้น แต่รูปก็ไม่เที่ยง สวยก็สวยไม่จริง รูปเคลื่อนไปทุกขณะ หูก็ได้ยินเสียง เสียงก็เสื่อมลงไปทุกขณะ จมูกได้กลิ่น กลิ่นก็ไม่คงที่ ลิ้นสัมผัสรส รสก็ไม่เที่ยง หลุดจากโคนลิ้นไปก็หมดรส สัมผัสระหว่างเพศก็ไม่เที่ยง ล่วงเข้ารูทวารไปน้ำกามหลั่งก็หมดสัมผัส สิ่งเหล่านี้อาศัยร่างกายเป็นอายตนะสัมผัสทั้งสิ้น

    ๒. ทวารทั้ง ๖ ของร่างกาย มันก็เสื่อมอยู่ตลอดเวลา ตาก็เดินเข้าไปหาความเสื่อม หูก็เดินเข้าไปหาความดับ จมูกก็เช่นกัน เดี๋ยวเป็นหวัด หายใจไม่สะดวก อายุยิ่งมากยิ่งหายใจได้น้อยเข้า ลิ้นก็เสื่อมความรู้รสน้อยลง ร่ายกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปัญญามีอยู่แล้วมันเสื่อมลงทุกวัน

    ๓. สายตาที่ท่านผ่านพระอนาคามีมาแล้วมองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่สวยขึ้นมาได้ จึงตัดกามฉันทะในกามคุณ ๕ ได้ตรงนี้ ความพอใจและไม่พอใจก็เกิด เพราะท่านเห็นธรรมซ้อนธรรม คือ ความสวยก็สวยไม่จริง ความไม่สวยก็ไม่จริง ในธรรมของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสระหว่างเพศหาสาระไม่ได้ เพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมีทั้งดีและเลว เช่นคนด่าอยู่หยก ๆ ประเดี๋ยวก็มาสรรเสริญเสียแล้ว หรือชมอยู่ดี ๆ ประเดี๋ยวก็ด่าแล้ว อารมณ์ท่านจึงวาง เพราะยอมรับกฎของธรรมดา คือ โลกนี้มีธรรมอยู่ ๒ ตัว กุสลาธัมมา กับ อกุสลาธัมมา ท่านเห็นปกติของธรรมซึ่งซ้อนอยู่ในธรรมดีก็ไม่จริง เลวก็ไม่จริง มันมีแต่ธรรมดา

    ๔. มาอารมณ์พระอรหันต์ ท่านเห็นทุกสิ่งเป็นสมมุติหมดเห็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสระหว่างเพศ เป็นเหตุสมมุติอันเกิดจากกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม จิตท่านพ้นสมมุติอันเหล่านั้น การทรงขันธ์ ๕ อยู่ ก็แค่อาศัยปัจจัย ๔ อันพึงมีความจำเป็นที่จะไม่เบียดเบียนร่างกายเท่านั้น จิตท่านพร้อมที่จะทิ้งร่างกาย อันเป็นเหยื่อสมมุติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านเห็นสมมุติที่ไม่เที่ยง แม้กระทั่งลมหายใจ เข้า – ออก จิตพร้อมที่จะไปเมื่อร่างกายหยุดลมหายใจทุกๆ ขณะจิต

    ๕. การทรงชีวิตอยู่ในสายตาของพระอรหันต์ของสวยไม่มี ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุ ท่านมองเห็นเป็นธาตุหมด อะไรจะมาติดใจท่านไม่มีเลย ไม่ติดใจแม้กระทั่งขันธ์ ๕ ของท่านเอง เห็นอะไรเป็นธรรมดาไปหมด

    ๖. ศัพท์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอแยกกายออกเป็นอาการ ๓๒ แล้ว พิจารณาเห็นความเสื่อม ความสกปรกของร่างกายได้ตามนั้น ในเมื่อชีวิตอินทรีย์ไม่สิ้นไป ก็จงรวมอาการ ๓๒ นั้น กลับเข้ามาใหม่ ทรงหมายถึงเมื่อรู้ว่ามันเสื่อมสกปรก แต่เมื่อมันยังไม่ตาย ก็อย่าไปทำลายมัน อยู่ทำความเพียรไปตามปกติ โดยยอมรับนับถือกฎธรรมดาของร่างกาย เหมือนตอนลงท้ายในมหาสติปัฏฐานสูตร คือ เธอจงอย่าสนใจในกายตนเองและในกายผู้อื่น และวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย จึงทรงสอนให้เคารพในสัทธรรม ๕ อันพึงเกิดแก่ร่างกายว่าเป็นปกติ และทรงสอนให้เราพ้นทุกข์กันที่จิต คือ พ้นเสียจากการเกาะร่างกายเสียได้ก็พ้นทุกข์

    ๗. สุขที่อิงอายตนะสัมผัสมันไม่สุขจริง ทุกข์ที่อิงอายตนะสัมผัสก็ไม่ทุกข์จริง อาการที่ร่างกายรับสัมผัสนั้น มันมีวิญญาณบอกให้รู้ สัมผัสเป็นปกติธรรมดาของร่างกายยึดไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความไม่เที่ยงเป็นปกติ แล้วในที่สุด ร่างกายมันก็ต้องตาย จิตมันออกจากร่างกายไปแล้ว อายตนะทั้งปวงก็หยุดทำงาน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จะไปติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทำไมกัน ติดอายตนะภายนอกเท่าไหร่ ก็ติดร่างกายมากเท่านั้น

    ๘. ขอให้คิดใคร่ครวญดู ทำความเบื่อหน่ายให้เกิดจริง ๆ ทำจิตให้ยอมรับกฎธรรมดา เห็นทุกข์อันเกิดจากการเกาะยึดของอายตนะสัมผัสนั้น ๆ เห็นจนให้เห็นเป็นปกติ ของสวยของดีไม่มี ของไม่สวยไม่ดีก็ไม่มี มีแต่สันตติเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ จิตมันก็จักคลายกำหนัดคือ หมดอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจลงได้ เมื่อนั้นแหละจิตเองก็จะวางจากอารมณ์คู่นี้ หรือธรรมคู่นี้ลงได้

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ไม่ว่าลูกๆจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร
    ขอให้คิดถึงพ่อนะะลูก
    แล้วพ่อจะไปหาลูกเอง
    คอยเปิดจิตรับพ่อนะลูก
    พ่อรักลูกๆ เท่ากันทุกคนนะลูก
    พ่อจะตามปกปักษ์ รักษาลูกๆ ทุกคน

    สมเด็จพ่อองค์ปฐม
     
  3. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ฮั่นแน่....ไม่ได้เข้ามาอ่านเวบซะหลายวัน หลังที่ได้โพสข้อความสุดท้าย เนื่องจากติดกิจบางอย่าง

    ต้องขออภัยที่ไม่ได้ติดตามกระทู้ ความเคลื่อนไกวตัว

    กลับมีคนนำเอา "อริยะตราตั้ง" มาประเคนให้ซะแล้ว เล่นโยนหินลงแม่น้ำ หยั่งหาความลึก กันเลยเนาะ

    ทุกอย่าง มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ทั้งในเวลา am Pm

    อยากรู้จัก สุญญตาวิหาร เหตุใดไม่ศึกษาธรรม ของพระศาสดาองค์ปัจจุบัน ล่ะครับ

    ธรรมของพระศาสดา ท่านให้ละอุปาทานขันธ์ (ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา)

    หรือใน "อนัตตลักขณสูตร" พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงการสิ้นไป

    การสละคืน ในความยึดมั่น นั้นก็คือ สุญญตาวิหาร ทั้งสิ้นล่ะครับ

    เคยได้ยินไหม คำว่า "ย่อมหน่าย" เช่นใน "อัสสุตวตาสูตร"

    หรือคำว่า "เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น ฯ" ใน "วชิราสูตร"

    นั่นเพราะ การเข้าไปยึดไปเกาะไว้ สมมุติจึงเกิดขึ้น


    คติธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านกล่าว ในเชิงอุปมาอริยสัจ4 ไว้ว่า

    "ทุกข์มี เพราะยึด
    ทุกข์ยืด เพราะอยาก
    ทุกข์มาก เพราะพลอย
    ทุกข์น้อย เพราะหยุด
    ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"


    ของเรานี่มันว่าง วางแบบไหน ว่างแบบปุถุชน ว่างแบบพระโสดาบัน
    พระสกทาคามี พระอนาคามี ความหยาบละเอียดของจิตอยู่ตรงนี้

    ดังนั้น สุญญตาวิหาร ให้เสถียรคงที่
    คุณลูกพลัง ก็ต้องถึงซึ่งพระอรหันต์ เท่านั้นล่ะครับ จึงจะไม่ไกวตัวอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อภัยทาน คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์.

    หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ ท่าสอนไว้ว่าให้นึกถึงอกเขาอกเราว่า เราต้องการความสุขอย่างใด

    เขาก็ต้องการความสุขอย่างนั้น เราเกลียดความทุกข์อย่างใด เขาก็เกลียดความทุกข์อย่าง

    นั้น สิ่งใดที่เราไม่ชอบสิ่งนั้นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน. เวลาเราพบใคร เราควรนึกว่า

    ขอให้เป็นสุขเป็นสุข ขอให้ปราศจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ขอให้มีความเจริญก้าว

    หน้าในชีวิต ในการเพียงแต่เราคิดเท่านี้ เราก็จะสบายใจแล้ว เพราะเป็นความคิดที่มีเมตตา

    ต่อเขา ถ้าเราคิดให้คนอื่นสบาย เราก็สบาย ถ้าเราคิดให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็เดือดร้อน

    เราก็มีทุกข์ เราทุกคนจึงควรอยู่ด้วยกันด้วยความรัก เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาตพยา

    บาทจองเวรแก่กันและกัน ถ้าหากเรามีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันกับใครๆ อยู่บ้าง เราก็จาก

    สิ่งนั้นไป พระพะยอม กัลป์ยาโน ท่านสอนว่า คนเราถ้ารู้จักยอมให้อภัยกัน ชีวิตจะสด

    ชื่นแจ่มใส อารมณ์จะดีทั้งตอนเช้า ตอนเพล ถึงตอนเย็นตอนค่ำก็เป็นสุขสำราญใจ

    ท่านสอนให้รู้จักหยุด รู้จักยอมกันบ้าง ถ้ายอมไม่เป็น เย็นไม่ได้. ยอมหยุดเป็นจะเย็นสบาย

    ท่านมีวาทะเด็ดเอาไว้ คนที่ไม่ยอมให้อภัย อารมณ์จะบูดแต่เช้า อารมณ์จะเน่าตอนเพล

    อารมณ์จะเหม็นตอนค่ำ.

    พระศรีญาณโสภณ ได้สอนไว้ว่า การผูกอาฆาตพยาบาท จอง เวร

    ให้ผลข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเปรียบเทียบภพชาติเหมือนคืนวัน การนอนหลับเหมือนการตาย

    การตื่นนอนเหมือนการเกิด ภพชาติก็ใกล้ตัวเราเข้ามา การผูกอาฆาตพยาบาทเหมือนการ

    เข้านอนไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หลับไม่เป็นสุข ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น

    ชีวิตคือการลงทุน ตัวชีวิตคือต้นทุน สิ่งที่ได้มาหลังจากชีวิตคือกำไรทั้งหมด

    การลงทุนให้ได้กำไร คือหัดทำความพอใจในสิ่งที่เรามี ความโชคร้ายของมนุษย์ คือการ

    ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี. เราผู้อ่านทุกท่านทุกคนโชคดีนะ ที่เกิดมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าและ

    เกิดมาในศาสนาพุทธและมี่ท่านคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอด. น่าเสียดายสำหรับผู้ที่เกิด

    มาในศาสนาพุทธแล้ว แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติตามรอยของพระองค์ท่าน. แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจ

    ก็ยังไม่สายเกินไปนะ เวลายังรอคอยและเปิดรับอยู่เสมอให้เราทำความดี ทำวันนี้ให้มีค่า

    กับตนเอง ปีใหม่นี้ก็ไม่ต้องรอให้ใครเอาของขวัญมาให้เพราะของที่เขาเอามาให้บางทีเรา

    ก็ไม่ถูกใจและไม่อยากได้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยากได้อะไร? เราอยากได้ความสุขทาง

    ใจเราได้จากลูกจากหลานมันก็เป็นความสุขชั่วคู่ชั่วยามเท่านั้น.แต่ความสุขที่เราจะเอาไป

    ได้เราต้องทำของเราเอง. การเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเราก็ต้องรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะ

    ได้ความสุขที่แท้จริง ท่านก็สั่งสอนเราไว้แล้วขอให้เรานำปฏิบัติเท่านั้นเราก็จะได้รับ

    ความสุขที่แท้จริง.ก็ขอฝากให้กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ ขอให้ทุกท่านค้นพบความสุขอย่างนี้

    โดยเร็ววัน นี่คือของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๖ ขอมอบให้กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านอ่านแล้วขอให้

    ทุกท่านมีสติ มีปัญญา ค้นหาความสุขที่แท้จริงให้พบ เพื่อการก้าวเดินเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ ทุกคน

    ทุกท่านเทอญ. นิพพานังปรมังสุขัง.






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  5. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/HfHvTA0Q064" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/oIpLrFqpcYs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/_6YJcII1G9Y" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การให้ธรรมยิ่งกว่าให้ทั้งปวง

    แต่ยิ่งกว่าการให้ธรรม คือการรับธรรมและปฏิบัติธรรม

    และได้เป็นผู้มีธรรมเป็นของตนจริงๆ

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านได้ให้ธรรมะนี้ไว้.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  8. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ‎"จักหาธรรมอันใดในปริยัติ หากจิตเจ้าไม่ปฏิบัติเอง?
    จักหาธรรมอันใดในปริยัติ หากจิตเจ้าไม่เข้าถึงเอง?"

    (ธรรมะจากพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์)


    [​IMG]
     
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    กรรมฐานรูปปั้น หินทับหญ้า

    ผู้ถาม : ฝึกกรรมฐานทำอย่างไรให้จิตนิ่ง จิตนิ่งแล้วผมควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ?
    หลวงพ่อ : ฝึกกรรมฐานต้องการให้จิตนิ่งคือเราเป็นรูปปั้นเสีย ถ้าไม่ปั้นไม่หล่อจิตมันไม่นิ่ง(หัวเราะ)

    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจ

    พระพุทธเจ้าเมื่อทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่นิ่ง เวลาตอนเช้ามืด ตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์ ว่าใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ก็ต้องคิดใช่ใหม
    เวลาสว่างขึ้นมาก็บิณฑบาต เวลาตอนสายขึ้นมาก็ฉันข้าว ฉันเสร็จก็เทศน์ จิตก็ไม่นิ่ง แล้วก็ตอนหัวค่ำ ตอบปัญหาเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์
    สองยามไปแล้วก็ตอบปัญหากับพรหม ท่านก็ไม่นิ่ง ถ้าต้องการให้จิตนิ่งจริงๆ ก็ใช้สติ๊กนินนะเป็นกรรมฐานกองที่ ๔๑

    ไอ่คำว่า ”จิตนิ่ง” นี่มันไม่มี อย่าลืมนะ จิตของปุถุชน คนที่ทรงฌานจิตเข้าถึงฌาน ๔ ก็ไม่นิ่ง อารมณ์มันทรงตัว
    คำว่า “อารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์” นี่มันไม่นิ่งนะ มันจับอารมณ์อย่างเดียว เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ไม่นิ่ง
    เพราะจิตมันอิ่มด้านกุศลอย่างเดียว เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่นิ่ง จิตอยู่ในมหากรุณาธิคุณ

    คำว่า “ นิ่ง ” หมายความว่า จิตนิ่งจากอกุศล คือไม่คิดชั่ว คิดดีอย่างเดียว เข้าใจไหม นิ่งจากอกุศล คือไม่นิ่งในเรื่องของกุศล.

    ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๐ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๐ หน้าที่ ๗๙ - ๘๐. ถอดความโดย ศรีโคมคำ.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  10. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    แวะมาแซวท่านพี่... ปริยัติท่านแน่นดีนะคะ คิคิ
    น้องขอเสิร์ฟน้ำเย็นๆ ต้อนรับท่านพี่ และทุกๆ ท่านนะคะ
    และ "สวัสดีปีใหม่" ค่ะ


    [​IMG]

    [​IMG]

    ...​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    เก็บมาฝากจากสิ่งที่อยู่ในจิต...




    เรื่องของจิตมันไม่มียาก ไม่มีง่าย
    แต่ที่เราคิดว่าเราปฏิบัติได้ยาก เพราะเราไปยึดกับสิ่งสมมุติ
    เมื่อเราเกิดมาหลายภพชาติ กลิ่นกิเลสมันก็ย่อมติดจิตมาอยู่เสมอ
    เหมือนใบตองที่เคยห่อปลาเน่า มันจึงมีกลิ่นอยู่นั้นแล

    นิพพานไม่ใช่มีไว้ให้พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างเดียว
    นิพพานไม่ใช่ของยาก แต่ก็ไม่ใช่ของง่าย
    มันจึงขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
    ไม่ใช่เปลือกหรือของสมมุติที่เขาไปบอกว่า
    นิพพานเป็นเช่นนู้น เช่นนี้เลย

    หากอยากสัมผัสนิพพานแบบหยาบๆ ในแต่ละวัน
    ก็ขอแค่เราอยู่กับความนิ่ง ความว่างให้ได้บ่อยๆ ก็เท่านั้น
    แต่กว่าจะนิ่ง จะว่างได้ เราก็ต้องฝึกให้จิตปล่อยวาง
    หรือหาที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวดีๆ มาให้จิตได้หยุดพัก

    สำหรับจิตเกาะพระนั้น คือใช้ภาพพระเป็นสื่อ ให้จิตไ้ด้เข้าหาพระอยู่เนืองๆ เท่านั้น แต่การที่จะนิ่งได้นั้นคือจิตต้องอยู่กับพระให้ได้บ่อยๆ ก็เท่านั้นเอง

    แก่นของการฝึกมันไม่มีอะไรมาก
    ก็แค่ทำยังไงให้จิตเราอยู่กับพระให้ได้ตลอดเวลาเท่านั้นเอง

    ถ้าเราทำไ้ด้แล้ว ก็เปรียบเสมือนเรือที่มีหลักพักให้หยุดพักในทะเลแห่งกิเลส ทะเลแห่งโลก แห่งการเกิด-ดับนั้นเอง

    เมื่อจิตเราได้หยุดพัก เราก็จะเริ่มเรียนรู้กิเลสในจิตตนเองได้
    ซึ่งเราจะเรียนรู้กิเลสตนได้จิตต้องนิ่ง
    โดยในการฝึกนี้คือฝึกจิตให้อยู่กับพระจนนิ่ง พอนิ่งก็ดูกิเลสตนได้ และวางกิเลสได้

    จะมองให้ยากก็ได้
    จะมองให้ง่ายก็ได้
    แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ การลงมือทำนั่นล่ะ แล้วมันจะไว
    ถ้าไม่ลงมือ มันก็ยังช้า และติดอยู่กับความยากอยู่อย่างนั้นล่ะ
    เพราะจิตมันไปยึดว่าความยากเป็นของตน...​


    [​IMG]
     
  12. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เรื่องของจิตมันไม่มียาก ไม่มีง่าย
    แต่ที่เราคิดว่าเราปฏิบัติได้ยาก เพราะเราไปยึดกับสิ่งสมมุติ
    เมื่อเราเกิดมาหลายภพชาติ กลิ่นกิเลสมันก็ย่อมติดจิตมาอยู่เสมอ
    เหมือนใบตองที่เคยห่อปลาเน่า มันจึงมีกลิ่นอยู่นั้นแล

    นิพพานไม่ใช่มีไว้ให้พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างเดียว
    นิพพานไม่ใช่ของยาก แต่ก็ไม่ใช่ของง่าย
    มันจึงขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
    ไม่ใช่เปลือกหรือของสมมุติที่เขาไปบอกว่า
    นิพพานเป็นเช่นนู้น เช่นนี้เลย

    หากอยากสัมผัสนิพพานแบบหยาบๆ ในแต่ละวัน
    ก็ขอแค่เราอยู่กับความสงบของใจ ความว่างให้ได้บ่อยๆ ก็เท่านั้น
    แต่กว่าจะตั้งมั่น จะว่างได้ เราก็ต้องฝึกให้จิตเห็นความจริง
    หรือหาที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวดีๆ มาให้จิตได้หยุดพัก

    สำหรับพุทธานุสสตินั้น หากคือใช้ภาพพระเป็นสื่อสัญญา ให้จิตได้เข้าหาพุทธานุสสติระลึกอยู่เนืองๆ เท่านั้น แต่การที่จะตั้งมั่นได้นั้นคือจิตต้องอยู่กับพุทธานุสสติให้ได้บ่อยๆ ก็เท่านั้นเอง

    แก่นของการฝึกมันไม่มีอะไรมาก
    ก็แค่ทำยังไงให้จิตเราอยู่กับพุทธานุสสติให้ได้ตลอดเวลาเท่านั้นเอง

    ถ้าเราทำได้แล้ว ก็เปรียบเสมือนเรือที่มีหลักพักให้หยุดพักในทะเลแห่งกิเลส ทะเลแห่งโลก แห่งการเกิด-ดับนั้นเอง

    เมื่อจิตเราได้หยุดพักทำความสงบของใจ เราก็จะเริ่มเรียนรู้กิเลสในจิตตนเองได้
    ซึ่งเราจะเรียนรู้กิเลสตนได้จิตต้องตั้งมั่น
    โดยในการฝึกนี้คือฝึกจิตให้อยู่กับพุทธานุสติจนจิตตั้งมั่น พอตั้งมั่นก็ดูกิเลสตนได้ และวางกิเลสได้

    จะมองให้ยากก็ได้
    จะมองให้ง่ายก็ได้
    แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ การลงมือทำนั่นล่ะ แล้วมันจะไว
    ถ้าไม่ลงมือ มันก็ยังช้า และติดอยู่กับความยากอยู่อย่างนั้นล่ะ
    เพราะจิตมันไปยึดว่าความยากเป็นของตน...

    เก็บมาฝากจากสิ่งที่อยู่ในจิต...Kim_UoonSo
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  13. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    [​IMG]

    ปีใหม่ เป็นเทศกาลแห่งการพักผ่อน,
    เทศกาลแห่้งการหยุดพัก,
    เทศกาลแห่งความสนุก เฉลิมฉลอง

    จะเทศกาลอะไรก็ช่าง แต่ที่พบเห็นบ่อยๆ ในช่วงนี้คือ
    ผู้คนมักเผลอสติไปหลงระเริงกับสีสัน หรือชีวิตที่อยู่ตรงหน้า
    โดยเฉพาะการมอมเมาตนเองให้อยู่กับสุรา อบายมุขต่างๆ
    จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ปกติ ใครๆ ก็ทำกัน

    พอหมดช่วงเทศกาล กลับมาอยู่ในโลกที่อยู่ตรงหน้า
    หน้าที่ การงาน ภาระต่างๆ หมุนกลับเข้ามาสู่จิตเราเช่นเดิม
    แล้วเราจะวาง หรือหนีทุกข์เหล่านี้พ้นได้อย่างไรหากเรายังไม่ตั้งใจที่จะเรียนรู้ หรือปรับตัว?

    ขอให้ปีใหม่นี้เป็นโอกาสที่ดีของทุกคนในการปรับปรุง
    ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงจิตของตนให้มันดีขึ้น
    อย่าไปอ่อนน้อม กับกิเลสว่าอยู่ด้วยกันมาก็นาน
    จะทิ้งมันก็เกรงใจมันเสียเหลือกันนะ
    เพราะด้วยว่าใครๆ ก็มีกิเลสกันน่ะ

    มันมีกันทุกคนแหล่ะแต่ใครพร้อมที่จะเรียนรู้
    เริ่มต้นใหม่ในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นการตั้งใจที่ดี

    อย่าเป็นพวกบ้าบุญ บ้าการปฏิบัติธรรมไปจนเกินเหตุ
    หลงในเปลือก ก็ย่อมไม่เข้าถึงแก่นนะ

    ปีใหม่นี้ก็ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ กันทุกท่าน
    ท่านทำดี ท่านก็จะได้ดีในที่สุด
    แม้ว่ามันจะช้า แต่ถ้าท่านศรัทธาในความดีของตน
    จิตท่านก็จะทุกข์น้อยลงเช่นกัน

    "สวัสดีปีใหม่"




    ปล 1. แวะมาส่งธรรมะให้ชื่นจิตเลี้ยว หมูขอไปวิ่งเล่นก่อนนะคะ..แฮ่..
    ปล 2. กระทู้เป็นอะไรง่ะ ทำไมโพสท์ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง... T^T
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  14. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    พรปีใหม่ ๒๕๕๖

    วันเวลา ...ผ่านไป ...ไม่หยุดนิ่ง
    สรรพสิ่ง ...เปลี่ยนไป ...ดังได้เห็น
    มีสุขทุกข์ ...พบพราก ...พาลำเค็ญ
    เกิดดับเป็น ...ไปตาม ...เหตุปัจจัย

    ได้เรียนรู้ ...สัจธรรม ...นำชีวิต
    พร้อมกัลยา ...ณมิตร ...อยู่เคียงใกล้
    มีกัลยา ...ณธรรม ...ส่องนำใจ
    ชี้ทางให้ ...เดินตรง ...ตามองค์มรรค

    ขอเธอจง ...มุ่งไป ...ไม่ท้อแท้
    อย่ายอมแพ้ ...ต่อปัญหา ...อุปสรรค
    สร้างปัญญา ...บารมี ...ให้พร้อมพรัก
    บรรลุหลัก ...แดนทิพย์ ...นิพพานเทอญ.

    ด้วยความปรารถนาดี
    พระชาญชัย อธิปญฺโญ
    ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    รโหสัญญิกเถราปทาน

    ๑๓๕. อรรถกถารโหสัญญกเถราปทาน๑-
    ____________________________
    ๑- บาลีว่า รโหสัญญิกเถราปทาน.

    อปทานของท่านพระรโหสัญญกเถระมีคำเริ่มต้นว่า หิมวนฺตสฺสาวิทูเร ดังนี้.
    แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในภพนั้นๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานเป็นประจำเสมอ.
    ในกาลที่ว่างจากพระพุทธเจ้ากาลหนึ่ง เขาได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในมัชฌิมประเทศ เจริญวัยแล้วสำเร็จการศึกษาในศิลปะของตนแล้ว มองไม่เห็นสาระในศิลปะนั้น อย่างดีก็เพียงยังท้องให้เต็มเท่านั้น มองเห็นแต่อกุศลมีโกธะ มทะและมานะเป็นต้น. จึงละเพศฆราวาส เข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤาษี มีดาบสหลายร้อยคนเป็นบริวาร สร้างอาศรมอยู่ใกล้ภูเขาวสภะ อยู่ที่ภูเขาหิมวันต์เท่านั้นจนตลอด ๓,๐๐๐ ปี มีความคิดว่า
    เราเป็นอาจารย์ของพวกศิษย์มีประมาณเท่านี้ เป็นครุฐานียะควรแก่ความเคารพ ควรแก่การกราบไหว้โดยชอบ แต่เสียใจว่า อาจารย์ของเราไม่มี.
    จึงให้ประชุมพวกศิษย์ทั้งหมดนั้นแล้วประกาศความไม่มีการบรรลุพระนิพพานเพราะความไม่มีพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตนเองผู้เดียวนั่งในที่ลับอันสงัด กระทำความสำคัญว่าพระพุทธเจ้าไว้ในใจ คล้ายนั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าฉะนั้น เกิดความปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ นั่งคู้บัลลังก์ในศาลา กระทำกาละแล้วได้เกิดในพรหมโลก.
    ในชาตินั้น ท่านอยู่ได้นานเพราะมีฌานเป็นประธาน ในพุทธุปบาทกาลนี้ได้บังเกิดในเรือนอันมีตระกูล มีความเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย พอมีอายุได้ ๗ ปีก็บวช พอปลายมีดโกนจรดที่ผมเท่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ ระลึกถึงบุพกรรมของตนได้ด้วยปุพเพนิวาสญาณ เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า หิมวนฺตสฺสาวิทูเร ดังนี้.
    บทว่า วสโภ นาม ปพฺพโต ความว่า ภูเขาที่ถึงการนับว่าวสภะ เพราะสูงที่สุด เพราะประเสริฐที่สุดกว่าภูเขาที่เหลือทั้งหลาย เว้นภูเขาหิมวันต์.
    คำที่เหลือในที่ทุกแห่งมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.

    จบอรรถกถาโหสัญญกเถราปทาน

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=137
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    รังสิสัญญกเถราปทานที่ ๕ (๘๕)
    ว่าด้วยผลแห่งการถวายบังคม
    [๘๗] เมื่อก่อน เราสำเร็จการอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ เรานุ่งห่มหนังสัตว์อยู่ในระหว่าง
    ภูเขา เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ ดุจพระอาทิตย์
    แผดแสง เสด็จเข้าป่า งามเหมือนพระยารังมีดอกบาน จึงยังจิตให้เลื่อมใส
    ในรัศมีแล้วนั่งกระโหย่ง ประนมอัญชลี ถวายบังคมแด่พระผู้มีพระภาค
    พระนามว่าวิปัสสี ด้วยเศียรเกล้า ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำ
    กรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญา
    ในรัศมี
    คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
    เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระรังสิสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
    จบ รังสิสัญญกเถราปทาน.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=32&A=3055&Z=3066
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    [​IMG]

    โอ้ ต้นไม้ใหญ่ หากเจ้าขาด เปลือก กระพี้ สะเก็ด ที่ห่อหุ้มแก่น

    เจ้าคงเป็นต้นไม้ ที่เป็นร่มเงาไม่บริบูรณ์ เพราะขาดท่อลำเลียง ที่รอยืนต้นตาย

    http://www.watisan.com/images/awb_image262255282705.jpg
     
  18. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะภายนอกนั้นมีมากมายหลากหลาย
    ดูมาก รู้มาก จนงง พาลปวดหัว
    หาธรรมะภายในจิตของตนดีกว่า(ไหม๊?)
    ธรรมะเบาๆ ไม่ต้องสูงส่งมากหรอก
    ธรรมะที่ผุดออกมาจากภายในจิตของตนเอง คือ ธรรมะที่มาจากปัญญาของตนเอง
    ธรรมะภายนอกนั้น ล้วนแต่ปัญญาของผู้อื่นทั้งนั้น

    แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า อันตัวเรานั้น มีปัญญาเป็นของตนเอง(หรือไม่?)
    จาก..ธรรมะชาวบ้านๆ แต่เน้นแก่น เปลือกก็เอาเหมือนกัน แต่เอาไว้ต้มกินเป็นยาทาน

    ปล.ขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณสุญญตวิหาร และคุณสารี...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2012
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    แต่ เอ้....ในกระทู้นี้ ผมก็เห็นมีแต่สมาชิก ชอบนำธรรมะ มาโพสออกบ่อยนี่ครับ

    ไม่จะเป็นธรรมะจากครูบาอาจารย์ ซึ่งก็เป็นธรรมของท่านผู้รู้ที่ผ่านการปฏิบัติมาจริง

    หากผู้มีธรรมภายใน ก็ย่อมไม่ผุด ให้พาลปวดหัว จนงง ไม่ส่งจิตออกนอกไปกับสิ่งภายนอกอยู่แล้ว

    คนๆนั้น จะดีเสียอีกว่า ให้ได้พิจารณาในความหลากหลาย

    พร้อมกับยืนอยู่บนหลักรากฐานอันมั่นคง เพื่อจะจับ...เหี้ย (ไม่ใช่คำหยาบ)

    <IMG src='http://www.taradpra.com/UserProfile/chunsaiha/picture/Pic_923743_1.jpg' width=250>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...