คนที่ชอบแดกดันคนปฎิบัติธรรม บาปแค่ไหน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Thanks-Epi, 29 ธันวาคม 2012.

  1. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    1.การแดกดัน เป็นแค่ วจีกรรม ถือว่า ไม่บาปมากใช่หรือเปล่า มักชอบฟุ้งซ่าน คิดจินตนาการ ผูกเรื่องการปฎิบัติธรรม(ของเรา) ไปต่างๆ นาๆ เช่น จะเหาะได้บ้าง บอกหวยได้ยัง เพี้ยน ฯลฯ บางครั้งเรานั่งเพื่อบรรเทาโรคกรรม จะได้หมดกรรมเร็วๆ แอบอ่านเรื่องปัจจัตตัง ที่เราคุยกับญาติธรรม แล้วก็ตีความไปต่างๆนาๆ
    หรือแม้กระทั้งชื่อเวป พลังจิต ก็หาว่า คำว่า ชื่อเวปพลังจิตนั้นเพี้ยนแล้ว เป็นที่รวมของคนเพี้ยน

    การกระทำแค่นี้ ยังถือว่า เป็นแค่วจีกรรมอยู่ เขาจะได้รับผลอย่างไร ไม่มากใช่หรือเปล่า

    2. คนเดียวกันนี้ เคยเกือบทำอนันตรกรรมได้สำเร็จหลายครั้งแล้ว (ย้ำว่าหลายครั้ง โดยมีแรงสนับสนุนจากคนในเขาเอง วิ่งเอาอีโต้ไล่ฟันพ่อ แต่พ่อเขาหลบทัน ) ซึ่ง เราเองก็มองอยู่ว่า เขาทำกรรมดีอะไร ถึงกรรมนี้ถึงยังไม่ส่งผลเสียที

    เคยหัวเราะว่า "ไม่มีอะไรทำเขาได้หรอก"

    จนวันนึงเราโมโหมาก เลยตอบว่า "กฎแห่งกรรมไง"

    3.การสั่งให้เราเอาพระพุทธวางหน้าส้วม บาปแค่ไหนคะ ส่งผลอย่างไร (จนเราคิดว่า คนที่ไม่มีความศรัทธา ก็เลยไม่บาปหรือเปล่า ) เขาอาจจะเป็นพุทธแค่ในบัตรประชาชนก็ได้

    บ้านเราเลยไม่มีพระพุทธมาประมาณ 8 ปี จนเพิ่งหาตู้กระจกได้เลยอนุญาต เพิ่งได้ไหว้พระมาประมาณ 1 ปีเอง (ช่วงที่เราปฎิบัติธรรม เราอธิษฐานไปด้วย ว่าเราอยากไหว้พระ )

    4. หรือคนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อพุทธศาสนา จึงไม่บาปเท่าไหร่
     
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    1.การแดกดัน เป็นแค่ วจีกรรม ถือว่า ไม่บาปมากใช่หรือเปล่า มักชอบฟุ้งซ่าน คิดจินตนาการ ผูกเรื่องการปฎิบัติธรรม(ของเรา) ไปต่างๆ นาๆ เช่น จะเหาะได้บ้าง บอกหวยได้ยัง เพี้ยน ฯลฯ บางครั้งเรานั่งเพื่อบรรเทาโรคกรรม จะได้หมดกรรมเร็วๆ แอบอ่านเรื่องปัจจัตตัง ที่เราคุยกับญาติธรรม แล้วก็ตีความไปต่างๆนาๆ
    หรือแม้กระทั้งชื่อเวป พลังจิต ก็หาว่า คำว่า ชื่อเวปพลังจิตนั้นเพี้ยนแล้ว เป็นที่รวมของคนเพี้ยน

    การกระทำแค่นี้ ยังถือว่า เป็นแค่วจีกรรมอยู่ เขาจะได้รับผลอย่างไร ไม่มากใช่หรือเปล่า

    บาปแน่นอนครับ แต่จะบาปมากหรือบาปน้อยขึ้่นกับเจตนาของเค้า และความเข้มข้นของเจตนาด้วย

    นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับระดับของการปฏิบัติธรรมของผู้ที่เค้าแดกดัน ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเป็นผู้ทรงคุณ อย่างน้อยทรงฌานสมาบัติ หรือ เป็นพระอริยบุคคล ก็บาปมากเป็นทวีคูณ

    และถ้าการแดกดันนั้น ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติท้อถอย จนเลิกปฏิบัติไปเลย โดยส่วนตัวคิดว่าบุคคลผู้นี้จะไม่มีปัญญาเข้าถึงการปฏิบัติไปอีกหลายกัลป์


    2. คนเดียวกันนี้ เคยเกือบทำอนันตรกรรมได้สำเร็จหลายครั้งแล้ว (ย้ำว่าหลายครั้ง โดยมีแรงสนับสนุนจากคนในเขาเอง วิ่งเอาอีโต้ไล่ฟันพ่อ แต่พ่อเขาหลบทัน ) ซึ่ง เราเองก็มองอยู่ว่า เขาทำกรรมดีอะไร ถึงกรรมนี้ถึงยังไม่ส่งผลเสียที

    เคยหัวเราะว่า "ไม่มีอะไรทำเขาได้หรอก"

    จนวันนึงเราโมโหมาก เลยตอบว่า "กฎแห่งกรรมไง"

    รอดูไปครับ กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ที่เราเห็นว่าอะไรๆ ในโลกไม่ยุติธรรมซักเท่าไหร่ เป็นเพราะเราไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมมากพอ

    3.การสั่งให้เราเอาพระพุทธวางหน้าส้วม บาปแค่ไหนคะ ส่งผลอย่างไร (จนเราคิดว่า คนที่ไม่มีความศรัทธา ก็เลยไม่บาปหรือเปล่า ) เขาอาจจะเป็นพุทธแค่ในบัตรประชาชนก็ได้

    บ้านเราเลยไม่มีพระพุทธมาประมาณ 8 ปี จนเพิ่งหาตู้กระจกได้เลยอนุญาต เพิ่งได้ไหว้พระมาประมาณ 1 ปีเอง (ช่วงที่เราปฎิบัติธรรม เราอธิษฐานไปด้วย ว่าเราอยากไหว้พระ )

    ขึ้นอยู่กับเจตนาครับ แต่ถ้าเป็นบุคคลเดียวกันนี้คิดว่าคงมีเจตนา ไม่ดี ดูหมิ่น พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน กรรมที่จะได้รับก็ไม่ต้องไปคิดมากหรอกครับ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ เค้าก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่



    4. หรือคนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อพุทธศาสนา จึงไม่บาปเท่าไหร่

    บาปไม่บาป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนับถือศาสนาไหน ไม่ใช่ว่านับถือศาสนาพุทธแล้วจะบาปมากกว่า ไม่งั้น คนจะทำบาปก็ควรจะออกจากพุทธให้หมดก่อน บาปจะได้เบาบาง

    กฎแห่งกรรมเป็นกฎของธรรมชาติ อยู่คู่กับวัฏสงสาร ไม่ว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ กฎแห่งกรรมก็ให้ผลเที่ยงแท้เสมอ ไม่ได้มีการมาถามก่อนว่า คุณนับถือศาสนา เชื่อในกฎแห่งกรรมหรือไม่

    ยิ่งผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่เกรงกลัว บาปยิ่งหนัก
     
  3. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ไม่ต้องสนใจหรอกใครจะทำอย่างไรได้ผลอย่างไรเรื่องของเขา แต่เราจะไม่ทำแบบเขาเด็ดขาด เขาเป็นบุคคลผู้น่าสงสารมากกว่าค่ะ เมื่อเรามั่นใจในดีที่เราทำ เราก็ทำของเราต่อไปเพื่อเพิ่มกำลังใจของเราให้แข็งแรงดีว่าค่ะ เมื่อมีศรัทธาและสัมมาทิฐิ เดี๋ยวสิ่งดีๆก็มีเข้ามาให้รู้เอง
     
  4. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    เคยโดนเหมือนกันค่า ช่วงแรก ใช้วิธีนิ่งๆ ไม่โต้ตอบ
    หลังๆ เลยชวนเค้ามาร่วมด้วยซะเลย
    ให้รู้แล้วรู้รอดไป :d
     
  5. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    ขออนุญาติถามนะครับ คนที่ท่าน จขกท.กล่าวถึง เขาเกี่ยวพันอะไรกับท่านหรือครับ...สิ่งที่ดีทำไปเถอะครับ ผมก็เคยโดนแต่ไม่ขนาดท่าน แต่ทุกวันนี้ก็ยังโดนบางคนค่อนแคะอยู่ ตอนหลังรู้สึกแค่เพียงว่า แค่หมามันเห่า....
     
  6. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณแทงค์อิปิ
    ...เรื่องแบบที่ว่า เราไปดูจิตคนอื่น(รู้เรื่องดีชั่วเขา) มากกว่าดูจิตตัวเอง...มีอยู่เสมอทุกๆวัน
    เรื่องกฏแห่งกรรมนั้น...เมื่อเราเผลอไปดูจิต(พฤติกรรม)คนอื่น เราก็เฝ้าสงสัยโน่น สงสัยนี่ร่ำไป.....
    ..ไม่ต้องไปสงสัยอะไรเลย ปล่อยสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม...
    ...ใครกายวาจาใจดี โน่นอยู่ในภูมิโลกเบื้องกลางและสูง(โลก สวรรค์ พรหม)
    ...ใครกายวาจาใจชั่ว โน่นอยู่ในภูมิโลกเบื้องต่ำ(เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต และนรกอีก 457ขุมโน่น(มันต้องโดนขุมใดขุมหนึ่งแน่นอน)
    นี่ ถ้าเข้าใจตามนี้ ก็จะหมดสงสัย
     
  7. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ก็คงเป็นคนใกล้ตัวมากๆ นะค่ะ เพราะถ้าเป็นคนอื่นเราคงเดินหนี ไม่ฟังฯลฯ
    เราเองจริงๆ แล้วผ่านช่วงที่ท้อสุดๆ มาแล้ว แต่ยอมรับว่า บางทีก็ดูไตรลักษณ์ไม่ไหว เครียดมาก จนลืมดูตัวเองไป เพราะด้วยความเผลอ

    เพราะลำพังกรรมเราก็หนักพอแล้ว ป่วยมาก การปฎิบัติธรรม เพื่อช่วยบรรเทากรรมของตัวเองก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้เสียเงิน รบกวนใคร
    เราก็พยายามคิดว่า ก็เพราะกรรมเราหนักไง ถึงต้องมีคนขวางไม่ให้พ้นกรรม

    แต่การอดทนปฎิบัติมาประมาณ 1 ปี ก็เห็นผลนะค่ะ โรคค่อยๆ น้อยไปทีละนิด

    เราเคยยาขาดกระทันหัน ต้องนั่งสมาธิช่วย ต้องใช้เวลามากจริงๆ ว่าจะนิ่ง (แต่เป็นวันหยุด ที่เราไม่ต้องทำงาน)
    กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก จนแม่ต้องห้ามเรานั่งสมาธิ เพื่อ เห็นแก่ครอบครัว
    แม่เราพลอยรับกรรมไปด้วยหรือเปล่าคะ ผู้ชายคนนี้ ก็ฟังเราสวดมนต์กับลูกไม่ได้ ต้องเดินหนี (จนเราต้องบอกว่า เขาผีเข้าหรือเปล่า แม่น่าจะแยกเอาเอง )

    เราก็อธิบายแม่ไม่ออกว่า สมาธิช่วยได้อย่างไร (เรื่องฌาณ คงไม่มีใครมานั่งพูดกัน)

    มีญาติธรรมบอกเราว่า ให้เราพยายามปฎิบัติไป อธิษฐานไปด้วย ถ้าบารมีสูงขึ้น ก็น่าจะเอาพระพุทธเข้าบ้านได้ และขวางการปฎิบัติน้อยลง (แต่พอดีมีอีกคนทักว่า ถ้าเขายังติดอนันตรกรรมอยู่ คงจะขวางเราอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อันนี้จริงหรือเปล่า )

    คือเรื่องปัจจัตตังไม่ควรรู้ ก็แอบอ่านเอง รับไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้นะค่ะ
    จนเพื่อนเราอีกคนถูกโทรไปด่าว่า โดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ได้คุยกันเกือบครึ่งปีแล้ว (คือมีเบอร์ค้างในเครื่อง เพราะเป็นเพื่อนบ้านกันเท่านั้น) พี่สาวเพื่อน แม่เพื่อน ก็โดนไปด้วย ซึ่งครอบครัวเพื่อน ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

    แม่เราก็บอกว่า ถ้ามันไม่ใช่เรื่องไม่ดี ก็ต้องอ่านได้สิ เพราะคนครอบครัวเดียวกัน เลยเหมือนกับว่า เขากับเป็นคนทำถูกที่ห้ามเราปฎิบัติ
     
  8. asuka

    asuka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +188
    คงเป็นธรรมชาติไปแล้วสำหรับคนที่ชอบว่า ดุด่า แดกดันคนอื่น หนูก็โดนเหมือนกันค่ะ ทั้งที่เป้นเพื่อนรุ้จักกันมา 7-8ปี แต่ก้ยังมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ดีกับเขาทุกอย่าง ของไรไม่มีใช้ก็ให้ยืม ยืมไปทำพังบ้าง ทำหายบ้าง ไม่คืนบ้าง แต่ที่น่าเสียใจที่สุดคือเอาเราไปนินทากับคนอื่น แล้วคนนั้นก็มาถามเรา เมื่อวานนี้ตอนเย้นยังเถียงว่าไม่ได้นินทา มีการบอกน้องไม่ให้พูด แต่น้องมันพูดออกมาแล้วไง พอตอนเย้นคนที่นินทาเราจากที่แข็งแรงแกล้งป่วยไปซะงั้นเลย แล้วก็ไม่พูดกับเราไปเลย ทำเหมือนโกรธเรา คิดว่าเราผิดซะงั้น(ทั้งที่เราโดนนินทาแท้ๆ) เลยคิดว่าเมื่อเราทนไม่ได้ที่จะอยู่กับคนแบบนี้ (เขาคงติดเป้นนิสัย)เราก็อยู่ให้ห่างไกลเขาดีกว่าค่ะ นี่หนูวันที่ 4ก็จะย้ายห้องออกแล้วค่ะ จากที่ทนอยุ่ห้องเดียวกันมาปีครึ่ง เพราะเราคิดว่าทนได้ คิดว่านิสัยสามารถแก้ไขกันได้ แต่จริงๆแล้ว มันแก้ไขไม่ได้จริงๆค่ะ ถ้าพี่ๆคิดว่าทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าออกห่างจากคนพวกนี้ได้ ก็ออกห่างเถอะค่ะ คนพวกนี้เขาแก้ไขลำบากจริงๆ อยุ่ไปยิ่งเสียสุขภาพจิต
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การปฏิบัติธรรม เมื่อถึงที่สุดแล้ว ขันธ์ 5 ที่ยังเหลืออยู่ของเรานี้ ก็เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว

    อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่กับใครก็อยู่ได้ ไปไหนก็ได้ ใครจะเป็นอะไร เราก็อยู่กับเขาได้ มันไม่ติดข้อง ไม่ขุ่นมัว เพราะมันเห็นความจริงของโลกแล้วว่า ทุกอย่างมันก็เป็นเช่นนั้นเอง จะสุข หรือ จะทุกข์ ก็อยู่ที่ใจเรา เห็นสภาวะแล้วปรุงแต่งออกไปจนกลายเป็นความสุข หรือ ความทุกข์ หรือเปล่า

    เมื่อฝึกจิตจนเห็นความเป็นจริงแล้วว่า การปรุงแต่งสภาวะเป็นความทุกข์ ทุกข์มันจะค่อยๆ คลายลง น้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะมันจะเห็นทุกอย่างเป็นสภาวะ รู้ เห็น ตามจริง แต่ไม่เกิดความคิดเป็นทุกข์ไปกับมัน

    เป็นกำลังใจในการปฏิบัตินะครับ ช่วงนี้เรื่องทดสอบจะเข้ามาเยอะหน่อย แต่เป็นช่วงโอกาสทองของการปฏิบัติธรรมนะครับ ถ้ากำหนดสติตามได้ตลอด ถึงทุกอย่างที่เข้ามากระทบ จะก้าวหน้าทางธรรมไปได้เร็วมากครับ
     
  10. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    เหมือนจะเป็นช่วงที่ผลกรรมมันกำลังตกตะกอน คงต้องใช้เวลาและอดทนไว้มากๆครับ
    ตอนตั้งจิตอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณหรือสัตว์โลกในทุกภพภูมิ ขั้นสุดท้ายให้ตัวเองผมใช้อธิษฐานเลยว่าขอให้บุญกุศลที่ผมได้สร้างนี้ช่วยให้ผมมีจิตสุดท้ายก่อนตายเป็นสมาธิ ให้จิตสุดท้ายก่อนตายนึกถึงบุญกุศล และให้จิตสุดท้ายก่อนตายรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนมีชีวิตอยู่เป็นทุกข์ อย่างน้อยหลังจากตายให้จิตได้ไปสุขคติ
     
  11. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้นะครับ



    ผมเองก็เจอเหมือนกัน หาว่า Acting หาว่า สร้างภาพเป็นคนดี คือเขาไม่ได้พูดกับเราตรงๆ แต่การแสดงออกเราสัมผัสได้ ว่าเขาคิดยังไง
    แรกๆ ก็คิดมาก ที่เขาแสดงออกมาเหมือนกัน

    หลังๆได้อ่านหลักจิตวิทยา บวกกับ หัดปล่อยวาง

    ก็ทำให้รู้ว่า คนเราส่วนใหญ่(ย้ำนะครับส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด)จะมองคนอื่นในแง่ลบ เห็นตัวเองสำคัญที่สุด คนส่วนใหญ่สมัยนี้มักจะมองว่า คนที่ทำตัวเป็นคนดี มักจะเสแสร้ง

    มันก็เลยส่งผลกระทบ ถึงคนที่เป็นคนดีจริงๆ ก็ถูกหาว่าเสแสร้ง

    แต่คนที่ชั่วนิดๆ เห็นแก่ตัวหน่อยๆ(ไม่มากนะ) กลับถูกมองว่า เป็นคนจริงใจ

    และคนที่ ชั่วๆนิดๆเห็นแก่ตัวหน่อยๆ แต่พยายามแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนดี โดยที่ทำความดีเพียงเล็กน้อย แต่เป็นความดีที่เจือด้วยความ หวังแอบแฝงในผลของการทำดีนั้นๆ กลับมองว่า เป็นคนดีและเป็นคนปกติ ของสังคม และคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น

    แต่คนที่ดีจริงๆ ทำดีด้วยน้ำใสใจจริง บางคนกลับโดนมองว่า เฟคหรือเปล่า
    บางทีก็เฉยๆ บางคนปฏิบัติธรรม ก็ดูเหมือนเคร่งศาสนาเกินไป หาว่าบ้าไปอีก


    ผมก็พิจารณาว่า อืม มันเป็นธรรมดาของโลก บุคคลที่ยังไม่มีปัญญา ท่านก็ยังไม่ทราบถึง ความจริงของโลก
    อยู่ในโลกที่หลอกลวง ตัวเองก็หลอกตัวเอง
    หลอกตัวเองยังไง
    ตัวอย่าง
    เช่น ใช้ชีวิต ทำบาป เจ้าชู้ประตูดิน จีบคนอื่นไปทั่ว ไม่สนใครมีลูกหรือมีผัว ทำชั่วโดยไม่คำนึงถึงว่า ตอนนี้ตนอายุเท่าไร จะตายตอนอายุเท่าไร และตอนตายจะไปไหน และมันก็ไม่แน่ว่าจะตาย วัน ตาย พรุ่ง เพราะควาตายอยู่กับเราทุกๆลมหายใจเข้า ออก
    หลอกตัวเองว่า ทำแบบนี้ไม่บาปหรอก ใครๆเขาก็มีกิ๊กกัน
    ่ฝ่ายชายไปกิ๊ก กับ ฝ่าย หญิง ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีแฟนแล้ว และ ยังไม่พอ ต่างฝ่าย ก็มี กิ๊ก เป็นของตัวเอง 3-4 คน
    มีกิ๊กไม่เลือกหน้า ขอแค่เป็นเพศตรงข้ามถือว่าใช้ได้ ไม่มีเงินไม่เป็นไร ขอแค่ดูดีหน่อย เดี๋ยวเลี้ยงได้

    ที่ผมพูดนี่หมายถึงฝ่ายหญิงนะครับ คือเอาเงินแฟน(ชาย)ตัวจริง มาเลี้ยงกิ้ก ชาย

    แถมฝ่ายหญิงนั้นยังมาทอดสะพานให้ผมอีก

    และอีกวันผมก็เห็นไปจีบ ฝ่ายชายอีกแผนกนึง

    อาจจะเพ้อมากไปหน่อย แต่นี่คือสังคมจริงที่ผมเจอ สังคมจริงในปัจจุบันที่ผมแสนจะเบื่อ


    ___________________________________________________________

    สรุปเลยนะครับ สังคมทุกวันนี้ ไฝ่แต่ทางโลกกันมากขึ้น ยึดถือ ยึดติด เห็นแก่ตนเองและพวกพ้อง

    ผมค่อยๆพิจารณาแล้วว่ามัน เป็นธรรมดาของโลก

    ถ้าเราไปยึดติด เราก็เป็นทุกข์ (แม้เราจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้นไม่ได้ แต่เราก็ไม่ยึดถือได้)

    ค่อยๆพยายามทีละนิดๆ แล้วซักวันจิตเราจะปล่อยวางได้เองครับ อย่าไปบังคับจิตมากเกินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  12. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    ูรู้ล ม หาย ใจ เข้าออก ทำอานาปาเห็นการเกิดดับ ละอกุศลในจิตทำบ่อย บ่อย
     
  13. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สำคัญที่ผู้ปฏิบัติด้วย ส่วนใหญ่ทำบุญเอา(บุญ)ก็เห็นมีมาก แต่ที่ทำบุญเอา(กาม)พวกขี้โม้ สร้างภาพก็มีเกลื่อนเมือง บางทีเห็นแล้วก็น่าหมั่นใส้จริงๆ น่ารำคาญ พวก(ปาก)ว่าอยากจบกิจเข้าพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ แต่การกระทำตรงกันข้ามกับเส้นทางของพระอรหันตขีณาสพเจ้าทั้งหลาย มันก็อดไม่ได้จริงๆ เห็นเค้าพูดเรื่อง(จบกิจพระศาสนา)เป็นเรื่องง่ายๆกันคนสมัยนี้ ก็แปลกดี พระอรหันต์ผุ้ไกลจากกิเลสในประเทศไทยมีมากแต่กว่าจะจบกิจได้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันทั้งนั้น แทบจะนับเชื่อของครูบาอาจารย์ทุกท่านเหล่านั้นได้ ผุ้ที่ชอบปฏิบัติ(ธรรม)ก็ขอโมทนาและขอส่งเสริมด้วย ส่วนพวกที่ชอบปฏิบัติ(ทำ)น่าเบื่อที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  14. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ความลี้ลับของจิต (หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม)




    ในคราวที่พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ได้อยู่ปรนนิบัติ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดธรรมสามัคคีนั้น หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโปได้รับการสั่งสอนแนะนำถึงความลี้ลับของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั่งภาวนา เมื่อเกิดเห็นนิมิตบางอย่างขึ้น แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว ขณะเมื่อเดินบิณฑบาต ก็ยังมองเห็น “สิ่งประหลาดๆ” อยู่เนืองๆหลวงปู่ตื้อ ท่านสอนสั่งในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้น ว่านิมิตนั้นจำแนกไปหลายประการ จิตของนักปฏิบัติมีหลายขั้นตอนตามนิสัยบารมีของแต่ละคน พูดถึงผู้มีสมาธิดี จิตใจบริสุทธิ์สะอาด ก็จะปรากฏนิมิตที่แจ่มใส เป็นไปด้วยอำนาจฌาน และอำนาจแห่งญาณ ตอนที่หลวงพ่อเปลี่ยน ออกเดินบิณฑบาตตามหลังหลวงปู่ตื้อ และพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านมองเห็นผู้คนในลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับที่ตาเราเห็น ตอนแรกๆ ก็คิดว่าเราไปสร้างนิมิตเอาเอง พอนานๆ ไปก็เห็นว่าเราพบเรื่องจริงเข้าแล้ว จึงได้นำมากราบเรียนปรึกษากับหลวงปู่ตื้อ แล้วท่านให้ข้อคิด ดังนี้
    ๑. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มผ้าสีเหลืองเดินเข้ามาหา แสดงว่าจิตของบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติ มีสมาธิ มีการปฏิบัติศีลอย่างสม่ำเสมอ ละเว้นจากการทำชั่ว มีใจเป็นพระ เป็นธรรม
    ๒. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มด้วยผ้าขาว แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ และมีใจเป็นเทพเทวดา
    ๓. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มเสื้อผ้าขาด ผิวคล้ำไม่มี สง่าราศี แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นตกต่ำลงไปกว่าความเป็นคน คือ มีความคิดแต่จะทำความชั่ว
    ๔. ถ้านิมิตเห็นบุคคลที่ใส่เสื้อผ้าดำสนิท จิตของเขามีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใจหยาบ ที่ต่ำไปกว่านั้น คือ จะเห็นเป็นลักษณะของเดรัจฉาน เช่น ควาย ต่ำลงไปก็เป็นสุนัข ต่ำลงไปก็เป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลาน เช่น งู เป็นต้น หลวงพ่อเปลี่ยนได้รับการบอกเล่าเช่นนี้จากหลวงปู่ตื้อ นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก

    1. หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
    อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า “หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ” “อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

    “อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

    หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

    “อีตอแหล!”

    สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน
    เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

    นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ


    2. วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อ ท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่ กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของ หลวงปู่ จึงบอกกับศิษย์ของหลวงปู่ว่า

    “ตุ๊เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”
    หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า
    “อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ ”
    คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึง ไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน
    พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้ว จึงออกมา สนทนากับญาติโยม
    คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “ อะไรดีๆ ” จาก หลวงปู่

    “ หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ “

    หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

    “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ”

    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

    “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูป จะต้องถือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ถ้าพระรูปไหนไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น เป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิเลย ”

    นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น

    3. มีบางคนคิดพิเรนเล่นแปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถึงกับเอาเส้นเกศา ของหลวงปู่ตื้อ ที่ท่านโกนทิ้งแล้ว เอาไปลองยิงดู

    ปรากฏว่า ยิงไม่ออก !

    พอลงมือยิง ปืนไม่ลั่น ก็รีบมาบอกหลวงปู่ตื้อ อีกเช่นกัน เพื่อหวังว่า จะให้หลวงปู่ชม ที่ตนเองค้นพบความมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นคุณความดี เกิดขึ้นกับตัว

    " หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ผมลองเอาปืนยิงเส้นเกศาของหลวงปู่ดู มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่ "

    หลวงปู่ตื้อ ย้อนถามเสียงดังว่า

    " ผมกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ มึงเอาผมกูไปยิงทำไม ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อกันนะสิ "

    แม้หลวงปู่ท่านจนจะกล่าวด้วยคำพูดที่ดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ แสดงชัดว่า การดุด่าของท่านมิได้เป็นไปด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็น การเตือนสติ ให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร

    4. เส้นทางเชียงใหม่ - แม่แตง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเอามากๆ แต่ก็มี รถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งผู้คนบนเส้นทางสายนี้แล้ว
    ในปีที่หลวงปู่ตื้อ กำลังบุกเบิกสร้างวัดป่า ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระในการก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมาอยู่บ่อยๆ

    พวกรถโดยสารจะชินตากับ "หลวงตา พระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขา ผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่าม เดินตามต้อยๆ "

    พวกรถโดยสารคงรำคาญ และหมั่นไส้หลวงตา พระป่ารูปนั้น เอาการอยู่ เพราะว่า "พอขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บ พระหลวงตาก็เอาเท้า ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะปั๊บ แล้วก็นั่งหลับตาปี๋ หลับเฉยโดยไม่สนใจใคร"

    ช่างน่าเบื่อหน่าย และน่ารำคาญจริง ผู้โดยสางคนอื่นๆ นั่งห้อยขา เบาะเดียวนั่งได้ ๓-๔ คน แต่หลวงตาแก่รูปนั้นนั่งเอ้เต้อยู่คนเดียว

    เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูดกึ่งขอร้อง กึ่งไม่พอใจ

    " ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น...ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ "

    " ลงบ่ได้ " หลวงปู่ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

    กระเป๋ารถเริ่มโมโห เลือดขึ้นหน้า ขณะนั้นรถกำลังตระเวนรับส่ง ผู้โดยสารตามรายทาง

    กระเป๋าหนุ่มกล่าวสบถเสียงดัง

    " มันเป็นอะหยังหือ...จึงเอาตีนลงบ่ได้ "

    พร้อมกันนั้นก็เอามือกระชากขาของหลวงปู่ เพื่อเอาลงจากเบาะ

    ทันใด ครืด...ครืด...ครืด...ฉึก !

    เครื่องยนต์ดับสนิท รถโดยสารหยุดกึกอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งคัน หัวคะมำไปตามๆ กัน

    หลวงปู่พูดขึ้น " หลวงตาบอกแล้ว...ลงบ่ได้...ลงบ่ได้ ! "

    คนขับพยายามติดเครื่องรถอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ไม่ติด ผู้โดยสารก็ส่งใจไปลุ้น แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที

    หลวงปู่พูดขึ้นว่า

    " ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ "

    กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่

    เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน จากการเล่าขาน ปากต่อปาก นับจากนั้นมา หลวงตาพระป่าแก่ๆ อยู่ในอำเภอแม่แตง จึงดังระเบิด !

    รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่ นั่งรถของตน แม้นั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี
     
  15. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ที่เขียนมานะค่ะ ใช่เลยในสังคมปัจจุบัน เคยไปบ่นกับพระรูปนึง ความท้อแท้ พระท่านหัวเราะว่า แสดงว่า ปฎิบัติจริงๆแล้วคนอื่นถึงหาว่า บ้าเอา และตอบกลับมาว่า "น้ำท่วมฝนตกภัยพิบัติมา ก็ไม่แปลก ถึงเวลานั้นแล้วชอบมาบ่น" เพราะสังคมส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ เป็นอย่างที่โยมเจอะมา เพราะอาตมาก็เจอะมาก่อน ! เพราะฉะนั้นทำต่อไป

    แสดงว่า คนที่ปฎิบัติธรรม(เกือบ) ทั้งหมด น่าจะโดนมาแล้ว มากน้อยต่างกันไป ตามวาระกรรมของแต่ละคน

    อาจจะเป็นเพราะว่า เป็นวันหยุด งานน้อย เราเลยฟุ้งซ่านมั้งนะค่ะ จริงๆน่าจะชินได้แล้ว


    ชอบๆ ขำๆค่ะ เวลาใครถามว่า ปฎิบัติธรรมไม่ใช่หรือ ทำไมยังโกรธได้ และโกรธมากกว่าคนปกติด้วย
    เราตอบเลยว่า วางไม่ได้เพราะยังเลวอยู่มาก
    ยิ่งปฎิบัติ ยิ่งเห็นว่า ตัวเองทำไม่ได้
     
  16. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ผมเองยังนึกตำหนิเพื่อนร่วมงานที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วกลับมาคุยถึงการปฏิบัติที่เคร่งมากๆ เวลาที่คนอื่นถามเลยครับ ว่าตัวเองปฏิบัติเคร่งขนาดไหน แต่ในใจนะครับไม่ได้ออกเป็นคำพูด ก็กลับมาหล่อนยังเกรี้ยวกราด ใหญ่เช่นเดิม ใครที่ไม่ลงให้ก็ยังจับผิดตลอด ไม่เห็น ลด ละ เลิก ได้เลย ยิ่งเวลาผมเห็นหล่อนใส่ชุดขาว ผมไม่เคยถามว่าจะไปไหน แต่ในใจผมหัวเราะก้ากเลย แม่คุณสร้างภาพจัง
     
  17. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    กราบแทบเท้าหลวงปู่ครับ
     
  18. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    เป็นกำลังใจให้นะครับ ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด
    ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
    เพราะคนที่ผิดพลาดแล้วเรียนรู้มัน จะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
    ในทุกๆด้าน


    รวมถึงการฝึกจิตด้วยครับ
     
  19. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    การทำความดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แค่คิดจะทำก็ประเสริฐแล้ว..อย่าให้กำลังใจตก ทำไปอีกครับ.. วาระกรรมเป็นเรื่องที่ไม่คนทั่วไปไม่สามารถทราบได้ อย่าไปวิตกกังวล เพียงมุ่งมั่นทำความดี อย่างไม่ย่อท้อท้อ ..จะได้มากน้อยเพียงใด ใครเขาจะมองอย่างไร..ไม่ต้องสนใจ ทำไปเรื่อยๆครับ เหมือนหยดน้ำลงตุ่ม น้ำหยดลงทุกวัน สักวันหนึ่งตุ่มก็จะเต็ม..อย่าไปใส่ใจในคำพูดใคร ใตรจะว่าทำดีเอาหน้าก็ไม่ต้องไปกังวล..เรารู้ตัวของเราดี ใครจะรู้ตัวเราได้ดีกว่าเรา..ใช่มั้ยครับ /..ขอให้โชคดี บุญรักษาครับ..สาธุ
     
  20. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515

    ว่าแต่
    แหมอยากชวนคุณ จขกท หนีออกจากบ้านเนอะ

    ทำดีได้ดี จงมั่นใจ เข้มแข็งและกล้าหาญ เข้าไว้นะคะ

    ข้าน้อย เอง
    ไปวัด ไปทำสังฆทาน ธรรมดาๆ ยังถูกคนค่อนแคะ ว่าไม่ดี ไปชอบพระมั้งบ้าง
    (ฟังแล้วก็อายแก่ใจแทนที่เค้าช่างหมิ่นน้ำใจพุทธศาสนิกชนเยี่ยงเรา)

    บ้างก็ว่า ไปวัดบ่อยๆ ไม่เห็นมันดีขึ้นเลยฟร๊ะ (ทั้งขี้อิจฉา ทั้งอารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ห๊ะ)
    ตอบเลยว่า นี่ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ก่อนชั่วกว่านี้แยะเลย ล่ะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...