จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๒๗
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    (k)พอใจ.. และพอเพียง..ค่ะ พี่ต้อย สุภาทร ปีใหม่ขอให้พี่มีสุขภาพ แข็งแรง เป็นกำลังสำคัญของ อ.ใหญ่ภู และชาวจิตเกาะพระต่อไป ตราบนานเท่านานนะคะ

    รัก ๆ และคิดถึงอย่างมีสติ..ขอบพระคุณค่ะ
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๒๗ และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยค่ะ..
     
  4. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ไม่ต้องตีความอะไรมากมายหลากหลายให้ต้องลึกซึ้ง
    แต่ให้น้อมมนสิการเข้ามาใกล้ๆตัวเป็นใช้ได้

    อยากเรียนรู้.. ดูปฏิปทาธิดาช่างหูก มรณานุสสติ
    อยากทำถูก.. ต้องโง่ให้เป็น
    คนสามภพ.. กินน้ำบ่อเดียว คือ อวิชชา
    มรรคมีองค์8 คือทางเดียว.. ให้ถึงที่สุด เพื่อออกจากภพ
    นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ คือ พุทธ ธรรม สงฆ์
    นะอยู่ที่ไหน โมอยู่นั่น คือ น้ำและดิน ธาตุกำเนิดแห่งมโนธาตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2013
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    (k)อ่านแล้วนึกถึง ฟอเรน ไนติงเกลจังค่ะ คุณพี่สุภาทร..เมตตาธรรมค้ำจุนโลก น้ำใจของพี่มีมากมายเหลือประมาณค่ะ.. [/COLOR]
     
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เหรียญย่อมมีสองด้าน..

    ๖๑. ศึกษาจากตำราหรือว่าปฏิบัติเอง

    ในหมู่ผู้สนใจศึกษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกันเสมอระหว่างการศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติและไม่เน้นการศึกษาจากตำรา ว่าแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน หรือตรงกว่ากัน

    สำหรับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเสนอแนะให้ดำเนินสายกลาง นั่นคือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และละเลยอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการสุดโต่งไป

    หลวงปู่ท่านแนะนำลูกศิษย์ลูกหาที่มุ่งปฏิบัติธรรมว่า ให้อ่านตำรับตำราส่วนที่เป็นพระวินัยให้เข้าใจ เพื่อที่จะปฏิบัติไม่ผิด แต่ในส่วนของพระธรรมนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติเอา

    จากคำแนะนำนี้แสดงว่าหลวงปู่ถือเรื่อง การปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องมาก่อน ศึกษาให้เข้าใจ และปฏิบัติตนให้ถูก แล้วเรื่องคุณธรรมและปัญญาสามารถสร้างเสริมขึ้นได้ถ้าตั้งใจ

    ยกตัวอย่างในกรณีของ หลวงตาแนน

    หลวงตาแนน ไม่เคยเรียนหนังสือ ท่านมาบวชพระเมื่อวัยเลยกลางคนไปแล้ว ท่านเป็นพระที่มีความตั้งใจดี ว่าง่ายสอนง่าย ขยัน ปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง เห็นพระรูปอื่นเขาออกไปธุดงค์ก็อยากไปด้วย จึงไปขออนุญาตหลวงปู่

    เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หลวงตาแนนก็ให้บังเกิดความวิตกกังวล ปรับทุกข์ขึ้นว่า "กระผมไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ภาษาพูดเขา จะปฏิบัติกะเขาได้อย่างไร"

    หลวงปู่จึงแนะนำด้วยเมตตาว่า

    "การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระ พยัญชนะ หรือคำพูดอะไรหรอก ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว สำหรับวิธีปฏิบัตินั้น ในส่วนวินัย ให้พยายามดูแบบเขา ดูแบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน ในส่วนธรรมะนั้น ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้ว อย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง"

    เนื่องจากหลวงปู่ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติมามากต่อมาก ท่านจึงให้ข้อสังเกตในการปฏิบัติธรรม ระหว่างผู้ที่เรียนน้อยกับผู้ที่เรียนมากมาก่อน ว่า

    "ผู้ที่ยังไม่รู้หัวข้อธรรมอะไรเลย เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง มักจะได้ผลเร็ว เมื่อเขาปฏิบัติจนเข้าใจจิต หมดสงสัยเรื่องจิตแล้ว หันมาศึกษาตริตรอง ข้อธรรมะในภายหลัง จึงจะรู้แจ้งแทงตลอด แตกฉานน่าอัศจรรย์"

    "ส่วนผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน แล้วจึงหันมาปฏิบัติต่อภายหลัง จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกว่า เพราะชอบใช้วิตกวิจารมาก เมื่อจิตวิตกวิจารมาก วิจิกิจฉาก็มาก จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ"

    อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตดังกล่าว หลวงปู่ย้ำว่า "แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปทีเดียว" แล้วท่านให้ข้อแนะนำต่อไปอีกว่า

    "ผู้ที่ศึกษาทางปริยัติจนแตกฉานมาก่อนแล้ว เมื่อหันมามุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนถึงขั้นอธิจิต อธิปัญญาแล้ว ผลสำเร็จก็จะยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยัติ ปฏิบัติ ย่อมแตกฉานทั้งอรรถะและพยัญชนะ ฉลาดในการชี้แจงแสดงธรรม"

    หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างพระเถระทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนความคิดดังกล่าว ก็มีท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ณาณสมฺปนฺโน แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น

    ทั้งสององค์นี้ "ได้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่พระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง"

    โดยสรุป หลวงปู่สนับสนุนทั้งตำรา คือ ปริยัติและปฏิบัติ ต้องไปด้วยกันและท่านย้ำว่า

    "ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้
    แต่ผู้จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน"




    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสบุญกับคุณพี่สุภาทรด้วยนะครับ
    แหม๊! งามทั้งกาย งามทั้งจิตใจเลยนะครับเนี๊ย
    สาธุๆๆ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขออนุโมทนาบุญกับน้องฝ้าย จิตบุญล่าสุดของพวกเรา
    ดีใจแทนคุณพ่อ-คุณแม่ด้วยนะครับ
    ต่อไปหวังว่าจะเป็นคิวของคุณพ่อ(จ่าติ๊ก)บ้างนะครับ
    และขอโมทนากับครูเพ็ญและผู้เกี่ยวข้องด้วยนะครับ
    สาธุๆๆ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่างนี้ต้องขยาย!​


    ขออนุโมทนากับครูลูกพลังด้วยนะย่ะ เอ๊ย! นะครับ​
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สมมุติว่า...
    ถ้าหาก..ขี้คือของไม่ดี และ เพชรคือของดี
    และถ้าหาก..สติคือมือ หรือ มือคือสติ

    เราลองกลับมาถาม-ตอบตนเองกันดูนะว่า
    แล้วตอนนี้ มือเรากำลังจะไปจับอะไร?
    ระหว่างขี้กับเพชร

    เรามักจะมองไม่เห็น กับสิ่งที่จิตกำลังวิ่งตาม
    แต่เมื่อไหร่ที่จิตนิ่ง เราก็จะมองเห็นกับทุกสิ่ง เมื่อนั้น

    เพราะที่นี่
    จิตเกาะพระ สอนให้ทุกคนมีปัญญาเป็นของตนเองไปแล้ว
    เพราะฉะนั้น
    เมื่อมีสิ่งมากระทบจิต อย่าหลงไปวิ่งตาม ขอให้วิ่งกลับไปดู+อยู่กับจิตตนเอง
    แม้นกระทั่งตัวเจตสิกหรืออารมณ์ของจิตที่กำลังเกิด-ดับอยู่นั้น
    พวกเราก็ไม่วิ่งตาม เช่นกัน

    สรุปแล้ว
    ไม่ว่าคนจะติ-ชม จึงไม่มีผลต่อจิตใจของผู้นั้น
    ขอให้ถือว่า นี่คือบททดสอบ ในภาคสนามจริงๆ
    เพราะผู้ปฎิบัติไม่มีใครมาแจกข้อสอบให้ทำ
    ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ที่จะสามารถตอบตนเองได้ว่า..
    จะผ่านบททดสอบจิตตนเองได้หรือไม่
    แต่บททดสอบนั้นจะมีขนาดเบาไปจนถึงขนาดหนัก คือรับไม่ได้หรือรับไม่ไหว
    แต่ไม่ว่าจะขนาดเบาหรือหนัก ย่อมสอบผ่านได้ทั้งหมด
    เพราะท้ายที่สุดแห่งธรรม ก็คือ อนัตตา

    แล้วท่านจะไปสนใจสิ่งภายนอก มิใช่จิตตนเอง ไปใยเล่า!
    แต่สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ขอให้นำสติไปอยู่กับจิตตนเอง
    หรือหมั่นทรงฌานเป็นเนืองนิจ ทุกอย่างก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ

    มีสิ่งกระทบจิตเพียงแค่นี้ จิตยังไม่นิ่งกันเลย
    แล้วถ้าดับขันธ์ จิตจะไปจุติ ณ แห่งหนตำบลใด
    อย่าลืม!
    คอยหมั่นเจริญสติภาวนา หรือ อย่านำสติห่างจิตมากนัก
    นำสติไปอยู่กับจิตให้มาก อย่านำสติไปอยู่กับสิ่งภายนอก ที่มิใช่จิตตน
    เพราะมันจะวุ่นวาย มันจะทุกข์ใจเปล่าๆ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,796
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ============================
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,796
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ความอัศจรรย์แห่งพุทธานุภาพของสมเด็จองค์ปฐมกายเนื้อ
    ไม่ว่าจะเป็นอะไรในร่างกายเช่นปวดนั่นปวดนี่ตามธรรมดาของขันธ์ห้า ก็จะนึกถึงท่านประจําเลยเช่น"เสด็จพ่อ ตรงนั้นค่ะที่ท้อง ตรงแขนซ้ายเหนือข้อศอกค่ะ...."แล้วนึกน้อมนําอัญเชิญท่านไปที่จุดนั้น หายทันทีเลย ลองดูนะคะ
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,796
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    จิตเกาพระ

    ==============================
    กราบขออภัย ไม่ใช่จับผิดนะคะ แต่มันขําน่ะ(Tickle my funny bone) เกาะอย่างเดียวก็พอค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเกาะพระ
    ไม่ใช่ จิตเกาพระ

    555+ ผมละขำกลิ้งเลย
    เรื่องจิตเกาะพระของคุณพี่สุภาทร แต่จิตเกาพระนั้นเป็นของคุณจุ๋มไทยแลนด์
    ผมไม่ได้ขำคุณจุ๋มไทยแลนด์นะ
    แต่ขำกลิ้งคุณพี่สุภาทร นี่แหล่ะ!
    คุณพี่พอใจ คุณพี่จุ๋มเยอรมันครับ ใครมาบอกว่าคุณพี่สุภาทรเป็นสว.เนี๊ย
    ผมไม่เชื่ออีกต่อไปแร๊ะ เพราะท่านตาดีเหลือเกิน
    ขนาดผมเองก็มองข้ามไปเลย
    ป๊าดดดดดดดดดดดด ท่าน สว.ๆๆๆ
    คุณจุ๋มไทยแลนด์ เป็นข่าวจนได้ ฮ่าๆๆ

    พี่ภูไม่แซวคุณจุ๋มแร๊ะ เดี๋ยวท่านจะพาผมไปวัดอะไรสักอย่างนึง
    ชื่อวัดภูควายอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ ฮ่าๆๆ ผมจำไม่ได้แย๊ววว
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตคุณสะอาด(จิตบุญ 107)และคุณจ่าติ๊ก(จิตเกาะพระ)
    คุณพ่อ คุณแม่ของน้องฝ้าย มาบอกเล่าเรื่องราว ว่าลูกสาวทำจิตเกาะพระอย่างไร
    เพื่อเป็นธรรมาทานให้กับบุตรหลานของพวกเราและผู้ที่สนใจด้วยนะครับ
    ขอบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุ ทั้งครูเกษ ทั้งลูกศิษย์นะครับ
    ต่อไปนี้ ขอให้ครูหรือผู้ฝึกสอนจิตเกาะพระ นำจม.เปิดผนึกที่ศิษย์กำลังเข้าวิปัสสนา
    มาเพื่อเป็นธรรมาทานกับผู้สนใจบ้างก็ดีนะ
    ว่าการปฎิบัติจิตเกาะพระนั้น จิตของผู้ปฎิบัติมีการพัฒนาไปในทิศทางใด หรืออย่างไรบ้าง
    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูง
     
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ


    อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน
    ตัดตัณหา ตัดกิเลส ตัดมานะทิฐิ ตัดความยึดมั่นถือมั่นของตนให้เสร็จลงก็สงบได้

    อดีตมันล่วงไปแล้วไม่ต้องคำนึงถึง ถือเอาบุญเอาบาปในปัจจุบัน
    เราทำบุญทำบาป บุญบาปอันนี้แหละพาหมุนไปในปัจจุบัน
    อดีตผ่านไปแล้วเป็นมาแล้วอย่าไปคำนึงถึงเอามาเป็นอารมณ์
    อดีต อนาคตตัดออกให้หมด “อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
    ให้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมณ์ตลอดชีวิต

    เอาพุทโธเป็นมรรคเป็นอารมณ์ของใจ
    มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นอารมณ์ของใจอย่าให้เป็นธรรมเมา
    เมาคิด เมาอ่าน เมาอดีต เมาอนาคต ใช้การไม่ได้

    ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน
    รู้
    ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน วางในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน


    ตั้งความสัตย์ลงไปว่า เวลานี้เราทำจิตทำใจให้สงบ
    อย่าไปคิด อดีต อนาคตผ่านไปแล้ว เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นที่ตั้ง
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ปัจจุบันธรรม

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่






    เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้ามาหาตนน้อมเข้ามาในกายน้อมเข้ามาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น ถ้ารู้ตามแผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่าง ๆ ไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหาก ต้องน้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่ มันจะหลงมันจะเลวไปอย่างไรก็ตาม พยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหากายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้ เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไป น้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลัก ของ มัน

    ถ้าออกจากกายใจแล้วมันเขวไปแล้วหลงไปแล้ว น้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจแล้วได้หลักใจดี ธรรมะก็คือการรักษากายรักษาใจ น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาหาใจนี้แหละศีล ตั้งอยู่ในกายนี่แหละ ตั้งอยู่ในวาจานี่แหละ และตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ให้น้อมเข้ามานี้มันจึงรู้ ตั้งหลักได้ ถ้าส่งออกไปจากนี้มันมักหลงไป

    เอาอยู่ในกายในใจนี้ น้อมเข้ามาสู่อันนี้ นำหลง นำลืมออกไปเสีย เอาให้เป็นปัจจุบัน เอาจิตเอาใจนี่ละวางถอดถอนออก ทางกายก็น้อมเข้ามาให้รู้แจ้งทางกาย น้อมเข้ามา

    หัวใจของตนนี้ให้มันแจ่มแจ้ง ถ้าไปยึดถือเอาอย่างอื่นมันเป็นเพียงสัญญาความจำ น้อมเข้ามารู้แจ้งในใจของตนนี่รู้แจ้งในกายของตนนี่ นอกจากนี้เป็นแต่เพียงอาการของธรรม

    ยกขึ้นสู่จิต น้อมเข้ามาหาจิตหาใจนี้ ความโลภ ความหลง ความโกรธ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละ ต้องน้อมเข้ามาสู่จดนี้ ถ้าน้อมเข้าหาจุดอื่นเป็นแผนที่ปริยัติธรรมรู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งแล้วนอกนั้นเป็นแต่อาการ บางทีไปจับไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้มันก็ลืมไป

    ทำให้มันแจ้งอยู่ในกายแจ้งอยู่ในใจ มีสติสัมปชัญญะสติสัมโพชฌงค์ สัมมาสติ ก็อันเดียวกันนี่แหละ ให้พิจารณาอยู่อย่างนี้ อาศัยความเพียรความหมั่น

    คำว่าสติ ก็รู้ในปัจจุบัน สัมปชัญญะรู้ในปัจจุบัน รู้ในตนรู้ในใจเรานี้แหละ รู้ในปัจจุบัน รู้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา เหล่านี้ละออกให้หมดละออกจากใจ ละอยู่ตรงนี้แหละ สติถ้าได้กำลังใจแล้วมันก็สว่าง

    ตั้งจิตตั้งใจกำหนดเบื้องต้น คือ การกำหนดจิตหรือกำหนดศีล คือกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ใจก็บริสุทธิ์กำหนดนำความผิดออกจากกายจากใจของตน

    เมื่อกายวาจาใจบริสุทธิ์ สมาธิก็บังเกิดขึ้น รู้แจ่มแจ้งไปหาจิตหาใจ กายนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจของตนนี้

    สติปัฏฐานสี่ สติ มีเพียงตัวเดียว นอกนั้นท่านจัดไปตามอาการ แต่ทั้งสี่มารวมอยู่จุดเดียว คือ เมื่อสติกำหนดรู้กาย แล้วนอกนั้น คือ เวทนา จิต ธรรม ก็รู้ไปด้วยกันเพราะมีอาการเป็นอย่างเดียวกัน

    อาการทั้ง ๕ คือ อนิจฺจํ ทั้ง ๕ ทุกฺขํทั้ง ๕อนัตตาทั้ง ๕ เป็นไม่ยั่งยืน เราเกิดมาอาศัยเขาชั่วอายุหนึ่ง อนิจฺจํทั้ง ๕ ทุกข์ทั้ง ๕ อนัตตาทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ มันก็สิ้นไปเสื่อมไป เราอาศัยเขาอยู่เพียงอายุหนึ่งเท่านั้น เมื่อรูปขันธ์แตกสลายมันก็หมดเรื่องกัน

    การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน สมมุติกันให้ได้ชั้นนั้นบ้างขั้นนี้บ้าง อันนั้นมันเป็นสมมุติแต่ธรรม เช่น รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยงมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น อนิจฺจํ ทั้ง ๕ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น รูปํ อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา สัญญา อนิจฺจา สังขารา อนิจจา วิญญูาณํ อนิจฺจํ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรามาอาศัยเขา สัญญาเราก็ไหลไปตามเวลา ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายจากกันแล้วมันก็ยุติลง

    ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เมื่อละสมมติ วางสมมติได้แล้ว มันก็เย็นต่อไป กลายเป็นวิมุตติความหลุดพ้นไป เพราะสมมติทั้งหลายวางได้แล้วก็เป็นวิมุตติ

    แต่ถ้าเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันมักจะหลง ถ้าเราตั้งใจเอาจริง ๆ พวกกิเลสมันก็เอาจริง ๆ กับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยความหมั่นความเพียรไม่ท้อถอย ถ้าละพวกกิเลสตัณหาได้มันก็เย็นสงบสบาย

    ถ้าจิตมันปรุงมันแต่งเป็นอดีต อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน จึงเป็นธรรมโม

    อาการทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจฺจํ ให้ยืนอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีต อนาคตเป็นธรรมเมา ธรรมโมคือเห็นอยู่ รู้อยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอดีตอนาคต ดับทั้งอดีตอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน คือ ธรรมโม

    ให้จิตรู้อยู่ส่วนกลาง คือ สิ่งที่ล่วงไปแล้วเป็นอดีตยังไม่มาถึงเป็นอนาคต ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนทั้งสองนั้นให้เพ่งพินิจ คือ เราอยู่ปัจจุบันธรรม มันจึงจะถูก เพราะปัจจุบันเป็นธรรมโม นอกจากนั้นเป็นธรรมเมา อดีต อนาคตรู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ถ้าไปยึดถืออดีตอนาคตอยู่ เท่ากับไปเก็บไปถือเอาของปลอม ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตนหมุนเข้าหากายหาใจนี่แหละ ถ้ามัวเอาอดีตอนาคตมันกลายเป็น แผนที่ ไป

    แผนที่ปริยัติธรรมจำมาได้มาก ไปยึดไปถืออย่างนั้นบ้างสิ่งนี่บ้าง ทั้งอดีตอนาคต ยิ่งห่างจากการรู้กายรู้ใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นเชื้อของกิเลสมันอยู่ในแผนที่ใบลาน มันไม่เดือดร้อน ถ้ามันอยู่ในใจมันเดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นในใจให้เอาใจละ เอาใจวาง เข้าใจออก เอาใจถอน ปัจจุบันเป็นอย่างนี้

    ไม่ใช่จำปริยัติได้มาก พูดได้คล่อง เวลาเอาจริง ๆ ไม่รู้จะจับอันไหนเป็นหลัก ปัจจุบันธรรมต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน ละวางถอดถอน ในปัจจุบัน มันจึงใช้ได้

    ความโลภ ความโกรธมันเกิดขึ้นในใจ น้อมเข้ามาแล้วละให้มันหมด ราคะ กิเลส ตัณหา มันเกิดขึ้นมาละมันเสีย เรื่องของสังขารมันก็ปรุง เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้น ดับลง เอารู้เฉพาะปัจจุบัน อดีตอนาคตวางไปเสีย อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ข้อนี้ถือให้มั่น ๆ ความปฏิบัติเพ่งความเพียร เร่งเข้า ๆ มันก็ค่อยแจ่มแจ้งไปเอง ถ้าจิตมันเป็นอดีตอนาคต วางเสีย เอาเฉพาะปัจจุบัน การกระทำสำคัญ เวลาทำตั้งใจเข้า ๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมักเกิด เราต้องพิจารณาค้นเข้าหาใจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตมักจะเก็บอดีตอนาคตมาไว้ ทำให้แส่ส่ายไปตามอาการ ให้เอาเฉพาะปัจจุบัน ธมฺโม น้อมเข้ามาให้ได้กำลังทางด้านจิตใจ ละวางอดีตอนาคต อันเป็นส่วนธรรมเมา เพ่งพินิจเฉพาะ ธรรมโม

    รักษากายให้บริสุทธิ์ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ น้อมเข้าหาใจให้รู้แจ้งใจนี้ กายก็ให้รู้แจ้ง เอาให้รู้แจ้งกายใจ จนละได้วางได้ เพ่งจนเป็นร่างกระดูกทำได้อย่างนี้ก็พอสมควร เอาให้มันรู้แจ้งเฉพาะกายใจนี่ ไม่ต้องเอามาก ถ้าเอามากมันมักไปยึดเป็นอดีตอนาคตไปเสียข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    ตั้งหลักไว้ อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ระลึก ดับ ละ วาง ในปัจจุบันจึงเป็น ธรรมโม เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคต ถ้ามันเกิดมันก็ต้องดับลงไป

    ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจุดของจริง อดีต อนาคต ปัจจุบัน สามอย่างนี้แหละเป็นทางเดินของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ มันแสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามา ๆ ถึงอย่างนั้นกิเลสทั้งหลายมันก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกันแต่ถ้ามีสติ ความชั่วเหล่านั้นมันก็ดับไป

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_wan/lp-wan_09.htm
     
  19. mooda94

    mooda94 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +299
    ขออภัยทุกท่านนะคะ ที่ทำให้สับสนหนูพิมพ์ตกเองแหละ พี่ภูก็ฮาได้เนอะ พี่สุภาทรเป็นสว. (สาวว่ะ) สายตาเหยี่ยวนะเนี่ยะ
     
  20. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    โมทนาสาธุกับทุกท่าน
    เผลอแผ็บเดียวกระทู้มาซะไกลเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...