จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ตอบได้ดี ตอบได้ดี..
    สาธุมันก็เป็นเช่นนั้นแล..

    - หากผู้ปฎิบัติท่านใดไม่ส่งจิตออกมาดูท่านสุญญ.. มันก็ไม่มีอะไร
    - แม้นผู้ปฎิบัติท่านใดออกจากวงกายตนเอง มารับรู้แล้วก็รู้-วางลงให้เป็น.. มันก็ไม่มีอะไรอีกเช่นกัน
    - หากผู้ปฎิบัติท่านใดรับรู้ปัจจัยกระทบ(อันเกิดจากท่านสุญญ) แล้วนำไปสังขาราปรุงแต่งภายในจิตแห่งตน จนเกิดเป็นเวทนา(สุข ทุกข์ เฉย) ขึ้นภายในจิตแห่งตนเองแล้ว บังเกิดเป็นมโนกรรมขึ้นมา(ไม่ว่าจะเป็น โกรธ เกลียด ไม่ชอบ เหม็นขี้หน้า ไม่พอใจ ไม่happyด้วย หรือ แหม่..สะใจโก๋แก่ เอาอีกเอาอีก หรือ เมื่อไรจะไปซักทีว้า หรือ คนอะไรจับผิดเก่งจริงๆเลย หรือ หากเราจะพิมพ์อะไรลงในกระทู้ก็คงจะต้อง"ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท"ซี้ซั้วพิมพ์ลงเหมือนแต่ก่อนไม่ได้เพราะเรามีauditor(ผู้ตรวจการณ์แผ่นดิน)อยู่ หรือ โอ้ย..สุดแล้วแต่ว่า แต่ละท่านจะจินตนาการปรุงแต่งต่างๆนาๆออกไป หรือ ในท่านเดียวกันเองน่ะบางวันก็ปรุงแต่งไม่ชอบขี้หน้าเขาแต่มาอีกวัน เออ..เขาก็น่ารักดีนะ หรือ ...ฯลฯอีกมากมาย..555) ครั้นสติตามมาทันจิตที่กำลังปรุงแต่งอยู่ จึงดับลงได้.. อันนี้ถือว่าสติมาสายไปหน่อย(แต่ก็ยังดีที่ตามมาทันในภายหลัง)
    - ส่วนท่านผู้ปฎิบัติเมื่อได้รับปัจจัยกระทบแล้ว ได้สังขาราปรุงแต่งต่อยอดออกไป จนถึงขั้นการแสดงออกนอกจากในมโนกรรมแล้ว ยังออกไปยังวจีกรรมและกายกรรม แม้นจะด้วยเหตุผลใดๆก็สุดแล้วแต่(เช่น ออกหมัดสวนคืน มีเมตตาจะช่วยชี้แนะท่านโดยอ้อมๆ หรือพยายามชี้แนะตรงๆ หรือ จะไปหยุดยั้งท่านน่ะ หรือสนับสนุนท่าน หรือ สลดสังเวชท่าน หรือ ฯลฯ) อีอันนี้.. สติต้องตามมาดูตามมารู้จิตตนเองโดยด่วนที่สุดเลยว่า"จิตนั้นมีการไกวตัวหรือไม่อย่างไร?" เหตุปัจจัยคืออะไร? ผลคืออะไร? มีความประมาทที่ตรงไหน? อุปาทานสังขาราไปมากน้อยเพียงไร? สรุปว่าหันกลับมาดูที่จิตตนเอง..

    หากท่านผู้ปฎิบัติมีสติ ไม่เผลอ ไม่ไหลตามกิเลส ออกไป หรือ ถือว่าเป็น"แบบเรียน"เอาไว้ทดสอบวาระจิตแห่งตนเอง เราๆท่านๆก็ย่อมที่จะได้รับประโยชน์ (ส่วนท่านสุญญจะได้รับประโยชน์อันใดหรือไม่ นั่นมันเรื่องของท่าน ไม่ต้องไปคิดแทนท่าน)
    หากท่านสุญญได้กล่าวสิ่งใดๆออกมา หากเราผู้ปฎิบัติ"สนใจในเนื้อหาสาระที่ท่านพยายามสื่อออกมานะ ด้วยใจเป็นกลางๆแบบไม่มีอคติอันใด" ท่านก็จะได้รู้ได้เห็นในหลายๆสิ่งอยู่ไม่น้อยเลย(ปัญญาท่านลึกมากนะจะบอกหัยย..) แทนที่จะไปเงยหน้ามองว่าใครเป็นคนพูดฟ๊ะ?แล้วก็ไปปรุงแต่ง จึงทำให้ไม่ได้อะไรมากเลย..

    สุดท้ายเราก็ยังคงยืนยัน ขอกราบขอบพระคุณท่านสุญญที่มาช่วยโปรดให้หลายๆท่าน นอกจากจะได้ความรู้+ความบันเทิง(นิดหน่อย..555-ขอหัวเราะนิสนึงก็แล้วกันนะ..)แล้ว ก็ยังได้"เห็นธรรมในธรรม"ด้วย.. สาธุครับ

    ปล.อันนี้เราขอให้ท่านสุญญช่วยแสดงธรรมหาเหตุปัจจัยหน่อยซิครับว่า
    "เหตุอันใดท่านผู้ปฎิบัติ จึงส่งจิตออกนอกไปคอยเพ่งจับผิด(ท่านน่ะ) แทนที่จะมองเข้าไปที่จิตของตนเอง?"
    ขอบพระคุณมากครับ :)
     
  2. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อิๆๆๆๆ ชอบจังเลย ครูลูกพลังช่างคิดได้
    ผมเองก็ยกคุณศูนย์เป็นครู เพราะทำให้ผมเห็นความเลวในตน นับถือๆๆ ข้าน้อยขอคาวระด้วยน้ำนม10กล่อง
    ผมเองก็อยากขอธรรมทานจากคุณศูนย์เอาแบบว่ากัลยาณมิตรนะตะเอง ผมเองถ้าจะให้พูดจริงๆแล้วผมชอบที่คุณศูนย์เขียนนะ อย่าทิ้งกันไปนะ อยู่ด้วยกัน ตามประสาลูกหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมเองก็คิดว่าพระองค์ท่านคงไม่ปรารถนาให้นำธรรมมะมาห้ำหั่นกัน ขอให้นำธรรมมะมาช่วยเสริม แต่งในจุดที่เราท่านบกพร่องไป ซึ่งจุดนั้นน่าจะนำพาเราท่านไปยังจุดหมายเสียที หลงกันมาด้วยกันก็หลายภพหลายชาติ พากันกลับบ้านหาพระองค์ท่านจะดีกว่านะครับ
     
  3. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เอาแล้วสิๆ อ.ภู

    เห็นแวว เริ่มมีคนแปรพักต์

    ทั้งพี่ลูกพลัง พี่watjojoj ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนหน้ามน ส่งซิกอยู่เบื้องหลัง

    ได้เวลาก่อการลัดประหาน แล้วล่ะครับ เห็นที สภานี้ต้องของเราแต่ผู้เดียว หากมีของใคร

    ช้าอยู่ใย แสดงตัวก้าวออกมาคนหน้ามน น้ำมะนาวอีกกล่องก็ได้ [​IMG]
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    5555+ ขอหัวเราะเสียงดังๆ คิดอยู่แล้วเชียว ว่าครูลูกพลังต้องออกมามุขนี้แน่ๆ 555+ คุณครูสุดlove ของหนู (ถ้าซื้อหวยก็ถูกรางวัลใหญ่เลยน่ะเนี่ย 555) ท่านช่างเขียนบรรยายได้ครบทุกรสชาติของอารมณ์จริงๆ แต่แหม..กับความที่ครูของเราเป็นคนใจกว้าง ได้พูดแสดงธรรมออกไปเยี่ยงนั้น แต่มันก็กลับทำให้ใครบางคนคิดไปเข้าข้างตัวเองอีกจนได้ 555

    จริงๆ เราก็ยังขอกล่าวคำว่า สาธุ อนุโมทนาบุญ กับท่านศูนย์ นับว่าเป็นของขวัญปีใหม่อันล้ำค่า ที่ทำนได้เข้ามาแสดงธรรมในธรรมให้เราได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ และชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า

    "อันคนมีปัญญา(ทางโลก)นั้น ถึงแม้จะเก่งและล้ำลึกขนาดไหน มันก็ไม่สามารถทำให้จิตเข้าถึงธรรมได้ ถ้าไม่ยอมนำจิตของผู้มีปัญญามากนั้นมาเดินมรรค มันทำให้ผู้มีปัญญาน้อยอย่างเรา เห็นแล้วว่า ธรรมมะที่ไม่ได้ออกมาจากจิตนั้น มันช่างแข็งกระด่างเสียนี้กระไร แต่ธรรมมะที่เกิดจากจิตที่ถูกกล่อมเกลาจากการเดินมรรค(ศีล สมาธิ ปัญญา) ซึ่งเป็นธรรมมะที่ผุดขึ้นมาในจิต มันช่างเป็นภาษาที่อ่อนน้อม นุ่มนวล ละมุนละไม ชวนอ่าน ชวนฟังเหลือเกิน แถมเป็นภาษาที่เจือด้วยเมตตาจิตอีกต่างหาก"

    จบข่าว.:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2013
  5. boss10

    boss10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +142
    ท่านวงกลมทับซ้อนขอรับ ได้เวลาจำวัดแล้วขอรับ...
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “..ศีลนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และสูงสุดมีอานิสงส์คือ จะดับเสียซึ่งความเดือดร้อน ทางกาย วาจา และจิตใจ ศีลจึงเป็นของเยือกเย็น เป็นของหอมยิ่งกว่าของหอมทั้งหลายที่มีในโลก..”

    ครูบาพรหมา พรหมจักโก

    ที่มา fb ธรรมโอสถ
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ลูกรัก...พี่น้องของลูกที่ยังอยู่อนุบาลยังมีอยู่ พ่อขอสั่งลูก หน้าที่ของลูกในชีวิตที่เหลืออยู่”คือตามพี่น้องกลับบ้าน” มันเป็นหน้าที่เดียวที่พ่อจะมอบให้ลูก เราจะกลับบ้านกันทุกคน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว เพราะเราคือพี่น้องกัน จำให้ดีนะลูกใครเขาจะว่าอย่างไรจะว่าผิดทางหรือถูกทาง ไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่จะไปตอบโต้กับใคร หน้าที่ของลูกทุกคนคือตามพี่น้องเรากลับบ้านให้หมด ส่วนคนอื่นหากเขายอมรับการสงเคราะห์ก็ช่วย
    ถ้าเขามาเพื่อทิฐิมานะ จงอย่าสนใจ ตามพี่น้องเรากลับบ้านเท่านั้นคือภาระของลูก

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    ที่มา fbเงา ไม่มีตัวตน
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    Currently Active Users Viewing This Thread: 46 (11 members and 35 guests) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    อุษาวดี, pegaojung, Maneetree, Dhammanee, ทะเลน้อย, wan-wan, ภูทยานฌาน2, aomnitta, newwave1959
     
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เอาล่ะๆ ดีนะ เห็นได้เลยว่า อ.ภู ข่มใจไว้อยู่ในความสงบตั้งมั่น

    จะเห็นได้ว่า ผมใช้คำว่า "แปรพักต์" ไม่ใช่ "แปรพรรค พวกพ้อง"

    "ลัดประหาน" ซึ่งไม่ใช่ "รัฐประหาร" ส่วนสภานี้ ก็คือ กระทู้นี้

    ดังนั้น เราปฏิบัติเพื่ออะไร เราปฏิบัติเพื่อละความไม่ใช่ของๆเรา อยู่มิใช่หรือ

    คำว่า "ประหาน" นั่นหมายถึง "ปหานทั้ง3 คือ ตทังคปหาน วิขัมภนปหาน และสมุจเฉทปหาน"

    ไม่แปลกใจเลยว่า หากคนๆนั้น ยังมีวิตกอยู่ในกมล ดวงมนๆ อันแรงกล้า
    จึงไม่สามารถระงับไว้ด้วย "ตทังคปหาน" นี้เบื้องต้นเลย
    คือการระงับยับยั้ง ไม่ให้ก้าวล่วงออกมา ไม่ให้ก้าวล่วงมาชั่วขณะ
    เช่น ในธรรมคู่ปรับต่อกัน มีสติยั้งคิดพิจารณา เสียก่อน

    หรือการข่มกิเลสนิวรณ์ ไว้ด้วยฌาน คือ "วิขัมภนปหาน"

    ดังนั้น เราปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงซึ่ง "สมุทเฉจปหาน" กันไม่ใช่หรือ
    เพื่อเห็นความจริง ว่านั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของๆใคร ไม่ใช่สภาของใครๆ

    ในครั้งพุทธกาล มีพระสาวกท่านหนึ่ง คือ "ท่านพระปุณณะเถระ" ที่ไปขอประทานนุญาต
    เพื่อออกไปเผยแผ่ธรรมอยู่ในชนบท "สุนาปรันตะ" ซึ่งชาวชนบทนั้น เป็นผู้ดุร้าย หยาบคาย

    พระพุทธองค์ จึงได้ตรัสถามท่าน พระปุณณะเถระ เพื่อความแน่ใจ ตั้งใจมั่น นั้นว่า
    หากชาวชนบทนั้น ดุด่า จะทำอย่างไร
    หากเข้ามาประหารด้วย มือ จะทำอย่างไร
    หากเข้ามาประหารด้วย ก้อนดิน จะทำอย่างไร
    หากเข้ามาประหารด้วย ท่อนไม้ จะทำอย่างไร
    หากเข้ามาประหารด้วย ศาสตาวุธ จะทำอย่างไร

    ท่านพระปุณณะ ท่านก็ตอบได้ จนเป็นที่มั่นใจ แก่พระพุทธองค์
    นั่นเพราะ ท่านถึงพร้อม ด้วยในลักษณะแห่งคุณธรรม
    คือ "ทมะและอุปสมะ มีความข่มใจและความสงบใจ"

    ดังใน ปุณณสูตร คลิก (ที่แสดงถึง อายตนะผัสสะ)

    ก็จะไม่ถามหรอกว่า คนหน้ามน สองท่านนั้น

    ที่ก้าวล่วงแสดงออกมา เป็นศิษย์ อ.ภู โดยแท้หรือ ที่พากเพียรฝึกความสงบของใจ

    นั่นเพราะ หากเห็นว่า สภานี้ มีของๆใคร [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ด้วยเศียรเกล้า...สาธุๆๆ
    ที่ลูกคนนี้ทนหน้าด้าน หน้าทนทุกวันนี้ ก็เพราะ ท่านพ่อและหลวงพ่อองค์นี้แหล่ะ!
    และลูกคนนี้ยังจดจำคำพูด คำสั่งสอน คำฝากจากจิตของท่านพ่อและองค์หลวงพ่อนี้ได้เสมอ
    และเสียงนี้ยังก้องหูอยู่ตลอดเวลา
    ลูกขอมอบกาย ถวายชีวิตนี้ก็เพื่อท่านพ่อ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และลูกหลานเหลนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไปตั้งนานแล้ว
    และอยากจะพูดกับพวกเราในที่นี้ว่า พี่ภูไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
    ขอเพียงนำดวงจิตที่เคยเดินหลงทางหรือหลงมาเกิดกันนี้ กลับบ้านเดิม ตามที่ได้รับคำบัญชามาตั้งแต่แรกเริ่ม
    ผมมิใช่พระเอก แค่คนธรรมดาๆ แต่มีความตั้งใจจริงๆ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมาขวางกั้น หรืออาจจะมีอยู่บ้าง แต่ไม่มีผล
    "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"
    และอย่างมากที่สุด ก็ทำได้แค่กายหยาบ เท่านั้น
    และกายหยาบนี้ก็มิใช่เรา มิใช่ของเรา แค่อยู่อาศัยชั่วคราวของดวงจิต เท่านั้น

    สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านหรือผู้เจริญทั้งหลาย จงหันกลับไปดูแลจิตตนเอง อบรบจิตตนเองให้ดี อย่าปล่อยจิตออกมาเผ่นผ่าน
    จิตเกาะพระ ได้สร้างภูมิปัญญาในทางธรรมให้กับทุกท่านไปทั้งหมดแล้ว
     
  11. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์

    พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค
    เวรัญชกัณฑ์ เรื่องเวรัญชพราหมณ์

    [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์
    สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์
    ได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล
    ประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
    หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว
    อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ
    แม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุนี้ ทรงทราบ
    โลกแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็น
    ศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพระ
    ผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด
    ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ
    และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศ
    พรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็น
    ปานนั้น เป็นความดี.
     
  12. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    เวรัญชพราหมณ์กล่าวตู่พระพุทธเจ้า
    [๒] หลังจากนั้น เวรัญชพราหมณ์ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับ
    พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิงเป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ
    ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เวรัญชพราหมณ์นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค
    ว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า พระสมณะโคดม ไม่ไหว้ ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่
    ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้ล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ข้อที่ข้าพเจ้าทราบมานี้
    นั้นเป็นเช่นนั้นจริง อันการที่ท่านพระโคดมไม่ไหว้ ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้
    ล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะนี้นั้น ไม่สมควรเลย.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน
    หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพ และมนุษย์ เราไม่เล็งเห็นบุคคลที่เราควรไหว้ ควร
    ลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ เพราะว่า ตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญ
    บุคคลใดด้วยอาสนะ แม้ศีรษะของบุคคลนั้นก็จะพึงขาดตกไป.
    ว. ท่านพระโคดมมีปกติไม่ไยดี.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมมีปกติไม่ไยดี
    ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะความไยดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคต
    ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีก
    ต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมมีปกติไม่ไยดี ดังนี้ชื่อว่า
    กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมไม่มีสมบัติ.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้
    ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะสมบัติ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว
    ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็น
    ธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่
    ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมกล่าวการไม่ทำ.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการไม่ทำ
    ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการ
    ไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการ
    ไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมกล่าวความขาดสูญ.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวความขาดสูญ
    ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความ
    ขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดม
    กล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างรังเกียจ ดังนี้
    ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรารังเกียจความถึงพร้อมแห่ง
    สภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างรังเกียจ
    ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมช่างกำจัด.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างกำจัด ดังนี้
    ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเราแสดงธรรมเพื่อกำจัด ราคะ โทสะ โมหะ แสดงธรรมเพื่อกำจัดสภาพ
    ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่างนี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างกำจัด ดังนี้ ชื่อว่า
    กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างเผาผลาญ ดังนี้
    ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวธรรมที่เป็นบาปอกุศล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่า
    เป็นธรรมที่ควรเผาผลาญ ธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งควรเผาผลาญ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก
    ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
    เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนช่างเผาผลาญ พราหมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งควรเผาผลาญ
    ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง
    มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างเผาผลาญ
    ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
    ว. ท่านพระโคดมไม่ผุดเกิด.
    ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้
    ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก
    ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
    เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนไม่ผุดเกิด พราหมณ์ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคต
    ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีก
    ต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่า
    กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
     
  13. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    ทรงอุปมาด้วยลูกไก่
    [๓] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ฟองไข่
    เหล่านั้น อันแม่ไก่พึงกกดีแล้ว อบดีแล้ว ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลาย
    กระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา ลูกไก่
    ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.
    ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา.
    ทรงแสดงฌาน ๔ และวิชชา ๓
    ภ. เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ เมื่อประชาชนผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดในฟอง
    อันกระเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้
    ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลก
    เพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้วแล ไม่ย่อหย่อน สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบ ไม่
    กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
    ปฐมฌาน
    เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
    มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
    ทุติยฌาน
    เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
    ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
    ตติยฌาน
    เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
    ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
    จตุตถฌาน
    เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส
    ก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
    บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
    ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
    สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
    ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
    เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
    อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
    เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
    มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
    อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
    อันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา
    ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด
    เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
    เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ
    ทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.
    จุตูปปาตญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
    ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
    มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
    ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
    ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่
    เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด
    เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น
    สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตก
    กายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
    มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม
    รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้ พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว
    ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
    แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไป
    แล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะ
    ฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
    อาสวักขยญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
    แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัด
    ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความ
    ดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้
    อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้
    ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้
    หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พราหมณ์
    วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิด
    แก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
    มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล ได้เป็น
    เหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
     
  14. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก
    [๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค
    ว่า ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดมเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ข้าแต่ท่านพระโคดม
    ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดย
    อเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
    หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดม
    พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
    ตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่
    จำพรรษา ที่เมืองเวรัญชาของข้าพเจ้าเถิด.
    พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาด้วยพระอาการดุษณี ครั้นเวรัญชพราหมณ์ทราบการรับ
    อาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ
    หลีกไป.
     
  15. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    เมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย
    [๕] ก็โดยสมัยนั้นแล เมืองเวรัญชา มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง
    มีกระดูกคนตายขาวเกลื่อน ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการ
    ถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย ครั้งนั้นพวกพ่อค้าม้าชาวอุตราปถะ มีม้าประมาณ ๕๐๐ ตัว ได้
    เข้าพักแรมตลอดฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาได้ตกแต่งข้าวแดงสำหรับภิกษุรูปละแล่งไว้ที่
    คอกม้า เวลาเช้าภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา
    เมื่อไม่ได้บิณฑบาต จึงเที่ยวไปบิณฑบาตที่คอกม้า รับข้าวแดงรูปละแล่ง นำไปสู่อารามแล้วลงครก
    โขลกฉัน ส่วนท่านพระอานนท์บดข้าวแดงแล่งหนึ่งที่ศิลา แล้วน้อมเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาค
    พระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่บดถวายนั้นอยู่ ได้ทรงสดับเสียงครกแล้ว.
    พระพุทธประเพณี
    พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ย่อมไม่ตรัสถามก็มี
    ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่ง
    ที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ สิ่งที่ไม่ประกอบด้วย
    ประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถาม
    ภิกษุทั้งหลายด้วยอาการสองอย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
    พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง.
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงครกหรือหนอ
    จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญว่า ดีละ
    ดีละ อานนท์ พวกเธอเป็นสัตบุรุษ ชนะวิเศษแล้ว พวกเพื่อนพรหมจารีชั้นหลังจักดูหมิ่นข้าว
    สาลีและข้าวสุกอันระคนด้วยเนื้อ.
     
  16. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    พระมหาโมคคัลลานะเปล่งสีหนาท
    [๖] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง
    ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้เมืองเวรัญชา
    มีภิกษาหารน้อย ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีกระดูกคนตายขาวเกลื่อน ต้องมีสลากซื้อ
    อาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย พระพุทธเจ้าข้า
    พื้นเบื้องล่างแห่งแผ่นดินผืนใหญ่นี้ สมบูรณ์ มีรสอันโอชา เหมือนน้ำผึ้งหวี่ที่ไม่มีตัวอ่อนฉะนั้น
    ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงพลิกแผ่นดิน ภิกษุทั้งหลายจักได้ฉันง้วนดิน
    พระพุทธเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรโมคคัลลานะ ก็สัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินเล่า เธอจะทำ
    อย่างไรแก่สัตว์เหล่านั้น?
    ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักนิรมิตฝ่ามือข้างหนึ่งให้เป็นดุจแผ่นดินใหญ่ ยังสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดิน
    เหล่านั้นให้ไปอยู่ในฝ่ามือนั้น จักพลิกแผ่นดินด้วยมืออีกข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า.
    ภ. อย่าเลย โมคคัลลานะ การพลิกแผ่นดิน เธออย่าพอใจเลย สัตว์ทั้งหลายจะพึง
    ได้รับผลตรงกันข้าม.
    ม. ขอประทานพระวโรกาส ขอภิกษุสงฆ์ทั้งหมดพึงไปบิณฑบาตในอุตรกุรุทวีป พระ-
    *พุทธเจ้าข้า.
    ภ. ก็ภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์เล่า เธอจักทำอย่างไรแก่ภิกษุเหล่านั้น?
    ม. ข้าพระพุทธเจ้าจักทำให้ภิกษุทั้งหมดไปได้ พระพุทธเจ้าข้า.
    ภ. อย่าเลย โมคคัลลานะ การที่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดไปบิณฑบาตถึงอุตรกุรุทวีป เธออย่า
    พอใจเลย.
     
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน

    [๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิด
    ขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของ
    พระองค์ไหนดำรงอยู่นาน ดังนี้ ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
    *ภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปใน
    ที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มี
    พระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
    พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระ
    นามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.

    ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
    พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

    ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู
    ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
    เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง
    สามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
    อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
    เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
    ยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้น
    กระดาน ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ขจัด กำจัด ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้ ข้อนั้น
    เพราะเหตุอะไร เพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
    เหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน
    ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับ
    พลัน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรง
    กำหนดจิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสั่งสอนสาวก.
    ดูกรสารีบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม
    เวสสภู ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสั่งสอน พร่ำสอน ภิกษุสงฆ์ประมาณ
    พันรูป ในไพรสนฑ์อันน่าพึงกลัวแห่งหนึ่งว่า พวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จง
    ทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนี้อยู่เถิด ดังนี้ ลำดับนั้นแล
    จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามเวสสภูทรง
    สั่งสอนอยู่อย่างนั้น ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
    ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัวนั้นซิ เป็นถิ่นที่น่าสยดสยอง จึงมีคำนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่ง
    ยังไม่ปราศจากราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมากโลมชาติย่อมชูชัน.
    ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
    พระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูไม่ดำรงอยู่นาน.

    ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ
    พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

    ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนาม
    กัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ
    เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี
    พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
    อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
    เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
    ดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บน
    พื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้น
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาค
    พุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่
    ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้
    ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนั้น เหมือนกัน.
    ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
    พระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  18. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    ปรารภเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบท
    [๘] ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะ ทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
    ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระสุคต
    ถึงเวลาแล้ว ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบท ที่จะทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้
    พระศาสนานี้ยั่งยืนดำรงอยู่ได้นาน.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จงรอก่อน สารีบุตร จงยับยั้งก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรู้
    กาลในกรณีย์นั้น พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลา
    ที่ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ต่อเมื่อใดอาสวัฏ-
    *ฐานิยธรรมบางเหล่า ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดง
    ปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่
    ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนาน ต่อ
    เมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนานแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่าย่อม
    ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก
    เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ใน
    ศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยแพร่หลาย ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็น
    หมู่ใหญ่โดยแพร่หลายแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้
    เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวกเพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรม
    เหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์
    ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภ ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภแล้ว และ
    อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติ-
    *สิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ ดูกรสารีบุตร
    ก็ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ ปราศจากมัวหมองบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งอยู่ในสารคุณ เพราะบรรดา
    ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุที่ทรงคุณธรรมอย่างต่ำ ก็เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็น
    ผู้เที่ยง เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.

    (อาสวัฏฐานิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ เช่น การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน เป็นต้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  19. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,078
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เวรัญชกัณฑ์ (ต่อ)

    เสด็จนิเวศน์เวรัญชพราหมณ์
    [๙] ครั้นปวารณาพรรษาแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
    ดูกรอานนท์ พระตถาคตทั้งหลายยังมิได้บอกลาผู้ที่นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาแล้ว จะไม่หลีกไปสู่ที่
    จาริกในชนบท ข้อนี้เป็นประเพณีของพระตถาคตทั้งหลาย มาไปกันเถิดอานนท์ เราจะบอกลา
    เวรัญชพราหมณ์.
    ท่านพระอานนท์ทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า.
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร มีท่านพระอานนท์เป็น
    ปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์ ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือ
    พระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย ทันใดนั้น เวรัญชพราหมณ์ดำเนินเข้าไปสู่ที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย
    บังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระองค์รับสั่งว่า ดูกรพราหมณ์ เราเป็นผู้อันท่านนิมนต์
    อยู่จำพรรษาแล้ว เราขอบอกลาท่าน เราปรารถนาจะหลีกไปสู่ที่จาริกในชนบท.
    เวรัญชพราหมณ์กราบทูลว่า เป็นความจริง ท่านพระโคดม ข้าพเจ้านิมนต์พระองค์อยู่
    จำพรรษา ก็แต่ว่าไทยธรรมอันใดที่จะพึงถวาย ไทยธรรมอันนั้นข้าพเจ้ายังมิได้ถวาย และไทย-
    *ธรรมนั้นมิใช่ว่าจะไม่มี ทั้งประสงค์จะไม่ถวายก็หาไม่ ภายในไตรมาสนี้ พระองค์จะพึงได้ไทย-
    *ธรรมนั้นจากไหน เพราะฆราวาสมีกิจมาก มีกรณียะมาก ขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยพระสงฆ์
    จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปีติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้แก่
    ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
    พระผู้มีพระภาคทรงรับอัชเฌสนาโดยดุษณีภาพ และแล้วทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์
    เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
    หลังจากนั้น เวรัญชพราหมณ์สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตในนิเวศน์ของตน
    โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว ท่าน
    พระโคดม ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
    ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธ-
    *ดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์ ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย
    พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงเวรัญชพราหมณ์อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนีย-
    *โภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตนจนให้ห้ามภัตรแล้ว ได้ถวายไตรจีวรแด่พระผู้มีพระภาค
    ผู้เสวยเสร็จทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้วให้ทรงครอง และถวายผ้าคู่ให้ภิกษุครอง รูปละ
    สำรับ จึงพระองค์ทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
    แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ ครั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชาตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว
    เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังเมืองท่าปยาคะ ไม่ทรงแวะเมืองโสเรยยะ เมืองสังกัสสะ เมือง
    กัณณกุชชะ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองท่าปยาคะ เสด็จพระพุทธดำเนินถึงพระนครพาราณสี ครั้น
    พระองค์ประทับอยู่ที่พระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไป
    สู่พระนครเวสาลี เมื่อเสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงพระนครเวสาลีนั้นแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับ
    อยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลีนั้น.

    เวรัญชภาณวาร จบ.
     
  20. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    น้องฝ้ายเริ่มฝึกจิตเกาะพระ
    สะอาด +สว่าง +สงบ +พบพระนิพพาน
    เป็นแนวทางของน้องฝ้าย จิตบุญที่๑๒๗ เกาะอารมณ์พระนิพพานจิตยกวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ เป็ญของขวัญล้ำค่่าในวันขึ้นปีใหม่ ที่พุทธองค์ได้ประทานพรให้กับครอบครัว ซึ่งชีวิตนี้ครอบครัวข้าพเจ้ามุ่งตรงต่อพระนิพพาน และคนรอบข้าง ก็ปรารถนาจะแนะนำ ส่งเสริมให้รู้ ให้ถึงทุกๆท่าน อารมณ์พระนิพพาน อันเป็นสิ่งที่ว่าง่าย มันก็ไม่ใช่ของง่าย ที่ว่ายากนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ยาก อยู่ที่ตัวเราจะทำ การแวะชมบรรยากาศระหว่างทางนั้น มันเป็นไปได้ทุกท่าน จะมากหรือน้อย อยู่ที่ตัวท่านพอใจ สนใจ การเดินทางเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยตัวท่านเองก็ ต้องให้กำลังจำนวนมากการเดินทาง ร่วมไปกับรถของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ญาติมิตร ย่อมนำพาไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น เป็นธรรมดาของผู้ปรารถนา สาวกภูมิ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านเมตตาได้ ลิ้มรสของพระนิพพาน ได้โดยไม่ยาก เพียงท่านทำจิต ทำใจให้ว่างจากความคิด และไม่ส่งจิตออกไปข้างนอก ด้วยการเกาะบารมีส่วนใด ส่วนหนึ่งของพระพุทธองค์ แล้วความรู้ทุกอย่างจะมา รวมที่ตัวท่านเอง น้องฝ้ายมีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ปลูกฝัง คอยประคับประคองให้เดินในทางนี้ ไม่ห่างพระแม้ว่าจะนั่งสมาธิ ได้ไม่นาน ครั้งละไม่เกิน 2นาที เริ่งแรกก็ถามว่าเห็นองค์พระไหม น้องฝ้ายก็ตอบว่าไม่เห็น เห็นแสงสี ไหมก็ตอบว่า ไม่เห็น ก็ให้ตัดร่างกาย ไม่สนใจร่างกายไม่สนใจ สิ่งรอบข้าง บางครั้งก็ให้ดูสัตว์ หรือแมลงที่ตาย น้องฝ้ายก็เข้าใจ ก็ถามใหม่ ในครั้ง ต่อไปก็รู้ว่าเห็นความสว่าง ไม่มืดเหมือนเดิม แล้วก็เห็นแสง สีต่างๆ ที่องค์พระเครื่องที่ห้อยคออยู่ ทีนี้คุณพ่อก็ได้โอกาส ขนพระเครื่องมาให้ดู บางองค์ก็เป็นพระใหม่ แต่ทำให้เก่า น้องฝ้ายก็บอกว่าไม่เห็นอะไร บางองค์ก็เป็นพระใหม่ แต่ทำไมแสงสี สว่างเหลือเกิน ก็มารู้ความจริงจากครูบาอาจารย์ว่ามี พระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในเนื้อองค์พระ ซึ่งจะมองไม่เห็นเลย ครูบาอาจารย์หลายท่านที่ได้เข้าไปกราบนมัสการ โดยเฉพาะที่อาศรมไผ่มรกต และครูแม่เพ็ญ ก็เมตตาตรวจดูจิตน้องฝ้าย ในขณะนั้นให้ทราบว่า ที่น้องฝ้ายรู้และเห็นนั้น เป็นเรื่องจริง และแนะนำให้เอาองค์พระวิสุทธิเทพ เข้าไปไว้ที่ดวงจิต ด้วยบารมีขององค์สมเด็จพ่อองค์ปฐม เมื่อครั้งไปปฏิบัติมโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุง ก็เห็นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งหลับตา และลืมตา ด้วยเพราะดวงจิต ที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เก็บความคิด อะไรมากมาย ใว้ในดวงจิต ถึงจะสัมผัสอารมณ์เศร้าใจ กังวลใจ หนักใจ ก็ว่าง วางได้อย่างง่ายดาย ตามประสาเด็กๆ ก็อยู่ที่พ่อ แม่ ให้ความรู้ แนวทาง ที่ทุกท่านมีอยู่เต็มหัวใจ แนะนำเขาในข้อความที่ง่ายๆ อุบายธรรม ที่่ใกล้ตัว มุ่งตรงพระนิพพาน ด้วยบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เมตตานำพาลูกหลานได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ด้วยจิตบริสุทธิ์ สะอาด ใส เป็นเรื่องไม่ยาก สำหรับเด็ก เป็นยุคที่ท่านกล่าวไว้ ต่อไปอภิญญจะเปิด จะมีพระอริยะเจ้ามาก เท่าสมัยพุทธกาล ก็เป็นเรื่องจริงตามนี้
    ธรรมทาน บทความย่อๆโดย จ่าติ็ก
     

แชร์หน้านี้

Loading...