จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <embed src="http://www.youtube.com/v/Yb9lbkaBALA?hl=th_TH&amp;version=3&start=152" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed>
    คลิก


    ปัจฉิมพุทธวาจา

    "ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า
    "สังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา"
    เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
    ให้บริบูรณ์พร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

    ขอนอบน้อมแด่คุณแห่งพระศาสดา
     
  2. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เมื่อจัดกิเลสเป็น ๓ ชั้น จะขัดสีกิเลสชั้นหยาบ คือ วีติกกมกิเลส(เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศล แปลว่าเป็นกิเลสอย่างแรง)
    ก็ทำได้ด้วยหลักข้อที่ ๑ คือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ในต่อมาก็จัดเป็นสีลสิกขา สิกขาคือศีล


    กิเลสชั้นกลาง คือ ปริยุฏฐานกิเลส จะขัดสีได้ด้วยหลักข้อที่ ๒ คือทำกุศลให้ถึงพร้อม
    ต่อมาก็จัดเป็นสมาธิ จิตตสิกขา สิกขา คืออบรมจิตให้เป็นสมาธิ
    ในหลักข้อที่ ๒ นี้ ควรสังเกตการใช้คำ กุสลสสูปสมปทา แปลว่า การทำกุศลให้ถึงพร้อม
    ถ้าแปลทับศัพท์คือ อุปสมบทกุศล นี้เป็นการอุปสมบททางจิตใจ
    หลักข้อที่ ๑ นั้น เท่ากับเป็นการอุปสมบททางกาย คือด้วยศีล


    ส่วนกิเลสชั้นละเอียด คือ ชั้นอนุสัย(กิเลสชั้นอนุสัยนี้ไม่ปรากฏเปรียบเหมือนตะกอนนอนก้นตุ่มน้ำ)
    จะขัดสีได้ก็ด้วยหลักข้อที่ ๓ การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว คือจะผ่องแผ้วจริงๆก็ด้วยอาศัยหลักข้อนี้
    ซึ่งต่อมาก็สงเคราะห์เป็นปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญา หมายความว่า ต้องอบรมปัญญาจนรู้แจ้งเห็นจริง
    ปัญญานี้เท่านั้นจึงจะขับไล่อนุสัยกิเลสหรืออาสวกิเลสให้สิ้นไปได้ และการอบรมปัญญานั้น

    พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงแล้ว ดังเช่นใน อนัตตลักขณสูตร
    และใน อาทิตตปริยายสูตร ที่ต้องอบรมให้เกิดความรู้เห็นตามที่เป็นจริงในเบญจขันธ์หรือว่าในอายตนะ
    จนเกิดนิพพิทาเป็นต้น ดังที่แสดงมาแล้วโดยลำดับ ต้องดำเนินตามทางนั้น
    หลัก ๓ ข้อนี้ เป็นศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    คัดลอกมาบางส่วนจากหนังสือ
    โอวาทปาติโมกข์ หัวใจพระพุทธศาสนา
    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  3. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

    พระนาคเสนตอบว่า

    " ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "

    " ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "

    " ไม่มี มหาบพิตร "

    " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ "

    " เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ "

    " หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ "

    " เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ "

    " เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "

    " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสน เป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "

    พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ ​


    เมื่อพระเจ้ามิลิยท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

    " มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิดมหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? "

    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า

    " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "

    พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า

    " ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป "

    กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า

    " มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? "

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า

    " เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง "

    พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า

    " ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้ว ขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "

    " ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "

    " ไม่ใช่ "

    "ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "

    " ไม่ใช่ "

    "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "

    " ไม่ใช่ "

    " ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้ ?

    " เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น

    ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า

    " ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า " พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

    " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล

    การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ

    ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารุได้ "

    พระเถระจึงกล่าวว่า

    " ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน

    " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน

    หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง

    ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์

    กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    " อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด

    เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น "

    ดังนี้ ขอถวายพระพร "

    พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลงน้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า

    " สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง

    ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่

    ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "
    http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-01.htm#ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
     
  4. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    "ในวันนี้คงจะมีแต่สุขสันต์ แต่ว่ามันคงจะดีแค่ความหมาย
    เพราะว่ามันคือหนทางแห่งความตาย อาจเหนื่อยหน่ายแต่จะได้มีชีวี
    เพราะประมาทคือหนทางไม่สร้างสรรค์ ที่ทุกวันคนที่มีมักสลาย
    อย่าหลงชื่อความประมาทหวังสบาย อาจจะตายจนสบายในมรณัง "


    "อันความตายชายนารี หนีไม่พ้น
    จะมีจนก็ต้องตาย กลายเป็นผี
    ถึงแสนรักก็ต้องร้าง ห่างทันที
    ไม่วันนี้ก็วันหน้า จริงหนอเรา "

    "อยากได้ดี ไม่ทำดี นั้นมีมาก
    ดีแต่อยาก หากไม่ทำ น่าขำหนอ
    อยากได้ดี ต้องทำดี อย่ารีรอ
    ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเลย
    "​
     
  5. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนาบุญ กับน้องปุย ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวขอทุกท่านค่ะ สาธุ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สมบัติของพระท่านไม่เอาอะไรมาก.

    ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ

    ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ...

    แล้วพอ ปล่อยให้หมด...

    เพราะสมบัติอันนี้ล้นค่าแล้ว.


    คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    แก้ความร้อน ด้วยความเย็น
    แก้ความมืด ด้วยความสว่าง

    แก้ความวุ่นวาย ด้วยความสงบ

    ผู้มีปัญญา แก้ปัญหาได้

    แก้ได้ที่ใหน ที่ใจตนเอง
     
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อัตตทีปสูตร
    ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม​


    [๘๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อยู่เถิด.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ
    ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่

    จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
    มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม
    ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
    ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
    ย่อมเห็นตนมีรูป ๑
    ย่อมเห็นรูปในตน ๑
    ย่อมเห็นตนในรูป ๑

    รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป.

    ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
    ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ
    ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ

    ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
    ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑
    ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑
    ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑
    วิญญาณนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
    โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะวิญญาณแปรไปและเป็นอย่างอื่นไป.

    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยง แปรปรวนไป คลายไป ดับไป
    เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า รูปในกาลก่อน
    และรูปทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

    ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้
    เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข

    ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่า เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง
    แปรปรวนไปคลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริง

    ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า วิญญาณในกาลก่อน
    และวิญญาณทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง
    ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.

    จบ สูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=948&Z=980&pagebreak=0
     
  9. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ท่านพุทธทาสภิกขุ
    "ยินดี กับสิ่งที่ได้มา และยอมรับ กับสิ่งที่เสียไป หลังพายุพ้นไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น"

    หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ​

    “อย่าอยู่ในโลกด้วยความหลง แต่จงอยู่ด้วยความเข้าใจมันตามที่เป็นจริง”​
     
  10. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สัมมาทิฏฐิ ๑๐

    ความรู้จักสักกายทิฏฐิ

    ›››››

    สมเด็จพระญาณสังวร

    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    วัดบวรนิเวศวิหาร

    คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ​




    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    ได้แสดงอัตตวาทุปาทาน และได้กล่าวถึงศัพท์ธรรมะ ที่หมายถึงอุปาทานบางคำ เช่น สักกายทิฏฐิ ความเห็นยึดถือกายของตน แต่ว่าตามศัพท์ว่าสักกายทิฏฐิ ไม่มีคำว่ายึดถืออยู่ มีแต่คำว่าความเห็น ความเห็นว่ากายของตน แต่เมื่อแปลโดยความก็มักจะเติมคำว่ายึดถือเข้าด้วย กับคำว่า อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่าอัตตาตัวตน กับอีกคำหนึ่ง มานะ ความสำคัญหมาย อย่างละเอียดก็คือ อัสมิมานะ ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น บางแห่งก็เรียกด้วยถ้อยคำที่ยาวว่า อัสมิมานะทิฏฐิ มานะและทิฏฐิว่าเรามีเราเป็น

    สักกายทิฏฐิ ๒๐​


    จะได้แสดงคำว่าสักกายทิฏฐิ ความเห็นว่ากายของตน คำนี้แสดงเป็นสังโยชน์ข้อที่ ๑ ในสังโยชน์ ๑๐ ได้มีคำอธิบายที่เป็นพระพุทธาธิบายในที่ทั้งปวงว่า สักกายทิฏฐิ ๒๐ ก็คือทิฏฐิความเห็นว่ากายของตนในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นั้นก็ได้แก่ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ

    เป็น ๒๐ อย่างไร ก็คือ เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตน คือเห็นว่า รูปเป็นตน เวทนาเป็นตน สัญญาเป็นตน สังขารเป็นตน วิญญาณเป็นตน ก็ได้ ๕ ข้อ
    เห็นว่าตนมีขันธ์ ๕ คือเห็นว่า ตนมีรูป ตนมีเวทนา ตนมีสัญญา ตนมีสังขาร ตนมีวิญญาณ ก็ได้อีก ๕
    เห็นขันธ์ ๕ ในตน คือเห็นรูปในตน เห็นเวทนาในตน เห็นสัญญาในตน เห็นสังขารในตน เห็นวิญญาณในตน ก็เป็นอีก ๕

    เห็นตนในขันธ์ ๕ คือเห็นตนในรูป เห็นตนในเวทนา เห็นตนในสัญญา เห็นตนในสังขาร เห็นตนในวิญญาณ ก็เป็นอีก ๕ ห้าสี่หนก็เป็น ๒๐ จึงเรียกว่าสักกายทิฏฐิ ๒๐ ความเห็นว่ากายของตน ๒๐

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-084.htm
     
  11. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ผู้สำเร็จชั้นพระโสดา ท่านกล่าวไว้ว่า ละสังโยชน์ได้ ๓ คือสักกายทิฏฐิหนึ่ง
    วิจิกิจฉาหนึ่ง สีลัพพตปรามาสหนึ่ง สักกายทิฏฐิที่แยกออกตามอาการของขันธ์มี ๒๐
    โดยตั้งขันธ์ห้าแต่ละขันธ์ ๆ เป็นหลักของอาการนั้น ๆ ดังนี้ ความเห็นกายเป็นเรา เห็น
    เราเป็นกาย คือเห็นรูปกายของเรานี้เป็นเรา เห็นเราเป็นรูปกายอันนี้ เห็นรูปกายในอันนี้
    มีในเรา เห็นเรามีในรูปกายอันนี้ รวมเป็น ๔ เห็นเวทนาเป็นเรา เห็นเราเป็นเวทนา เห็น
    เวทนามีในเรา เห็นเรามีในเวทนา นี่ก็รวมเป็น ๔ เหมือนกันกับกองรูป แม้สัญญา
    สังขาร วิญญาณก็มีนัย ๔ อย่างเดียวกัน โปรดเทียบกันตามวิธีที่กล่าวมา คือขันธ์ห้าแต่
    ละขันธ์มีนัยเป็น ๔ สี่ห้าครั้งเป็น ๒๐ เป็นสักกายทิฏฐิ ๒๐ มีตามท่านกล่าวไว้ว่า พระ
    โสดาบันบุคคลละได้โดยเด็ดขาด

    แต่ทางด้านปฏิบัติของธรรมะป่า รู้สึกจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เฉพาะสักกายทิฏฐิ
    ๒๐ นอกนั้นไม่มีข้อข้องใจในด้านปฏิบัติ จึงเรียนตามความเห็นของธรรมะป่าแทรกไว้
    บ้าง คงไม่เป็นอุปสรรคแก่การฟังและการอ่าน เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ทางปลดเปลื้องตามนัย
    ของสวากขาตธรรมแล้วก็กรุณาผ่านไป อย่าได้ถือเป็นอารมณ์ขัดข้องใจ ผู้ละสักกายทิฏฐิ
    ๒๐ ได้เด็ดขาดนั้น เมื่อสรุปแล้วก็พอได้ความว่า ผู้มิใช่ผู้เห็นขันธ์ห้าเป็นเรา เห็นเราเป็น
    ขันธ์ห้า เห็นขันธ์ห้ามีในเรา เห็นเรามีในขันธ์ห้า คิดว่าคงเป็นบุคคลประเภทไม่ควรแสวง
    หาครอบครัว ผัว-เมีย

    เพราะครอบครัว (ผัว-เมีย) เป็นเรื่องของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นรวงรังของสักกายทิฏฐิที่
    ยังละไม่ขาดอยู่โดยดี ส่วนผู้ละสักกายทิฏฐิได้โดยเด็ดขาดแล้ว รูปกายก็หมดความหมาย
    ในทางกามารมณ์ เวทนาไม่เสวยกามารมณ์ สัญญาไม่จำหมายเพื่อกามารมณ์ สังขารไม่
    คิดปรุงแต่งเพื่อกามารมณ์ วิญญาณไม่รับทราบเพื่อกามารมณ์ ขันธ์ทั้งห้าของผู้นั้นไม่
    เป็นไปเพื่อกามารมณ์ คือประเพณีของโลกโดยประการทั้งปวง ขันธ์ห้าจำต้องเปลี่ยนหน้า
    ที่ไปงานแผนกอื่นที่ตนเห็นว่ายังทำไม่สำเร็จ โดยเลื่อนไปแผนกรูปราคะ อรูปราคะ มานะ
    อุทธัจจะ อวิชชา

    ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้โดยเด็ดขาด คิดว่าเป็นเรื่องของพระอนาคามีบุคคล
    เพราะเป็นผู้หมดความเยื่อใยในทางกามารมณ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนพระโสดาบันบุคคลคิด
    ว่าท่านรู้และละได้โดยข้ออุปมาว่า มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าลึก ไปพบบึงแห่งหนึ่ง
    มีน้ำใสสะอาดและมีรสจืดสนิทดี แต่น้ำนั้นถูกจอกแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถจะมองเห็น

    เรียงลำดับอริยภูมิ - หลวงตามหาบัว

    หลวงตามหาบัว-เรียงลำดับอริยภูมิ - YouTube
     
  12. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เนี่ยก็ว่าพระอรหันต์ฝันไม่ได้ๆ ไง ในตำรานะพระอรหันต์ฝันไม่ได้ พระอรหันต์ก็มีขันธ์น่ะ เนี่ย ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ กับปุถุชนเนี่ยขันธมาร ขันธ์นี่มันโดนกิเลสครอบงำ นี้ความคิดของเรานี่ ความคิดเรามันไม่เป็นอิสระเพราะความคิดมันมีมารครอบงำ แต่เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วเนี่ย ใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไปจนละ ละขันธ์อย่างหยาบเป็นพระโสดาบัน ละขันธ์อย่างกลางเป็นสกิทา ละขันธ์อันอย่างละเอียด เนี่ยเวลาตำราบอกเลยนะ พระโสดาบันละขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ละขันธ์ ๕ แล้ว พระโสดาบันไม่มีแล้ว เนี่ยสกิทา อนาคาไม่มีขันธ์ ๕ เขาว่า นี่เขาว่าไงนี่

    เนี่ยไปดูเรียงอริยภูมิของหลวงตาสิ หลวงตาท่านบอกเลยนะว่า ขันธ์นี่จะไปขาดในขั้นอนาคา ขั้นอนาคา เพราะขันธ์อย่างละเอียดไง เสพกามกันนี่มันมาจากสัญญา ความเสพกามนี่ กามราคะในขั้นของ อนาคา เนี่ยปฏิฆะ กามราคะ เพราะมีข้อมูลใช่ไหม ข้อมูลหมายถึงว่าความผูกพันระหว่างเพศตรงข้าม ถ้าความผูกพันนั้นมันตรงกับจริต โอ้ยมันชอบมากเลย เห็นไหมมันเป็นข้อมูลเป็นปฏิฆะ ปฏิฆะข้อมูลที่มันเกิดการบังคับไม่ได้ มันเกิดโทสะ โมหะเห็นไหม ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างละเอียด เนี่ยพอทำลายขันธ์อย่างละเอียดเสร็จแล้วนี่ มันเป็นขันธ์ในตัวมันเองเลย ขันธ์ที่ละเอียดมากเป็นปัจจยาการ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ เนี่ยมันเป็นพลังงานเฉยๆ แต่มันเป็นขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างละเอียดเพราะอะไร ขันธ์ละเอียดเพราะเวลาพระพุทธเจ้า

    พระโพธิสัตว์ สร้างคุณงามความดีมานี่ ความย่อยสลายของสัญญา สัญญาหมายถึงว่า อาชีพเรานี่ในปัจจุบันเนี่ย ที่เราทำงานอยู่เนี่ย มันเป็นสัญญาทั้งหมดเลย เพราะเราศึกษามาก็เป็นสัญญา เป็นความจำ การฝึกฝน สัญญามันฝึกฝนได้ด้วยนะ สัญญาเนี่ยเด็กๆ นะ สัญญาก็จำได้แค่เสียง สี รส พอเราเรียนทางทฤษฎีเห็นไหม ฟิสิกส์ต่างๆ นี่เราจำข้อมูลได้ สัญญาเราละเอียดเข้าไปแล้ว เนี่ยเราทำวิจัย เนี่ยสัญญามัน พัฒนาการได้ๆ นี่สัญญาพัฒนาการได้ ทางการวิจัย นี้สัญญาข้อมูล นี่มันเก็บๆๆๆ ไว้ในชาติปัจจุบันนี่ไง

    นี่พอชาติปัจจุบัน พอคนจะตายไป จิตมันเข้าไปถึงตัวมันเอง ปฏิสนธิจิต มันตายไป ขันธ์น่ะๆ ทิ้งไว้ในภพนี้ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทิ้งไว้ในภพเพราะอะไร เพราะเวลาถ้าจิตมันเข้าสมาธิได้ พอจิตมันตายไปน่ะมันคืนตัวมัน ไปเกิดเป็นพรหมนี่ เอาขันธ์อะไรไปด้วย เพราะพรหมมีขันธ์เดียว ตัวจิตคือตัวพลังงาน คือตัวภวาสวะ ตัวภพนี่ก็มีขันธ์เดียว ขันธ์เดียวเนี่ยปัจจยาการของมันก็มีขันธ์เดียวเห็นไหม พระอนาคาตายไปนี่เป็นพรหม ฉะนั้น สิ่งที่ข้อมูลนี่เวลาที่มันปัจจยาการเข้าไปฐีติจิต เข้าไปปฏิสนธิจิต มันไม่ใช่จิตของเรานี่ วิญญาณกระทบอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันกระทบจากข้างนอก มันเป็นเปลือก เห็นไหมเปลือกส้ม ส้ม เปลือกส้มนี่ เนี่ยสิ่งนี้มันมีข้อมูลอยู่

    http://www.sa-ngob.com/media/pdf/y52/04/p17-04-52am.pdf
     
  13. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ธรรมะ ศึกษาธรรมะรู้ไปหมดเลย แต่กิเลสมันดึงดูดไว้ มันก็คิดแบบโลกียะ คิดแบบมีความสงสัย คิดดีมากนะ คิดดี ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่อีก ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์นี่ อืม มันมีความสงสัย นี่ความสงสัยนั้นเวลามันหดตัวเข้ามานะ เวลาเราปฏิบัติไปแล้วนะเรามีความท้อแท้ อ่อนแอ ไอ้ความสงสัยกลายเป็น ๙๙ เปอร์เซ็นต์ คือมันคลุมหมดเลย ไอ้ที่ว่ารู้ๆ เข้าใจๆ หดจนไม่เหลือสิ่งใดเลย นี่โลกียปัญญาเป็นแบบนั้น

    ฉะนั้น เราศึกษาธรรมอย่างนี้ ที่เราฟังธรรมๆ กัน ฟังธรรมกันอย่างนี้ ฉะนั้น การฟังธรรม เห็นไหม นี่หลวงปู่มั่นเวลาสมเด็จนะ สมเด็จมหาวีรวงศ์ มาถาม ท่านอยู่กับพระไตรปิฎก เห็นไหม มาถามว่า “หลวงปู่มั่น เวลาอยู่ในป่า ในเขาท่านไปฟังเทศน์มาจากใคร? ไอ้เราอยู่กับตำรับ ตำรา อยู่กับกองพระไตรปิฎก อยู่กับตำรับ ตำราเรายังสงสัยเลย”

    หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย “เกล้ากระผมฟังเทศน์ทุกเวลา เกล้ากระผมมีธรรมะเทศน์ให้ฟังตลอดเวลา” เห็นไหม

    นี่ฟังธรรมๆ ไง เวลาธรรมมันเกิด ธรรมจากภายนอกหรือธรรมจากภายใน? ธรรมจากภายนอกก็ศึกษา ศึกษาธรรมจากภายนอกก็เหมือนนักกฎหมาย นักกฎหมายเวลามันศึกษา เห็นไหม ดูสิมันเรียนกฎหมาย มันก็รู้กฎหมาย มันท่องได้หมดเลย มันรู้หมดเลยกฎหมาย เราก็ไปศึกษากันก็เหมือนนักเรียน ท่องเอา ศึกษาเอา แต่ความจริงมันรู้อะไร?

    นี่เวลารู้กฎหมายมาแล้วนะ อาจารย์มหาวิทยาลัยเขาบอกเลยว่าเวลาไปว่าความเขาอาจจะแพ้ลูกศิษย์เขาก็ได้ เขาไปว่าความนะ เวลาเขาสอน เขาสอนนักกฎหมาย เห็นไหม จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่เวลาไปว่าความกันบนศาล เออ อาจารย์กับลูกศิษย์ได้เสียเลย อาจารย์แพ้ก็ได้ ในแง่มุมของการว่าความ เพราะประสบการณ์ของเขาลูกศิษย์จะเก่งกว่าก็ได้

    อันนี้พูดถึงการศึกษา การฟังธรรมจากภายนอก เห็นไหม นี่ว่าธรรมะมหัศจรรย์ เขาบอกว่าจิตมหัศจรรย์ โดยทั่วไปเขาว่าจิตมหัศจรรย์ จิตนี้มหัศจรรย์มาก เวลาดีนะดีสุดยอด สุดยอดคนเลย เวลามันร้ายนะมันร้ายสุดยอดเลย มันคิดอะไรก็ได้ที่ลึกลับซับซ้อน ที่คนคิดได้ไม่ถึงมันเลยนะจิตเนี่ย จิตนี้มันเป็นไปได้หลากหลาย เป็นไปได้ทุกอย่าง คนทำดี ทำชั่วใครเป็นคนพาทำ จิตทั้งนั้น แล้วเวลาคนภาวนาขึ้นไปนะ ดูสิหลวงปู่มั่นทำไมสอนเทวดาได้ เทวดา อินทร์ พรหมเขาเป็นใคร?

    นี่เราดูว่าสิ่งที่เป็นเทวดา อินทร์ พรหมจะมาฟังเทศน์ๆ มาฟังเทศน์มนุษย์ แล้วมนุษย์เอาอะไรไปเทศน์ให้เขาฟัง มนุษย์เอาสิ่งที่ไปเทศน์ให้เขาฟัง เพราะมนุษย์ได้ปฏิบัติไง จิตมันได้ปฏิบัติ จิตมันได้พัฒนาขึ้นมา จิตมันเป็นธรรมขึ้นมาแล้วนะ พอเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว ก็เอาประสบการณ์ เอาความรู้สึก เอาประสบการณ์ของจิตนี่แหละเอาเทศน์ให้เขาฟัง อยากฟังเรื่องอะไรล่ะ? อริยสัจมุมไหนล่ะบอกมาสิ เพราะถ้าจิตมันเป็นไปแล้ว นี่มันเป็นไปแล้ว

    นี่ไงเวลาจิตมหัศจรรย์ เพราะดีดีจนคาดไม่ถึง ดีจนคาดไม่ได้ เวลามันร้ายนะมันร้ายจนคาดไม่ถึง จิตดวงเดียวนั้น แล้วเวลาจิตดวงเดียวนั้น เวลาเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม ดูสิเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในนรกอเวจี จิตดวงเดียวนี่แหละที่มันออกไปแล้วมันไปเกิด นี่มันไปเกิด ไปเกิดเพราะอะไร? ไปเกิดเพราะกรรม กรรมดี กรรมชั่ว

    http://www.sa-ngob.com/media/pdf/y55/02/p04-02-55am.pdf
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "พระมหาอุปคุต" ท่านเป็นพระอรหันต์สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ้งท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และได้ปราบพญามารวัสสวดีได้ พญามารวัสสวดี อยู่บนสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวดี... ได้ทราบข่าวว่าสมัยนั้นมีผู้คนศรัทธาพระศาสนามากและมีคนทําบุญให้ทานมาก... กลัวจะมีคนได้ไปสู่สวรรค์มาก และคนที่ตกนรกจะน้อยจึงหาทางทําลายบุญทุกครั้งที่มีงานบุญ... ก็จะบันดาลให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนตก ไฟไหม้ และยังแปลงกายเป็นยักษ์ แต่ว่าทําอย่างไรพระอุปคุตก็ป้องกันไว้ได้ทุกๆครั้ง จนในที่สุดพญามารวัสสวดี ได้คิดหาวิธีสุดท้าย คือจะฆ่า"พระอุปคุต" จึงได้แปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปกราบพระมหาอุปคุต หวังที่จะจับเท้าพระมหาอุปคุตฟาดกับพื้นให้มรณะเสีย แต่พระมหาอุปคุตก็รู้ด้วยญาณ จึงได้อธิษฐานจิตให้หมาเน่าแขวนคอพญามารวัสสวดี ไม่ว่าพญามารจะทําอย่างไร?...ก็ไม่สามารถเอาออกได้ พญามารก็ไปหายัง...ท้าวจตุโลกบาล พระอินทร์ และพรหม เอาออกให้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ พญามารจึงยอมแพ้พระมหาอุปคุต... แล้วเอาหมาเน่าออกจากคอให้และใช้ผ้าจีวรผูกคอพญามารไว้ที่เชิงเขาสิเนุวราช เพื่อจะให้พญามารกลับใจ และท่านได้ยินพญามารกําลังกล่าวโทษตนเพราะเคยทําไม่ดีมาก่อน เพราะเคยคิดแย่งชิงบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าตอนกําลังจะบรรลุอนุตละสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นโพธิ์ แต่พระองค์ไม่เคยถือโทษอะไร พระมหาอุปคุตได้ยินดังนั้นจึงแน่ใจว่า... พญามารไม่มีจิตพยาบาทแล้ว จึงได้ปล่อยพญามารไป และได้สั่งสอนให้กลายเป็นผู้ที่นับถือในพระศาสนาในคราวต่อมา จึงนํามาเล่าเพิ่มเติมข้อความของ "คุณมาลินี" เพราะถ้าพระมหาอุปคุตไปที่ไหนมารก็จะกลัวท่าน และชาวเหนือจะศรัทธาท่านมากจะมีงานประจําทุกๆปี เพื่อระลึกถึงท่านค่ะ.
     
  15. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ส ง บ ส อ ง แ บบ

    "สงบเพราะไม่รู้" เพราะบังคับจิตให้จดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    เพื่อไม่ออกไปรับรู้สิ่งภายนอก
    เช่น จดจ่อลมหายใจ อิริยาบท หรือท้องที่พองยุบ
    ให้มันแนบแน่นอยู่กับอารมณ์เหล่านั้น
    จะได้ไม่ไปรับรู้สิ่งเร้าภายนอก ใจก็สงบได้
    แต่อย่างนี้จัดเป็นความสงบเพราะไม่รู้

    แต่ยังมีความสงบอีกอย่างหนึ่ง คือ
    "ส ง บ เ พ ร า ะรู้"
    ไม่ใช่รู้แล้วฟุ้งออกไปข้างนอก
    และ ไม่ใช่รู้เรื่องนอกตัว...

    แต่รู้กาย รู้ใจ ซึ่งอันนี้ต้องอาศัยสติ
    ...ทำ ใ ห้ จิ ต ตื่ น ขึ้ น...
    เมื่อตื่นขึ้น เกิดความรู้สึกตัว
    ไม่หลง ก็สงบได้เช่นกัน”

    - พระไพศาล วิสาโล
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "กำลังใจที่เราทำมาในลักษณะของปรมัตถบารมี มันมีแต่จะมุ่งมั่นให้สำเร็จ คือ กำลังใจของคนที่จะไปนิพพานมันไม่ยืดเยื้อเรื้อรังเหมือนคนอื่นเขา รอบข้างจะสนใจน้อย จะมุ่งเอาเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเขามุ่งมั่นงานเฉพาะหน้า งานจะสำเร็จลงในระยะเวลาไม่นาน"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    กระโถนข้างธรรมาสน์ รวมเล่มฉบับที่ ๒๑ - ๔๐ หน้า ๑๓
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ฆราวาสที่เป็นพระแท้

    พระที่เข้ามาบวชในประเทศไทย เวลานี้ปีหนึ่งเกินสามแสนองค์ แต่สามแสนองค์ท่านพอใจในสมถะและวิปัสสนานี่ไม่ถึงหมื่นนะ แพ้ญาติแพ้โยม แล้วจะมานั่งบ่นกันว่าพระนี่ดีกว่าฆราวาส อันนี้ไม่ได้ พระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเครื่องทรงเป็นของสำคัญ ท่านถือจิตใจเป็นของสำคัญ เราจะเห็นได้ว่า มีพระมากท่านที่บวชเข้ามาแล้ว ก็ถือเป็นประเพณี ตามประเพณี สักแต่ว่าการบวชก็มี ที่ท่านตั้งใจดีก็มี พอใจในสมถะและวิปัสสนาก็มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบารมีที่สร้างมาไม่สม่ำเสมอกัน ฉะนั้น ท่านที่เป็นฆราวาสก็ตาม เป็นพระก็ตาม ถ้าหากว่าบุคคลใดมีกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “พระ” หมด

    สำหรับพระสงฆ์จะมีศีลบริสุทธิ์ก็ดี มีฌานสมาบัติสมบูรณ์ก็ดี ถ้าหากว่ากำลังใจของท่าน วันนั้นยังไม่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “สมมติสงฆ์” ยังไม่เรียกว่า “พระ” ถ้าถึงพระโสดาบันเมื่อไหร่ ท่านก็เรียกว่า “พระ”

    สำหรับฆราวาส ถ้าถึงพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่า “พระ” อย่างท่านเรียกวิสาขามหาอุบาสิกาพระโสดาบัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีพระโสดาบัน อย่างนี้เป็นต้น นี่คำว่า เป็นพระจริงๆ ก็อยู่ที่การตัดสังโยชน์ ๓ สังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังโยชน์ ๓ ขึ้นไป พระพุทธเจ้าให้เรียกว่า “เป็นพระ” ที่พูดแบบนี้ ก็เพื่อให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีความเข้าใจในความดีของตน ว่าการที่จะพอใจในการเจริญสมถวิปัสสนานี่ ไม่ใช่ของที่จะพึงทำเล่น ก็จงอย่าคิดว่าถ้าเรามานี่ บางทีเราไม่มีบุญวาสนาบารมี แต่ก็มาทำไปอย่างนั้นแหละเป็นอุปนิสัย ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าบารมีเก่ามันไม่ถึงขั้นปรมัตถบารมีนะ เข็นเท่าไหร่ก็ไม่มา มีไหมโยมคนข้างๆ บ้านนะ มีมากนะ บางทีจ้างยังไม่เอาเลย ใช่ไหม แถมด่าเราเสียอีกด้วยนะ ว่าไอ้บ้า มึงจะบ้าคนเดียวก็บ้าไปเถอะ มึงอย่าชวนกูไปบ้าด้วยเลยนะ นี่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

    ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทพึงทราบว่า ความดีของท่านทุกคนนี่ก็ไม่ได้พูดแต่เฉพาะสำนักของเรานะ สำนักอื่นเขาก็เหมือนกันนะ ถ้ามีกำลังใจ พอใจในการเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานทุกคนนี่ แล้วทุกสำนักที่เขาทำเขาปฏิบัติ เป็นอันว่าทุกคนที่เข้าไปปฏิบัตินั่น เป็นคนที่มีกำลังใจเข้าถึงปรมัตถบารมีทั้งหมด

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤๅษี)
    ที่มา fb Motanaboon.Com
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/WDc2UtxahW0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/IZOeHQWGYPQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/m_NG42wTTOo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

แชร์หน้านี้

Loading...