เสียบปลั๊กโน้ตบุ๊กอย่างไร ให้ถูกวิธี

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Catt Bewer, 31 ตุลาคม 2007.

  1. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    เสียบปลั๊กโน้ตบุ๊กอย่างไร ให้ถูกวิธี

    เรื่องนี้เป็นทิปสั้นๆ แต่..ทิปสั้นๆ

    นี้ผมเชื่อว่ามีใครหลายยคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ประมาณว่า จริงเหรอ? ใช่เหรอ?
    ในช่วงแรกๆ ที่ผมใช้โน้ตบุ๊กก็อาการเดียวกับหลายๆ ท่าน เวลาจะเสียบปลั๊กก็
    เสียบตัวอะแดปเตอร์เข้ากับตัวเครื่องก่อน (จริงๆ มันน่าจะถูกนะ)
    แล้วก็เอาปลั๊กอีกด้านไปเสียบกับเต้ารับของที่บ้าน หรือที่ทำงาน


    โดยหลักความเป็นจริงแล้ว มันจะควรจะทำแบบนี้ใช่มั้ย? คิดว่าหลายคนคิดเหมือนผม
    ปัญหาที่ผมเจอเมื่อทำแบบนี้กับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่นที่ผ่านมา ก็คือ
    มันมีไฟแลปออกมาจากตัวปลั๊ก เหมือนเกิดการสปาร์คขึ้น
    เสียบกี่ครั้งก็เกิดอาการแบบนี้ จนพาลคิดไปว่า
    พวกอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊กมันไม่ค่อยดีมั้ง ผมก็หาวิธีแก้ไขบ้าง
    เพื่อนหลายคนใช้วิธีเด็ดกว่านี้ครับ คือซื้อปลั๊กที่มีสวิทซ์เปิดปิดมาเลย
    วิธีการที่เขาทำก็คือ เสียบปลั๊กทุกๆ อย่างให้เรียบร้อยก่อน
    แล้วค่อยเปิดสวิทซ์ที่ปลั๊ก เอ้ออ.. ไอเดียดีเนาะว่ามั้ย

    แต่จนแล้วจนรอด ผมเอ๊ะใจขึ้นมา เลยเปิดคู่มือโน้ตบุ๊กที่ผมเพิ่งได้มาใหม่ดู
    นั่งอ่านสักพัก ก็ถึง บ้างอ้อ จนได้ว่า สิ่งที่เราทำมานั้น ไม่ถูกต้องเลยครับ
    มิน่า เสียบยี่ห้อไหน ก็ไฟแลบตะแลบแป๊บหมด.. พาลเอาใจหายว่าไฟจะช็อตได้



    ต่อไปนี้ตั้งใจอ่านให้ดีดีนะครับ --:

    ในคู่มือเขาบอกไว้ชัดเจนเลยครับว่าวิธีการเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ของโน้ตบุ๊กที่ถูกต้องก็คือ ให้เราเสียบปลั๊กเขากับเต้ารับที่บ้านหรือที่ทำงานก่อนครับ
    จากนั้นค่อยเอาปลายอีกด้านที่เหลือมาเสียบเข้ากับโน้ตบุ๊ก
    อันนี้คือวิธีที่ถูกต้อง ผมเลยลองดูซะเลยครับ ปรากฏว่า..
    อาการไฟแลบหรืออาการสปาร์คนั้นไม่มีเกิดขึ้นเลย โอ้! นี่แหละหนาาา..
    นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามแนะนำเพื่อนๆ
    ทุกคนที่เกิดอาการนี้ทั้งหมด ทุกรายแฮปปี้ดีแทคมากๆ
     
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,390
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,382
    ขอบคุณมากครับ
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ของเฮียเสียบปลั๊กแล้วมาเสียบที่โน๊ตบุ๊คแล้วปิดสวิทต์ที่ลั๊กสามตาครับ
     
  4. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    อือ....เพิ่งรู้เหมือนกันนะนี่ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำความรู้มาให้จ้า ฉลาดขึ้นอีกเรื่องแระ อิอิอิอิอิอิ
    :cool: :cool: :cool:
     
  5. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    นั่นสิคะเพิ่งจะทราบเหมือนกันค่ะ
     
  6. Ice Age

    Ice Age เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +137
    อันนี้ทำมานานแล้วอ่ะค่ะ คือว่าเป็นคนที่ติดอ่านคู่มือมาก อ่านทุกอย่าง ทุกใบที่มีติดมาในกล่องเลย ก่อนเริ่มใช้งาน บางทีเสียเวลานั่งอ่านเป็นชั่วโมง จนคนที่บ้านบ่น เพื่อนๆก็ว่าบ่อยๆ แต่จริงๆนะ ถ้าไม่อ่านเราจะไม่รู้เลยว่าที่เอาใช้ๆนั้นมันถูกวิธีหรือเปล่า และที่สำคัญใช้ของนั้นๆให้คุ้มค่าค่ะ เคยมีไหมคะที่ เรามีเครื่องเล่นอะไรสักอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่าง หรือแม้กระทั่งปุ่มต่างๆบนรีโมท ที่เราไม่เคยได้แตะเพราะว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร นั่นแหละค่ะ เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้ไม่คุ้ม บางทีเราบ่นว่าโหเครื่องตัวเองไม่มีฟังก์ชั่นโน้นนี้้ลย จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าของไม่ดีนะ แต่ไม่ศึกษาก่อนต่างหากล่ะ บางทีการเรียกใช้งานของบางอย่างต้องรู้วิธีการกดหรือตั้งคำสั่งที่ต่างกันออกไป

    ขนาดเตารีดแบบธรรมดาๆ ซื้อมาใหม่ ยังต้องอ่านคู่มือเขาเลยค่ะ เพราะบางทีอุณหภูมิจากแป้นปุ่มนั้นมันไม่เท่ากันนะ อย่างสมมุติว่าเสื้อCotton เราเนี่ยะ เราก็รีดมันประจำ ปรับแป้นเตารีดไปที่Cotton แต่รู้ไหมว่าเตารีดแต่ละยี่ห้อบางทีได้ความร้อนที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่สารเคลือบผิวหน้าบ้าง ส่วนประกอบภายในบ้าง ซึ่งถ้าเอาของดีๆหน่อย เขาจะบอกเลยว่า ถ้าปรับไปแป้นไปตรงที่บอกว่า Cotton นั้นอุณหภูมิเท่าไหร่ ซึ่งปกติแล้วควรจะประมาณ 150-170C แต่เชื่อไหมคะว่าบางตัวที่ผิวหน้าไม่เคลือบนี่ ความร้อนมันพุ่งถึง 250C เลยก็มี ถ้าเราไม่รู้ เอามารีดๆไปแบบปกติทุกวัน ในไม่ช้า เราก็จะรู้สึกว่า เอ้...ทำไมผ้ามันกรอบๆ แล้วเนื้อผ้าจะเสียไปเลยค่ะ คือยับง่ายขึ้นมาก แล้วซักคราบเปื้อนต่างๆออกยากมาก เพราะเส้นใยไม่อ่อนแล้ว...บางทีตามตะเข็บดูเป็นมันวาวๆเลื่อมๆ กางเกงสีดำของผู้ชายนี่เห็นชัดค่ะ บางคนเราเห็นก็คิดว่าน่าเสียดาย ตรงกระเป๋าหลังของกางเกงเป็นยี่ห้ออย่างดี แต่วิธีซักรีดนี่พาผ้าเสียหมดเลยค่ะ เสียรูปทรง สีเปลี่ยน ดูแล้วไม่สวยเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆเลยค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงอุณหภูมิในการรีดผ้าชนิดอื่นอีกนะคะ

    แต่ไม่กล้าเล่าเดี๋ยวจะเครียดไป เอาเป็นว่าอย่างเตารีดนี่นะ ถ้าเราเลือกเป็นสนใจรายละเอียดสักนิด เสื้อผ้าดีๆที่เรามี ที่เสียตังค์ซื้อมาแพงๆนั้นก็จะอยู่กับเราไปตลอดเลย หากตัวไหนเก่า ไม่อยากใส่ จะเอาไปบริจาค เราก็เอาของดีๆไปให้เขา ไม่ใช่ผ้าเก่ากรอบ สะบัด 10 ที แขนเสื้อขาดเลย อะไรประมาณนี้ เสื้อผ้าตัวไหนที่ซื้อมาถูกก็รักษาไปตามที่ควร เพราะส่วนมากจะไม่มีป้ายบอกว่าเป็นผ้าอะไร แต่ถ้าเราคลี่เสื้อผ้าดูป้ายบ่อยๆ จับดูแล้วเราจะรู้เลยว่าเนื้อผ้านี้คืออะไร ต่อให้เป็นเสื้อราคาถูกไม่มีแทคบอกวิธีดูแลรักษาเราก็เดาออกว่าอ๋อ...นี่ผ้าฝ้ายนะ นี่ไนล่อน...อันนี้อะครีลิคนะ แต่ส่วนตัวแล้วจะไม่คาดหวังอะไรกับเสื้อผ้าที่ซื้อมาแบบถูกๆมากนัก เพราะราคานี่บอกคุณภาพผ้าจริงๆค่ะ ไม่ได้พูดถึงยี่ห้อนะคะ แต่ร้อยทั้งร้อยที่ดูแลรักษาเสื้อผ้าตัวเองมาตลอดไม่เคยส่งซักนี่เลยมองออกว่า เอ่อ...จริงนะเมื่อใช้ไปใช้มาแล้วคุณภาพผ้ามันเปลี่ยนไปอ่ะ

    อีกตัวอย่างนึงละกัน มีอยู่วันหนึ่งไมโครเวฟที่บ้าน (รุ่นธรรมดา แบบแป้นบิดตั้งเวลาอีกแล้ว คือมันใช้ง่ายสุดสำหรับทุกเพศทุกวัยแล้วอ่ะค่ะ) เกิดไม่ทำงานซะดื้อๆ เราก็มาหาสาเหตุกัน ปรากฎว่าคนสุดท้ายที่ใช้นี่เป็นคุณแม่เราเอง ซึ่งปกติก็ใช้เป็นกันอยู่แล้ว แต่สงสัยวันนั้นแกบิดแรงไปหน่อย ตั้งเวลาไปแล้ว เครื่องกำลังทำงานอยู่ แกก็บิดกลับเพราะคิดว่าใช้ได้แล้ว มันไม่ดังติ๊ง...แถมไฟในเครื่องดับ แกก็ไม่ได้คิดอะไร เปิดฝาไมโครเวฟแล้วเอาอาหารออกมา แต่นั่นแหละปัญหาเกิดแล้วค่ะ คนต่อมาจะมาใช้สรุปเครื่องไม่ทำงานเลย ไล่ถามกันไปถามกันมาก็ได้ความอย่างว่า ทีนี้ก็คิดไปว่าเอ้...สงสัยบังเอิญว่าเสียแล้วหรือเปล่า เพราะเครื่องนี้ก็ใช้มาหลายปีแล้วนะ อาจจะหมดวาระแล้วม้างงงง...แต่เราไม่ใช่คนอย่างงั้นอ่ะ เราบอกว่าเดี๋ยวๆไปเปิดดูคู่มือก่อน คือที่บ้านเนี่ยะจะมีลิ้นชักช่องใหญ่ 1 ช่อง เก็บคู่มือทุกอย่างเลย สากกะเบือยังเรือรบก็ว่าได้ คู่มือพัดลมตั้งโต๊ะก็มีทั้งๆที่มันก็ใช่งานง่ายแบบหลับตาเปิดยังได้ เพราะมีแค่ 4 ปุ่มให้กดนั่นแหละ แต่เราก็เก็บ เอาไว้ค่อยทิ้งมันตอนที่พัดลมนั้นใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ ค่อยทิ้งมันไปคู่กัน

    เข้าเรื่องไมโครเวฟต่อ...ปรากฎว่าเอาคู่มือออกมาดู เขาพูดถึงระบบ Safety ของเครื่องที่เมื่อสั่งเดินเครื่องไปแล้ว เกิดมีการกระชากไฟ หรือเกิดการลัดวงจรอย่างไร จะมีตัวCensor ที่อยู่ด้านในของเครื่องดีดลง หยุดการทำงานของเครื่องทันที ...อื่ม...เอาล่ะ ลองเปิดหลังเครื่องดูซิ จริงด้วย มีแกนที่ว่าบอก มันดีดลง เราลองโยกขึ้น ปิดฝาเครื่อง เสียบปลั๊กเปิดเครื่องใหม่ ทีนี้ไฟติดแล้วอุ่นอะไรต่อมิอะไรได้ต่อ...

    นี่แหละค่ะ ข้อดีของการเก็บคู่มือเอาไว้ ไม่งั้นก็คงคิดว่าเสีย ซ่อมไปก็ไมรู้่คุ้มค่าซ่อมไหม เผื่อจะไปให้เสียค่าโง่อีก เพราะไมโครเวฟเดี๋ยวนี้ก็ไม่แพง ซื้อใหม่ก็ง่ายอยู่ แต่เก็บคู่มือทุกอย่างเอาไว้ง่ายที่สุดค่ะ คือ ไม่ต้องส่งซ่อม ไม่ต้องซื้อใหม่ ยกเว้นถึงคราวมันจะเจ๊งจริงๆนั่่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

    เรื่องศึกษาคู่มือและเก็บคู่มือไว้นี่ต้องทำให้เป็นนิสัยค่ะ อย่างเรานี่เคยไปอยู่เมืองนอกแล้วเครื่องนึ่งอาหารที่บ้านน่ะมันไม่ทำงาน แต่มันจะฟ้องเป็นค่า F4 บ้าง F5 - F8 บ้างแล้วแต่ปัญหาคืออะไร พอเจอแบบนั้นก็ต้องวิ่งไปเปิดดูคู่มือ เราก็จะร้อง อ๋อ...ไอเจ้า F4 ที่ว่านั้นคือ มีขาวแบบคราบหินปูนอ่อนๆไปเกาะที่รูเล็กๆรูหนึ่งบนเครื่องนั่นเอง คู่มือเขาชี้บอกเลยว่าตรงไหน เราก็แค่เอาน้ำส้มสายชูไปหยดไว้ ทำละลาย เดี๋ยวสักพักเครื่องก็ใช้ได้ดีเหมือนเดิม...นี่แหละค่ะ เลยจำมาตลอดเลยว่า ศึกษาคู่มือทุกครั้ง จำได้ไม่หมดไม่เป็นไร แต่อย่าทิ้งขว้างเพราะเวลาเกิดปัญหาอะไรหยิบมาอ่านได้่เสมอค่ะ

    โห เขาพูดเรื่องการเสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊คที่ถูกต้อง เพราะอ่านมาจากคู่มือเท่านั้นแหละ เราเลยเอาเรื่อง ความสำคัญของคู่มือ มาเล่าต่อเสียยาวเลย แบบว่าติดลมบนแล้วอ่ะค่ะ แต่หวังว่าคงจะมีประโยชน์กันบ้างนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...