แกะรอยสถาปัตยกรรมองค์กรซ่อนเงื่อน

เอาตราสัญลักษณ์หน่วยงาน GSA : United States General Services Administration มาฝากก่อนเข้านอน คืนนี้ขออย่านอนฝันถึงเรื่องพวกเมสันนะครับ

ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน :z1​

 

หนึ่งในมูลนิธิที่เคยเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ CIA ในไทย : ข้อมูลจากงานเสวนาวิชาการของคณาจารย์เสนาธิการทหารบก

Rose Cross - กางเขนกุหลาบ



คล้ายสัญลักษณ์กางเขนสีแดงของศาสนจักร

​

นอกจากนี้ กางเขนกุหลาบ ( Rose Cross or Rose Croix ) ยังเป็นสัญล้กษณ์ของพวกเมสัน สายสกอตติชไรท์ องศาที่ 18 : Knight of Rose Croix (อัศวินแห่งกางเขนกุหลาบ)

​

 

ในทางส่วนตัวเชื่อว่า ศาสนาใหม่ตามแผน New World Order จะมีเพียงศาสนาเดียว ศาสนาที่เริ่มต้นด้วยคำเพียงคำเดียว ... สันติภาพ (PEACE) ฟังดูดีเลยทีเดียวใช่มั้ยครับ แน่นอนล่ะใครๆก็อยากให้เกิดสันติ เกิดความสงบสุข ทั่วโลก ไม่อยากให้เกิดสงคราม คำถามต่อมาก็คือว่า สงครามความขัดแย้งในปัจจุบัน แม้กระทั่งที่ภาคใต้ของไทย มันเกิดเพราะปมปัญหาในท้องถิ่นหรือว่าได้แรงปะทุจากมือที่สาม มือที่ได้ผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้

​

Divide and Rule - แบ่งแยกและปกครอง คือ ยุทธศาสตร์การล่าอาณานิคมที่ใช้กันมานานและยังคงใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ ยุทธศาสตร์ที่ CIA ใช้ปฏิบัติการในหลายๆประทศและได้ผลมาตลอด มันไม่ใช่แค่ครอบงำระบบการเมืองของประเทศ ยังรวมถึงระบบเศรษฐกิจ และความเชื่อทางศาสนา

หนามยอกอกของ ยุทธศาสตร์ Divide and Rule มีเพียงคำสั้นๆเพียงคำเดียว ... สามัคคี

​

 

สัญลักษณ์ Knight of Rose Croix กับตำแหน่งพวกเมสัน องศาที่ 18 : สังเกตเครื่องแต่งกายคล้ายกับกลุ่มนักบวชในคริสตจักร

​

แถมท้าย : กุหลาบและหมู่ภมร งานแกะสลักบนไม้ของ Johann Thedore deBry ประมาณปลายศตวรรษที่ 16 จะสังเกตเห็นว่าลำต้นเป็นรูปกางเขนและรูปทรงของดอกกุหลาบก็คล้ายกับสัญลักษณ์ของมูลนิธิ

​

 

World-PEC : World Peace Ethics Contest

โครงการสอบตอบปัญหาศีลธรรมเพื่อสันติภาพโลก : วัดธรรมกาย

​

รางวัลที่ 1 : สามรางวัล โล่วัชระเกียรติยศ (ชั้นบน) : เปลวเพลิงรัศมีดวงอาทิตย์ (กลาง) - เสา Boaz-Jachin (ขวามือ)

ส่วนซ้ายมือดูไม่ออก น่าจะเป็นนกอินทรีสี่ตัวกำลังจับสายโยง แต่รูปทรงดูคล้ายปิรามิดไร้ยอด

​

 

แม้แต่อยู่ภายในอาคาร รั้วรอบขอบชิด ก็ยังต้องพึ่งพาเต๊นท์ปฏิบัติธรรม ซึ่งป็นรูปทรงปิรามิดหกเหลี่ยม




สำหรับบางวัดนั้น ปัจจัยภายนอกกลับไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆในการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม : ภาพจากวัดป่าอาสภาวาส

​

สันติภาพเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดตามคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ เสรีภาพทางจิต เสรีภาพที่เกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง เสรีภาพที่เกิดจากการปฏิบัติผ่านมรรควิถีแห่งการดับทุกข์ แต่ในลัทธิบางลัทธินั้นเขาต้องการเป้าหมายที่สมารถจับต้องได้มากกว่าเสรีภาพทางจิต ดังนั้น สวรรค์ โลกหน้า การเกิดปิติสุขจากสมาธิ จึงเป็นจุดขายให้เหล่าสาวกเพื่อทำให้เข้าถึงลัทธินั้นๆได้ง่ายขึ้น

พิธีกรรม ความวิจิตรบรรจง ความงดงามของแสงสีเสียง คำเทศนา ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจและช่วยดึงศรัทธาของผู้ที่ได้พบเห็น ... วัด"นั้น"ต้องการขยายรูปแบบของลัทธิตนออกไปสู่สังคมภายนอกเพื่อประชาสัมพันธ์ โดยไม่สนใจต่อเสียงบ่นก่นด่าว่ากีดขวางการจราจร ทำชาวบ้านเดือดร้อน หรือคำท้วงติงของคณะสงฆ์ว่าผิดพระธรรมวินัย สังคมที่ได้รับความเดือดร้อนจากการละเมิดสิทธิ์ของลัทธินี้แทบจะทำอะไรไม่ได้ เพราะสาวกของพวกเขากระจายไปกุมอำนาจในแทบทุกๆด้าน การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา แม้แต่องค์กรทางศาสนา นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของลัทธินี้ยังลุกลามไปสู่เยาวชนในโรงเรียน สถานศึกษา โดยผ่านเหล่าสาวกที่เป็นครูอาจารย์ในโรงเรียนนั้น มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมศีลธรรมขึ้นบังหน้าแต่เป้าหมายหลักคือการสร้างสาวกสืบทอดรุ่นต่อๆไป ถ้าเรายังเพิกเฉยต่อลัทธินี้ เยาวชนลูกๆหลานๆของเราที่เป็นอนาคตของชาติกำลังถูกขีดเส้นทางให้เดินตามคำสอนของวัด "นั้น" และเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คำว่า นิพพาน การดับทุกข์ อริยสัจสี่ คงเป็นแค่ความเชื่อโบราณคร่ำครึที่หลงเหลือในพระไตรปิฏกฉบับสากลที่พวกเขาร่วมกันบิดเบือน-แต่งเติมเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มพวกเขานั่นเอง

ส่วนคำว่า สันติภาพ นั้นเป็นภาษาสากลที่ถูกเลือกใช้เพื่อสื่อสารกับคนต่างชาติ-ต่างภาษา-ต่างศาสนา-ต่างวัฒนธรรม เพราะแทบทุกคนทั่วโลกจะเข้าใจคำว่าสันติภาพเป็นอย่างดี ผมมองว่าคำๆนี้จะกลายเป็นตัวเชื่อมหรือเครื่องมือที่จะดึงทุกศาสนาทุกลัทธิเข้ามารวมกัน เมื่อถึงเวลานั้นทุกศาสนาอาจจะหลงลืมแก่นแท้ของศาสนาตนเอง พูดยังไงดีขอเรียกว่า ขาดอัตลักษณ์ละทิ้งเป้าหมายเดิมอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาของตน อย่าลืมนะครับว่า "สันติภาพ" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง "สงคราม" แค่มีใครคนใดคนหนึ่งคอยจุดชนวนสงครามเรื่อยๆ ทุกพื้นที่ ทุกเวลา ภาพความโหดร้ายของสงครามถูกเผยแพร่ออกไปทางสื่อต่างๆ ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้ผู้คนเริ่มเรียกร้องโหยหาสันติภาพกันมากขึ้น ซึ่งก็จะเข้าทางหรือแผนที่พวกเขาวางเอาไว้คือการพยายามดึงทุกศรัทธาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวผ่านคำว่าสันติภาพ และในที่สุดแล้วมันก็จะถูกหลอมรวมเป็นต้นกำเนิดของศาสนาเดียวของโลก ... ศาสนาแห่งสันติภาพ

 

เรื่องบางเรื่องมันก็นานมาแล้ว อย่างเช่น รหัส 333 White House / Udonthani





​

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล





​

บางส่วนของเอกสารจำนวน 300 กว่าหน้าของเอกสารวิชาการคณาจารย์เสนาธิการทหารบก

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล ... ทุกหน้าของบันทึกประวัติศาสตร์ย่อมมีการบิดเบือนขึ้นอยู่ที่ว่าใครเป็นผู้บันทึก






... หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ...











CIA ไม่ได้จากเราไปไหน ... พวกเขาปฏิบัติการเสมือนเงาอยู่ข้างหลังเราตลอดเวลา ไม่ใช่เพื่อเราแต่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ​

อ้างอิงจาก : เอกสารวิชาการคณาจารย์เสนาธิการทหารบก

 

Divide & Rule : แบ่งแยก (ดินแดน) และ ปกครอง (ตนเอง)​

2517 : แบ่งแยกดินแดนภาคอีสาน ...[ไม่สำเร็จ]
2547-ปัจจุบัน : แบ่งแยกดินแดนภาค ...

​

เอกสารที่อ้างอิงผมหยิบยกเอามาแค่บางส่วน เหตุเพราะว่าส่วนที่เหลือผมยังสงสัยเคลือบแคลงอยู่โดยเฉพาะการอ้างว่าสำนักวาติกันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกๆเหตุการณ์ความวุ่นวายแต่ละประเทศโดยยืมมือเปื้อนเลือดของ CIA ดังนั้นขอพึงอย่าถือเป็นข้อมูลมาตรฐานเพียงแค่ว่ามันมีส่วนสอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันเท่านั้นนะครับ ครั้งหน้าถ้าไม่มีอะไรติดขัดจะย้อนกลับมาที่ภาพเขียน The Last Supper ของลีโอนาโด ดาวินชี กับการตีความปริศนาอีกแบบ

 

เหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นหลายแห่งทั่วโลกทั้งประเทศในอาหรับและแอฟริกา หากไม่ตามใจพี่กัน รัฐบาลอยู่ไม่ได้ กลุ่มกบฏขยายตัวอย่างรวดเร็วและช่ำชองการใช้อาวุธมากกว่าพลเรือนธรรมดา อาวุธที่ใช้มีคนจัดหาให้แน่นอน ชาวบ้านร้านช่องไปเอาของพวกนี้มากมายจากไหน เมื่อปฏิวัติโค่นล้มอำนาจเก่า พี่กันก็ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดของตัวเองขึ้น กอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายรัฐอิสลามทั่วโลก เป็นคำสอนที่เอามาจากอาหรับจากคนที่ไปเรียนศาสนา ลึกไปกว่านั้น เป็นเรื่องความคลั่งศาสนาสุดโต่งจนนำไปสู่การเป็นลัทธิก่อการร้าย กระจายไปทั่วโลก หรือแท้จริงแล้วมีเบื้องหลังกันแน่ เพราะอย่างที่รู้ๆกันว่าพี่กันเลี้ยงพวกนี้ไว้ มีบางกลุ่มแตกย่อยออกไปแบบคุมไม่ได้ในขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในหลายประเทศมีการจุดชนวนประเด็นขัดแย้งทางศาสนาขึ้นมาอีกระลอก สมัยนี้อะไรๆก็ไฮเทค การรับฟังข่าวสารก็ต้องพิจารณา เขาอยากให้เรารู้เราเห็นในแบบที่เขาอยากให้เป็น ซึ่งอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเสมอไป โลกเราวุ่นเพราะมนุษย์โลภแท้ๆ...

 

หากใครเคยอ่าน นวนิยายเรื่อง รหัสลับดาวินชี (Da Vinci Code) หรือแม้แต่เคยรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็ตาม อาจจะเคยทึ่งกับ จินตนาการของผู้แต่งที่เปิดเผยให้เห็นสัญลักษณ์มากมายในเนื้อเรื่องโดยผ่านการผจญภัยของศาตราจารย์แลงดอน ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญลักษณ์วิทยา และ หนึ่งในสัญลักษณ์ที่ยังถูกกล่าวถึงกันมากที่สุดก็คือ สัญลักษณ์ จอก (Grail) ในภาพเขียน The Last Supper - พระกระยาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดย นักคิด นักทดลอง ศิลปิน สถาปนิก ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก เลโอนาร์โด ดาวินชี Leonardo Da vinci ปัจจุบันภาพเขียน The Last Supper ยังคงอยู่ที่ผนังของโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเลกราซีเอ -Santa Maria delle Grazie เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

The Last Supper : ปี 1495-1497




โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเลกราซีเอ -Santa Maria delle Grazie

​

สิ่งที่นวนิยายและภาพยนตร์ทำให้นักอ่านหรือผู้ชมเชื่อว่ามี สัญลักษณ์จอกศักดิ์สิทธ์ (Holy Grail - จอกหรือถ้วยของพระเยซูที่พระองค์ทรงใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย) ปรากฏอยู่ทางด้านขวามือของพระเยซูก็เพราะว่าช่องว่างรูปสามเหลี่ยมยอดคว่ำ โดยนวนิยายได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า มันเป็นสัญลักษณ์แทนสตรีเพศ หรือมองดูคล้ายมดลูกของสตรี จอกที่รองรับสายพระโลหิตแห่งพระเยซู แล้วใครล่ะที่เป็นเกรลหรือจอก ผู้เขียนนวนิยายได้หยิบชื่อสตรีนางหนึ่ง ผู้ที่อาจจะเป็นพระชายาของพระเยซูแถมยังปรากฏกายอยู่ในภาพ The Last Supper นั่นก็คือ แมรี แมกดาลีน - Mary Magdalene สตรีผู้อยู่ด้านขวามือ (แทนตำแหน่งของ John) สวมอาภรณ์สีที่เป็นเสมือนเงาสะท้อนกับอาภรณ์ของพระเยซู นั่นมันยังไม่ได้ทำให้ผู้อ่านตระหนกพอเท่ากับ การที่พระเยซูทรงมีสายโลหิตสืบสกุล เป็นที่มาของการผูกเรื่องผจญภัยตามล่าจอกศักดิ์สิทธิ์ ด้วยจินตนาการของผู้เขียนและนักสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากหมู่คริสตชนทั้งในต่างประเทศหรือแม้แต่ภายในประเทศไทยเราเองก็ตาม

สัญลักษณ์รูปจอก : ช่องว่าง(สามเหลี่ยมยอดคว่ำสีเหลือง)ระหว่างพระเยซูคริสต์และจอห์น (แมรี แมกดาลีน-นวนิยาย)




ยังมีต่อ - จะเกิดอะไรขึ้น หากนั่นมันไม่ใช่สัญลักษณ์รูปจอกล่ะ ? ​

 

ก่อนที่จะไปยังแนวคิดที่ว่าไม่มีสัญลักษณ์รูปจอกในภาพ The Last Supper นั้นขอหยิบยืมเอาแนวคิดอื่นๆก่อนนะครับ​

อิทธิพลของนวนิยายและภาพยนตร์ทำให้หลายต่อหลายคนเชื่อกันอย่างหนักแน่นว่า John ในภาพ The Last Supper นั้นแท้ที่จริงก็คือ Mary Magdalene จริงๆ เลยทำให้เกิดเหล่าแฟนนวนิยาย-ภาพยนตร์ จินตนาการและคิดต่อยอดออกไปอีก ... ภาพต่างๆที่เห็นต่อไปนี้คือ สิ่งที่พวกเขาเชื่อกันว่า ไม่ได้มีแค่ Mary magdalene เท่านั้นที่อยู่ในภาพ The Last Supper

ก่อนอื่นทำความรู้จัก สาวก 4 ใน 12 ท่านกันก่อนนะครับ โดยทั้งสี่ท่านอยู่ทางขวามือของพระเยซู เรียงตามใบหน้านะครับไม่ได้เรียงกันตามตำแหน่งที่นั่ง

​

เอาละ ทีนี้มาสังเกตท่าทางตกใจของ Andrew กันก่อน สังเกตที่สายตานะครับ เป็นไปได้ว่า Andrew จับจ้องไปยัง 2 จุด นั่นก็คือ มือที่ถือมีดของ Peter (เส้นสีเหลือง - ในนวนิยายเชื่อว่าเป็นมือนิรนาม เนื่องจากตำแหน่งมันขัดกับสรีระของ Peter และคล้ายมีโครงเส้นที่ยื่นออกมาตรงกลางเหมือนแขนของอีกคน ซึ่งต่อไป ผมจะพยายามเฉลยว่า มือนี้เป็นของใคร) และ บริเวณหัวไหล่ของ Judas (เส้นสีเขียว - ผู้คิดทรยศต่อพระเยซู)

​

ทีนี้ ผมลองแรเงาทั้งสองตำแหน่งดูน่ะครับ ภาพมือที่ถือมีดของ Peter (เงาสีเหลือง) และ ภาพเด็กสวมอาภรณ์สีฟ้านั่งหันหลังให้และกำลังแหงนมองจ้องตากับ Andrew (เงาสีเขียว) ทีนี้คุณลองทดสอบสายตาและจินตนาการกับภาพด้านบนดูนะครับว่า เห็นคล้ายเด็กจริงๆหรือเปล่า

​

ยังมีต่อ - ในมุมมองของแฟนที่คลั่งไคล้นวนิยายหรือภาพยนตร์ เด็กคนดังกล่าวจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ บุตรแห่งพระเยซูกับแมรี แมกดาลีน

 

ภาพยนตร์ทำให้เราได้เห็นว่า สรีระของ John (แมรี่ แมกดาลีน-นวนิยาย) เข้ากันได้กับอาภรณ์และสรีระพระเยซูโดยผ่านการเลื่อนตำแหน่ง

​

เลื่อนตำแหน่งจากขวามือของพระเยซูไปด้านซ้ายมือ สังเกตว่าสีอาภรณ์(น้ำเงิน)จะกลืนเข้ากันพอดี ... ทีนี้เหลือเพียง ตำแหน่งสายพระเนตรของพระเยซูก้มต่ำไปทางซ้ายมือ พระองค์กำลังทอดพระเนตรอะไร ?

​

ถ้าเลื่อนตำแหน่ง เงาสีเขียวลงไป คงเดากันไม่ยากใช่มั้ยครับ

​

พระเยซู-แมรี แมกดาลีน และเด็กในอาภรณ์สีน้ำเงินเดียวกันพระเยซูและแมรี ซึ่งสายพระเนตรของพระองค์สบลงกับตำแหน่งสายตาของเด็กที่แหงนมองขึ้นไปพอดี

ยังมีต่อ - ถ้าเกิดเปลี่ยนวิธีการมองภาพดังกล่าวเราอาจจะเห็นเด็กทารกอีกคน ​

 

แนวคิดต่อไปนี้ บางท่านเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว แพร่หลายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ concept คือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย นั่นคงไม่พ้นพวกโปรแกรมแต่งภาพทั่วไปต้นฉบับเข้าใจว่าเป็นภาษาอังกฤษ แต่ภาพเล็กมาก ซึ่งมันก็ลำบากผมที่ต้องมานั่งสร้างรูปขึ้นใหม่อีก

เริ่มจากภาพต้นฉบับ



กลับภาพโดยอาศัยการสะท้อนซ้ายขวา



นำภาพมาซ้อนกัน โดยปรับให้เป็นแบบกึ่งโปร่งแสง พูดง่ายๆก็ประมาณว่าปริ๊นภาพสีบนแผ่นใสแล้วพลิกแผ่นใสกลับด้าน จากนั้นก็วางทาบลงบนต้นฉบับ



​

ในภาพบอกว่าเห็นคนสวมผ้าคลุมสีแดง (Red Robes) ซึ่งผมลองทำเลียนแบบแล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย ส่วนอีกภาพนั้น เขามองว่า Phillip กำลังอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมแขน แน่นอนครับการเห็นและตีความแบบนี้อาจจะเหมือนการพายเรือในอ่างเพราะถูกภาพมายาจากนวนิยาย จากภาพยนตร์ ตามหลอกหลอนหรือจำกัดกรอบความคิด ทั้ง แมรี แมกดาลีน สายเลือดของพระเยซู และเขาเขื่อว่าเด็กทารกในอ้อมแขนของ Phillip เป็น บุตรของพระเยซูกับแมรี แมกดาลีน อีกนั่นเอง

ภาพต้นฉบับมันเล็ก ผมเลยลองทำเลียนแบบ ... ต้องขออภัยไม่เหมือนซะทีเดียว



สาวก Phillip กำลังอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมแขน

​

ยุคสมัยของดาวินชี ไร้ซึ่งคอมพิวเตอร์ ไม่มีโปรแกรม ไม่มีซอฟแวร์ ไม่มีแผ่นใส เขาต้องการให้เราเห็นสิ่งที่ซ่อนในภาพซ้อนแบบนั้นจริงๆหรือ ... ส่วนตัว ผมคิดว่า หนึ่ง เพราะคนที่คิดเรื่องนี้อาจได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนวนิยายจึงทำให้เห็นภาพเช่นนั้นเกิดขึ้น เหมือนกับว่าเขาบอกว่ามีนกอยู่ในภาพนี้ ดังนั้นมันก็มีสักอย่างละน่าที่เราจะเห็น ขนนกหรือไม่ก็รังนกปรากฏตัวซ่อนเร้นอยู่ในภาพเช่นกัน สอง ผมมองว่ามันมาถูกแนวทางอย่างหนึ่งคือการที่ไม่ต้องอาศัยสัญลักษณ์รูปจอก แต่จุดอ่อนก็คือมันกลับก้าวไม่พ้นเรื่องราวของแมรี แมกดาลีน สายเลือดพระเยซู และนอกจากนี้การนำพระเยซูเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดในภาพ The Last Supper ทำให้ภาพนี้เกิดความผิดเพี้ยน ซึ่งเดี๋ยวผมจะบอกว่ามันผิดเพี้ยนยังไง

 

ของแถม ​

นอกจากอิทธิพลจากนวนิยายหรือหนังสือ ภาพของ John ดูคล้ายผู้หญิงนั้นก็น่าจะมีอิทธพลมาจากภาพ Head of young women ของดาวินชี เพียงแต่ว่าดาวินชีวาดภาพนี้หลังจากวาดภาพ The Last Supper เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันภาพ Head of young women ตั้งอยู่ที่ Galleria Nazionale เมือง Parma ประเทศอิตาลี

ลองนำมาเทียบกับใบหน้าของ John ใน The Last Supper ดูนะครับ





​

บางทีเราอาจจะโบ๊ยความผิดไปที่ดาวินชีก้ได้ โทษฐานที่วาด John เหมือนผู้หญิงเกินไป (deejai) แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากภาพ Head of young women แล้ว ดาวินชียังวาดภาพหน้าผู้หญิงในมุมเดียวกันอีกหลายภาพ ยกตัวอย่างเช่น ภาพที่โด่งดังอีกภาพของ ดาวินชี คือ Virgin of the Rocks (Madona of the Rocks) ปัจจุบันตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ฝรั่งเศส

​

 

*** The Last Supper ****





- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** The Last Supper ****



- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** The Last Supper ****



- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** The Last Supper ****



- " หนุมาน ผู้นำสาร "