หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทางฆราวาสท่านเน้นหนักการเชื่อถือ เพราะปรากฏว่าพุทธบริษัทบางจำพวกพากันไปนิยมนับถือในสิ่งที่ผิดเสียมาก เช่นนับถือภูตผีปีศาจ นับถือศาลเจ้าที่ นับถือการเข้าทรง นับถือเทพเจ้าต่างๆ นับถือศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ใหญ่ นับถืออารามเก่าแก่ ซึ่งการนับถือสิ่งเหล่านี้นั้น มันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้ เป็นการนับถือที่งมงายมาก ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทไม่ควรที่จะนับถือสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเมื่อไปนับถือสิ่งเหล่านี้เข้า ก็เท่ากับเป็นอ่อนการศึกษามากหรือขาดปัญญาในพระพุทธศาสนา เขาเหล่านั้นได้ปฏิญาณตนว่าได้ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วกลับมีจิตใจกลับกลอกหลอกหลอนตนเอง ไม่นับถือจริง เพราะถ้านับถือจริง ก็ต้องไม่นับถือสิ่งที่งมงาย ที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิแล้ว ดังนั้นจึงปรากฏในภายหลังว่า ภิกษุผู้เป็นชั้นหัวหน้าผู้ที่ได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์มั่น ฯ แล้ว จะต้องรู้จักวิธีการแก้ไขผู้นับถือผิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเป็นต้นได้ทุกองค์ ถ้าแก้สิ่งงมงายเหล่านี้ไม่เป็น หรือพลอยนับถือไปกับเขาเสียเลย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ฯ แน่นอน เพราะว่าการแก้เรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากการนับถือที่ฝังอยู่ในสันดานมานานแล้ว และสถานที่อันเป็นเทวสถานหรือภูตผีอยู่ ก็จะถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์ พากันหวาดเสียวไม่กล้าจะถ่ายถอนหรือกำจัดออกไป ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้แนะนำทั้งวิธีการจัดการเกี่ยวกับการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิธีการแนะนำโดยอุบายต่าง ๆ เมื่อท่านแนะวิธีแล้ว ท่านจะใช้ให้ไปทดลองปฏิบัติงานดูถึงผลงานที่ท่านเหล่านั้นไปปฏิบัติงาน

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้อธิบายว่า "อันที่จริงการนับถืองมงายนี้เกิดจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา หรือขาดการศึกษาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเอง ยิ่งชาวชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ก็ยิ่งมีแต่เชื่อความงมงายกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันจึงเป็นสิ่งที่แก้ยากมากทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าชาวชนบทจะพากันหลงงมงายหรอก แม้แต่ชาวเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม ยังพากันหลงงมงายในสิ่งเหล่านั้นมาก เช่น เจ้าพ่อนั้นเจ้าพ่อนี้ บางแห่งก็พากันสร้างเป็นเทวสถานแล้วก็ไปบูชาถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็มีมากมาย"

    ในเรื่องเหล่านั้นพระเถระบางองค์ถือว่าไม่สำคัญ แต่ท่านได้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกทีเดียว เพราะการจะเข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยะในขั้นแรกคือพระโสดาบัน ก็จะต้องแก้ไขถึงความเชื่อถือในเรื่องความงมงายเหล่านี้ให้หมดไป

    เพราะท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านต้องการสอนคนให้พ้นทุกข์จริงๆ สอนคนให้ เป็นอริยะกันจริงๆ ซึ่งบางคนพากันบำเพ็ญภาวนา ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์ของตนว่ามีธรรมปฏิบัติชั้นสูงเกิดขึ้นในใจแล้ว แต่เขานั้นยังมีความหลงงมงายในการนับถือเหล่านั้น ใช้ไม่ได้เป็นอันขาด ชั้นสูงในที่นี้ท่านหมายเอาถึงอริยสัจจ์ เพราะวิกิจฉาความลังเสสงสัยต้องไม่มีแก่ใจของบุคคลผู้มุ่งหน้าปฏิบัติเพื่อความเป็นอริยะ

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-03-01.htm
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ถ้าท่าน จขกท มีภูมิรู้ ภูมิธรรมสูงพอ ขอให้ อธิบายขยายความให้ด้วย

    ขออนุญาตครับ

    ถ้าท่าน จขกท มีภูมิรู้ ภูมิธรรมสูงพอ ขอให้ อธิบายขยายความให้ด้วย

    เดี๋ยวท่านผู้เข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดได้

    เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์นั้น ท่านมีเจตนาจะบอกจะสอนเฉพาะผู้มีปัญญาในการพิจารนาเท่านั้น

    ถ้าท่านยกคำสอนของท่านออกมาบอกเล่าแบบนี้
    จะกลายเป็นว่า ท่านผู้อ่านจะเข้าใจไปตามภูมิรู้ ภูมิธรรมของตน
    อันอาจจะล่อแหลม จนเกิดความหลงผิดได้

    ขอให้ท่านคิดแค่ว่า เหล่าเทวดาที่มีอายุขัยยาวนานขนาด ๖๔ มหากัป
    ท่านเหล่านั้นจะมีบุญบารมีขนาดไหน

    ท่านเหล่านั้น จะได้พบ จะได้เจอ จะได้ฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า หลายๆพระองค์ เป็นไปได้ไหม

    ท่านเหล่านั้น จะได้พบจะได้เจอ ครูบาอาจารย์ ที่ท่านมีบารมี ใกล้เคียงกับ องค์หลวงปู่มั่น มากเท่าไร

    เมื่อพระเจ้า พระสงฆ์ ท่านช่วยปัดเป่า ท่านช่วยแก้ไขภัยพิบัติ ไม่ได้

    แล้วการใช้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วการใช้อำนาจเทวฤทธิ์ แล้วการใช้พลังจักรวาล
    เพื่อรวบรวมชาวพุทธ สร้างกุศลผลบุญ อันยิ่งใหญ่ อันจะนำไปสู่

    การอัญเชิญพระพุทธองค์
    การอัญเชิญพระมหาพุทธานุภาพของพระพุทธองค์

    มาขจัดปัดเป่า มาป้องกัน มาแก้ไขภัยพิบัติ เพื่อให้โลกเกิดความสมดุลย์
    เพื่อให้โลก สามารถดำรงค์อยู่ได้ โดยยังไม่เกิด ภัยพิบัติ โดยยังไม่เกิดมหาภัยพิบัติ ขนาดล้างโลก

    ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์ ยังคงมุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพียงอย่างเดียว
    ถ้าญาติธรรมชาวพุทธส่วนใหญ่ เดินตามทางที่พระสงฆ์แนะนำให้เดิน

    "ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หลุดพ้น"

    โดยไม่ได้สนใจ เรื่องการป้องกัน การแก้ไขภัยพิบัติ
    โดยไม่ได้สนใจว่า

    "อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล"

    จึงจะสามารถ นำไปสู่ การป้องกัน การแก้ไขภัยพิบัติได้

    เมื่อท่านไม่ได้สนใจ ไม่ได้ศึกษา วิธีการป้องกัน วิธีการแก้ไขภัยพิบัติ

    ก็ขอให้ระมัดระวังว่า ท่านจะนำข้อเขียนอันมีประโยชน์ของครูบาอาจารย์
    มาบอกมาเล่า แล้วทำให้คนเข้าใจว่า

    วิธีการป้องกัน วิธีการแก้ไขภัยพิบัติ
    ด้วย "อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล"
    เข้าข่าย เป็นเรื่องเหลวใหล ขึ้นมาได้

    ขอให้ระมัดระวังว่า ท่านจะเป็นผู้ขัดขวาง
    วิธีการป้องกัน วิธีการแก้ไขภัยพิบัติ
    ด้วย "อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล" เสียเอง

    ผมจะรอดูว่า ท่านจะอธิบาย ขยายความ บอกเล่าขอบเขต ความหมายที่แท้จริง
    ที่ครูบาอาจารย์ท่านมีเจตนาบอกเล่าออกมาว่า อย่างไร

    ผมก็จะรอดูว่า นอกจากจะมีผู้จะแค่เอาตัวเองให้รอด โดยมุ่งสู่ความหลุดพ้นแต่เพียงอย่างเดียว
    หรือจะมีท่านผู้ใด กลุ่มใด หาญกล้าประกาศออกมา ต่อสู้
    เพื่อการป้องกัน เพื่อการแก้ไขภัยพิบัติ อีกบ้าง

    ผมก็จะรอดูว่า ท่านเหล่านั้น สู้ด้วยหลักการอะไร
    สู้ด้วยวิธีการแบบไหน สู้ด้วยความทรหดอดทนเพียงใด

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    โลกของอินเตอร์ผมเลือกไม่ได้ครับ จะให้ธรรมกับคนชนบทหรือคนเมือง คนมีปัญญาหรือคนไม่มีปัญญา ผมอ่านมาเห็นว่ามีประโยชน์ก็นำมาโพสต์ ใครคิดว่าไม่มีประโยชน์หรือเข้าใจผิดก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคน คนอยู่ใก้ลความเจริญมีการศึกษามากยังขาดปัญญา งมงายบูชาเจ้าพ่อ เทวสถานต่างๆ คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งๆ ที่พากันก่อสร้างขึ้นมาเอง ศาลพระภูมิ เจ้าที่ ร่างทรง เทพเจ้า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ มันมาจากไหน ความจริงแล้วก็มาจากอิฐ หิน ดิน ทราย ทองเหลือง ทองแดง หรือจากไม้ก็มีที่คนก่อสร้างปั้นแต่งขึ้นมา แล้วอุปทานไปยึดมั่นว่าเป็นเทพ เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้โชคลาภ แม้แต่พระพุทธปฏิมาก็มาจากคนสร้างขึ้นมา ใครอยากได้อะไรก็จุดธูปขอๆ ไม่ใช่ทางพุทธะ

    ทางพุทธะคือ อริยสัจ ทางแห่งมรรค เบื้องต้นต้องเจริญมรรคข้อแรกคือ สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ ความเห็นชอบคือเห็นอริยสัจตามความเป็นจริง เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจริง บาปบุญมีจริง นรก สวรรค์มีจริง กรรมดีกรรมชั่วมีจริง เชื่อผลแห่งกรรม เดินตามทางมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เท่านั้นที่จะเป็นหนทางพบมรรคผลนิพพพาน ปากก็ท่อง ขอมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นทีพึ่งแต่กลับไปพึ่งสิ่งอื่น ไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นทั้งที่คนสร้างมันขึ้นมาเองจะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันก็เป็นอย่างที่ใจคิดใจเรียกนั่นเอง พวกนี้นอกทางพุทธะ ไม่ใช่ทางมรรค พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งธรรม พึ่งตน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้พึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "ไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจเทวฤทธิ์ ไม่มีพลังจักรวาล" ไม่มีอำนาจอะไรเหนือธรรม
     
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผู้ถ่ายทอด ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ แม้ตัวเองยังหลงผิด

    ขออนุญาตครับ

    ผมดูออกแล้วว่า ที่แท้ท่านก็เป็นเพียงแค่

    "ผู้ถ่ายทอด ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ แม้ตัวเองยังหลงผิด"

    ผมก็อุตสาห์เตือนแล้ว กลับหาญกล้า ประกาศว่า


    "ไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ไม่มีอำนาจเทวฤทธิ์
    ไม่มีพลังจักรวาล"


    หรือจะให้คนพากันเข้าใจว่า นี่คือคำสอนของพระพุทธองค์

    ขอให้ท่านสำรวมระวังให้มากไว้

    เพราะผมจะบอกท่านว่า

    ที่ท่านบอกออกมา คือ การต่อต้าน การล้มล้าง
    ความเชื่อ ที่จะนำไปสู่การสร้าง พระใหญ่ชัยภูมิ
    ความเชื่อ ที่จะนำไปสู่การ ป้องกัน การแก้ไขภัยพิบัติ
    ความเชื่อ ที่จะนำไปสู่การ การป้องกัน การแก้ไขมหาภัยพิบัติ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับญาติธรรมชาวพุทธทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ชาวบ้านเล่าว่า ท่านได้แนะนำให้พวกเขาแสดงตัวเป็นพุทธมามกะ (ผู้รับเอาพระรัตนเป็นที่พึ่ง-ผู้ใกล้ชิดพระรัตนตรัย) และสอนให้พวกเขาเข้าใจในเหตุผลแห่งความเป็นจริง โดยไม่ให้มีความเชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล เพราะเหตุผลเป็นความจริงในพระพุทธศาสนา โดยท่านได้สอนเน้นถึงว่า คุณธรรมนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เช่นที่เราพากันกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรนี้ มิใช่ว่าเราไหว้หรือนอบน้อมต่ออิฐ-ปูน-ทองเหลือง-ทองแดง-ทองคำ-หรือไม้-ดิน เพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุก่อสร้างธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราจะกราบไหว้พระพุทธรูป เราต้องกราบไหว้คุณธรรม คือมาระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลสเครื่องยั่วยวน ซึ่งถ้าไม่ไกลจากกิเลสแล้วเราก็ไม่ไหว้ เราไหว้เฉพาะท่านที่ห่างไกลจากกิเลสเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า ไหว้พระองค์ท่านด้วยคุณธรรม จึงจะไม่ชื่อว่า ไหว้อิฐ-ปูน- ฯลฯ

    การไหว้พระธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธองค์ก็เช่นกัน โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระธรรมนั้น เพราะถ้าพระธรรม (คำสอน) ที่กล่าวแล้วไม่ดีและเมื่อพิจารณาเห็นประจักษ์แล้วว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ไหว้ไม่นอบน้อม ดังนั้นเราจึงไหว้แต่พระธรรมที่กล่าวดี มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกราบถูกเพียงแต่ใบลาน คือใบไม้ เพราะไปเข้าใจว่า ใบไม้คือธรรมนี้ชื่อว่าไม่ถูกต้อง เราจะต้องกราบให้ถูกให้ตรงต่อคำสอน คือพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

    สำหรับพระสงฆ์อันเป็นสาวกผู้สืบพระศาสนาคือหลักธรรมของ พระพุทธเจ้าก็มีนัยเช่นเดียวกัน การที่เราให้ความเคารพกราบไหว้สักการะก็โดยมาระลึกถึงว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการเป็นอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครๆ พร้อมกันนี้ท่านยังดำรงภาวะเป็นเนื้อนาบุญอันเอกอุของชาวโลก ดังนั้นเมื่อเราจะกราบไหว้เราก็กล่าวคำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ-พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆ์นั้น ถ้าพระสงฆ์มีการปฏิบัติไม่ดีเราก็ไม่กราบ เรากราบผู้ที่ท่านปฏิบัติดี อย่างนี้ชื่อว่า กราบถูก มิฉะนั้นจะเป็นว่าเรากราบคนหรือธาตุ ๔ เท่านั้น ดังนั้นขณะที่เรากราบโดยกล่าวคำระลึกดังที่กล่าวมาแล้วและมีพระสงฆ์อยู่ต่อเฉพาะหน้าเรา อาจจะไม่ถูกเรากราบ ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นปฏิบัติไม่ดี เมื่อทำได้ดังกล่าวชื่อว่าเรากราบได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-03-01.htm
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านได้คำนึงถึงข้อต่อไป ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ให้เอาเราเป็นที่พึ่งอาศัย”
    คือว่า ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทนั้นควรจะได้รู้ข้อเท็จจริงในที่พึ่ง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า
    “พาหุ เว สรณํยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ อารามรุกฺขเจตยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
    เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
    โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
    ทุกขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
    เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺข ปมุจฺจติ”


    “มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว พากันไปถือภูเขา ป่า อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง
    นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม พวกเขาพากันพึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้
    ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง มาเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ ก้าวล่วงทุกข์ด้วยมรรค ๘
    นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม นี่แหละเป็นที่พึ่งอันอุดม พวกเขาอาศัยที่พึ่งนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”


    การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไม่ให้ถือเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะว่า การถือเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งนั้น เป็นเรื่องงมงาย เช่น ต้นไม้ใหญ่ ตั้งศาลพระภูมิ ถือว่าผีเจ้าเข้าทรง เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องของความไม่แน่ใจในพระองค์ ซึ่งท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้พิจารณาเห็นว่า การเชื่อเช่นนั้น จะทำให้ผิดการดำเนินสู่จุดที่หมายแห่งความจริงในพระพุทธศาสนา แม้ในการบำเพ็ญจิตในเบื้องต้นก็จะทำให้ไขว้เขว เพราะขาดองค์คุณคือศรัทธา

    คนธรรมดาสามัญที่ยังไม่ได้บวชก็พอทำเนา แต่ผู้ที่บวชแล้ว เช่นพระภิกษุสงฆ์นี้ ย่อมจะต้องแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ จึงได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบท แต่พระภิกษุสงฆ์บางองค์กลับมาเป็นเสียเอง เช่น พาเขาไปตั้งศาลพระภูมิ หาวันตั้งศาลพระภูมิ นี้เป็นการแสดงถึงความไม่แน่ใจของท่านต่อองค์พระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมศาสดาของท่านเอง ท่านเหล่านั้นหาได้คิดไม่ว่า การกระทำเช่นนั้นคือการทรยศ อาศัยผ้ากาสาวพัสตร์ โดยการอยู่ได้ด้วยปัจจัยบริโภค ไม่อดอยากปากแห้ง แต่กลับถือเอาศาสนาคร่ำครึที่พระพุทธองค์ได้ทรงตำหนิแล้ว นำเอามาใช้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ออกปากว่า ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แต่เหตุไฉนเล่า จึงไปสนับสนุนการนับถือศาสนาอื่น อันที่เรียกว่าพระภูมิบ้าง อะไรอื่นบ้าง นั้นคือการทรยศต่อพระพุทธศาสนา

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านว่า ข้อนี้สำคัญ เพราะจะเป็นเบื้องต้นของการจะดำเนินไปหาที่สุดแห่งทุกข์ เพราะทุก ๆ คนที่เป็นศาสนิกชนต้องกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง” แต่เขาไฉนจึงไปถือเอาผีป่า พระภูมิ ซึ่งมันหาตัวจริงมิได้เป็นที่พึ่ง เมื่อขั้นต้นทำไม่ได้แล้ว ต่อไปจะทำอะไรให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ทางฝ่ายพระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นผู้มีความเชื่อมั่นใจในพระพุทธองค์อย่างแน่นแฟ้นแล้ว จึงได้ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ออกจากความเป็นฆราวาสมาทรงไว้ซึ่งผ้ากาสาวพัตร์ จึงต้องไม่เป็นผู้ทรยศต่อองค์พระบรมศาสดา

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านว่า
    “คำว่าศรัทธา คือความเชื่อนี้ จึงถือว่าเป็นรากฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเช่นท่านพระอริยบุคคลชั้นต้น คือพระโสดาบัน ท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา มีข้ออันท่านพระโสดาบันละได้อันเนื่องมาจากมรรคนั้นมี ๓ ประการคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ความเห็นถือว่าเป็นตัวตน ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความลูบคลำในศีล คืองมงายในสิ่งไม่ควรจะยึดถือ เช่นนับถือภูต-ผี-พระภูมิเป็นต้น นี่เป็นสิ่งแสดงว่าการจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยถือเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง ความจริงแล้วการนับถือพระพุทธองค์นั้นก็คือต้องการให้เอาพระพุทธองค์เป็นมูลเหตุ และเป็นแบบฉบับนั้นเอง แม้ว่าเราจะยังไม่เป็นอริยโสดาก็ตาม แต่เราก็ต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นอริยศาสดาเป็นต้น ความที่เป็นบุคคลอ้างตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา พระภิกษุสามเณร แต่พากันหลงเชื่องมงาย เช่นเชื่อ ศาลพระภูมิ เชื่อผีเจ้าเข้าทรง พระภูมิเจ้าที่ อะไรอย่างนี้ จะอ้างตนว่าเป็นภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา นั้นดูเป็นการไม่สมควรเลย”

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านว่า
    “เราต้องการสอนคนให้เข้าถึงอริยสัจธรรม ถึงความเป็นอริยบุคคล ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องย้ำถึงความจริงข้อนี้ให้หนักที่สุด เพราะถ้าไม่เข้าใจถึงความจริงแห่งความเชื่อนี้แล้ว จะเป็นการกั้นหนทางที่จะเข้าสู่ความจริงเป็นอริยเสีย เราทุกคนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะปรารถนาพระนิพพาน แม้การบำเพ็ญการกุศลต่าง ๆ ก็กล่าวกันว่า ‘นิพพานปจโยโหตุ ขอให้เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานเถิด’ แม้ว่าเราจะพึงทราบว่าผู้ใดผู้หนึ่ง ทรงความเป็นอริยบุคคล เราก็จะให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง นี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า คุณธรรมอันสูง คือความเป็นอริยนี้ เป็นยอดปรารถนาของบรรดาพุทธศาสนิกชน”

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-03-01.htm
     
  7. โยมแถวหลัง

    โยมแถวหลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +854
    อือ อะไรกันหนอ
     
  8. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ...“มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว พากันไปถือภูเขา ป่า อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง
    นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม พวกเขาพากันพึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้
    ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง มาเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ ก้าวล่วงทุกข์ด้วยมรรค ๘
    นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม นี่แหละเป็นที่พึ่งอันอุดม พวกเขาอาศัยที่พึ่งนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
    ..............._/|\_......... สาธุ....สาธุ.....สาธุ.........................
     
  9. TaKuMi01

    TaKuMi01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    คนบางคนคิดว่าการทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วบอกว่าดีแล้วก็ทำ
    ทั้งๆที่ความจริงคนที่รับคนนั้นต้องการหรือไม่ก็ไม่รู้

    ส่วนคนบางคนก็ไม่สามารถเป็นผู้ฟังหรือผู้รับที่ดีได้

    บางคนก็ใช้หลักธรรมคำสอนมาเอาชนะกันไม่ยอมกัน

    สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีใครได้เรียนรู้หลักธรรมอะไรเลย พยายามแต่จะเอาชนะกันเท่านั้น
     
  10. neschu_01

    neschu_01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +55
    อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล อำนาจเหล่านี้มีจริง แต่ผู้ที่มีอำนาจเหล่านี้ล้วนมีเกิด ดับ ตายกันทั้งนั้น เพราะทุกสิ่งมันยังมีภพ มีเสื่อม มีทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และโลกนี้ก็มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีอะไรถาวร ควรหรือจะไปยึดมั่นถือมั่น หากแต่ควรพยายามเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งๆ หนึ่ง ที่เกิดไม่ปรากฏ เสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอื่นปรากฏดีกว่าไหมหนอ
     
  11. Aiyarath

    Aiyarath Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +74
    ทุกสิ่งคือ สมมุติ
    อยากให้มองว่า คำสอนของพระอริยะ ที่ท่านบอกกล่าวเป็นการจำแนกถึงทางเลือก

    ถ้าท่านใดเลือก ทางนิพพาน ให้มองคำสอนของพระอริยะเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อสงสัย เพราะนั่นคือการชี้ทางสว่างแห่งการดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ฉะนั้น การสมมุติเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งนั่นจึงไม่มีแก่คนที่ต้องการ ไปนิพพาน

    ถ้าท่านใดเลือก ทางโลก ยังไม่อยากไปนิพพาน อยากให้เอาคำสอนของพระอริยะท่านเป็น หนทางหนึ่งในการดำเนินชีวิต พิจารณาด้วยเหตุและผล
    การมีห่วง ในพลังต่างๆ เช่น อำนาจ บารมี ห่วงในโลกนี้ โลกหน้า นั่นคือการยึดติดในหน้าที่ใน สิ่งที่ตนได้ยึดถือข้ามภพข้ามชาติ แน่นอนว่า ย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีกรรมพัวพันกันเข้ามาเกี่ยวข้อง จนบางครั้งหากจมดิ่งเกินไป ก็เป็นความงมงาย เพราะสิ่งเหล่านั้น เหล่านี้ ไม่ใช่ทางนำไปสู่การดับทุกข์ แต่เป็นการสร้างกรรมเพื่อ หมุนเวียนต่อเนื่องกันในชาติต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนไปนับไม่ถ้วน

    พระอริยะท่านสอน ท่านแนะเพราะท่าน เห็นว่า หนทางที่ท่านไป จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ท่านละทิ้งการยึดติดในสิ่งต่างๆ ที่ สมมุติขึ้น อุบัติขึ้นไม่มีที่สิ้นสุดในโลกนี้และโลกหน้า

    แล้วแต่เราท่านจะเลือกเอาเอง ไปทางไหนแล้วแต่ใจท่าน เพราะมันก็ มีดี คนละแบบคนละสไตล์ นะท่านนะ
     
  12. pongrat

    pongrat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +45
    เทวตานุสติ (อนุสติ10)
     
  13. prakan357

    prakan357 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +271
    เห็นด้วยครับ ในอนุสสติ 10 ว่าด้วยเรื่องของเทวตานุสสติ ท่านก็ไม่ได้มองข้ามหรือละเลยเทพเทวดา แต่ท่านสอนให้พิจารณาความดี หรือกุศลที่ส่งให้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นเทวดา เป็นการยึดเอาแนวทางปฎิบัติที่ดีไว้ แต่ไม่ได้ให้ยึดในรูปกาย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสั่งสอนให้ยึดถือหรือมองในขันธ์5ของพระองค์ ประวัติองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกท่านทั้งสายพระอาจารย์มั่น หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็พานพบก็เหล่าเทพเทวดามามากกว่าที่เราเจอหรือจะคิดถึงได้ ท่านไม่ได้ปฎิเสธของการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่ท่านพิจารณาถึงที่สุดของที่สุด เหนือโลก เหนือเทวดา เหนือพรหม คือนิพพาน สุดท้ายนี้ขอบคุณท่านทั้งหลายที่แสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆในทุกๆเรื่องอันทำให้เกิดสติปัญญาใหม่ๆ เป็นที่ยินดีอย่างยิ่ง แต่จักเป็นพระคุณอย่างสูงถ้าหากจักหลีกเลี่ยงทางอันจะเกิดไปสู่การปรามาสพระรัตนตรัยที่ควรแก่การบูชายิ่ง ขอบคุณครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเทวฤทธิ์ พลังจักรวาล อำนาจเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง อิทธิฤทธิ์ของเทวดามีจริง พญานาคมีจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ของจริงคือธรรม มีฤทธิ์ก็เสื่อมฤทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากก็เกิดจากจิต จิตเทวดา จิตมนุษย์สร้างฤทธิ์ได้ทั้งนั้น คนทั่วไปตื่นแต้นหลงว่าศักดิสิทธิ์ ปาฏิหารย์ แต่สำหรับผู้มีปัญญาฤทธิ์เป็นของธรรมดา มีสมาธิมีญาณใช้ปัญญาเดินตามทางมรรคดีกว่าครับ
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทางฆราวาสท่านเน้นหนักการเชื่อถือ เพราะปรากฏว่าพุทธบริษัทบางจำพวกพากันไปนิยมนับถือในสิ่งที่ผิดเสียมาก เช่น นับถือภูตผีปีศาจ นับถือศาลเจ้าที่ นับถือการเข้าทรง นับถือเทพเจ้าต่างๆ นับถือศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ใหญ่ นับถืออารามเก่าแก่ ซึ่งการนับถือสิ่งเหล่านี้นั้น มันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้ เป็นการนับถือที่งมงายมาก ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทไม่ควรที่จะนับถือสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเมื่อไปนับถือสิ่งเหล่านี้เข้า ก็เท่ากับเป็นอ่อนการศึกษามากหรือขาดปัญญาในพระพุทธศาสนา

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ชาวบ้านเล่าว่า ท่านได้แนะนำให้พวกเขาแสดงตัวเป็นพุทธมามกะ (ผู้รับเอาพระรัตนเป็นที่พึ่ง-ผู้ใกล้ชิดพระรัตนตรัย) และสอนให้พวกเขาเข้าใจในเหตุผลแห่งความเป็นจริง โดยไม่ให้มีความเชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล เพราะเหตุผลเป็นความจริงในพระพุทธศาสนา โดยท่านได้สอนเน้นถึงว่า คุณธรรมนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เช่นที่เราพากันกราบไหว้พระพุทธปฏิมากรนี้ มิใช่ว่าเราไหว้หรือนอบน้อมต่ออิฐ-ปูน-ทองเหลือง-ทองแดง-ทองคำ-หรือไม้-ดิน เพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุก่อสร้างธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราจะกราบไหว้พระพุทธรูป เราต้องกราบไหว้คุณธรรม คือมาระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลสเครื่องยั่วยวน ซึ่งถ้าไม่ไกลจากกิเลสแล้วเราก็ไม่ไหว้ เราไหว้เฉพาะท่านที่ห่างไกลจากกิเลสเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า ไหว้พระองค์ท่านด้วยคุณธรรม จึงจะไม่ชื่อว่า ไหว้อิฐ-ปูน- ฯลฯ

    การไหว้พระธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพระพุทธองค์ก็เช่นกัน โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระธรรมนั้น เพราะถ้าพระธรรม (คำสอน) ที่กล่าวแล้วไม่ดีและเมื่อพิจารณาเห็นประจักษ์แล้วว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ไหว้ไม่นอบน้อม ดังนั้นเราจึงไหว้แต่พระธรรมที่กล่าวดี มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกราบถูกเพียงแต่ใบลาน คือใบไม้ เพราะไปเข้าใจว่า ใบไม้คือธรรมนี้ชื่อว่าไม่ถูกต้อง เราจะต้องกราบให้ถูกให้ตรงต่อคำสอน คือพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

    สำหรับพระสงฆ์อันเป็นสาวกผู้สืบพระศาสนาคือหลักธรรมของ พระพุทธเจ้าก็มีนัยเช่นเดียวกัน การที่เราให้ความเคารพกราบไหว้สักการะก็โดยมาระลึกถึงว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการเป็นอยู่อย่างสงบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครๆ พร้อมกันนี้ท่านยังดำรงภาวะเป็นเนื้อนาบุญอันเอกอุของชาวโลก ดังนั้นเมื่อเราจะกราบไหว้เราก็กล่าวคำว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ-พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านอบน้อมกราบไหว้พระสงฆ์นั้น ถ้าพระสงฆ์มีการปฏิบัติไม่ดีเราก็ไม่กราบ เรากราบผู้ที่ท่านปฏิบัติดี อย่างนี้ชื่อว่า กราบถูก มิฉะนั้นจะเป็นว่าเรากราบคนหรือธาตุ ๔ เท่านั้น ดังนั้นขณะที่เรากราบโดยกล่าวคำระลึกดังที่กล่าวมาแล้วและมีพระสงฆ์อยู่ต่อเฉพาะหน้าเรา อาจจะไม่ถูกเรากราบ ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นปฏิบัติไม่ดี เมื่อทำได้ดังกล่าวชื่อว่าเรากราบได้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-03-01.htm
     
  17. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    พระพุทธองค์ทรงพิจารณาสัตว์โลก โดยเฉพาะคน เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า
    บัว 4 เหล่า ได้แก่
    1.ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)
    2.ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)
    3.ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)
    4.ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
    เมื่อเป็นแบบนี้ การสั่งสอนผู้คนแต่ละแบบให้เข้าถึงธรรมะ ให้เข้าถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดผู้ที่คิดว่าเป็นแบบบัวพ้นน้ำและรอเวลาเบ่งบาน ก็ไม่ควรไปยึดติด ยึดมั่น หรือขุ่นมัว ในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
    ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัย
    ความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ
    ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
    มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
    ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง
    หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ
    บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
    บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
    บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด
    ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น
    ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
    มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
    ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี. ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้นอาตมภาพ
    ได้กล่าวรับท้าวสหัมบดีพรหมด้วยคาถาว่า
    ดูกรพรหม เราเปิดประตูอมตนิพพานแล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลาย
    ผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธามาเถิด เราสำคัญว่าจะลำบาก จึงไม่
    กล่าวธรรมอันคล่องแคล่ว ประณีต ในมนุษย์ทั้งหลาย.
    ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงเปิดโอกาส เพื่อจะแสดง
    ธรรมแล้ว จึงอภิวาทอาตมภาพ ทำประทักษิณแล้ว หายไปในที่นั้นเอง.

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์หน้าที่ ๓๔๙/๕๑๘
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นี่เราก็สอนโลกชาวพุทธเราได้รู้เรื่องของศาสนาบ้างนะ ว่านับถือศาสนาพุทธเฉย ๆ ไม่รู้เรื่องของพุทธเลย มีมากต่อมากนะไม่ใช่ธรรมดา ถ้าจะพอรู้มีวี่มีแววบ้างก็พวกเข้าวัดเข้าวาเข้าปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งภาวนา อันนี้เป็นที่รวมของธรรมทั้งหลาย ถ้าว่าเป็นแม่น้ำก็เป็นทำนบใหญ่ แล้วก็เป็นมหาสมุทรรวมลงนั้น รวมลงที่จิตนี่ละ มีการภาวนาตีตะล่อมเข้ามาให้เข้าสู่ความสงบร่มเย็นสบาย ๆ ผู้ที่ดำเนินทางจิตนั้นจะเป็นผู้ที่รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่กว้างขวางมาก ที่โลกทั้งหลายลึกลับ ธรรมชาติอันนี้ไม่ลึกลับ มันจะเห็นไปหมดนะ นี่อำนาจของจิต

    ศาสดาอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์ ๆ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ที่จะมารื้อขนสัตว์ให้รู้เรื่อง เตือนสัตว์ทั้งหลายให้รู้เนื้อรู้ตัว คือรู้ใจของตัวเองนั้นแหละ ใจอยู่กับตัวของทุกคนแต่ไม่รู้ใจตัวเอง ให้กิเลสหลอกไปข้างนอก ล่มจมไปเสียมากต่อมาก ใจนี่พาไปเพราะหลง ไม่มีอะไรกระตุกเตือนคือธรรม ธรรมไม่มีกระตุกเตือนมันก็ย้อนเข้ามารู้ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่รู้ผิดถูกชั่วดี เพราะฉะนั้นเวลาสอนภาวนาท่านจึงบอกให้มีสติ ตั้งสติไว้นี้ ว่าพุทโธ ๆ แต่สติไม่มีมันก็เพ่นพ่าน ๆ คำว่าพุทโธก็เป็นนกขุนทอง วิ่งตามกิเลสไปเสีย พุทโธ ๆ พุทโธก็วิ่งตามกิเลส สติสตังไม่มีจิตก็ไม่รวม พอรู้ตัวนิดขึ้นมา โฮ้ นั่งภาวนานานไม่เห็นได้เรื่องอะไร มันจะได้เรื่องอะไรก็มันภาวนาหาเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่า ก็ได้แต่ของไม่เป็นท่ามา ก็มาทวงเอาคะแนน ทวงคะแนนไม่ได้แล้ว โอ๊ย นอนเสียดีกว่า ทีนี้เลยนอนดีกว่าทุกอย่าง เป็นอย่างนั้นนะ

    เวลามันผาดโผนมันผาดโผนจริง ๆ นะกิเลส มันเต็มอยู่ในหัวใจทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นพูดอะไรถึงพูดได้เต็มปาก มันผ่านมาเสียพอกว่าจะพิจารณาโลกให้มันรอบตัวเอง ถึงกับขั้นว่าปล่อยมันโดยสิ้นเชิงได้นี้ เรียกว่าทุกข์แสนสาหัส เรื่องซอกแซกของจิตพินิจพิจารณาฝึกทรมานตนเอง เพื่อความรู้ความเห็นทั้งโทษและคุณนี้เป็นเรื่องที่หนักมาก เราจึงกล้าพูดอย่างเต็มปากเลยเทียวว่า งานในโลกนี้ใครอย่าว่างานอะไรที่ยุ่งยากปากหมอง หรือได้รับความทุกข์ความทรมานมากอันใดเลย ถ้ายังไม่ได้ผ่านการฆ่ากิเลส ขึ้นบนเวทีฟัดกับกิเลสเสียก่อน อย่าด่วนคุยนะ ถ้าใครได้ขึ้นฟัดกับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว ลงจากเวทีมาแล้ว ผู้นั้นประกาศป้างได้เลย งานนี้เป็นงานหนักที่สุด

    งานหนักที่สุดนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เป็นความสุขสุดยอด นั่นเห็นไหมล่ะ หนักซิ กิเลสมันหนามันก็หนัก สู้กันอย่างหนัก เราอย่าเอาความลำบากลำบนซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส มากีดขวางทางเดินเพื่อความดีของเรา ยากนั่นให้ถือว่าเป็นเรื่องของกิเลส ความทุกข์ความทรมานจะทำความดีนี้ มันจะมาสร้างกำแพงกั้นไว้ทันที ๆ เป็นอุปสรรค หาเรื่องมากีดกัน เดี๋ยวจะทำอันนั้นจะทำอันนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ นั่นกิเลสลากออกไปแล้วนะ พอไปกับกิเลสจนจะตายก็ไม่รู้ว่ายุ่งว่ายาก บ่นก็บ่นแต่ว่าสาเหตุแห่งความทุกข์มาจากไหน กิเลสนำมามันไม่รู้ ก็มาบ่นให้แต่ผลของมันนั่นซี เหตุที่มันสร้างขึ้นมาเราไม่เห็น

    ธรรมจับเข้าไปเห็นหมดทั้งเหตุทั้งผล ทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างนั้นทุกข์จึงเป็นอย่างนี้ เมื่อเราฝึกทรมานเราฝึกได้อย่างนี้ ๆ ความสุขเกิดขึ้นมาอย่างนี้เห็นสาเหตุแห่งความสุข เห็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ทีนี้ก็รู้จักวิธีแก้ ถึงยากลำบากบ้างมันก็ทนเอาคนเรา แล้วไปได้ ถ้าอย่างนั้นไปได้ จึงได้กล้าพูดซิว่า เรื่องความทุกข์ในโลกอันนี้ ใครว่าทุกข์ที่ไหนอย่าเอามาคุยนะ ให้ขึ้นฟัดกับกิเลสเสียก่อน นี้ละตัวข้าศึกใหญ่ที่มันครอบโลกธาตุ ทำความทุกข์แก่โลก ได้รับความทุกข์ความทรมานกี่กัปกี่กัลป์มา คือกิเลสเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นเวลาจะแก้มัน เวลาจะทำลายมันรบกับมันนี้จึงหนักมากที่สุดตัวนี้ หนักมากทีเดียว มันควรสลบไสลพระพุทธเจ้าถึงสลบซิ มันควรจะยังไงมันก็เป็นได้ละเวลาขึ้นต่อกรกันแล้ว นักมวยต่อกรควรสลบ-สลบได้ ควรถูกน็อก-น็อก ดีไม่ดีตายไปเลยก็มี เป็นได้ทั้งนั้นแหละ เรื่องของกิเลสกับธรรมฟัดกันก็แบบเดียวกัน มันทุกข์ได้แบบเดียวกัน แต่ว่าผู้ที่ต่อสู้จริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องฟัดกับกิเลสนี้มักจะได้ชัยชนะไปเรื่อย ๆ นะ

    อย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนาม ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรานี้ องค์ไหน ๆ ก็เถอะ ถ้ายังไม่เข้าถึงตัวท่านก็เหมือนท่านล้างมือเปิบนะ เหมือนล้างมือเปิบ ๆ ท่านไม่เป็นทุกข์ เวลาเข้าถึงกันแล้วมาคุยกันนี้ โหย เราก็นึกว่าเรานี้เดนตายมา ท่านพูดขึ้นมาเราก็จะสู้ท่านไม่ได้ นู่นเห็นไหม มันทุกข์ด้วยกัน เป็นแต่เพียงไม่พูดเฉย ๆ นี่ละจึงว่ากองทุกข์ ถ้าใครไม่ได้ผ่านการสังหารกิเลส ซึ่งมีอำนาจครอบโลกธาตุให้จมอยู่ตลอดมานี้ ยังฆ่ามันไม่ได้หรือยังไม่ได้สู้กับมัน อย่ามาพูดว่าเป็นทุกข์นะ ถ้าได้ขึ้นต่อกรกับนี้แล้ว ผ่านไปแล้วพูดได้หมด อันนี้เป็นสุดยอดในความทุกข์ทั้งหลาย

    แต่เวลาธรรมชาตินี้ถูกสังหารเรียบลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะสุขสุดยอดยิ่งกว่าการพ้นจากหรือการปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านปราบเรียบร้อยแล้วท่านจึงสุขสุดยอด ทีแรกก็ทุกข์สุดยอดเหมือนกัน พอชนะไปแล้วก็สุขสุดยอด ต่างกันอย่างนี้นะ สอนคราวนี้เราก็สอนเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา ให้โลกทั้งหลายได้รู้ใจตัวเองบ้าง ถือศาสนาพุทธก็ไปดูในคัมภีร์เสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ในคัมภีร์เสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ลิเกดีเสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ที่พระพุทธรูปเขาสร้างไว้ที่นั่นที่นี่เกลื่อนไปทั่วประเทศไทย มีแต่พระพุทธรูป สร้างกันอย่างง่ายดาย สบายสร้างพระพุทธรูป แต่สร้างพุทธะคือผู้รู้ขึ้นภายในใจนี้ไม่มีใครสนใจจะสร้างนะ

    พระพุทธรูปที่ปรากฏนอกนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านสร้างความรู้ความฉลาดเป็นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันซึ่งเป็นศาสดาเอกของโลกแล้วนั้นพุทธะแท้ เราปั้นรูปท่านสำหรับกราบไหว้บูชา เราเลยมองตั้งแต่วัตถุข้างนอกกันเสีย ไปที่ไหนเห็นพระพุทธรูปก็กราบไหว้ปลก ๆ ไหว้ปลกแล้วไปไม่สนใจดูตัวเอง เวลานี้เรื่องวัตถุนี้จึงเกลื่อนในพุทธศาสนาเรา ไม่มีใครสนใจจะดูอันสำคัญนี่นะ กิเลสมันไสให้ไปเกาข้างนอกนู่น ให้ไปสร้างอันนั้นสร้างอันนี้

    เราไม่ปฏิเสธว่าเป็นบุญเป็นกุศล แต่บุญกุศลที่ล้นพ้นมันอยู่ที่ใจ การปฏิบัติตัวเองต่างหากนี่นะ อันนั้นได้แต่สู้อันนี้ไม่ได้ความหมายว่างั้นนะ ให้เห็นทั้งทางนั้นเห็นทั้งทางนี้ ปฏิบัติทางโน้น เอ้า สร้างก็สร้าง สร้างอันนี้ก็สร้าง สม่ำเสมอกันไป นี้ไม่ได้สนใจนะ เอะอะก็สร้างพระพุทธรูปมีเกลื่อนไปหมด ไปที่ไหน ในภูเขาที่ไหน ๆ พระพุทธรูปมีอยู่ทุกแห่ง ไปหาสร้างกันอย่างนั้น แต่ไม่สนใจจะสร้างตัวเองให้เป็นพุทธะ รู้ขึ้นมาที่ใจ ไม่ค่อยสนใจกัน เพราะอันนั้นมันทำง่าย อันนี้ทำยากไม่สนใจทำ ไปหาทำง่าย ๆ มากกว่า ไปไหนเลยขลังไปหมด

    พุทธะเลยไปอยู่ตามตู้ตามหีบตามคัมภีร์ตามพระพุทธรูป ตามสถานที่เจดีย์ต่าง ๆ ไปหมดเสียแล้วพุทธะ พุทธะในหัวใจของคนที่จะได้รับความสุขความเจริญแท้ ๆ ไม่ได้สนใจสร้าง เสียตรงนี้นะ ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ พุทธศาสนาก็เป็นจุดศูนย์กลางเป็นเครื่องมือให้ทั้งคนดีคนชั่ว ถ้าคนดีก็มีจำนวนน้อยกราบไหว้บูชาปฏิบัติตนให้เป็นคนดีไปตามคำสอน ถ้าเป็นคนที่มืดหนาสาโหด ก็เลยเป็นเครื่องมือของพวกนี้ไปเสีย

    เช่นอย่างจะไปปล้นเขาอย่างนี้ เอาพระพุทธรูปแขวนคอไปปล้นเขา ไปปล้นเขาเขาฆ่าตายล่ะซิ พระพุทธรูปหรือเครื่องของขลังเต็มคอเห็นไหมล่ะ นี่ละมันเอาไปเป็นเครื่องมือ บ้านนี้ก็มีมาปล้นเขาล่ะซิ บ้านตาดนี้ เครื่องรางของขลังพระพุทธรูปเต็มคอมาปล้นเขา เขายิงตายแล้วไปดูมีตั้งแต่เครื่องรางของขลังเต็มคอ เป็นอย่างนั้นนะ มันเอาไปเป็นเครื่องมือได้พวกนี้ ไปปล้นเขา เขาก็คนเขาก็ยิงเอา ไม่ได้นึกว่ามีแต่เราคนเดียวในบ้านนี้เป็นเจ้าอำนาจ ไปปล้นเขา เขาเป็นเจ้าของสมบัติ เขาก็มีสิทธิมีอำนาจมีใจเหมือนกันกับเรา ไม่ได้คิดล่ะซิ นึกว่ามีใจแต่เรา มีอำนาจแต่เราคนเดียว ไปปล้นบ้านเขา คนที่ถูกปล้นก็ถูก คนที่ไม่ถูกปล้นก็ด้อมเข้ามาข้างหลังยิงใส่เปรี้ยงตายเลย พอได้ยินเอะอะก็วิ่งมาแล้ว คนมาปล้นบ้านเขา เอะอะมาปล้น มาเห็นมันก็ยิงเอาเลยจะว่าไง ตาย พระพุทธรูปเต็มคอ ของขลังไม่เห็นขลัง

    พระพุทธรูปท่านสอนคนให้ไปปล้นอย่างนี้เหรอ แล้วเอาท่านมาทำไม แล้วจะไปตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่ขลังได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้มาขลังแบบถูกเขายิงตายอย่างนี้ ให้ไปปล้นเขาเขายิงตาย เราตถาคตจะอยู่ในคอนั่นแหละจะว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวเอามากี่องค์เอาหลวงตาบัวไปด้วย หลวงตาบัวก็อยู่คอพวกแกก็ตายไปเถอะ ข้าเป็นหลวงพ่อคูณข้าไม่ตาย ข้าโดดลงแต่ ๙๐ นู้นแล้ว แน่ะก็ไปอย่างนั้นถ้าเป็นหลวงตาบัวเข้าข้างหลวงพ่อคูณทันทีเลย เป็นอย่างนั้นมันขลังข้างนอก นี่เราพูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเลยไหลไปทางไหนก็ไม่รู้นะ พลังของจิตเมื่อรวมตัวแล้วมีพลังมาก

    เดี๋ยวนี้ดูโลกมันจะดูไม่ได้นะ มองไปที่ไหนมีแต่ดีดแต่ดิ้น ดิ้นกันทั่วโลกทั่วสงสาร ไม่ใช่เฉพาะพวกเรานะ คือมันเหมือนกันหมด วิ่งไขว่โน้นคว้านี้ คว้าโน้นคว้านี้ คว้าอะไรหลุดไม้หลุดมือ ๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระพอจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้เลย แต่คว้ากันทั่วโลกดินแดน เพราะเขาไม่รู้จักว่าจะคว้าอะไรดี อะไรก็ว่าดีไปหมดแล้วก็เหลวไปหมด ๆ นี่มันไม่มีหลักยึด เพราะฉะนั้นเมื่อได้สอนอรรถสอนธรรมเข้าให้มีหลักใจ นี้คือมีหลักยึด ศาสดาองค์เอกมาสอนไว้แล้ว ธรรม-ธรรมอันเอกมาสอน ยึด เกาะนี้ปั๊บติด ไปได้ ๆ คนเรา มันไม่มีอันนี้นั่นซีโลกถึงได้ร้อนไม่มีหยุดมียั้งนะ ยังจะร้อนไปอีกไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีเกาะอันเหมาะสมเข้ายึด เช่น ธรรม ถ้าธรรมแล้วพอเป็นพอไปคนเรา

    ทุกข์ยากก็ทุกข์ด้วยกัน เกิดมาในท่ามกลางแห่งกองทุกข์จะเอาความสุขมาจากไหน ก็ต้องมี แต่สาระสำคัญที่เราจะพึ่งพิงอาศัยคือธรรมก็ให้มี สำคัญอันนี้นะ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเราในเมืองไทยนี้เหลวไหลเอามากจริง ๆ มองไปไหนเป็นวัตถุไปหมดเลยไม่ได้เป็นนามธรรม คือจิตใจที่สงบร่มเย็นเพราะการปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีและไม่มี นั่นฟังซิ เป็นขั้น ๆ นี่เราพูดย่อม ๆ นะว่าไม่ค่อยมี เราอยากจะพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ว่า มันไม่มีว่างั้นเลย ใครจะไปสนใจกับอรรถกับธรรม มองไปที่ไหนเห็นแต่มันดิ้น มันไม่ได้เห็นดิ้นเข้ามาหาธรรมให้พอมองเห็นว่าพอมีบ้าง

    นี่ละหลักใจคือธรรมนะ ให้พากันยึดถ้าอยากมีฝั่งมีฝา ให้ยึดอรรถยึดธรรม ยึดสิ่งภายนอกเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครที่จะพึ่งกันได้แหละ ตายไปก็พังไปด้วยกันหมด มหาเศรษฐีตายไปก็พัง สมบัติเงินทองข้าวของพังไปด้วยกันหมด ไม่มีความหมายอะไรเลย ใจก็พังใจไม่มีที่เกาะ ยึดอันนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้ายึดธรรมแล้วอะไรจะพังไม่พังก็ตามใจกับธรรมไม่พัง นั่นไปพับเลย เศรษฐีตายก็เป็นสุขได้ คนจนตายก็เป็นสุขได้ถ้ามีธรรมในใจ ไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด เดินตามแถวของกิเลส ไอ้ฉลาด ๆ ไปตามแถวธรรมไม่ค่อยมีนะ ฉลาดก็ฉลาดเพื่อโง่ ฉลาดเพื่อสร้างกองทุกข์ใส่ตัวเองดังที่เป็นอยู่เวลานี้

    ทำให้โลกร้อนอยู่เวลานี้ มีแต่เสกสรรตัวเองว่าเป็นคนฉลาดทั้งนั้นแหละ เป็นนักวิชาการดอกเตอร์ดอกแต้ ครั้นเวลาเรียนมาแล้วก็มาถลุงพุงตัวเองนั่นแหละ ชาติตัวเองให้แหลกเหลวไปหมด มันฉลาดยังไงจึงทำอย่างนั้นล่ะ ถ้าฉลาดจริง ๆ เรียนมาแล้วก็มาพยุงชาติตัวเองให้ดีขึ้น พยุงผู้เกี่ยวข้องชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต่างคนต่างเรียนมา ต่างคนต่างเป็นนักวิชาการมาพยุงส่งเสริมตัวเองและชาติของตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ นี่เรียกว่าความรู้เป็นไปตามแถวธรรม จากนี้แล้วเป็นความรู้ของมหาภัยสังหารตนเองและผู้อื่นด้วย แล้วเวลานี้ความรู้ของพี่น้องชาวไทยเราเป็นความรู้ประเภทไหน ควรจะนำไปตั้งปัญหาถามตัวเอง เรียนมาแล้วเอามาสังหารชาติบ้านเมืองอย่างนี้หรือความรู้อย่างเอกน่ะ มันเอกอย่างนี้นะกิเลส มันเอาให้จมได้นะความรู้ประเภทนี้ ถ้าเป็นความรู้ของด้านธรรมะเรียนมามากมาน้อย มาปรับปรุงพยุงให้ดีขึ้น ๆ เรียกว่าธรรม ความรู้อย่างนี้เป็นธรรม เป็นอย่างนั้นนะ

    เอาทีนี้ยกเข้าไปหาตัวสุดยอด พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระองค์อยู่ตั้ง ๖ ปีสลบ ๓ หนอยู่ในป่า จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้วและสั่งสอนโลก ก็เป็นมหาวิทยาลัยป่าขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องชื่อมหาวิทยาลัยก็ตาม เป็นขึ้นแล้วโดยหลักธรรมชาติ บรรดาพระสงฆ์สาวกทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยปัจจัยเข้าไปศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้าในป่าในเขา ยกตัวอย่างเช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นต้น นี่ไปศึกษาอบรมมาหลั่งไหลกันไปศึกษาอบรมอยู่ในมหาวิทยาลัยป่า องค์นี้สำเร็จเป็นพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นี่เรียนสำเร็จออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า เป็นวิชาที่จะเทิดทูนตัวเองให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายได้โดยลำดับลำดาไป ผู้นอกจากนั้นก็ศึกษาอบรมกันสำเร็จออกมา ๆ อย่างน้อยก็เป็นกัลยาณชน เป็นผู้มีสติปัญญาสงบเสงี่ยมเจียมตัว รู้บุญรู้บาป มีหิริโอตตัปปะประจำใจ นี่ผู้ที่เรียนออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า ดังพระพุทธเจ้าสอนเป็นอย่างนั้นนะ

    ทีนี้พวกเรานี้เรียนมันไม่ได้เรียนแบบพระพุทธเจ้าซิ เรียนเข้ามาเพื่อเผาตัวนั่นซี ความรู้นี้ก็เป็นความรู้ที่กิเลสผลิตให้นะ ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมผลิตให้ ออกมาจากธรรม ๆ ออกไปจึงเป็นธรรมเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นสรณะของพวกเรา ออกมาจากป่าทั้งนั้นนะ เกือบจะว่าร้อยทั้งร้อย สรณะของพวกเราที่สำเร็จนี้ ส่วนมากมาจากป่า มาเป็นสรณะ พุทฺธํ พุทธะก็ ธรรมเกิดในป่า ธมฺมํ ธรรมเป็นหลักธรรมชาติ รู้ธรรมนี้อยู่ในป่า พระสงฆ์ปฏิบัติตามก็ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอยู่ในป่าในเขา แดนแห่งสถานที่บำเพ็ญอันสะดวกผาสุกร่มเย็น ท่านสำเร็จแล้วออกมาเป็นสรณะของพวกเรา

    นี่ละต้นรากฐานแห่งพระพุทธศาสนาในเบื้องต้น สถานที่ก็เหมาะสมการบำเพ็ญก็เหมาะเจาะทุกอย่าง ผลได้ขึ้นมาเป็นที่พึงใจ เป็นที่พึ่งต่อสัตวโลกได้โดยสมบูรณ์ โดยลำดับลำดามา นี่ละรากฐานเป็นอย่างนั้น ครั้นต่อมาก็ค่อยเปลี่ยนแปลงมา กิเลสเหยียบย่ำเข้าไป ๆ มหาวิทยาลัยป่าจะไม่มีนะนี่ จะมีแต่มหาวิทยาลัยบ้าน มหาวิทยาลัยส้วม มหาวิทยาลัยถานไปแล้วนะ ตั้งขึ้นเสกสรรปั้นยอกิเลสขึ้น มันต่ำอยู่แล้วกิเลสจะเสกขึ้นให้มันสูงขนาดไหน มันจะเอาความสูงมาจากไหน มูตรคูถอยู่ในส้วมยกไปขึ้นปราสาท ๗ ชั้นมันก็ไปเป็นส้วมเป็นถานอยู่ ๗ ชั้น มันจะไปเป็นทองทั้งแท่งได้ยังไง ประสามูตรประสาคูถเข้าใจเหรอ

    นี่ก็เหมือนกันกิเลสเป็นของต่ำทราม จะยกให้ทัดเทียมกับโลกกับสงสาร พุทธศาสนากับโลกให้ไปเสมอกัน ตั้งมหาวิทยาลัยป่า ท่านมีมหาวิทยาลัยป่าโดยหลักธรรมชาติ เราก็เสกสรรปั้นยอมหาวิทยาลัยบ้านขึ้นมา เช่นอย่างตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้เห็นไหมเกลื่อนอยู่นั่น ใครเห็นทุกคนปิดกันได้ไหม มหาวิทยาลัยสงฆ์นั่นไปดูซิ หลักวิชาสอน สอนกันยังไง มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ จนกระทั่ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนี้เป็นหลักวิชาของพระพุทธเจ้าที่สอนโลกให้ได้พ้นจากภัยจากเวร มีความรู้ความฉลาดสามารถเป็นสรณะของพวกเราได้

    นี่มหาวิทยาลัยบ้านมันตั้งอะไร เอาตั้งแต่วิชาทางโลก วิชามูตรวิชาคูถเข้าไปสอนกัน เอาฆราวาสไปสอนพระอยู่ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีตั้งแต่มูตรแต่คูถสอนมูตรสอนคูถ เอามูตรคูถสอนส้วมสอนถานมันจะวิเศษวิโสมาจากไหน มันก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นมูตรเป็นคูถด้วยกันอยู่นั่นละ สอนมหาวิทยาลัยบ้านจะให้มันทัดเทียม มันทัดเทียมอะไร ทีนี้เวลาจะตั้งให้มันสมยศของมันแล้วจะตั้งมายังไง มหาวิทยาลัยป่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ธรรมสังหารกิเลส มหาวิทยาลัยบ้านเป็นมหาวิทยาลัยที่กิเลสสังหารพระว่างั้นถูก มันผิดไปไหน เรียนมาด้วยกันเห็นอยู่ด้วยกันมาค้านกันได้ยังไง

    หลักวิชาของมหาวิทยาลัยบ้านเขาเรียนทุกวัน มีตั้งแต่เรื่องวิชาของทางโลกทางสงสารของกิเลสตัณหา ที่จะลากพระลากเณรออกไปให้ตกเหวตกบ่อทั้งนั้น ไม่ได้ลากขึ้นสวรรค์ ชั้นพรหม นิพพานที่ไหนมันลากลง มันตรงกันข้าม มันทัดเทียมกันอะไรอย่างนั้น มันคู่แข่งคู่ปรปักษ์กับธรรมว่างั้นถูกต้องนะ แล้วก็ตั้งกันขึ้นมาอย่างนั้นจะให้ทำยังไง ก็เห็นกันอยู่นี้ พวกที่มาตั้งมหาวิทยาลัยนี้เป็นคนโง่เมื่อไร ก็เป็นคนฉลาดทั้งนั้น ถ้าฉลาดเป็นธรรมก็เป็นประโยชน์ได้มากมาย แต่นี้มันฉลาดแบบนั้นซิ เลยล่มเลยจมไปเรื่อย ๆ

    เราไม่ได้ตำหนิใครเอาความจริงมาพูด ธรรมต้องเอาความจริงมาพูด หลอกลวงหรือโกหกไม่เป็นธรรม เรื่องของกิเลสปลิ้นปล้อนหลอกลวง ชั่วขนาดไหนก็ต้องบอกว่าดี เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น มันเสกสรรปั้นยอ ธรรมไม่เสก เป็นยังไงว่าไปตามกฎตามเกณฑ์ของธรรม เพราะฉะนั้นมันถึงเลอะเทอะซิศาสนาเราเวลานี้ มีศาสนาเหลืออยู่ที่ไหน ก็มีอยู่ในตู้ในหีบนั้นเสีย ไม่เห็นมีอยู่ในบุคคลพอจะเป็นความสุขความเจริญสงบร่มเย็นบ้างเลย มันไม่มี มีแต่ในตู้ในหีบ แต่กิเลสนั้นออกเพ่นพ่าน ๆ รบราฆ่าฟันหั่นแหลกยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่กิเลสพาทำงานทั้งนั้น ถ้าธรรมพาทำไม่ยุ่ง สบายไปเลย

    วันนี้ก็เทศน์ขนาดนี้ก็เอาแล้วนะ วันไหนว่าจะไม่เทศน์ ๆ ทุกวันหลวงตา ป.๓ ไม่ทราบเอาความรู้มาจากไหน เอามาจากส้วมจากถานนั้นแหละดังเทศน์ตะกี้นี้ เทศน์ส้วมเทศน์ถานเอามาจากนั้นแหละมาเทศน์จะว่าไง พวกหูส้วมหูถานก็ฟังกันไป ถ้าหูอรรถหูธรรมก็เป็นธรรมขึ้นไป เทศน์ตรงไหนเป็นธรรมทั้งนั้น เพราะเทศน์ธรรมะนี่วะ มีเท่านั้น

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
    สร้างพุทธะผู้รู้ขึ้นภายในใจ

    Luangta.Com -
     
  20. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ธรรมเพื่อความหลุดพ้น v/s ธรรมเพื่อแก้ไขภัยพิบัติ


    ขออนุญาตครับ

    ผมพยายามอธิบายว่า

    ธรรมเพื่อความหลุดพ้น v/s ธรรมเพื่อแก้ไขภัยพิบัติ

    นั้นต่างกันอย่างไร

    เพราะ พระสงฆ์สืบทอดพระศาสนามานาน จึงได้รับการยอมรับนับถือ อย่างสูง

    แต่สิ่งที่ชาวพุทธ ต้องแยกแยะให้ได้ก็คือว่า

    ธรรม ที่พระพุทธองค์ได้สอนเอาไว้ ก็ดี
    ธรรม ที่ครูบาอาจารย์ สอนเอาไว้ ก็ดี

    ล้วนดีทั้งนั้น

    แต่ ธรรม ของดีทั้งหลายนั้น ก็ต้องพิจารนาให้เหมาะสม
    ให้ถูก กาล เทศะ ถูกคน ถูกที ถูก เวลา

    ไม่ใช่ ครูบาอาจารย์ ท่านสอนพระ ท่านสอนโยมนักปฏิบัติขั้นเข้มข้นของท่าน
    ชาวบ้านทั่วๆไป กลับจะไปปฏิบัติตามแบบนั้น แล้วจะได้ประโยชน์อะไร

    ถ้ามีโยมไปถือศีล ๒๒๗ ข้อ แบบพระ จะได้ประโยชน์อย่างไร

    เพราะถ้าพระเจ้า พระสงฆ์ ท่านปฏิเสธ


    "พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    "อำนาจเทวฤทธิ์"
    "พลังจักรวาล"


    แล้ว ท่านก็คงไม่เลือกทำเลที่ตั้งวัด ให้ยุ่งยาก
    แม้ครูบาอาจารย์เด่นๆดังๆ ท่านอยากจะไปครองวัด ท่านอยากจะไปสร้างวัด ที่โน่น ที่นี่
    แต่ถ้าเทพเจ้าที่เขาไม่ยอม ท่านก็ไม่ได้ไปบังคับขู่เข็ญแต่อย่างไร
    ท่านก็ไปที่อื่นๆแทน

    ประเทศไทยตั้งมาหลายร้อยปี
    ผมก็ไม่เห็นมีครูบาอาจารย์ท่านใด ไปเที่ยวแนะนำชาวบ้าน ชาวเมืองว่า


    "ไม่มีพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    "ไม่มีำอำนาจเทวฤทธิ์"
    "ไม่มีพลังจักรวาล"


    ผมก็ไม่เห็นมีครูบาอาจารย์ท่านใด ไปเที่ยวแนะนำชาวบ้าน ชาวเมืองว่า

    "ศาลหลักเมือง รื้อทิ้งไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อันใด"

    "อันนั้นเป็นพราหม อันนี้เป็นพุทธ ต้องทิ้งพราหมให้หมด เหลือพุทธอย่างเดียว"


    แม้องค์หลวงตามหาบัว ท่านจะบอกว่า "ไม่ต้องอัญเชิญเทวดา"
    ท่านก็ให้เหตุผลว่า "เพราะเหล่าเทวดา เหล่าพรหม เหล่ามหาพรหม มาครบหมดแล้ว"

    ถ้า
    "ไม่มีพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    "ไม่มีำอำนาจเทวฤทธิ์"
    "ไม่มีพลังจักรวาล"


    แล้ววัดต่างๆ สร้างเหรียญ สร้างรูปหล่อ สร้างเครื่องรางของขลัง ออกมาได้อย่างไร

    เพราะที่ผมเห็นอยู่นี่ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ ชาวพุทธส่วนใหญ่
    เขาก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนไป
    โดยไม่ได้ไปสนใจว่า

    เมื่อถึงยุคกึ่งพุทธกาล เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้น จะแก้ไขได้อย่างไร
    ธรรมที่พระพุทธองค์ได้สอนเหล่าเทวดาเอาไว้ มีอะไรบ้าง
    ธรรมเหล่านั้น จะนำไปสู่การแก้ไขภัยพิบัติ ได้อย่างไร

    เมื่อถึงยุคกึ่งพุทธกาล เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้น
    ยังมุ่งสอนแต่ธรรมเพื่อความหลุดพ้นกันอยู่ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
    ท่านจะไม่สนใจเรื่องภัยพิบัติ ก็ไม่เป็นไร

    แต่เมื่อท่าน แสดงธรรม ในส่วนที่ต่อต้าน การแก้ไขภัยพิบัติ
    ก็ต้องออกมาปราม ออกมาเตือนกันบ้าง

    พระสงฆ์ก็ดี ชาวพุทธก็ดี ถ้าท่านเห็นว่า ธรรมเพื่อความหลุดพ้น ดีที่สุด
    ท่านก็สอนธรรมของท่านไป ท่านก็ปฏิบัติธรรมของท่านไป ท่านก็ชักชวนคนให้ปฏิบัติตามแนวทางของท่านไป

    เราขอโมทนาบุญ เราขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกๆท่าน

    แต่ในธรรมส่วนที่ ท่านไม่เข้าใจ


    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ โลกวิญญาณ โลกทิพย์
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ เทวดา มาร พรหม
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ กรรม
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การขออโหสิกรรม
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ บรรพชน
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ วีระชน
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ วีระกษัตริย์
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ นักรบผู้กู้ชาติ
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ นักรบเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ วิญญาณเร่ร่อน ไร้ญาติขาดมิตร
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ วิญญาณที่ถูกลืม
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ วิญญาณที่ไม่มีใครลำลึกนึกถึง
    ในธรรมส่วนที่เกี่ยวกับ การสร้างกุศลผลบุญ เพื่อ อุทิศให้ เหล่าเจ้ากรรม นายเวร ทั้งหลาย


    ธรรมที่ แม้แต่ พระอรหันต์ที่มีบุญบารมีสูงที่สุด ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ

    ธรรมที่แม้แต่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็บอกได้แค่ว่า


    "พระโพธิ์สัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก"
    "เป็นผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต"
    "ต้องให้ความเคารพท่านด้วย"

    "เมื่อเฮาตายไปแล้ว จะมีช้างเผือกหนุ่มเกิดขึ้น"


    ธรรมที่แม้แต่องค์หลวงปู่ใหญ่ ท่านก็บอกได้แค่ว่า

    "พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีเต็มแล้ว มีบารมีในการสงเคราะห์มนุษย์เทียบเท่าพระพุทธเจ้า"

    ธรรมที่แม้แต่องค์หลวงตาม้า ท่านก็บอกได้แค่ว่า

    "พุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีมาครึ่งทาง ยังไม่รู้อะไรมาก"
    "พุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีเกือบจะเต็มโน่นละ จึงพอจะรู้อะไรบ้าง"

    "พุทธภูมิ จะไปเรียนรู้กับพระอรหันต์ ไม่ได้ เพราะท่านบอกได้แต่ทางเพื่อความหลุดพ้น"
    "ต้องไปเรียนรู้กับพุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆเท่านั้น"

    "พุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆ จะไปตามหาที่ไหนกันละ"


    ดังนั้นเมื่อมี พุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆ ท่านออกมาบอก ออกมาเล่า ออกมานำพา

    แก้ไขภัยพิบัติ แก้ไขมหาภัยพิบัติ

    และท่านออกมาบอกว่า จะใช้ทั้ง


    "พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    "อำำนาจเทวฤทธิ์"
    "พลังจักรวาล"

    เพื่อ นำไปสู่ การสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ให้สำเร็จ
    เพื่อ นำไปสู่ การอัญเชิญ พระพุทธองค์ พระมหาพุทธานุภาพของพระพุทธองค์
    มาช่วยป้องกัน มาช่วยแก้ไขภัยพิบัติ ทั้งมวล
    เพื่อให้โลกได้สุขสงบอีกครั้ง
    เพื่อให้ชาวพุทธ มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาอีกครั้ง

    ด้วย "พระมหาพุทธานุภาพของพระพุทธองค์"
    ด้วย "พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์"
    ด้วย "อำำนาจเทวฤทธิ์"
    ด้วย "พลังจักรวาล"
    ด้วยพลังเกื้อหนุนของ "เหล่าเทพเจ้า ทั้งหลาย"
    ด้วยพลังเกื้อหนุนของ "เหล่าเทวดา ทั้งหลาย"
    ด้วยพลังเกื้อหนุนของ " พรหม ทั้งหลาย"
    ด้วยพลังเกื้อหนุนของ "มหาพรหม ทั้งหลาย"
    ด้วยพลังเกื้อหนุนของ "เหล่าผู้มีฤทธิ์ ทั้งหลาย"

    ย่อมสามารถน้อมนำให้เหล่าชาวพุทธ ผู้มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศล มาร่วมสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ จนสำเร็จได้


    ที่ผมเขียนบอกเล่าออกมานี้

    ไม่ได้หวังให้ชาวพุทธทุกท่านได้เข้าใจ
    แต่แน่นอย ย่อมมีชาวพุทธผู้มีสายใยบารมี มีบุญบารมีเข้าใจได้

    ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจ ผมก็จะบอกว่า ท่านจะค่อยๆเข้าใจได้มากขึ้นๆ
    ตามความก้าวหน้า ของการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ที่ค่อยๆก้าวหน้าไปๆ

    และเมื่อการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิสำเร็จเสร็จลง
    ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจได้มากขึ้น
    เพราะโลกจะสุขสงบ ปราศจากภัยพิบัติทั้งหลาย

    และเมื่อนั้น ท่านทั้งหลายก็จะได้รำลึกนึกถึงว่า

    ลุงมหาบอกเล่ามาตั้งนานแล้ว ทำไมตอนนั้นจึงไม่เข้าใจ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับชาวพุทธทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...