กฎของกรรม...ตามให้ผล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 9 กรกฎาคม 2012.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]




    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี



    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับต่อไปนี้ อาตมาภาพจะได้นำพระสูตร เนื่องกฎแห่งกรรม มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งนี้ก็เพราะว่าพระว่า มีบรรดาประชาชนทั้งหลาย สงสัยกฎแห่งกรรม เป็นอันมากมักจะมีบุคคลทั้งหลาย สงสัยกฎของกรรม เป็นอันมากมักจะมีบุคคลทั้งหลายถามว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไรทำแต่ความดีทุกอย่าง บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง หมายถึงทำบุญกุศลก็ทำพระธรรมเทศนาก็ฟัง และการปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำ
    เมื่อทำแล้วทุกอย่างในด้านความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสรรเสริญ แต่ก็กลับมาถูกกรรมชั่วสนอง ให้เกิดมีความทุกข์อย่างนี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยว่า การทำบุญในศาสนาของ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ไม่มีผล
    เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน จึงได้ขอนำพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าตรัสไว้ มาให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้สดับฟัง สำหรับตอนนี้ ขอนำเรื่องของคน 3 คน ที่มีกรรมตามสนองเป็นกรรมจากชาติก่อน มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า
    เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ใน พระเซตวันมหาวิหาร ทรงปรารถชน 3 คน จึงได้แสดงพระธรรมเทศนานี้ความว่า น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น ความมีอยู่ว่า
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถอยู่ในพระเซตุวันมหาวิหาร บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกัน มาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เข้าสู่ตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาต อันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ย่อมมีชีวิตอยู่บ้านมีชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง เมื่อชาวบ้านรับบาตรของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน คือเขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร เมื่อถวายข้าวยาคู แล้วของเคี้ยว (สำหรับ ยาคู ท่านแปลว่า ข้าวต้ม ของเคี้ยวก็คงเป็น กับข้าว ) เป็นต้น เมื่อถวายของท่านแล้ว ก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จ เพื่อฟังธรรม
    ในขณะนั้นเอง ปรากฏว่า เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาไฟของหญิงคนหนึ่งสำหรับคนนั้น เป็นผู้หุงข้าว แล้วปรุงอาหาร ท่านบอกว่า สูปะ และพยัญชนะ (แกง และกับ ) อยู่ที่เตาไฟ ไฟนั้นได้ลุกติดชายคา สำหรับ เสวียนหญ้า เขาทำกลมๆทำด้วยหญ้าอันนั้นรองหม้อข้าวหมอแกง ถูกเปลวไฟเผา ลมพัดมา ก็ปลิวขึ้นไปบนอากาศ
    ในขณะนั้นเอง ปรากฏว่า มีกาตัวหนึ่ง บินมาในอากาศ เสวียนหญ้าอันนั้น ก็สอดเข้าไปในคอกาพอดี หมายความว่า เวลาที่กาบินมา เสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป กาตัวนั้นก็บินมา เอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้า กาตัวนั้นทนไม่ไหว ก็เลยตกลงกลางบ้าน บินต่อไปไม่ได้ ก็เป็นอันว่าต้องตาย กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ ไฟลุกติดขึ้นมาจากชายคา เสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ลมพัดลอยขึ้นไป กาบินมาเอาคอสวมเข้าคอไปพอดีไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย
    บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เห็นเหตุนั้นจึงได้คิดว่า เออ นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน กรรมหนักแท้ๆ ท่านผู้มีอายุ ท่านคุยกันว่า ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นแก่กา ตามธรรมดา กาบินมาในอากาศเฉยๆเสวียนหญ้าถูกไฟลุก ลอยขึ้นมาในอากาศ เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ ความเร็วอัศจรรย์ เราไม่สามารถพยากรณ์ได้ เว้นแต่องค์สมเด็จสัมมาพุทธเจ้าแล้ว ก็คงไม่มีใครสามารถนี้ได้จึงปรึกษากันต่อไปว่า เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธแล้วจะต้องทูลถามเรื่องนี้ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ โมทนาแก่ชาวบ้านแล้วก็พากันลาชาวบ้าน........

    [​IMG]



    มาอีกตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง โดยสารเรือไปเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ในขณะนั้น เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางมหาสมุทร ขณะนั้นเรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางสมุทร ขณะที่เรือวิ่งๆ ไป แล้วมันก็หยุด (ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ต้องดูว่า น้ำมันเชื้อเพลิงหมดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเหตุใด แต่ว่าสมัยนั้น เป็นเรือใบ ลมก็มี ใบก็กาง แต่ว่าเรือหยุด )
    บรรดาพวกมนุษย์ทั้งหลาย คือ ชาวเรือ จึงพากันคิดว่า คนกาลกิณีจะพึงมีในเรือนี้ ในสมัยนั้นเขาคิดว่ากันแบบนั้น ถ้าอะไรมันไม่ดีเกิดขึ้น เป็นเหตุผิดวิสัย แสดงว่า มีคนกาลกิณีเกิดขึ้น ต่างคนต่างทำสลากแจก ให้คนทุกคนจับสลาก สลากนั้นเป็นสลากเสี่ยงทาย เมื่อทุกคนจับกันแล้ว ภรรยาของนายเรือ ตั้งอยู่ในปฐมวัย (แสดงว่าเป็นหญิงสาวนายเรือมีภรรยาสาว กำลังน่ารัก เห็นเป็นเด็กสาวรุ่นๆ) เมื่อสลากถึงแก่นาง (หมายความว่า นางจับได้สลากแล้ว) พวกมนุษย์ก็พากันว่า จงแจกสลากอีก (หมายความว่าเอาสลากมาแจกอีกกันอีก) แล้วจึงแจกกันถึง 3 ครั้ง สลากก็ถึงแก่นางนั้นคนเดียว ถึง 3 ครั้ง
    เป็นอันว่า เขาคงเสี่ยงทาย เขียนไว้ในสลากว่า คนไหนเป็นกาลกิณีของสลากนี้จงถึงแก่บุคคลนั้น แล้วเขียนไว้ แล้วม้วน ถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณี ก็ชื่อว่า เหตุร้านนี้ เกิดจากคนนั้น แล้วเขียนไว้ แล้วก็ม้วน ถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณีนั้น ก็ชื่อว่า เหตุร้ายนี้ เกิดจากคนนั้น เป็นคำอธิฐานของบุคคลทั้งหลาย
    แต่ทว่า ภรรยาของท่านนายเรือเป็นหญิงสาว น่ารัก เป็นหญิงสาววัยรุ่น จับสลากทั้ง 3 วาระ ก็ถูกสลากใบนั้นทุกครั้ง บรรดาพวกที่ไปในเรือมองดูหน้านายเรือ เพื่อจะปรารภว่า นาย นี่จะว่าอย่างไรกัน ภรรยาของท่านเห็นจะเป็นคนกาลกิณีกันแน่ ท่านนายเรือจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจจะให้มหาชนฉิบหายได้
    ทั้งนี้ก็หมายความว่า เมื่อเขาหารือว่า ภรรยาของท่าน เป็นคนกาลกิณีแน่ เพราะการจับสลากก็ไม่มีอคติ การจับ ก็ไม่ได้บอกว่าให้จับทีหลัง ตามธรรมดา นายเรือ กับภรรยาของนายเรือ จับก่อน แต่ทว่าเจ้าหล่อนก็จับถูกสลากใบที่เป็นกาลกิณีทุกที
    บรรดาลูกเรือทั้งหลายจึงปรึกษานายว่า ทำอย่างไรกันแน่ นาย จะกล่าวโทษก็เกรงว่า เจ้านายนายจะโกรธ
    ถ้าจะไม่พูดอะไรเลย ก็เกรงว่า อันตรายจะพึงมี จึงหันเข้าไปปรึกษานายว่า จะทำอย่างไร สำหรับนายท่านก็ดีท่านรักชีวิตคนมากยิ่งกว่าภรรยาของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการให้คนอื่นฉิบหาย คนจำนวนมาก คือเมียของเราคนเดียว แต่คนในเรือนี้มากไปกว่านั้น เราไม่ต้องการให้คนทั้งหลายเหล่านี้ ต้องย่อยหยับไปด้วย ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แก่นางนี้ พวกท่านจงทิ้งเขาน้ำเถิดหมายความว่า ถ้าเขาจะรักเมีย เพื่อประโยชน์กับนาง ก็ปล่อยให้คนอื่นตายแต่ถ้ารักคนมากว่า ก็ต้องปล่อยให้เมียตาย เขาจึงบอกว่าเราจะยอมให้คนอื่นฉิบหายไม่ได้ เพื่อประโยชน์แก่นางคนเดียว ก็ปล่อยให้คนอื่นตาย เขาจึงบอกให้คนทั้งหลายเหล่านั้น จับโยนไปในลงน้ำ
    นางนั้น เมื่อพวกมนุษย์จะจับโยนทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัย ก็ร้องขอความช่วยเหลือ ร้องขอความเมตตา นายเรือได้ยินเสียงร้องนั้น จึงกล่าวว่า น้องน่ารัก ประโยชน์อะไรด้วยอาภรณ์ของนางนั้น ถ้าหากว่าเราพอใจในเธอความฉิบหายจะเกิดขึ้นแก่บุคคลทั้งหลายเปล่าๆซึ่งคนทั้งหลายมีชีวิตยิ่งกว่าเธอ (ชีวิตมากกว่าเอ เธอคนเดียว )

    [​IMG]

    จงเสียสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
    เป็นอันว่า นายเรือมีน้ำใจเด็ดเดี่ยว ไม่เห็นกับความสาว ไม่เห็นกับความสวย ของภรรยาที่น่ารัก ฉะนั้น จึงกล่าวว่าพวกท่านจงเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับของนางให้หมด ในนางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่ง แล้วจงทิ้งไปในน้ำนั้นเป็นอันว่า เขาจะทิ้งน้ำ เขาบอกว่าให้บรรดาคนทั้งหลาย เปลื้องเครื่องประดับของนาง ที่แต่งสวยสดงดงาม
    เป็นธรรมดามาก ภรรยานายเรือก็แต่งตัวสวยมาก เพราะมีทุนมากเขาบอกต่อไปว่า ข้าพเจ้าจะไม่ดูนาง เป็นอันว่า นายเรือเองกลัวก็ใจอ่อนเหมือนกัน ถ้าขืนมองดูเธอ ก็อาจจะใจอ่อน อาจยับยั้ง ไม่ให้จับเธอ โยนทิ้งน้ำ แต่ความจริง คนเรามาด้วยกันดีๆ จู่ๆ ก็จะจับโยนทิ้งน้ำให้ถึงแก่ความตาย ก็ต้องคิด แต่ว่าก็มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว เห็นประโยชน์ส่วนน้อย ที่จะพึงรักษาภรรยาไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่คนอื่นต้องตาย เขาไมทำ น้ำใจแบบนี้น่าจะหาเอามาเป็นผู้นำประเทศ ผู้นำจังหวัด ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำตำบล ถ้าพวกเราได้คนแบบนี้ ประเทศชาติกำลังจะมีความสุข
    เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ดูนางนั้น ผู้ลอยอยู่เหนือกระแสน้ำได้ เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออม หมายความว่า ที่ใส่น้ำเอาทรายใส่ไว้ให้เต็ม ผูกไว้ที่คอ โยนนาง ลงไปเสียในมหาสมุทร ทั้งนี้ก็เพราะ เวลานั้น ปรากฏ ปลา และเต่า ก็รุมกินนางนั้น ที่ตกไปในน้ำ (เวลานี้คงเป็นเหยื่อฉลาม เป็นต้น )
    ในเมื่อภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังเรื่องเหล่านั้น ก็คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ คนละพวกกับพวกก่อน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงภรรยาท่านก็อยู่ดีๆ ไม่ได้ทำความผิด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกอย่าง ตามหน้าที่ภรรยาที่ดี แล้วตามหน้าที่ของหมายที่ของแม่บ้าน แต่ทว่าจู่ๆเขาหาว่า เธอเป็นกาลกิณี เจ้ามือนี้มันระยำนี้มันก็แปลก มันดันไปหยิบเอาสลากขึ้นมาได้ สลากนั้นเขามีความหมายอย่างไร คนที่ไม่ดีเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ถือสลากนี้ แต่บังเอิญเป็นยอดนารี เธอจับได้ถึง 3 ครั้ง
    ถ้าคิดว่า คนอื่นใจร้าย มันก็บอกไม่ถูก ถ้าคิดว่า คนอื่นใจดี พิจารณาตามถูกตามควร ก็บังเอิญเป็นเคราะห์กรรม ไปจับถูกสลากนั้นเข้า มันก็ไม่ควรเหมือนกัน เป็นอันว่า การกระทำของบุคคลทั้งหลาย (ชาวเรือนั้น) จะผิด หรือจะถูก นางไม่ได้ นอกจากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครรู้แน่
    ฉะนั้น เมื่อพวกเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจะทูลถามเนื้อความนี้แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันว่า เป็นรายที่สองแล้ว ตายหาความผิดไม่ได้ ทีนี้มาอีกตอนหนึ่ง ในสูตรเดียวกันท่านกล่าวว่า



    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2013
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    ภิกษุ 7 รูป อีกพวกหนึ่ง (พวกที่แล้วๆมาสองพวก ไม่บอกจำนวนพระ ) ภิกษุอีกพวกหนึ่งจำนวน 7 รูปไปจากปัจจันตชนบทเพื่อ ต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า ปัจจันตชนบท หมายถึง ประเทศชายแดน อยู่ในป่า ไกลจากความเจริญ
    ในเวลาเย็น ท่านเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง เพื่อจะขออาศัยที่พัก จึงได้ถามว่าที่พักมีไหมขอรับ ปรากฏว่า ที่วัดแห่งนั้น มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ 7 เตียงพอดี พระท่านก็มา 7 องค์ คล้ายๆ กับคนเขาตั้งท่าคอยไว้ เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แลเห็นถ้ำแห่งนั้น ในตอนเวลากลางคืน แผ่นหินเท่าเรือนยอด (เรือนยอด คือ เรือนยอดแหลม เรือนใหญ่ๆ) ได้กลิ้งลงมาปิดประตูไว้
    บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเจ้าของถิ่นจึงกล่าวว่า พวกเราให้ถ้ำนี้ถึงแก่ภิกษุอาคันตุกะ หมายความว่า เราให้พระที่เดินทางมา นอนอยู่ในถ้ำนี้ แต่ทว่าก้อนหินก้อนใหญ่นี้ มันมาปิดประตูเสียแล้ว พวกเราจะนำแผ่นหินนี้ออก จึงพากันกันประชุมพวกชาวบ้านบ้าง พระบ้าง ภิกษุสามเณรทั้งหลายบ้าง จากบ้านรวมทั้งหมดด้วยกัน 7 ตำบลด้วยกัน เพราะก้อนหินใหญ่มาก ใช้พยายามอยู่เพื่อจะให้หินนั้นออก หินมันก็ไม่ยอมออกเพราะหินก้อนใหญ่ จะทำอย่างไรๆ มันก็ไม่เขยื้อนออกไปได้ (ใช้คนถึง 7 ตำบล )

    [​IMG]

    แม้บรรดาพวกภิกษุที่เข้าไปอยู่ภายใน บรรดาพวกภิกษุที่เข้าอาคันตุกะทั้งหลายเหล่านั้น ที่อยู่ข้างใน ก็พยายามเหมือนกัน พยายามเพื่อจะผลักหินให้พ้นออกไป แต่ก็ไม่อาจที่จะให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนออกไปได้ ตลอดเวลา 7 วัน
    เป็นอันว่า พระทั้งหลายเหล่านั้น ต้องถูกขังอยู่ 7 วัน ชาวบ้าน 7 ตำบล พระด้วย เณรด้วย และพระที่อยู่ภายใน 7 องค์ ดันกันไป ดันกันมา เพื่อที่จะให้หินก้อนนั้นออก มันก็ไม่ยอมออก เป็นอันว่า พระทั้งหมดข้างใน อดข้าว 7 วัน พระข้างนอกกับชาวบ้าน ก็ทำงานครบ 7 วัน บรรดาพระอาคันตุกะทั้งหลายที่อยู่ในนั้น ก็เกิดความหิวแดดเผาตลอด 7 วัน (การไม่ได้บริโภค 7 วัน ก็ต้องคิด ) ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างหนัก
    เป็นอันว่า ในวันที่ 7 หินกลิ้งออกไปเองอย่างแปลกประหลาดไม่มีใครดัน เวลาดันหินไม่ไป แต่พอครบ 7 วัน ไม่มีใครเขาไปผลักดันหินไปเอง บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ออกมาแล้ว ต่างคนต่างคิดว่านี้เป็นบาปของพวกเรา บาปประเภทนี้ มันปรากฏขึ้นได้อย่างไร ในชาตินี้กรรมใหญ่เราก็ไม่ได้ทำ เมื่ออยู่กับพ่อกับแม่ อยู่กับบิดามารดา ก็มีความรัก เคารพบิดามารดาทุกอย่าง จะมีการดื้อ การด้านบ้าง ก็เล็กน้อย พอสมควร แต่ทำไมเราจึงต้องมารับบาปกรรม ขนาดอดข้าวอยู่ถึง 7 วัน อดเฉยๆ ก็ไม่เป็นไร ต้องออกแรงดันหินด้วย หินมันก็ไม่ไป
    แต่ว่าเมื่อครบ 7 วันแล้ว ไม่มีใครทำอะไรกับหิน พระข้างนอก คนข้างนอก ก็คิดว่า พระ 7 องค์นั้น ตายแน่ ก็เลยหมดกำลังใจที่จะทำอะไรเขาก็ไม่ทำอะไร เขาไม่ทำงานกัน พระในถ้ำ 7 องค์ ก็หมดแรงดันหินด้วย หินนั้นก็เปิดไปมันกลิ้งไปเอง ท่านคิดว่า พวกเราบาปหนัก แต่กรรมประเภทนี้นอกจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถรู้ได้หากว่าเราจะได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร จะทูลถามเรื่องนี้ให้พระศาสดาทรงพยากรณ์



    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]

    เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นออกมาแล้ว ก็เดินทางต่อไป บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง หมายความว่า ก่อนจะถึงเดินมารวมกันโดยมิได้นัดหมาย ก็เลยรวมกันเป็นคณะเดียวกันเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว
    ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกระทำพุทธปฏิสันถาวรทักทายปราศรัยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้ทูลถามเหตุที่ตนเห็นมา และที่ตนได้เสวยมาแล้วตามลำดับ (หมายความว่า พระสองพวกแรกถามเหตุของกา เหตุของกา เหตุของหญิงเมียนายเรือ บรรดาพระพวกหลังก็ถาม เหตุต้องอดข้าวถึง 7 เพราะอาศัยหินเจ้ากรรมมันทำเหตุ )
    ลำดับนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้พยากรณ์กรรดาภิกษุ ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั้นโดยแท้ (หมายความว่า กาที่บินมาในอากาศที่ต้องตาย เพราะเอาคอเข้าไปสวมเสวียน ที่มีไฟลุกโชน หลังจากนั้นองค์ องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มี พระพุทธฎีกาตรัสว่า
    ในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี เขาพยายามฝึกโค คือ วัวของเขา สำหรับชาวนาไถนา สำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก มันเป็นวัวดื้อ วัวด้าน ไม่สามารถจะฝึกได้ เพราะว่าวัวเขาตัวนั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วมันก็นอนเสียให้ มันทำงาน ใช้ไถนา ใช้ลาเกวียน ใช้ลากล้อ มันไปได้หน่อยหนึ่ง มันก็นอน เจ้าของทุบตี ไล่ไห้มันลุกเดินมันก็ไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วมนก็นอนเหมือนเดิม ชาวนานั้นโกรธแม้จะพยายามฝึกแล้ว ฝึกเล่า มันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงได้บอกกับวัวว่า ดีละ เจ้าวัวดื้อ บัดนี้เจ้านอนสบายที่ตรงนี้แล้ว จงนอนให้สบาย (คือ ไม่ต้องลุกจากที่นี้แล้ว )
    ฉะนั้น เขาจึงได้นำท่อนฟื้นบ้าง ฟางบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาฟาง มาทำเป็นเสวียน พันคอโค ก่อนที่จะจุดไฟ เขาเอาฟืนท่อนเล็กๆ ทับ ลงไปที่ตัวก่อน แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอ แล้วก็ทับไปที่คอโค แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้น คลอกวัวตัวนั้นถึงแก่ความตาย บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเหล่าก็ทราบ กรรมที่กาตัวนั้นพึงจะถูกกระทำ
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อันนั้นทำแล้วในครั้งนั้น (คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค) ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดขึ้นแล้ว ในกำเนิดแห่งกา 7 ครั้ง (หมายความว่า เผาโคครั้งเดียวแต่เขาต้องเกิดเป็นกา 7 ครั้ง แล้วต้องถูกเผาแบบไม่มีเจตนาของใครถึง 7 ครั้งด้วยกัน ) แล้วตายในอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ด้วยผลของกรรมที่ปรากฏในกาลก่อน

    [​IMG]

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์เรื่องของกาที่ถูกเสวียนไฟคล้องคอตายแล้ว บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น ที่พบหญิงภรรยาของนายเรือ ที่ถูกจับถ่วงน้ำ จึงได้กราบทูลขอผลของกรรม แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หญิงภรรยานายเรือนั้น เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าข้า จึงได้กลายเป็นคนกาลกิณี เรือนั้นวิ่งมาเฉยๆแล้วก็หยุด ไม่สามารถจะทำอะไรให้เรือเคลื่อนไปได้ ทั้งๆ ที่ใบก็กางอยู่และลมก็มี เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น มีความสงสัยว่า จะมีคนกาลกิรีเกิดขึ้นในเรือ แล้วจึงจับสลากกัน สลากสำหรับคนจับกาลกิณีมีใบเดียว เราทำครบทุกคน เมื่อจับแล้ว เธอจับถูกสลากนั้นถึง 3 วาระ ในที่สุด ก็จำจะต้องถูกจับถ่วงน้ำตาย
    ในอดีตกาลนานมาแล้ว หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของคหบดีคนหนึ่งในกรุงพารณสี ได้กระทำกิจทุกอย่าง มีการตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น ด้วยมือขอเธอเอง ความหมายว่าเธอเป็นขยัน นางเองมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง สุนัขตัวนั้น มีความจงรักภักดีต่อนางมากนั่งดูแล นางนั้น ก็มองดูอยู่ตลอดเวลา มันมีความจงรักภักดี เมื่อนางเอาข้าวปลาอาหาร ไปนาก็ดี นำไปส่งสามีเวลาทำนา เจ้าสุนัขนั้นมันก็ไปด้วยเวลาที่นางจะไปป่า ต้องการหาวัตถุต่างๆ มีฟืน และผัก เป็นต้น เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไปกับเธอด้วยเสอมๆ เป็นอันว่า สุนัขมีความจงรักภักดีในถือว่าเป็นนายที่น่ารัก เป็นนายที่เมตตามัน

    [​IMG]


    บรรดาคนหนุ่มทั้งหลาย เห็นว่าเวลานางไปไหน ก็มีสุนัขตามไปด้วยก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พวกเราเว้ย มาดูนายพรานสุนัขหญิง นางพรานสุนัขมาแล้ว จะไปไหนก็ตาม ย่อมมีสุนัขไปด้วยเสมอๆ วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ (คำว่าพรานสุนัข หมายความว่า พรานสุนัขเป็นเครื่องมือเวลาที่จะไปไล่เนื้อ ก็ให้สุนัขวิ่งไปกัด ไล่เนื้อเข้ามาทางพราน พรานก็ยิง หรือว่าเนื้อไปทางสุนัข สุนัขก็กัด แกก็ล้อเลียนว่า วันนี้เราจะกินข้างเนื้อ เพราะว่าพรานสุนัขจะนำเนื้อไปขาย หรือนำมาแจกกับพวกเรา ) จะไปทางไหนก็ตาม เจ้าหนุ่มๆ ทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ล้อ มันก็เลียน นางก็ความขวยเขิน ละอายต่อคำพูด ของบรรดาพวกชนเหล่านั้น
    ตอนนี้มาถึงกรรม ด้วยความอาย ลืมนึกไปว่า สุนัขนั้นมีความจงรักภักดี ที่ไปอย่างนี้ก็เพราะว่า ตามธรรมดา สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์เราจะตี เราจะด่า เราลงโทษมันประการใดก็ดี สำหรับสุนัข ประเดี๋ยวมันก็เดินเข้ามาประจบประแจง ในคำว่าสุภาษิตบางส่วน หรือคนบางท่าน ได้กล่าวว่าขึ้นชื่อว่า ความรู้กตัญญูรู้คุณ บางทีสุนัขจะดีกว่าคนหลายคน เพราะคนหลายคน ที่เราบำรุงบำเรอด้วยดี เขาก็มีความรัก ถ้าผิดใจนิดเดียว เขาก็อาจฆ่าเราได้
    นางอายแก่ใจแบบนั้นแล้ว แทนที่จะคิดเป็นอย่างอื่นว่า สุนัขตัวนี้ในมีความจงรักภักดีแก่ตน กลับประหารสุนัขตัวนั้นเสีย คำว่า ประหารหมายความว่า ขว้างบ้าง ตีบ้าง ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง ตีด้วยท่อนไม้บ้างเป็นต้น ให้สุนัขนั้นหนีไป สุนัขไปแล้ว มันก็ไม่รู้ว่า นายของมันไล่ทุบไล่ตีมัน ด้วยความผิดอะไร ต่อมาท่านบอกว่า ได้ยินว่า สุนัขตัวนั้นเคยเป็นสามีของนางมาก่อนในชาติที่สุนัขติดตาม มีความจงรักภักดี ก็ต้องคิดเหมือนกันว่า สุนัขตัวนั้น ได้เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนๆ มาถึง 3 ชาติด้วยกัน เพราะเหตุฉะนั้น มันจึงไม่อาจที่จะตัดความรักในนางได้ เมื่อนางขว้าง นางจะตี นางจะไล่ ประการใดก็ตามทันทีเมื่อนางหยุด นางไปไหน มันก็ตามไปด้วยความจงภักดี ต่อไปตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า
    จริงอยู่ ใครๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นผัวเมีย หรือว่าเป็นผัวเมียกัน (ศัพท์ภาษาเพราะหน่อยเขาเรียกเป็นสามีภรรยา) มาในกาลก่อน ในสงสารอันเป็นที่สุด อันบุคคลไปตามไม่รู้แล้ว (หมายความว่า ในอัตภาพต่างๆ ที่เราเกิดมามันใช้เวลานานมาก ใช้เวลาเป็นแสนๆ กัป แต่ละกัปๆ บางทีเราอาจเกิดตั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง วนกันไป วนกันมา ท่านกล่าว ผู้หญิง ผู้ชาย ที่เกิดมาในโลกทั้งหมดนี้ ที่ไม่เคยเป็นสามี ภรรยากัน ไม่มี อาจจะเคยสัมผัสผ่านบางกันเป็นวาระ ครั้งหนึ่ง หรืองสองครั้ง หมายถึงความว่า ในชาติหนึ่ง หรืองสองชาติ สามชาติก็ได้ เพราะเราเกิดเป็นร้อยๆ ล้าน ครั้งไม่ใช่แสนๆ ครั้ง นับเป็นร้อยๆ ล้านครั้งก็ได้ เพราะการเกิดมีนับไม่ถ้วน เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดาเป็นพรหมบ้าง เป็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง โดยเฉพาะที่เกิดมาเป็นคน มันก็นับไม่ถ้วน)
    ท่านกล่าวว่า ถึงว่ากระนั้น ความรักมีประมาณยิ่ง (หมายความว่าความรัก ที่มีความสนิทชิดเชื้อมาในกาลก่อน เคยเป็นสามีภรรยากันในกาลก่อนมันมีประมาณมาอย่างยิ่ง) ท่านกล่าวต่อไปว่า ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันกันในอัตภาพไม่ไกล (หมายความว่า บางทีคนในชาตินี้ เกิดต่างพวกต่างพ้อง ต่างพี่น้อง ต่างบิดามารดา แต่ในกาลก่อนเป็นญาติกันมาก็เกิดความรัก พอได้ยินชื่อ ก็นึกรักคนนั้นขึ้นมาทัน เหมือนกับว่าเป็นพี่น้องกัน อย่างนี้ เป็นต้น เรื่องนี้ปรากฏแก่บุคคลหลายคน เพราะว่าว่าบางทีเค้าไม่เคยเห็นหน้าเขา แต่ว่าได้ยินชื่อว่า คนนั้นคนนี้เราเกิดความพอใจ)
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เพราะเหตุนั้น สุนัขตัวนั้นจึงไม่อาจที่จะนางไปได้ ถึงนางจะทุบตีเป็นประการใด เขาก็ไม่โกรธนาง แสดงความจงรักภักดี

    [​IMG]

    ปัจจัยนี้เอง บรรดาท่านทั้งหลาย องค์สมเด็จไตรจึงตรัสว่าเป็นเหตุให้ นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อให้สามีที่นาแล้ว นางจึงเอาเชือกใส่ไว้ที่พกแล้วจึงเดินทางไป สุนัขตัวนั้น เห็นนายที่เป็นที่รักของมัน คือภรรยาอัตภาพชาติก่อนๆ ไปแล้ว มันก็ไปกับนางเหมือนกัน จากนางไป ไปไหนก็ก็ตามไปด้วย นางให้ข้าวยาคูแกสามีแล้ว ถือเอากระออมเปล่า (วันนี้วางแผนฆ่าสุนัข เวลาที่จะเอาข้าวไปให้สามีก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อเอาข้าวให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่า )สู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อไปริมแม่น้ำแล้ว นางก็ตักทรายใส่กระออมจนเต็ม(จะได้มีน้ำหนักมากๆ) แล้วจึงได้ให้สัญญา เรียก สุนัขตัวซื่อสัตย์เข้ามา(สามีเก่าของนาง) ให้มายืนที่ใกล้ๆ เจ้าสุนัขมันดีใจ วันนี้เจ้านายใจดี อุตส่าห์เรียกเข้ามา มันจึงเข้ามาหา เพราะความดีใจ
    แล้วนางจึงกล่าวว่า นี่เอ มันนานแล้วนะ ที่เราได้รับการเยาะเย้ยจากพวกชาวบ้านต่างๆ ก็เพราะตัวเจ้าเป็นสำคัญ ในวันนี้ เจ้ากับเราเห็นจะต้องจากกันเสียแล้ว ความจริง นางพูด เจ้าสุนัขไม่รู้เรื่อง มันดีใจที่นายพูดกับมัน แต่มันไม่รู้ว่าพูดว่าอย่างไร สุนัขเข้าใจเพียงสัญญาเรียกมันมา มันก็มา จะให้มันกิน มันก็กิน มันจำสัญญาบางอย่างเท่านั้น
    เจ้าสุนัขกระดิกหาง ดีใจหูรี่ หมอบอยู่ข้างๆ นาง นางจึงได้จับเจ้าสุนัขตัวนั้น (จับก็ไม่ต้องแรง ท่านบอกว่า ใช้มือจับอย่างมั่นที่คอแล้ว หมายถึงลูบๆ คลำๆ จับมัน มันก็ยอมให้จับแต่โดยดี) จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมที่ใส่ทรายจนเต็ม แต่แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข เมื่อทำเสร็จ ( จะทำอย่างไรเจ้าสุนัขมันก็ยอ เพราะมันมีความรัก) จึงได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ กระออมมันหนัก เจ้าสุนัขนั้นก็ถึงกาละ ( คือตาย )ในที่นั้นเอง
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า เพราะอาศัยกรรมเพียงเท่านี้นางนั้นต้องไหม้ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรมที่ฆ่าสัตว์ และ เพราะว่าอาศัยผลกรรมนั้น (คำว่า วิบาก แปลว่า ผล ) ด้วยผลของกรรมที่เหลือ คือเศษกรรมที่เหลืออันนั้น ที่นางเอากระออม ที่เต็มไปด้วยทราย ผูกคอสุนัขถ่วงน้ำ นางตายเพราะเหตุที่เขาถ่วงน้ำแบบนี้สิ้นมาแล้ว 100 ครั้ง (คือ 100 อัตภาพ)


    นี่กฎของกรรมที่เรามองเรามองไม่เห็น บรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้นเกิดมาในชาตินี้ ถ้าบังเอิญจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นปัจจัยให้เรามีทุกข์ ทั้งๆที่เราพิจารณาแล้ว่า กรรมความชั่วประเภทนี้ ไม่มีสำหรับเราถ้า เรามีความสงสัยอย่างนั้น จงคิดถึงเรื่องกา กับ เรื่องหญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือนี้ก็แล้วกัน ว่ากรรมที่เราทำแล้ว เรามองไม่เห็นชาตินี้แม้ว่าจะทำความดีเพียงใดก็ตามที ก็เป็นเรื่องยาก ที่เหล่าเราทั้งชาติถึง แม้ว่าจะทำความดีเพียงใดก็ตามที ก็ป็นเรื่องยาก ที่เหล่าเราทั้งหลาย จะทราบว่า กรรมทั้งหลายเหล่านั้น มันมาเพราะอะไร ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยท่านผู้ได้ฌานสมาบัติ เป็นโลกุตรฌาน จะสามารถทราบเหตุการณ์นี้ได้โดยแท้ ถ้าฌานก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะอุปทานมันกิน



    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2012
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ กฎแห่งกรรม กับบรรดาภิกษุพวกที่สอง ที่ปรารภถึงภรรยานายเรือแล้วบรรดาภิกษุทั้ง 7 รูปจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าที่พวกข้าพระพุทธเจ้า ต้องติดอยู่ในถ้ำถึง 7 วันเพราะอาศัยหินใหญ่นั้น ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น กลิ้งทับอยู่ที่หน้าถ้ำ คน 7 ตำบล ก็มีจำนวนไม่น้อยก็ไม่สามารถจะนำหินให้เคลื่อนได้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ช่วยกันดันหิน หินก็ไม่เขยื้อน ต้องอดอาหาร ทรมานร่างกายอยู่ถึง 7 วัน
    เมื่อครบ 7 วันแล้ว หินนั้น ก็เคลื่อนไปเฉยเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ขององค์สมเด็จพระผู้พิชิตมาร พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดมีพระมหากรุณาธิคุณ สงเคราะห์บอกกรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าข้า
    องค์สมเด็จพระมหากรุณา จึงได้มีพระพุทธ ฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนี้มีอยู่ เรากล่าวให้ฟัง ในอดีตกาล มีเด็กเลี้ยงโค 7 คน เป็นชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ 7 วันในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง (หมายความว่า ไปเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ บ้านไม่ไกลนัก ไปครั้งละ 7 วัน จึงกลับ)
    วันหนึ่ง เที่ยวเลี้ยงโคแล้ว กลับมาพบตัวเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง ( เวลากลับจากเลี้ยงใกล้ บ้านไม่ไกลนัก ไปครั้งละ 7 วันจึงกลับ)
    วันหนึ่งเที่ยวไปเลี้ยงโค กลับพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง ( เวลากลับจากเลี้ยงโค พบเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เห็นเหี้ย ก็เลยอยากจะกินเนื้อเหี้ย ) เจอะเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงได้พากันไล่ตาม เหี้ยหนีเข้าไปสูจอมปลวกแห่งหนึ่ง เหี้ยมันกลัวตาย และจอมปลวกแห่งนั้น ก็มีช่วงอยู่ 7 ช่อง เหี้ยตัวนั้นเข้าในช่องใดช่องหนึ่งแล้ว ก็อาจจะออกช่องใด ช่วงหนึ่ง ก็ได้ เพราะจอมปลวกมี 7 ช่อง ศูนย์กลางข้างในโพรง (หมายถึงเป็นทางออกได้ เป็นทางเข้าได้)
    บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นปรึกษากันว่า บัดนี้พวกเราไม่สามารถจะจับตัวเหี้ยได้แล้ว มันเข้าไปอยู่ในช่องจอมปลอก วันพรุ่งนี้เราจึงมาจับมน ปรึกษากันอย่างนี้ ต่างคนต่างก็ถือกิ่งไม้ ที่หักคนละกำสองกำ รวมกันทั้ง 7 คน ก็พากันอุดช่อง โพรงจอมปลวกนั้น 7ช่อง ด้วยกัน คนละช่องๆให้ตัวเหี้ยออกมาไม่ได้ พออุดแล้วก็ กลับไป
    ในวันรุ่งขึ้น เด็กทั้งหลายนั้นก็ลืม ไม่ได้นึกถึงเหี้ยตัวนั้นเลยเพราะว่าเวลามาเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เลี้ยงคราวละ 7 ตัว คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมา เธอ ไม่ได้นึกถึงตัวเหี้ยนั้นเลยเพราะว่าเวลาเธอมาเลี้ยงควาย เลี้ยววัว เลี้ยงคราวละ 7 วัน คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะมาเธอก็ลืม และต้อนโคไปที่อื่น เธอก็ไม่ได้นึกถึงตัวเหี้ย



    ครั้นวันครบที่ 7 พาโคกลับมาบ้าน เมื่อจอมปลวกอันนั้นกลับมาคิดได้ว่า เราอุดตัวเหี้ยไว้ในโพรงจอมปลวก อันนี้ เจ้าตัวเหี้ยตัวนั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ตั้ง 7 วัน ตายแล้วหรือยัง ก็ไม่รู้ ตั้ง 7 วันแล้วจึงได้พากันไปเปิดช่องที่ตนอุดไว้ 7 ช่องด้วยกันคนละช่องๆ
    สำหรับตัวเหี้ยที่อยู่ในโพรงนั้น มันอดอาหารตั้ง 7 วัน ก็หมดอาลัยในชีวิตเหลือแต่กระดูก และหนัง คลานสั่นออกมา ( หมายความว่าหมดเรี่ยวหมดแรง ตัวผอมลงไป เพราะการอดข้าวอดอาหาร อาหารไม่มีน้ำไม่มีจะกินมันหมดอาลัยให้ชีวิต คิดว่า คราวนี้ตายแน่ หมดอาลัย เวลาที่เด็กทั้งหลายเหล่านั้นเปิดช่อง เห็นโผล่ มีช่องพอจะออกได้ ก็เดินออกมา ด้วยความหมดเหี่ยวหมดแรง ) เด็กทั้งหลายเหล่านั้น เห็นดังนั้นแล้วจึงทำความเอ็นดู พูดกันว่า ทีแรกเจ้าเหี้ย ตัวนี้มันมีหนังหุ้มกระดูก ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเราจะฆ่ามันให้มันตาย เอาเนื้อไปกิน เนื้อมันไม่มี ทั้งนี้ก็เพราะว่า มันอดเหยื่อ ของมันถึง 7 วัน จึงได้ แสดงความรักในเหี้ยนั้น เกิดความสงสาร จึงได้ลูบหลังเหี้ยตัวนั้นแล้ว แล้วก็ปล่อยมันไป เวลาเขาจะปล่อย ไป เขาก็บอกกับเหี้ยว่าจงไปตามสบาย ของเจ้าเถิด
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสต่อไปว่า ภิกขฺเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องตกนรกก่อนเพราะไม่ได้ฆ่าตัวเหี้ยหมายความว่า เด็กทั้งหลายเหล่านั้น ที่ทรมานตัวเหี้ย นั้นไม่ต้องตกนรก ไม่เหมือนกับกา ไม่เหมือนกับภรรยาของนายเรือ (ท่านบอกว่าเด็กทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ต้องไหม้อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ยนั้น) แต่ชนทั้งหลายเหล่านั้น 7 นั้น คือบรรดา 7 นั้น ได้เป็นผู้อดข้าว อดน้ำ ตลอด 7 วัน มาถึง 14 อัตภาพ (หมายความว่า เกิดมาแล้ว 14 ชาติแล้ว )
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขฺว่า ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น พวกเอได้เป็นเด็กเลี้ยงโค( หมายความว่า พระ 7 องค์นั้น เป็นเด็กเลี้ยงโค ) ได้ทำกรรมนั้นแล้ว ในกาลนั้น เป็นอันว่า องค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ปัญหา อันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลถามแล้ว ด้วยประการ ดังนี้


    [​IMG]


    นี่แหละ บรรดาพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่า กฎของกรรมในชาติก่อนเราไม่สามารถจะเห็นได้ สำหรับเรื่องนี้ยังไม่จบ เหลืออีกนิดหนึ่ง
    ในขณะนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง กราบทูล ถามองค์สมเด็จสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาป ไว้แล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นอยู่ในมหาสมุทรก็ดี เข้าไปอยู่ในซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือประการใดพระพุทะเจ้าข้า หมายความว่า ภิกษุนี้สงสัยว่า คนที่สร้างกรรมชั่วแบบนี้ ถ้าเขาจะเหาะไปในอากาศ หรืองนั่งเรือไปในทะเล หรือหนีเขาซอกเขา เขาจะหนีได้ไหม พระเจ้าข้า ( พระรูปนี้ท่านก็ถามแปลกท่านคิดว่า กรรมเป็นวัตถุ หรือกรรมเป็นไล่ติดตาม หรือกรรมเป็นผีติดตาม แต่ความจริงกรรมนั้น เป็นความชั่วที่ติดตาม กาย ถ้าใจของเราไปอยู่ที่ไหน มันก็ไปด้วย เธอไม่ได้คิด ) ต่อไปขอได้โปรดฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ท่านตอบว่าอย่างไร
    ในขณะนั้น องค์สมด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้พระพุทธฎีกาตรัสว่า อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย หมายความว่า แม้คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะอยู่ในอากาศก็ดี หรือจะไปในทะเล มหาสมุทรก็ดี จะอยู่ซอกแห่งภูเขาลำเนาไพร ที่ไหนก็ดี กรรมทั้งหลาย เหล่านั้น ย่อมติดตามเขาไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พึงสามารถจะพ้นกรรมชั่ว ไปได้ เมื่อทรงสืบอนุสนธิพระธรรมเทศนา พระองค์จึงตรัสบาท พระคาถาว่า
    คนที่ทำกรรมชั่วไว้ จะหนีไปในอากาศก็ดี ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้ หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วที่ตนทำไว้แล้ว จะหนีเข้าไปสู่ซอกภูเขาก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วที่ตนทำไว้แล้ว ทั้งนี้เพราะ เขาอยู่ในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วนั้นได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้นหามีอยู่ไม่เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาจบพระธรรมเทศนา บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ก็ได้บรรลุมรรคผล มีพระโสดาบัน เป็นต้น พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีประโยชน์ แม้แต่มหาชนผู้ประชุมกัน ทั้งนี้หมายความว่า เวลาที่ พระพุทธเจ้าเทศน์ หรือเวลาที่พระทั้งหลาย ส่วนใหญ่ เข้าไปนั่งรอฟังเทศน์อยู่เมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูทรงแสดงเทศนา แก้ปัญหากฎของกรรม 3 ประการ คือ

    กรรมของกา เอาคอเข้าไปคล้องเสวียนไฟกรรมของหญิงผู้เป็นภรรยาของนายเรือ ถูกถ่วงน้ำกรรมของบรรดาภิกษุ ทั้งหลาย เหล่านั้น ผู้ถูกขัง 7 วันต้องอดอาหารเกือบตาย
    เมื่อ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแก้ปัญหา ก็เกิดธรรมปิติแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟัง ในที่สุด เขาทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งพระ ทั้งก็ฆารวาสก็พากันบรรลุมรรคผล เป็นอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้นเป็นจำนวนมาก
    นี้แหละ บรรดาพุทธบริษัท การนำเอากรรมทั้งหลายเหล่านี้ มาแสดงให้แก่ท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ ก็เพราะว่า เวลานี้ มีคนส่วนใหญ่ เคยปรารภให้ฟังว่า ชาตินี้ทำความดีทุกข์อย่าง แต่ทำไมจึงเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ คือมีทุกข์หลายประการเข้ามาเบียดเบียน หากว่าท่านได้สดับเรื่องนี้แล้ว ก็จงหวนนึกถึงตัวของท่านว่า ความสำคัญที่ทำให้เดือนร้อนให้เกิดขึ้น อาจจะเป็นแห่งกรรม คล้ายๆกับท่านทั้งสาม ที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ได้
    สำหรับตอนนี้ ก็ต้องขอยุติเรื่องราวกฎของกรรม ของคน 3 คนไว้ ณ ที่นี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนาชนทุกท่าน สวัสดี

    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2012
  5. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  6. wonderfulman

    wonderfulman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +308
    ขึ้นชื่อว่ากรรมไม่มีใครหนีพ้น..ขอโมทนาครับ..สาธุ ๆๆ..:cool:
     
  7. Soul Mate

    Soul Mate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +356
    ขออนุโมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ นิพพานปัจโยโหตุ _/'\_
     
  8. ใฝ่รู้

    ใฝ่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +240
    จริงแล้ว...แน่แล้ว อย่างไรก็ต้องใช้บาปกรรมที่ทำไว้ แม้นระลึกไม่ได้
    เมื่อชีวิตยัง จงอย่าประมาทในกรรม
     
  9. ดาหลัง

    ดาหลัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +47
    กรรมคือการกระทำที่พร้อมด้วยความตั้งใจทั้งเจตนาแลไม่เจตนา
    ทั้งกรรมดีที่เป็นบุญ กรรมไม่ดีเป็นบาป ทั้งบุญและบาป มีคุณและมีโทษ
    ให้ผล โดยธรรมชาติ จึงควรสร้างแต่กรรมดี ส่วนกรรมชั่วนั้นละเว้นเสีย
    แม้แต่บาปนิดเดียวต้องละ ด้วยสาเหตุใดก็ตามไปขัดกับศีลคุณธรรมต่างๆ
    การหนีบาป หนีไม่พ้น แต่ สร้างบุญความดีทดแทน เหมือนเติมน้ำให้น้ำเกลือ
    เค็มให้จางหายไป หมั่นสร้างกรรมดี แผ่เมตตามากๆ ความสุขสบายรออยู่ข้างหน้า​
     
  10. Ne_ko

    Ne_ko Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +47
    อนุโมทามิ เจ้าค่ะ..:cool:
     
  11. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  12. sustrawut

    sustrawut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +28
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  13. wantaya

    wantaya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณมาก ๆ
     
  14. วันทยา

    วันทยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +138
    อนุโมทนา สาธุ ขอบคุณค่ะ อยากอ่านเรื่องนี้มานานแล้วจ้า......
     

แชร์หน้านี้

Loading...