เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    น่าจะเลิกคิดเองเออเองได้แล้ว

    จิตมีราคะ ใช่จิตสังขารหรือไม่? ชัดๆนะ

    ที่ยกมาล้วนจิตสังขารทั้งนั้น จึงเกิดดับไปตามนามรูป

    พูดมานั้น แสดงว่า"โลกุตตรจิต" จิตที่เหนือโลกพ้นโลกก็ไม่มีอยู่จริงสิ

    มีพระพุทะพจน์ตรงไหนที่ทรงตรัสว่า จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตนบ้าง

    ที่ไม่เที่ยงนั้นมันจิตสังขารคืออาการของจิตที่เกิดดับไปตามรูปนาม

    อย่ามั่งเองสิ พระพุทธพจน์เสียหายหมด

    เจริญในธรมทุกๆท่าน
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เก่งจริงนะ ที่เที่ยวไปแก้อารมณ์ให้ชาวบ้าน

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านตักเตือนไว้ ไม่รู้จักจำ เก่งจริงเน๊าะ

    พระพุทธองค์ให้แก้อะไร? ที่ไหน? ณ.ภายในตนใช่หรือไม่?

    เอาตัวเองให้รอดก่อน แค่ของง่ายๆยังตกม้าตาย แต่กลับไปสอนคนอื่นขี่ม้า

    ส่วนเรื่องคุณสมบัตินั้น อย่าเที่ยวไปตัดสินใคร

    มันไม่ช่วยให้ตนเองดูดีขึ้นหรอก กลับกลายเป็นแย่ลงในสายตาผู้รู้

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ธรรมภูต ยังไม่รู้เลยสินะ ว่าการแก้อารมณ์ คืออะไร?

    ในเมื่อยังไม่รู้ ก ไก่ ข ไข่ ในการปฏิบัติโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ จะมาพูดถึงสภาวะแห่งจิต สภาวะแห่งนิพพานเพื่ออะไร?

    และเมื่อไม่เคยเจอสภาวะจริง ไม่รู้จักว่าอุปาทานในใจตัวเองเป็นเช่นไร ทำงานอย่างไร
    ไม่รู้ว่าอุปาทานในใจสัตว์โลกทั้งหลายทำงานอย่างไร

    สิ่งที่บอกกล่าวผู้อื่นไป มันจะทำให้ผู้อื่นพ้นความไม่รู้ หรือยิ่งหลงทาง?
     
  4. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    จิตที่พ้นอุปทานขันธ์5นั้นมี เเต่ไม่มีทางพ้นโลก เพราะการเกิดดับของจิตจะมี เมื่อ นามรูป ยังมีอยู่. ลักษณะ การทำงานของ วิญญานกับนามรูป เปรียบเหมือนไม้2กำพิงกันอยู่ เมื่อจิตหมดเชื้อของตัณหา อุปทาน ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน(รวมถึงตัวจิตเอง) จิตก็หลุดพ้น เพราะไม่มีความยึดมั่น. เพียงอาศัยพิงกันอยู่เหมือนเดิม. เมื่อถึงเวลาตอนกายเเตกทำลาย เมื่อไม้1ล้มลง ไม้ที่พิงอยู่ก็ล้มตาม(วิญญาน นามรูปที่อาศัยกัน) จิตไม่มีที่ตั้งอาศัย เพราะไม่ยึดมั่น ทำให้หมดเชื้อของการเกิดโดยประการทั้งปวง ย่อมปรินิพพาน
    วิญญาน(จิต)กับนามรูป ดับไม่เหลือในที่ใด. ที่นั้นคือ นิพพาน
    ถ้ายังยึดตัวจิต. อารมณ์ของการตั้งขึ้นก็มีต่อไป(วิญญาณอาหารย่อมมีเพื่อความเกิดขึ้นของภพ) เหมือนฤาษีที่ดับรูปขันธ์ได้ อยู่อรูปภพตลอดกาลยาวนาน สิ้นกรรมสิ้นฤิทธิ์สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ ก็ต้องกลับมา หา รูปเหมือนเดิม(มันจะปรุงเเต่งขึ้นมาได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  5. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณ จักไม่ได้มีที่ตั้ง
    ที่อาศัยในนามรูป แล้วไซร้; ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งทุกข์
    คือ ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป จะมีขึ้นมาให้เห็นได้ไหม ?
    “ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”
    อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นแหละ ในเรื่องนี้, นั่นแหละ
    คือเหตุ, นั่นแหละ คือนิทาน, นั่นแหละคือสมุทัย, นั่นแหละ
    คือปัจจัยของ วิญญาณ; นั่นคือ นามรูป.
    อานนท์ !
    ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
    สัตว์โลก จึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง
    จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง :
    คลองแห่งการเรียก (อธิวจน) ก็มีเพียงเท่านี้,
    คลองแห่งการพูดจา (นิรุตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้,
    คลองแห่งการบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้,
    เรื่องที่จะต้องรู้ด้วยปัญญา (ปญฺญาวจร) ก็มีเพียงเท่านี้,
    ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้:
    นามรูปพร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่
    เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้


    มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘.
     
  6. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เเล้ว สติ กับ ปัญญา ดับได้หรือไม่ละ
    อายตนะภายในภายนอก เกิดผัสสะ. การเกิดดับ ยังมีอยู่ เเต่ไม่ยึดถือ
    ไม่งั้น คุณคิดว่าพระอรหันต์จิตหลุดโลกเลยละสิ ไม่มีอะไรเกิดดับ
    ผัสสะเที่ยงหรือ? สัญญาเที่ยงหรือ? สังขารทั้งหลาย(เช่นการปริวิตก). เที่ยงหรือ
    เพราะไม่มีอุปทานในขันธ์ทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา จิตจึงหลุดพ้น เพราะไม่มีความยึดถือใดๆในโลก. ไม่ใช่หลุดโลกออกจากสิ่งที่ เป็นแล้ว ปัจจัยปรุงแล้ว หรือออกจาก สังขารคือ เข่น รูปกาย
    ไม่เช่นนั้นก็ปรินิพพานโดยที่ไม่ต้อง รอกายเเตกสิ คุณต้องทบทวนบัญญัติที่นำมาดีๆ เวลาจะนำเสนอต้องบอกว่าขอเอาจากความคิดสาวก ข้าขอซูฮกคำสาวก1รอบ เเล้วถึงกล่าวไม่งั้นคนจะสับสน คำจะเเย้งเเบบนี้
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!

    ถ้าต้องการโชว์ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตนเองว่าข้านี้แน่

    ก็ไม่ต้องเหยียบย่ำข้ามใครขึ้นมาก็ได้ มีอลัชชีตนหนึ่งที่ชอบทำมาก(อย่าเรียนแบบ)

    มาว่ากันที่เนื้อธรรมมาล้วนๆ และแสดงธรรมในส่วนที่คิดว่าตนเองรู้ก็พอ

    ที่พูดมานั้น คนที่ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาทุกคนย่อมรู้ดีด้วยกันทั้งนั้น

    ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร อยู่ที่ใครชอบโม้ ชอบอวดก็จะโชว์ ชูคอเป็นกระปอมก่าไป

    การแก้อารมณ์นั้น เป็นปัญญาทางโลกล้วนๆ

    ส่วนปล่อยวางอารมณ์ออกไปนั้น เป็นปัญญาทางธรรม จำไว้ด้วย

    พระพุทธองค์และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

    ล้วนสอนให้แก้ที่จิตใจของตน ไม่ใช่ไปแก้ที่อารมณ์ของคนอื่น เฮ้อ!!!

    ที่ชอบพูดกันว่า"แก้อารมร์"นั้น แค่พูดแล้วรู้สึกว่าตนเอง"โก้"เหลือเกินที่ไดัพูด

    เรื่อง"จิตไม่เกิด-ดับ" นั่นหนะ เรื่องกอ ไก่ ขอ ไข่ กลับไม่รู้จัก

    แต่ดันไปรู้จักเรื่องตัณหา อุปาทาน พระนิพพาน กันดีเหลือเกิน

    "เหตุ"กลับไม่อยากรู้ แต่ขอให้ได้คุยว่ารู้เรื่อง"ผล"

    ขึ้นต้นยังไม่เป็นแต่ดันคุยโม้ว่า รู้จักสิ่งที่ตนเองไม่เคยเริ่มต้นได้เลย เป็นไปได้หรือ?

    จะคุยโม้เรื่องธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้องถามว่า"ภาวนาเป็นหรือยัง"จ้า

    อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งเพราะอยากแก้อารมณ์

    ให้วางอารมณ์ลงจนจิตมีสตสงบตั้งมั่น แก้อะไรก็ได้ทุกอย่าง จำไว้นะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถามตรงเถอะ รู้จักคำว่า"โลก" ในพระพุทธศาสนามั้ย?

    ถ้าไม่รู้จักจำไว้ด้วย อยามั่วปล่อยไก่ออกมาโชว์

    "โลก" คือ หมู่สัตว์ จิต(สัตว์)ที่ติดข้องในอารมณ์ เพราะมีอวิชชาครอบงำพาไป

    เมื่อจิตพ้นโลก ก็คือจิตพ้นจากการครอบงำของอวิชชาที่จะพาไป ผิดตรงไหน?

    เวลาจะพูดอะไรก็ควรอยู่ในหลักในเกณฑ์ด้วย พูดมาได้ว่า

    "เมื่อจิตหมดเชื้อของตัณหา อุปทาน ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน(รวมถึงตัวจิตเอง)
    จิตก็หลุดพ้น เพราะไม่มีความยึดมั่น."


    รวมถึงตัวจิตเองด้วย รวมไปหาพระแสงอะไรกัน?

    ก็เมื่อพูดว่าจิตมันหมดเชื้อแล้ว จิตมันหลุดพ้นแล้ว จิตมันไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว

    รวม หรือ ไม่รวมค่าเท่ากัน เพราะจิตกลายเป็น "ธรรมธาตุ" เที่ยงตรงคงที่แล้ว(อกุปปธรรม)

    ที่พูดนะต้องการบอกว่าจิตคือวิญญาณ จึงพยายามต้องรวมเอาจิตเขาไปด้วยหรือ

    เพราะสูตรทุกพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงตรัสชัดเจน ไม่ต้องตีความใดๆเลย

    จิตหลุดพ้นจาก จิตหมดเชื้อจาก จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕ใช่หรือไม่?
    (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    มีพระสูตรไหนบ้าง ที่บอกว่า วิญญาณหมดเชื้อจากวิญญาณ วิญญาณหลุดพ้นจากวิญญาณ

    เพราะวิญญาณไม่ยึดมั่นถือมั่นในวิญญาณบ้าง ยกมา

    ไม่เคยมีตรงไหนมี่พระพุทธพจน์ตรัสไว้เช่นนั้นเลย ก็อย่าตีความเอาเองสิ

    ชอบจังที่จะทำให้พระพุทธพจน์เสียหายเศร้าหมองไป

    ถ้ายังไม่รู้จัก "วิญญาณธาตุ" กับ "วิญญาณขันธ์" นั้นแตกต่างกันยังไง

    ขอเถอะ ก็อย่าพยายามตีความให้พระพุทธพจน์ต้องเศร้าหมองไปกว่านี้

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อย่ามั่ว บริบทนี้

    พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง "วิญญาณธาตุ" หรือ "จุติจิต"

    ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ที่เป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้า

    ถ้าพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงวิญญาณขันธ์ จะต้องมีบริบทของ๑รูปและอีก๓นามขันธ์ด้วย

    ระวังนะ การเข้าใจแบบนั้น(จิตคือวิญญาณ)จะกลายเป็นโมฆะบุรุษ เช่นพระสาติไป จะว่าไปเตือน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อย่ามั่วสิ ความคิดจากสาวกที่ไหน พระพุทธพจน์ล้วนๆ

    เพิ่งรู้นะว่า "สติ" มีเกิดดับด้วย มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ที่ไหน? เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สติหลงไปเพราะเห็นรูป ฯลฯ สติหลงไปแล้วเพราะรู้ธรรมารมณ์
    บุคคลเมื่อใส่ใจถึงรูปเป็นนิมิตที่รัก ก็มีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น
    ทั้งมีความติดใจอารมณ์นั้นตั้งอยู่
    มีเวทนาอันมีรูปเป็นแดนเกิดเป็นอเนกทวีขึ้น
    และมีจิตอันอภิชฌาและวิหิงสาเข้าไปกระทบ
    เมื่อบุคคลสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ เรากล่าวว่าไกลนิพพาน ฯลฯ

    บุคคลนั้นรู้ธรรมารมณ์แล้ว มีสติไม่กำหนัดในธรรมารมณ์
    มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น(ไม่กำหนัดในธรรมารมณ์)
    ทั้งไม่มีความติดใจอารมณ์นั้นตั้งอยู่ บุคคลนั้นเมื่อรู้ธรรมารมณ์และเสวยเวทนาอยู่
    ทุกข์สิ้นไปและไม่สั่งสมทุกข์ ฉันใด บุคคลนั้นเป็นผู้มีสติเที่ยวไป ฉันนั้น
    เมื่อไม่สั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ฯลฯ เรากล่าวว่าใกล้นิพพาน ฯ

    ดูกรมาลุกยบุตร เธอพึงเห็นเนื้อความแห่งธรรมที่กล่าวแล้วโดยย่อนี้โดยพิสดารอย่างนี้แล ฯ

    ครั้งนั้นแล ท่านพระมาลุกยบุตรชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
    ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป
    ครั้งนั้นแล ท่านพระมาลุกยบุตรเป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร
    มีจิตเด็ดเดี่ยว ไม่ช้าก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
    ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
    ก็แลท่านพระมาลุกยบุตร ได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=18&A=1788&Z=1931


    ^
    ^
    เมื่อมีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นก็เกิดขึ้นที่จิตใช่หรือไม่?

    เมื่อไม่มีความติดใจอารมณ์นั้นตั้งอยู่ อารมณ์ก็ดับไปจากจิตใช่หรือไม่?

    เมื่ออารมณ์ที่จิตกำหนัดเสวยอยู่นั้นดับไป จิตต้องดับตามอารมณ์ที่เสวยนั้นไปด้วยหรือ?

    ถ้าจิตดับไปตามอารมณ์ด้วยแล้ว เอาอะไรมารู้ว่าอารมณ์ที่เสวยและตั้งอยู่นั้นดับไปหละ?

    ในเมื่อจิตดวงใหม่ยังไม่เกิดขึ้นมา และจิตดวงเก่ายังไม่ได้ดับไป

    จะมีจิตอยู่ในขณะเดียวกันสองดวง ย่อมเป็นไปไม่ได้

    เมื่อท่านพระมาลุกยบุตรมีจิตเด็ดเดียว จิตไม่กวัดแกว่ง จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

    แบบนี้ยังจะให้จิตของท่านพระมาลุกยบุตรเกิดดับอีกหรือ?

    ถ้าจิตเป็นวิญญาณ มีวิญญาณที่ไหนบ้างที่ไม่กวัดแว่ง มีวิญญาณที่ไหนบ้างที่เที่ยงตรงคงที่ เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่มีประสบการณ์จริง เลยพูดโก้ๆ ตามคำครูบาอาจารย์ แต่ความหมายนั้นคนละอย่างกันเลย

    ในเส้นทางเดินของจิตนี่ มีอย่างเดียว คือ ทำอย่างไรให้จิตยอมละจากสภาวะที่ยึดติด กลับมาอยู่สภาวะแห่งการรู้อยู่

    พระพุทธองค์ และ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าชี้ทางให้คนเดินต่อ ชี้ช่องให้เลิกติดในสภาวะที่จิตยึดไว้ กลับมาอยู่กับรู้

    สิ่งสำคัญ อยู่ที่การกระตุ้น ให้ไม่ยึดติดในสิ่งใด ให้รู้อยู่เฉยๆ เป็นการชี้ทางให้เดิน

    ดังนั้นแล้ว ผู้ที่ผ่านทางเดินใดมา ก็ย่อมจะแนะนำในสิ่งเดียวกันกับผู้ที่ติดข้องอยู่ก่อนในอาการเดียวกันได้เช่นกัน ก็เป็นการถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธองค์ ชี้ทางให้เดินต่อไป

    แต่การที่ยังเดินไม่ถึง แล้วมานั่งจินตนาการว่า ปลายทางนั้นเป็นเช่นไร มาเรียกร้องให้คนอื่น "คิด"
    ในการนี้แทนที่จะเป็นการกระตุ้นให้คนเดินต่อบนทางสายเอกแห่งสติ กลับเป็นการเอาก้อนหินก้อนกรวด มาโรยบนทางเดินคนอื่น เอาสภาวะแห่งการจินตนาการปลายทาง มาให้คนอื่น เพราะไม่ใช่การกระตุ้นให้รู้ในสภาวะแห่งความเป็นจริง แต่เป็นการกระตุ้นให้ติดข้องในสภาวะแห่งการ "คิด"

    อันนี้เป็นการผิดครูบาอาจารย์อย่างร้ายแรง
    พระพุทธองค์ ท่านให้ปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อโดยฟังต่อๆ กันมา ไม่ให้เชื่อโดยการตรึกตรองคิดเอา

    ส่วนในกรณีที่ยังแยกสภาวะเป็น "ทางโลก" กับ "ทางธรรม" อยู่ มันบ่งบอกถึงสภาวะการปฏิบัติด้วยว่ายังเกาะๆ อยู่แค่กระพี้ ยังไม่ถึงแก่นธรรมะ

    หากเพียรรู้อยู่ตลอดเวลา จะแยก "โลก" กับ "ธรรม" ออกจากกันได้ยังไง? ในเมื่อทุกสภาวะ คือ ธรรม ทั้งหมด

    และหากยังไม่มีความสามารถในการระลึกรู้ได้ตลอดเวลา จะมาเพ้อฝันอะไรกับเรื่องจิต เรื่องนิพพาน มันเกินตัว เกินเหตุปัจจัยที่ธรรมภูตสะสมมาอย่างมาก
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....จริงจริงมีพระสูตร ที่ว่า ปัญญาและสติกับนามรูปดับ ...เพราะความดับไปแห่งวิญญาน...:cool:
     
  14. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ผลลัพธ์ คือ ไม่มีอารมณ์เกิดขึ้นได้ในทุกกรณี
     
  15. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    ^
    ^
    อ่านเฉพาะที่เเต้มสีเเดงไว้ก่อนแล้วกัน
     
  16. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ^
    ^
    บทนี้อ่านเต็มๆจะได้ใจความว่า. ผู้ใดจะกล่าวว่าวิญญานเกิดขึ้นลอยๆและดับไปลอยๆ โดยไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร(รูปนาม)ที่ตั้งแห่งวิญญาณ.เป็นอฐานะ.

    เช่นกัน ผู้ใดจะกล่าวการเกิดขึ้น ของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
    โดยเว้นวิญญาน เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน

    อย่างเช่น มีการจำได้หมายรู้อะไรสักอย่าง(สัญญา) ผู้ที่รู้เห็น การจำได้หมายรู้
    ไอผู้รู้นี้มันเป็นใคร ? มันคือผู้รู้ แล้วมันเป็นของใคร ลองสังเกตุดูสิ ใครมันกำลังรู้สัญญาอยู่ มันก็มีอยู่ตัวเดียว คือ วิญญานขันธ์ หรือ จิตนั่นเอง
    ""ที่รู้สึกว่าจิตเรา ของเรานั้นละ มันคือวิญญานขันธ์""
     
  17. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    พระมหากัจจายนะ เป็นเอตทัคคะ ด้านการขยายความพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ย่อๆให้เป็นพิศดาร (สมบูรณ์). นี่ก็จะเป็น1กรณี ในการขยายความ มาดูพระสูตร ที่เอตทัคคะ ด้านนี้ถูกขนานว่า ขยายความได้ถูกต้องโดนไม่มีข้อเเย้งได้เลย ว่าชัดเจนขนาดไหน(ตัดท่อนสำคัญมา)


    ""ท่านย่อมไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง,
    ย่อมไม่ตามเห็นซึ่งตนว่ามีวิญญาณบ้าง,
    ย่อมไม่ตามเห็นซึ่งวิญญาณในตนบ้าง,
    ย่อมไม่ตามเห็นซึ่งตนในวิญญาณบ้าง;""
    ครั้นวิญญาณนั้นแปรปรวนไป เป็นความมีโดยประการอื่นแก่ท่าน :
    แต่วิญญาณของท่าน ย่อมไม่เป็น"วิญญาณ"ที่เปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของ"วิญญาณ"
    เพราะความแปรปรวนของวิญญาณได้มีโดยประการอื่น. ความสะดุ้งอันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของวิญญาณ เพราะความเกิดขึ้นแห่งธรรม (เป็นเครื่องทำความสะดุ้ง).
    ย่อมไม่ครอบงำจิตของเขาตั้งอยู่ เพราะความไม่ยึดมั่นแห่งจิต ท่านย่อมไม่เป็นผู้มีความหวาดเสียว ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความพะว้าพะวง และไม่สะดุ้งอยู่ เพราะความไม่ยึดมั่น.

    ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! อย่างนี้แล คือความไม่สะดุ้ง ย่อมมีเพราะเหตุไม่มีความยึดมั่นถือมั่น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  18. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ตรงนี้คำพูดก็คัดกันเอง ธรรมธาตุเที่ยงตรง เเต่ทำไม วิญญานธาตุไม่เที่ยงตรง? ก็วิญญานธาตุก็คือธรรมธาตุ
    พระองค์ตรัสไว้ชัดๆ ธรรมธาตุย่อมตั้งอยู่นั้น เป็นความตั้งอยู่ เป็นกฏตายตัว เป็นธรรมที่อาศัยกันเกิด อิทัปปัจจยตา

    ธรรมธาตุ คืออะไร. รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ(จิต)

    ^
    ^
    ธรรมธาตุต้องละ
    วิญญาน กับ วิญญานธาตุ ตัวเดียวกัน
    เมื่อวิญญาน ไม่ยึดมั่นวิญญานแล้ว อารมณ์เพื่อการตั้งขึ้นก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญานก็จะไม่มี


    พุทธพจน์
    ""วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไป
    จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อม ดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น. เธอย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. ""
    ^
    บริบทนี้ชัดเจนว่า เมื่อวิญญานไม่ยึดมั่นวิญญาน. "จิตของเรา"ไม่มีที่ตั้งอาศัย
    จิตย่อมหลุดพ้น
    เเต่จะเป็นจิตของเราได้ จิตนั้นก็ไม่ได้ยึดจิต. ไม่คิดว่าจิตเป็นตัวเป็นตน จิตจึงหลุดพ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  19. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    โต้คารมกันมันส์ดีนะครับ
    สรุปกันได้แล้วมั้งผมว่า
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!....

    เห็นพล่ามมาตั้งเยอะแยะ แท้จริงแค่อยากจะอวดโม้โชว์ธรรมว่า "เข้าถึงแก่น"

    ตนเอง"ระลึกรู้ได้ตลอดเวลา" ไม่มีเผลอ คือ "ได้มหาสติ"แล้ว ยังไงหรือ?

    ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่มีต้นแบบที่ชอบอวดอุตริ แต่พื้นฐานกลับตกม้าตาย

    การจะคุยโม้อะไรหัดเกรงใจพระพุทธองค์ที่เป็นบรมครูของเราชาวพุทธ

    และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปฏิบัติปฏิบัติชอบบ้าง

    ท่านทั้งหลายดังกล่าวมานี้ "ล้วนสั่งสอนรู้จักโลกโดยความเป็นจริง เพื่อเข้าถึงธรรมที่เข้าถึงได้ยาก"

    ล้วนสั่งสอนเป็นของคู่คือ"ทวินิยม" มีโลกียธรรม ก็ต้องมีโลกกุตตรธรรม ฯลฯ

    พูดมาได้"ส่วนในกรณีที่ยังแยกสภาวะเป็น "ทางโลก" กับ "ทางธรรม" อยู่
    มันบ่งบอกถึงสภาวะการปฏิบัติด้วยว่ายังเกาะๆ อยู่แค่กระพี้ ยังไม่ถึงแก่นธรรมะ"


    ก็อย่างที่ท่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้เสมอ"ไม่มีผิด"

    ต้นมันยังไม่รู้จัก แต่อยากจะคุยโม้โอ้อวดแต่เรื่อง"ยอด"

    "งง" ที่คุยกันมันเกี่ยวอะไรกับหลักกาลามสูตร เมาอะไรอยู่หรือเปล่า55+

    พล่ามอะไรจ๊ะ ที่ไหนที่เอากรวดไปโรย ชักเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว

    อ้อ เพิ่งรู้นะ การนำเอาพระพุทธพจน์มาให้ศึกษากลับกลายเป็นว่าเอากรวดไปโรยให้

    คนอะไรสับปลับเป็นบ้า พูดเองแท้ๆ "ต้องรู้จักแก้อารมณ์ให้คนอื่น"

    แต่กลับอ้างว่า"ท่านทั้งหลายแค่ชี้ช่องทางให้เดิน" กลับมาอยู่ที่รู้

    ส่วนจะเลิกติดได้หรือไม่นั้น ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องลงมือปฏิบัติเอง(แก้เอง)เท่านั้น

    ไหนๆก็คุยนักคุยหนาว่าเข้าถึงแก่นได้แล้ว โม้ว่"กลับมาอยู่ที่รู้" "ระลึกรู้ได้ตลอดเวลา"

    รู้ที่ไหน? จึงรู้อยู่ที่รู้ได้? ชัดๆนะ

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน

    ปล.เหนื่อยจริงๆเจอพวกบ้าพลังเข้าแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...