ดูจิตติดเฉยโง่ "อัญญาณุเบกขา"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 1 กรกฎาคม 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จากคำถาม พี่ธรรมภูตครับ 1.เฉยโง่มีอะไรเป็นมูล 2.ดับเฉยโง่แล้วก้าวสู่อะไร 3.ดับเฉยโง่ด้วยธรรมใด

    ๑."เฉยโง่" ก่อนอื่น ต้องมารู้จักคำว่า "เฉยโง่" ที่เป็น "อัญญาณุเบกขา"

    ๒."รู้สึกเฉยๆ" เฉยตัวต่อมาที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะสบายๆ ง่ายๆ และลัดสั้น "รู้สึกเฉยๆ" หรือ "รู้สักแต่ว่ารู้" และ "เห็นสักแต่ว่าเห็น" ที่เกิดจาก "ถิรสัญญา" จัดเป็น "อัญญาณุเบกขา" เช่นกัน

    ๓."รู้ว่างวางเฉย" แต่สุดยอดเฉยต้อง "รู้ว่างวางเฉย" ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน "ภาวนามยปัญญา" ที่เป็น "อุเบกขาที่มีสภาวะเดียว" เพราะเป็นสาระสำคัญของผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามพระพุทธวจนะ

    ๑.ความรู้สึกเฉยๆ เป็นความเฉยที่คนส่วนมาก ล้วนต้องเคยเจอะเจอมาแล้วทั้งนั้น เป็นความเฉยเพราะยังไม่รู้จักอารมณ์นั้นๆ เช่น เมื่อพบเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยข้องแวะกับสิ่งนั้นมาก่อน จะรู้สึกเฉยๆกับอารมณ์นั้น แต่เฉยได้ไม่นาน จัดเป็น "อทุกขมสุขเวทนา"

    เป็น "อุเบกขาเวทนา" หรือ ที่เรียกเป็นทางพระศาสนาว่า "อัพยากตธรรม" คือ ธรรมที่เป็นกลางๆ เป็นธรรมที่ยังไม่ตกไปในฝ่ายกุศลธรรม หรือฝ่ายอกุศลธรรม จัดเป็น "เฉยโง่" ความที่จิตยังไม่รู้จักอารมณ์นั้น จึงยังไม่ตกลงไปในอารมณ์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากยังไม่คุ้นกับอารมณ์นั้น

    "อุเบกขาเวทนา" ของคนในโลกเป็น "อัญญาณุเบกขา" แปลว่า "เฉยโง่" เฉยไม่รู้จักอะไร ไม่รู้คุณค่าของอุเบกขานั้น เพราะไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักอุเบกขาธรรมที่แท้จริง ที่เป็นสภาวะ "อุเบกขาที่มีสภาวะธรรมเดียว"

    "อุเบกขาเวทนา" ยังสู้สุขทุกข์ไม่ได้ (สุขเวทนา-ทุกขเวทนา) ถึงจะเฉยได้ ก็เฉยได้ไม่นาน ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ก็กลับไปคลุกเคล้าอยู่กับสุขทุกข์ เป็นสุขเวทนา หรือทุกขเวทนาอีก

    ในจุลเวทัลละสูตร จึงมีพระพุทธพจน์แสดงไว้ว่า เป็นอุเบกขาที่นอนเนื่องของอวิชชา คือความไม่รู้จักอริยสัจ ๔ แปลว่า เฉยโง่ ไม่รู้จักอุเบกขาธรรมที่เป็นของดีที่ถูกต้อง ที่จักนำพาไปสู่พระนิพพานได้ตามพระพุทธวจนะ เพราะขาดการศึกษาปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนา

    "อุเบกขาธรรมที่มีสภาวะเดียว" เปรียบเหมือนลมที่ไม่มีลูกคลื่น ยุบดับสงบราบคาบลงไป อุเบกขานั้นเป็นไวพจน์ของ สันติ สงบ สุขทุกข์ดับลง เพราะไม่มีอารมณ์ (อนาระมะณัง) เป็นสภาพธรรมของจิตที่แท้จริง เป็นทางไปสู่พระนิพพาน เป็นเรื่องนอกโลก พ้นโลก โลกุตตรจิต โลกุตรธรรม ซึ่งแตกต่างกับเฉยโง่เป็นคนละเรื่องเลย

    ส่วน"อัญญาณุเบกขา"นั้น เกิดขึ้นได้ประเดี๋ยว พอจิตเริ่มได้รู้จัก จิตก็เริ่มแสดงอาการของจิตออกมาให้ปรากฎ ถึงความรัก ชอบ ไม่พอใจ ชิงชัง ฯลฯ

    แต่ก็ยังมีความสับสนเกิดขึ้นมาในผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาจนได้ ได้นำเอา "อัพยากตธรรม" ธรรมที่เป็นกลางๆ เพราะจิตยังไม่รู้จัก หรือตกไปในอารมณ์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้น ซึ่งจัดเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่จิตยังไม่รู้จักอารมณ์ จึงรู้สึกเฉยๆในขณะนั้น

    แต่กลับไปจัดสภาพธรรมที่เกิดนั้น "อัพยากตธรรม" เป็นสภาวะ "พระนิพพาน" ซึ่งเมื่อพิจารณาให้รอบคอบแล้ว จะเห็นว่า มีพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสถึงเรื่องนี้ ไว้ในหมวดเวทนา ความว่า

    เธอละความยินดียินร้ายอย่างนี้แล้ว เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    เป็นสุขก็ดี (กุศลธรรม) เป็นทุกข์ก็ดี (อกุศลธรรม)
    ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ดี (อัพยากตธรรม)
    ก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้น

    เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้นอยู่
    ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายก็ดับไป
    เพราะความเพลิดเพลินดับ อุปาทานก็ดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพก็ดับ เพราะภพดับ ชาติก็ดับ
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาสของภิกษุนั้นก็ดับ
    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้ อย่างนี้

    (มหาตัณหาสังขยสูตร)

    จากพระพุทธพจน์ จะเห็นได้ว่า "อัพยากตธรรม" นั้น จัดอยู่ในหมวดของเวทนา จะเป็น "พระนิพพาน" ไปได้อย่างไร

    ๒.ความรู้สึกเฉยๆ ที่เกิดจากความคิด (สัญญา) ของตนที่สร้างขึ้นมาเอง คือ เมื่อผัสสะกับอารมณ์ต่างๆ ที่คุ้นชินบ่อยๆแล้ว ให้ "รู้สึกเฉยๆ" เป็นความรู้สึกเฉยๆที่เป็น "วิปัสสนูกิเลส" หรือ ที่นิยมปฏิบัติกันมากตามความเชื่อในปัจจุบัน เรียกว่า "ถิรสัญญา" เฉยเพราะสัญญาอารมณ์ ก็จัดเป็น "อัญญาณุเบกขา" เฉยโง่เช่นกัน

    เป็นความรู้สึกเฉยๆ ที่เกิดจากการเสพอารมณ์เหล่านั้นจนคุ้นชินแล้ว และจดจำได้อย่างแม่นยำ (ถิรสัญญา) ต่ออารมณ์กิเลสความรู้สึกเหล่านั้น เมื่อรู้จักกับอารมณ์กิเลสเหล่านั้นจนคุ้นชิน และจดจำได้อย่างแม่นยำ (ถิรสัญญา) ย่อมรู้จักการวิธีจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นเป็นอย่างดี

    ยิ่งนานวันยิ่งแยบยลยิ่งเนียนขึ้น จึงรู้สึกเฉยๆได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เฉยเพราะปล่อยวางอารมณ์ออกไปได้ แต่เป็นความรู้สึกเฉยๆ เพราะเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

    ซึ่งเมื่อนำมาตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงแล้ว จะลงกันได้กับรูปฌาน และ อรูปฌาน ที่มีมาก่อนพระพุทธองค์จะทรงอุบัติขึ้น ล้วนเป็นกิจ(ฌาน)ที่สำเร็จได้ด้วยสัญญา จนเป็น "ถิรสัญญา" คือจดจำในอารมณ์รูปฌานและอรูปฌานที่เป็นอารมณ์ละเอียดนั้นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีพระพุทธพจน์ทรงตรัสรับรองไว้ว่า ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้ แต่ช่วยให้กิเลสเบาบางลงได้เท่านั้น

    แต่ "อัญญาณุเบกขา" เฉยโง่ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในปัจจุบันนั้น ทำให้นักปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงสภาวะธรรมที่ถูกต้องแท้จริง มักจะมีความสงสัยคาใจว่า แล้วมัน "ผิด" ตรงไหน? เพราะได้ลองสมาทานนำมาปฏิบัติดู แล้วรู้สึกว่าตนเองดีขึ้นกว่าเดิมมาก

    ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก จากการที่ตนเองไม่เคยให้ความใส่ใจระมัดระวังสำรวมกายใจของตน พอหันกลับมาสังวรระวังเข้า ย่อมบังเกิดผลอย่างแน่นอน และต้องขอตอบว่า เป็นสิ่งที่ดีที่ควรมีในประชุมชนคนทั่วไป

    แต่ที่สำคัญเมื่อปฏิบัติธรรมในลักษณะนี้ ยิ่งนานยิ่งเนียนจนเป็นกลายเป็น "ถิรสัญญา" ทำให้เป็น "พวกติดดีในดี" เป็นกลุ่มคนที่แก้ได้ยากมาก เพราะเป็น "วิปัสสนูกิเลส" อย่างหนึ่งที่เนียนพอใช้ได้ แต่ความเนียนก็ยังหย่อนกว่า "ถิรสัญญา" ในรูปฌานและอรูปฌาน

    ผู้ปฏิบัติแบบนี้มักมีความเข้าใจผิดไปว่า "ตนได้ซึ่งอะไรแล้ว" หลงไหลได้ปลื้มอยู่ในความดีที่ตนเองติดอยู่ เพราะเข้าใจว่ารู้จักวิธีอันชาญฉลาดในการจัดการกับอารมณ์ที่ตนได้ผัสสะอยู่บ่อยๆ

    แต่ก็ลืมไปว่า อะไรที่เกิดจาก "สัญญา" ที่ไม่ใช่ "ปัญญา" นั้น เมื่อนานวันไป ล้วนจืดจางลงได้ทั้งสิ้น

    ๓.รู้ชัดว่าว่าง"วางเฉย" (วิมุตติ) ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนาตามขั้นตอนอริยมรรค จนกระทั่งจิตมีสติสัมปชัญญะ สงบตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว สามารถปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายออกไปได้หมด บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว อ่อนควรแก่การงาน ที่เรียกว่า"อุเบกขาธรรมที่มีสภาวะเดียว" หรือ "อุเบกขาสัมโพชฌงค์"

    เป็นอุเบกขาที่เกิดจาก จิตที่มีสติสัปชัญญะกำกับอยู่ตลอดเวลาเป็นสันตติ หรือ ที่เรียกว่า "ชาคโร" ตื่นอยู่เสมอ อันอาศัยวิเวก เป็นวิราคะ คือธรรมที่แยกแล้ว ดับสนิทจากอาสวะทั้งหลาย เพราะละตัณหา คือความทะยานยากได้ จึงละกรรมได้ เพราะละกรรมได้จึงละทุกข์ทั้งปวงได้ ซึ่งเป็นธรรมที่สงบสังขารทั้งปวง สลัดอุปธิทั้งปวง

    ไม่ใช่ "อัญญาณุเบกขา" เฉยโง่ เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ข้อ ๑,๒) เพราะเป็นอุเบกขา เฉยได้เพราะปล่อยวางอารมณ์กิเลสทั้งหลายออกไปได้ นำไปสู่พระนิพพานในเบื้องหน้า

    สุดท้ายนี้ บทความนี้พอให้เห็นแนวทางได้ว่า "รู้ว่างวางเฉย" อุเบกขาธรรม กับ "เฉยโง่" อัญญาณุเบกขา ต่างกันอย่างไร จะแก้ "อัญญาณุเบกขา" ได้ด้วยธรรมอะไร

    เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากการฟัง อ่าน ศึกษา ควรนำความรู้ หรือบทความนั้น มาสอบสวน ตรวจสอบ เทียบเคียงในหลายๆแหล่งความรู้ อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรลงไปง่ายๆ (กาลามสูตร) เก็บความเป็นใหญ่ในเรื่องที่จะเชื่ออะไรนั้น ให้มันเป็นใหญ่เฉพาะตน(มหรคต)

    และควรปูพื้นฐาน และ สมาทานการปฏิบัติธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญให้ถูกต้อง ควรมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เที่ยงตรงต่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    เพราะปัจจุบันในบอร์ดทั้งหลาย มักมีพวกที่ชอบรับสมอ้าง เที่ยวแอบอ้างตน ทั้งทีความรู้ที่นำเสนอนั้น เกิดจากสัญญาที่พิจารณาจนตกผลึก ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการปล่อยวางได้จริง เพราะธรรมที่นำเสนอมักขาดเหตุผลที่ตริตรองตามได้ ไม่อาจสอบสวน เทียบเคียงลงได้กับพระพุทธพจน์ หรือ ธรรมะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เลย แต่กลับพยายามวางตัวให้สูงส่ง (ด้วยคำพูด) จนหาทางลงให้กับตนเองไม่ได้ มีเยอะมากจนนับไม่ถ้วนเลยจริงๆ

    ฉะนั้น ควรพิจารณาธรรมที่สมควรแก่ธรรมที่นำไปปฏิบัตได้จริง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
    ธรรมภูต
     
  2. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    คล้ายๆอยากได้เงินเดือนเยอะ แต่ไม่ขยันทำตัวให้ราคาแก่เหตุให้ค่าตัวขึ้น
    หวั่นไหวก็เห็นว่าหวั่นไหวตามจริง ยอมรับว่าหวั่นไหวเป็นธรรมดาก็สงบเรื่อยๆ
    หวั่นไหวแต่เก็กไว้ก็ เก็กไปเรื่อย ไม่หล่อตามจริงเนาะ
    หล่อให้มันสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายชาติพุทธบริษัทกันไปเล้ย
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............ยังไงก็ดี การไปเพ่งว่าใครมีศิล ดี อย่างไรไม่ดีอย่างไร สมาธิเขาดีอย่างไรไม่ดีอย่างไร ปัญญาเขามีแค่ใหน...ไม่น่าจะใช่ทาง ....อย่างประโยคที่ว่า" คิดว่าตนได้อะไรแล้ว"...คุณอาว์จะไปรู้เขาทำไม ว่าเขาได้ไม่ได้อะไร...วันวันเขาทำผืดศิลกี่ข้อ........ผมว่าถ้าอยากนำเสนอ สมาธิแบบธรรมภูติก็ลอง บอกการปฎิบัติมาให้ชัดเจนเลยดีกว่า.....เผยแผ่การปฎิบัติของตัวเอง ครั้งเดียวก็ จบเลย...ไม่ต้องพูดถึง อินทรีย์ พละ ของผู้อื่น ให้คลุมเครือและ ไม่มีทางรู้จริงได้ ให้เสียเวลา หลายหลายปี โดย เปล่าประโยชน์:cool:
     
  4. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    พี่ธรรมภูติ ลองอ่านตรงนี้ดูหน่อยครับ

    -------------------
    มีคนจำนวนมากได้ถามว่า

    ภาวะอารมณ์เห็นแปลก ๆ ว่างเบา นิมิต ถอดจิต ภาวะนิพพานเย็น เบาลอยได้ มีอยู่จริงรึไม่ มีความจำเป็นไหมที่จะรู้จักมัน? เพราะผมก็ไม่เห็นมีเหมือนเขา

    ตอบอธิบาย

    เป็นภาวะส่วนที่จะเข้าสมาบัติเพ่งฌานต้องผ่านทดสอบทางเดินชีวิตมโนภาพของภยตูปัฏฐานญาณอันน่ากลัวเพื่อถอนความยึดมั่นและบรรลุธรรม นานาจิตตังแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับวิบากกรรมที่ก่อไว้ ภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่นิพพานแต่เป็นอาการภาวะอารมณ์ให้เข้าใจสัจธรรม เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน

    ทุกตนมีสภาวะ ภาวะทั้งนั้นเดียวหนาวร้อนหนักเบาแข็งอ่อนการแปรปรวนของร่างกาย แต่บางคนมีอารมณ์อ่อนๆ ไม่หนักรุ่นแรงเท่านั้นเอง


    -----------------

    พอจะเห็นอะไรบ้างมั้ยครับ หนทางแก้ของแต่ละคนไม่เหมือนกันทีเดียว อยู่ที่ใครผูกอะไรไว้ ยึดอะไรไว้ ยึดไว้มาก สิ่งนั้นก็จะมาปรากฏตามนิสัยเดิม ๆ ที่ตนเองเคยขยันทำไว้มากนั่นเอง ผู้ได้สติ แลเห็นภัยแล้ว จึงต่างพากันมุ่งหน้า มีสติ รู้ทันบ่วงแห่งมารเหล่านี้ หลุดพ้นมายา มุ่งหน้าสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ผมว่าอย่ามัวแต่ไปติดมุมใดมุมหนึ่งอยู่เลย ไปให้พ้นเถาวัลย์เถอะครับ
     
  6. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ถ้าได้อุเบกขารมณ์ ผมก็พอใจนะ จะโง่ไปบ้างก็ยังดี
     
  7. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    ขอเซฟกระทู้เก็บไว้น่ะครับ อธิบายได้ละเอียดดีจัง

    ขอบคุณครับ
     
  8. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ยิ่งอ่านยิ่งฟุ้ง รอคนมาการันตรีถูกผิดลงคะแนนเสียงข้างมากน้อยก็ว่ากันไป น้อ..
     
  9. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419


    รู้สึกว่ายังเข้าใจอะไรผิดอยู่มาก
    ที่ขีดเส้นใต้ไว้ให้ ลองดูว่า อุเบกขาเวทนา ทำไมถึงได้ชื่อว่า อวิชชานุสัย
    คำตอบ ก็อย่างที่คุณตอบมาบรรทัดเเรก. "อุเบกขายังสู้ สุขทุกข์ไม่ได้". นี้ก็คือคำตอบจาก อวิชชานุสัยที่นอนเนื่อง. เพราะไปสำคัญความ สงบ ต้องเที่ยงเเท้ ไม่เกิดดับ อุเบกขาต้องไม่เกิดดับ. จึงได้บัญญัติอุเบกขาธรรมเฉพาะตัวเองขึ้นมา (เดียวตรงนี้ค่อยขยายอีก).
    อุเบกขาเวทนา มันก็ไม่ต่างอะไรกับ สุข ทุกข์ คือความไม่เที่ยง
    เวทนาใดๆก็ตาม เวทนานั้นๆประมวลลงในความไม่เที่ยง
    เเละ เวทนา ไม่สามารถ เกิดขึ้นพร้อมๆกันได้ เมื่อเวทนาอย่างนึงเกิด อีกอย่างก็ต้องดับไป
    ฉนั้น เฉยโง่ นั้นคุณหมายถึงตัวเอง ที่ไม่รู้จัก อุเบกขาเวทนา ตรงตามเป็นจริงจึงปล่อยอารมณ์ ให้ไปสุขทุกข์ เพราะสำคัญว่า อุเบกขาคือเฉยโง่ สู้ไปเพลินกับ อารมณ์ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ สู้ไปยินดียินร้ายในโลกไม่ได้. เนี่ยมันก็ทำให้ ราคานุสัย กับ ปฏิฆะ ก็ตามนอนมาอีก
    คนที่เค้าภาวนาเป็น เค้าเลือกที่มาอยู่อุเบกขาเวทนา เพราะอะไร ?
    ราคานุสัย กับ ปฏิฆะ จะไม่ตามนอน. ทำให้ระงับความยินดียินร้ายในโลกออกได้
    ถ้าภาวนาจนชำนานเรียกว่า มีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิส คือละเร็วเท่ากระพริบตามาอยู่อุเบกขา
    เมื่ออยู่อุเบกขา ก็ไม่ได้ให้ทำตัวเป็นคนเฉยโง่ซื่อบื้อ อย่าไปเพลิน ไม่ต้องสงบมัวเมาอยู่กับความเฉย. ให้เฝ้าสังเกตุความไม่เที่ยง. ตรงนี้จะเกิดปัญญา
    พิจรานาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เป็นประจำ สุข ทุกข์ อุเบกขา มันจะเปลี่ยนๆ
    มีตรงไหนถ้าอุเบกขาเกิดคือความเที่ยงเเท้มั่นคงถาวร ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องสร้างความเที่ยงเเท้ด้วยการ "บัญญัติขึ้นมาเอง. ละสิ
     
  10. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เรื่องเวทนา
    [๕๑๑] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า เวทนามีเท่าไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เวทนานี้มี ๓ ประการ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑
    อทุกขมสุขเวทนา ๑.
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร อทุกขมสุขเวทนา
    เป็นอย่างไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือ
    เป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขเวทนา
    ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกายหรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขเวทนา
    ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่สำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นอทุกขมสุขเวทนา.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนา เป็นสุขเพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ
    สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
    ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป
    อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ "เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด."
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ปัจจุบันมักเจอ แบบที่นิยมกัน เก็กเท่ แต่กินไม่ได้

    คือ มีประโยชน์ในสายตาทางโลกเท่านั้น ดูดีดูเท่

    แต่ใช้จริงเพื่อการหลุุดพ้นจากทุกข์ไม่ได้

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลานรัก.....
    ถ้าจะตอบด้วยอคตินำก็ควร ยั้งคิดไว้สักนิด
    ของแบบนี้ไม่ต้องเพ่งโทษใครเค้า
    ผู้ทำย่อมได้รับผลของกระทำเองอยู่แล้วเป็นธรรมดา
    ที่บอกว่า ทำไมต้องรู้ " คิดว่าตนได้อะไรแล้ว"
    ต้องรู้ที่ไหน ก็คนจำพวกนี้ มักชอบสื่อ หรือ พูดอะไรแบบเป็นนัยๆให้รู้
    เพื่ิอต้องการอวดให้รู้กันทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ต้องเชิญด้วยซำไป
    ไม่จำเป็นเลยจริงๆที่ต้องไปรู้ เห็นอยู่ทนโท่เกือบทุกบอร์ด

    หลานรัก....
    อคตินี้แก้ได้อยากจริงๆ ธรรมภูตเคยพูดไว้ที่ไหน ว่ามี"สมาธิแบบธรรมภูต"
    ที่นำเสนอไปตลอด ก็คือสัมมาสมาธิแบบพุทธโอวาส ในอริยมรรคเท่านั้น
    เคยเห็นธรรมว่าไปพูดถึงอินทรีย์ พละของใคร? หรือ จึงได้ร้อนตัวเสียขนาดนี้
    มีตรงไหนที่คลุมเคลือ ก็ชี้ขัดๆมา อย่าคลุมเคลือเสียเองสิ55+

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    เฮ้อ!!!

    บุคคลคนๆนี้แฟ้มบุคคลต้องยกให้
    หาความซื่อสัตย์ต่อตนเองยังไม่ได้เลย
    ที่กระทู้โน้น ด่าเบล็ดเสร็จเรียบร้อย(เริ่มก่อน)
    ไม่เคยแสดงความคิดเห็นแม้แต่ความคิดเดียว
    พอถูกแย้งจากคุณเตชะพโล ตอบหน้าตาเฉย(โง่)เลย
    ไม่ได้ด่าใคร ใครเดือดร้อนก็รับไปเอง(ผู้หญิงชัดๆ)
    ต้องอ่านย้อนตั้งแต่หน้า๑๕-๑๖ ก็จะรู้เอง


    แต่หารู้ไม่ว่า นั้นหนะ "โง่ล้วนๆไม่มีส่วนผสมอื่นเลย" หาประโยชน์ไม่พบ

    ส่วนผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นนั้น ยังมีส่วนผสมอันหลากหลายที่พอนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง(ของเก่าวาง)

    ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย ถ้าคิดว่าปรามาสพระรัตนตรัย ก็ยกหลักฐานมาสิ

    อย่าเที่ยวปากพล่อยพูดพล่ามคนเดียว โดยขาดหลักฐาน หาประโยชน์สักนิดก็ไม่มี

    เชื่อมั้ยว่า ทำตัวให้มีคุณด้อยยิ่งกว่าคนบางคนที่ว่าแย่แล้วในบอร์ดนี้

    ถ้าไม่คิดจะแสดงความคิดเห็นที่มีประโยชน์กว่านี้ ก็ไม่น่าต้องเข้ามาเลย

    ไปดูที่กระนั้นแล้ว ไม่ต่างกัน นิสัยสันดานพาลเดิมล้วนๆไม่มีส่วนผสม55+

    หัดเบิกตาดูให้ดีก่อน ธรรมภูตไม่เคยหยาบกับใครก่อนเลย

    ไปย้อนดูได้ โดยมากเมื่อใครให้อะไรมาก่อน ก็ย้อนคืนแค่นั้นเองจริงๆ

    ส่วนคำว่า"โง่นั้น" หรือ"เขลาเบาปัญญานั้น"


    ทุกคนที่มั่วอยู่ในบอร์ดนี้ ล้วนยังโง่และเขลาเบาปัญญาอยู่ทั้งนั้น หรือว่าไม่จริง?

    หรือว่า123aฉลาดอยู่คนเดียว ไม่รู้สึกว่าเวอร์ไปหน่อยหรือ? เวรกรรม

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
    __________________
    ดูจิตแบบธรรมภูต
     
  14. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ^
    นี้คือคำอธิบายของมหาเถระที่เป็นเอตทัคคด้าน ขยายความโดยสมบูรณ์
    ขยายข้อความที่พระองค์ตรัสไว้โดยย่อว่า" จิตไม่ตั้งสงบอยู่ในภายในเป็นอย่างไร"
    พระมหาท่านก็พูดถึงฌานที่4 ไม่ให้จิตไปตั้งมั่นอยู่กับ อทุกขมสุข (อุเบกขา). ถึงมันจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดดับนิ่งสงบสว่าง ก็อย่าเอาจิตไปตั้งสงบ อย่าไปเพลิดเพลิน จึงไปสอดรับกับสูตรที่พูดถึง อุเบกขาสัมโพชฌงค์จะเต็มรอบได้อย่างไร? ให้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่น เพืือเห็นความไม่เที่ยง จางคาย แล้วสลัดลง
    อุเบกขาที่เกิดเพราะจิตอ่อนโยนควรเเก่การงามตรงนี้แหละ ที่ได้ถูกปรุงเเต่งว่าเป็น อุเบกขาธรรม(อุเบกขาสัมโพชฌงค์) เที่ยงเเท้สงบไม่หวั่นไหว

    ฉนั้นเมื่อพูดสรุปมาเเบบนี้ ก็มีอย่างเดียวคือ ไม่รู้จักอุเบกขาสัมโพชฌงค์. ไม่รู้ว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์พระองค์ ให้ใช้เป็นมรรค ปฏิปทา ที่ทำให้ วิชชา วิมุตติ ปรากฏ สิ้นกรรม สิ้นตัณหา
    ไม่ได้สอนว่า อุเบกขาโพชฌงค์. คือ วิมุตติ มันยังมีความเต็มรอบของอุเบกขาที่ต้องภาวนายิ่งๆขึ้นไป
    คิดเอาเองทั้งหมดนั้นเเหละ มันทำให้หลุดออกจากทาง
    สรุปที่คุณพิมพ์ในบอร์ดนี้ เรียกว่าพาเค้าหลงทางเท่านั้นเอง
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เดี๋ยวๆ คุณทีบูน
    คุณต้องค่อยอ่านด้วยใจเป็นธรรม และค่อยแยกแยะ
    ที่คุณยกมานั้น เป็นอารมณ์ที่นักภาวนา แต่ละคนเจอมา
    ต้องบอกด้วยว่า เอาอะไรเป็นอารมณื"ภาวนา" สำคัญมาก

    ซึ่งที่จริงแล้ว นักภาวนามักจะพบเจออารมร์ต่างๆไม่เหมือนกัน
    คนที่ประคองอารมณ์ภาวนาอยู่ที่กายสังขาร ก็แบบหนึ่ง ต้องว่าเป็นรายๆไป
    ส่วนพวกที่พอสงบได้หน่อยชอบส่งจิตออก มักเสียเวลาไปเปล่ากับการเที่ยว
    เพราะพวกชอบเที่ยวนั้น โอกาสพลาดย่อมมากกว่าเป็นธรรมดา

    แต่ที่ฉันเขียนไปนั้น ลองพิจารณาดีๆ เพราะมีพระพุทธพจน์รองรับทั้งนั้น
    การเริ่มต้นนั้นสำคัญ ไม่มีใครเถียงว่า "มันต้นเริ่มที่สัญญา"ทั้งนั้น ใช่
    เพราะ สัญญามี๒สัญญา ๑.สัญญาที่จะยึด กับ ๒.สัญญาที่จะปล่อย

    อันนี้ถึงจะเป็นสาระสำคัญของงานเขียน ที่พยายามเขียนขึ้นมาเพื่อบอกกล่าว
    เพราะปัจจุบัน ไปเอา"ถิรสัญญา" ที่จดจำอ่ารมณ์ได้อย่างแม่นยำมาเป็น"ปัญญา"
    ซึ่งก็ไม่ผิด แต่เป็นปัญญาทางโลกที่ยอมรับกันว่าเป็น"คนดี"
    ส่วนปัญญาทางธรรมเพื่อความหลุดพ้น จะเรือนหายไปเองโดยไม่รู้ตัวเอา เพราะมันทำได้ยากกว่ากันเยอะ(ต้องเพียรจริงๆ) ไม่สบายๆ ง่ายๆ และลัดสั้นเลย
    แถมยังแอบเอาผลของการหลุดพ้นมาใช้ "รู้สักแต่ว่ารู้" "เห็นสักแต่ว่าเห็น"
    แต่บอกไม่ได้ว่ารู้ยังไรจึงรู้อยู่ที่รู้ รู้อย่างไรจึงสักแต่ว่าอาศัยได้

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครว่าเราได้ ถ้าเราพอใจเพียงแค่นั้น

    อย่างท่านสัญชัญปริพาชกเช่นกัน เป็นสิทธิส่วนบุคคล

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เชื่อเถอะครับ อย่ารอลงคะแนนเสียงเลย

    ต้องลองพิจารณาด้วยเหตุผลตามความเป็นจริงว่าเป็นไปได้มั้ย

    ถ้าลงคะแนนเสียงเมื่อไหร่ แม้แต่ครั้ง"พุทธกาล" พุทธศาสนาแพ้อย่างแน่นอน

    เพราะสัญญชัยปริพาชกเอาไปกินหมด

    ถึงเวลานั้นเราคงได้มานั่งเสียใจกันเท่านั้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อยากจะมั่วอะไรแบบคิดเองเออเองคนเดียวไม่มีใครว่า

    แต่ที่แสดงความคิดเห็นไว้นั้น ต้องรู้จักรับผิดชอบด้วย

    จะกล่าวหาอะไรใคร ก็ควรยกเอาหลักฐานมาด้วย

    ไม่ใช่คิดว่าต้องเป็นอย่างงี่อย่างงั้น แบบเดาสวดอวดขึ้นมาเอง

    ไหนละหลักฐานที่ธรรมภูตกล่าวไว้ ชอบจังมั่วแบบคิดเองเออเองคนเดียว

    ถ้าอ่านยังไม่เข้าใจ ก็ยังไม่ต้องรีบแสดงอะไรก็ได้ ไม่มีใครกล่าวหาว่าโง่หรอก

    แต่ที่เห้นเป็นประจำคือ "คิดเองเออเองเบล็ดเสร็จ" แล้วกล่าวหาต่อเลย

    แล้วก็แปลกนะ ที่ขอหลักฐานไป เพราะเห็นชอบเอามาอ้าง ก็หายเงียบทุกครั้งไปเช่นกัน

    ตอนนี้ขี้เกียจค้น เอาที่พอระลึกได้ ที่พูดว่า"วิญญารู้ลมหายใจ"นั้น

    เอาพระพุทะพจน์มาช่วยยันหน่อยสิ มีเยอะมากวางๆจะค้นมาหาความจริงกัน

    แล้วเวลายกอะไรมาวิจารณานั้น ควรยกบริบทก่อนหลังที่มันเชื่อมกันด้วย

    อย่าเอานิสัยสันดานแบบนี้มาใช่ เท่าจำได้(จากความจำ)อ้างพระสูตรว่า

    ทำนองว่า"วิญญาณตน ปฏิเสธวิญญาณ " ยังไม่เคยได้หลักฐานเช่นกัน

    ปล. ถ้าอยากจะโม้อะไร ก็ขึ้นกระทู้ขยายความไปเลย

    ธรรมภูตไปเคยห้ามใคร เรื่องเอาบทความไปขยาย แถมชอบเสียอีกและไปเยี่ยมแน่

    อย่าดีแต่ทำตัวเหมือนเด็กขายขนม ไม่รู้จักโต ดีแต่โชว์ความเดื้อให้เห็นเท่านั้น


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    เจ้าของกระทู้..นี้

    อย่าลืม เวลา หมอ นัด นะ...ยา น่ะ กิน ให้ตรงเวลานะ...

    จะได้ไม่อาละวาด เที่ยว เหน็บแนม คนอื่นไป เรื่อย ทั้งๆที่าตนเอง เม้นอะไร บ๊องๆ..เขียนซะยืดยาว มีแต่ ดั้นเมฆ พูดเองเออเอง ...สมเพช ครับ
     
  20. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    เพิ่มเติมข้อ4 คือ ไม่ดื่มเหล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...