สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะสามี, 4 พฤษภาคม 2013.

  1. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ฝ่ายนายช่างทองผู้งามโสภา จำเดิมแต่วันแคล้วคลาดจากนางมา ก็รำพึงรำพันถึงนางอยู่ไม่วางวายว่า นางกุมารีนี้ได้มีน้ำใจรักเป็นปิยสหายแห่งเรามาก่อน บุรุษเช่นเรานี้จึงสมควรจะได้นาง รำพึงพลางจึงคิดหาอุบาย ครั้นคิดได้แล้วจึงอุตสาหะทำเครื่องประดับสำหรับศอสำรับหนึ่งสวยสดงดงามนักหนา แล้วไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจงเป็นลวดลายละเอียดอุดม สมควรเป็นราชอลังการแล้ว ก็น้อมนำเข้าไปถวายพระมหาอุปราชเจ้า

    " เอ๊ะ! เจ้านำของที่ชอบใจมาให้เราเช่นนี้ จักมีความประสงค์สิ่งใดหรือ "

    พระมหาอุปราชซึ่งมีพระกมลโสมนัสตรัสถามขึ้น นายช่างทองจึงทูลสนองบอกความประสงค์ของตนให้ทรงทราบ

    " อย่าวิตกไปเลย จะเป็นไรมี เรานี้รับธุระจะทำอุบายให้เจ้าสมมโนรถจงได้ "

    พระมหาอุปราชตรัสรับรองแล้วจึงทรงให้นายช่างทองแต่งตัวเป็นสตรีเพศ ทรงสรรพาภรณ์พิจิตร บิดเบือนแสร้งแปลงองค์เป็นขัตติยอนงค์กัญญาเสร็จแล้วจึงให้นั่ง ณ ภายในกระโจมทองข้างพระที่นั่ง ส่วนพระองค์ทรงพระแสงขอสถิตบนคอมงคลคชาธาร เสด็จมาถึงบ้านท่านเศรษฐีประทับหยุดยืนช้างพระที่นั่ง แล้วรับสั่งให้เศรษฐีเข้ามาเฝ้าและแสร้งดำรัสถามว่า

    " ปราสาทหลังใหม่นั่น เป็นของใครอีกเล่า "

    " เป็นปราสาทธิดาของข้าพระพุทธเจ้า " เศรษฐีทูล

    " เออพ่อ...ดีแล้ว บัดนี้ พระบรมชนกธิราชดำรัสราชวโรงการให้เราไปปราบพวกโจรร้ายในชนบทประเทศ จะขอฝากพระกนิษฐภคินีน้องสาวเราไว้ให้อยู่กับธิดาของท่านด้วยเป็นการชั่วคราว กว่าเราจะกลับมา เมื่อกลับมาแล้ว เราจึงจะมาพาพระน้องนางนั้นไป "

    พระอุปราชตรัสขึ้นตามอุบายทรงวางไว้

    " พระเจ้าข้า แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว พระภคินีของพระองค์จะทรงอยู่ด้วยธิดาเกล้ากระหม่อมจะได้หรือ "

    เศรษฐีทูลด้วยความกังวลใจ

    " จะเป็นไรไปเล่า ท่านเศรษฐี " พระมหาอุปราชตรัสดุจไม่พอพระหฤทัย "

    ท่านจงให้ธิดาของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อน ให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพระน้องนางเราสักหน่อยเถิดเราไปไม่นานนัก ก็จักรีบกลับมารับไป "

    " ถ้ากระนั้น ก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระสนองท่านได้ พระเจ้าข้า "

    ท่านเศรษฐีทูลแล้ว เรียกธิดามาบอกความต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วสั่งให้นำพระภคินีปลอมนั้นขึ้นสู่ปราสาท และก่อนที่เจ้ามหาอุปราชจะอำลาไป พระองค์ยังได้ทรงสั่งซ้ำดุจเป็นห่วงหนักหนาว่า

    " ดูกรท่านเศรษฐี! ขอท่านจงอย่าได้ประมาทเลย จงเห็นแก่เราเถิด จงช่วยเป็นธุระเอาใจใส่ ของสิ่งไรที่น้องรักเราเจ้าต้องการ ท่านจงจัดอย่าได้ขัดใจเจ้าเลย อนึ่งบุคคลทั้งหลายอื่นๆ ท่านต้องคอยระวังจงห้ามอย่าให้ขึ้นไปจุ้นจ้านบนปราสาทเป็นอันขาด โดยที่สุด แม้แต่สามีของธิดาท่านก็จงอย่าให้ขึ้นไปอย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว เข้าใจไหมเล่า "

    " ไว้ใจเถิด พระเจ้าข้า " ท่านเศรษฐีรีบทูล

    " จงวางพระทัยไว้ธุระข้าพระบาททุกประการเถิด พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย "

    ทูลรับรองอย่างหนักแน่นแล้ว ก็ตามส่งเสด็จจนถึงนอกกำแพงปราสาท



    ..... ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มาณพหนุ่มช่างทอง ก็ได้อยู่ร่วมภิรมย์กามรดีกับด้วยกาญจนวดีกุมารีสมมโนรถความปรารถนาเป็นเวลา นานสิ้นกำหนดสามเดือน จะได้มีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่งในที่นั่นล่วงรู้ความลับนี้ก็หามิได้ ฝ่ายพระมหาอุปราชนั้น ครั้นกาลล่วงไปครบสามเดือนแล้ว ก็ทรงทำเป็นเสด็จมารับพระกนิษฐภคินีกลับไป



    ..... พระพุทธางกูรโพธิสัตว์ เมื่อพระองค์ดำรงกฤษฎาภินิหารพระบารมีญาณยังอ่อน ต้องถูกเพลิงคือราคะกิเลสเบียดเบียนบีฑา บังเกิดขึ้นมาแล้ว และมิอาจระงับเสียได้ จึงเป็นไปตามอำนาจราคะกิเลสประกอบ โทษล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นเป็นกายทุจริต เช่นนี้ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนี้แล้ว ก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ ต้องได้รับทุกขเวทนาถึงสาหัสเป็นหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนักหนา นับเป็นเวลานานถึง ๑๔ กัป



    ..... ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกุตมาจารย์ ครั้นได้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนพวกเราชาวพุทธบริษัทว่า

    " สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ ย่อมได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสในอบายภูมิสี ๔ คือเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิเป็นต้น เพราะความกระวนกระวายเดือดร้อนด้วยอำนาจราคะกิเลส สัตว์ที่ไม่รู้พระสัทธรรม ย่อมถึงความก่อเกิดเป็นร่างกายเที่ยวเวียนว่ายอยู่ในโอฆะสงสารเจริญภพเจริญชาติมากมาย แม้จะนับด้วยหลายล้านหลายโกฏิอสงไขยนั้นก็นับหาได้ไม่ ต่อเมื่อเป็นพุทธบุคคลแล้วนั่นแล จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้พ้นจากอบายภูมิ "



    ..... เมื่อ ได้ทราบความพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงเชื่อถือคำสอนของพระพุทธองค์เถิด จงทำใจให้เห็นโทษภัยในอบายจงมาก หากแต่น่าสังเวชอยู่ที่ว่า วิสัยจิตใจของปุถุชนคนเราโดยมากทุกวันนี้มักคิดไปเองว่าตนนั้นมีปัญญาดี เมื่อมีผู้เอาภัยในอบายมาชี้แจงมาแสดงบอก ก็มักคิดไปว่าแกล้งมากล่าวหลอกลวงให้เกรงกลัวไม่ยอมเชื่อว่าเป็นจริง เพราะสิ่งที่ว่าคือนรกตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ให้หันเหคิดขวางๆ ไปว่า เป็นเพียงอุบายสอนคนโบราณกาลก่อน ตั้งแต่ครั้งสมัยคนเรายังโง่อยู่เท่านั้นเอง นรกสวรรค์มีที่ไหนกัน เมื่อคิดผันแปรไปเช่นนี้ ก็จะพอกพูนความประมาทให้เกิดมากยิ่งขึ้นในสันดานตน อาจประกอบอกุศลกรรมต่างๆ อันเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายได้ ฉะนั้น ต้องสอนตนให้กลัวภัยในอบายภูมิก่อนนั่นแลเป็นดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2013
  2. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    พระโพธิสัตว์ท่านนี้ ท่านคงปรารถนา วิริยะธิกะ สัมมาสัมโพธิ เป็นแน่แท้ เพื่อช่วยโปรดเวไนยสัตว์ให้มากที่สุด

    สำหรับกระผมเอง สัก 40 อสงไขย ก็คงพอ
    หากทำได้สำเร็จ ก็ขออยู่โปรดสอน สักระยะหนึ่ง
    ยังไม่อยากรีบตรัสรู้ ขออยู่ช่วยไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร

    ขออนุโมทนาในธรรมด้วย ครับ
     
  3. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี



    ..... เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมล่วงกาเมสุมิจฉาจารแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัส เป็นเวลานานนักถึง ๑๔ กัปดังกล่าวแล้ว แต่ต่อจากนั้นด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นลาเป็นเวลานานนับได้ ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวกแต่กำเนิดอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีกเป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ




    ..... ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่าแต่เพียงเศษของอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักหนา ฉะนั้น จงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆ ที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้ ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทอง ให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชมชื่นรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ นับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย




    ..... เมื่อถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว ครั้นถึงพระชาติเป็นที่สิ้นสุด เศษปรทารกรรม คือการล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้น ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติยกุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่



    ..... ก็ในสมัยนั้น เป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุราณะทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชเช่นกัน ฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี จึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระบรมโลกนาถพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน



    ..... เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก กาลครั้งนั้น หมู่มนุษย์นิกรนานาประชาชาติ มีสมเด็จพระพุทธบิดา คือ พระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการะบูชาอุทิศเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  4. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... วันหนึ่งเป็นเวลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างก็ทอดทัศนาการเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจึงทรงจินตนาว่า

    “ ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง " ทรงจินตนาดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า

    “ ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา ”

    ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า

    “ พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน ”




    ..... เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมานั่ง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า

    “ พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใดเล่า


    “ ขอถวายพระพรพระราชธิดา อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการะบูชาแด่องค์สมเด็จพระปุราณะทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียันรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครู อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะพระราชธิดา ขอถวายพระพร ”



    ..... ทรงได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสหนักหนา จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา ในขณะนั้นเจ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า

    ..... “ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด ”



    ..... เมื่อเกิดความคิดคำนึงฉะนี้แล้ว พระราชธิดาเจ้าจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้น ลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่

    ..... “ ข้าแต่พระ คุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคินีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีกาลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง แลขอให้ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ”



    ..... ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    อนุโมทนาสาธุในธรรมทานค่ะ ขอให้ท่านสมความปรารถนาและปนิธานดังที่ตั้งใจไว้ด้วยเทอญ
     
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ฝ่ายพระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า

    ..... " ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค พระเจ้าข้า เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็นอยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิทธัตถะในอนาคต ข้าพระองค์โอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเจ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า "



    ..... สมเด็จพระปุราณทีปังกรบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    " ดูกรภิกษุ บัดนี้สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น ยังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน "

    " พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า "
    พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลขึ้นอีก



    ..... ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่าพระกนิษฐภคินีสุมิตตากุมารีเจ้าได้ เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทร เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคต ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า




    ..... " ดูกรภิกษุ กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยหนึ่งแสนกัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระทีปังกรซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น "




    ..... เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว พระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำประทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารี เล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้า พอได้ทรงสดับคำเล่าบอกจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวณีย์ถวายนิตยปวารณาว่า
    " ข้าแต่พระคุณเจ้าขา แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระคุณจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด "



    ..... ตั้งแต่วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี ไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน



    ..... ฝ่ายเจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีนั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้า ก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตทานแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ก็จำเดิมแต่กาลนั้นมาเจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่งนัก สู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศล เป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเสวยทิพยสมบัติในเทวโลก ก็เป็นอันว่าบัดนี้สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงหมดสิ้นจากเศษปรทารกรรมความล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นแต่เพียงนี้
     
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    อรติเทวราชบพิตร​



    .....เมื่อเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี สิ้นพระชนมายุไปบังเกิดในสวรค์เทวโลก เป็นเทพบุตรเสวยทิพยสมบัติอยู่สิ้นกาลนาน กำหนดได้ ๕๗ โกฎิกับอีก ๖ ล้านปีแล้ว ก็จุติจากสวรรค์ท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดด้วยอำนาจวัฎฏะสงสารอีกสิ้นกาลช้านาน



    .....กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงมาถือกำเนิดในราชตระกูล ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระราชบิดา ได้ราชาภิเษกเป็นเอกองค์อัครราชาธิบดี เถลิงสิริราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตร ดำรงราชกิจโดยทศพิธราชธรรม มีอำมาตย์ผู้หนึ่งนามว่า สิริคุตมหาอำมาตย์ เป็นผู้อนุศาสน์บอกอรรถธรรม



    ..... ก็ในกาลครั้งนี้ ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพรหมเทวะสัมมาสัมพุทธเจ้า คราวหนึ่ง พระองค์ทรงอุตสาหะเสด็จพระพุทธดำเนินมา ณ กรัณฑกะนครของพระเจ้าอรดีเทวราช เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพระบวรพุทธศาสนา ให้เหล่าประชาสัตว์ได้ดื่มอมตธรรม ในขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงพระนครนั้น พระฉัพพรรณรังสี ๖ ประการอันซ่านออกจากพระพุทธสรีระกาย ปรากฎมากมายนักหนาครอบงำทั่วพารา แลดูราวกับว่าภานุมาศเทพมณฑล คือ พระจันทร์มาอุทัยไขรัศมีพร้อมกันทั้งพันดวง มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก



    ..... ในระยะนั้น สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรกำลังประทับนั่งบนพระแท่นรัตนบัลลังก์ ณ พื้นเบื้องบนพระมหาปราสาท มีสิริคุตมหาอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ ครั้นท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรังสีมาปรากฎอย่างอัศจรรย์ มิได้ทันที่จะทรงพระอนุสรณ์คำนึงเห็นว่าเป็นอะไรกันแน่ จะว่าเป็นพญาไกรสรสีหราชหรือว่าเป็นเทพยดามนุษย์นิกรคนธรรพ์กินนรมากระทำฤทธิ์ให้วิปริตไปก็ให้ทรงมีพระกมลสะท้านหวาดเสียวเป็นที่สุด ทรงมีพระอาการจะทรุดพระองค์ลงจากพระราชบัลลังก์อาสน์



    ..... สิริคุตมหาอำมาตย์ได้เห็นพระอาการสะดุ้งพระราชหฤทัยดังนั้น จึงรีบผายผันไปทัศนาดูโดยสีหบัญชรของพระแกล ก็แลเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งทรงพระสิริโสภาประดับด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณะและพระอสีติยานุพยัญชนะมีพระฉัพพรรณรังสีโอภาสทำให้สว่างกระจ่างจับทั่วสกลพารา สิริคุตมหาอำมาตยาบดี แต่พอได้ทอดทัศนาเห็นพระองค์เช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่า เจ้าของพระรัศมีนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... คราวนี้หากจะมีปัญหาว่า ทำไมสิริคุตอำมาตย์จึงทราบได้ทันทีเช่นนี้ มีคำวิสัชนาว่า สิริคุตอำมาตย์ผู้นี้หรือก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งได้มีอภินิหารบารมีอบรมมานานนักหนา นานกว่าพระเจ้าอรดีเทวราชมหากษัตริย์แห่งตน ได้เคยประสบพบปะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามากมายหลายร้อยชาติแล้ว ทั้งในชาตินี้ก็เป็นพระราชครูผู้รอบรู้สั่งสอนอรรถธรรมแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพอได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระจอมมุนี จึงพลันทราบได้ทันทีว่า องค์พระผู้ทรงพระรัศมีเห็นปานฉะนี้ คือ องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นสิริคุตอำมาตย์ทราบชัดด้วยใจตนเองเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีโสมนัสเป็นล้นพ้น รีบลนลานกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตน



    ..... " ข้าแต่มหาราช พระเจ้าข้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดเสียว ทรงพระวิตกถึงภัยสิ่งใดเลย .....แสงพระรัศมีที่เห็นนั้นเป็นแสงแห่งรัศมีของท่านผู้ทรงบุญญาธิการยิ่งผู้หนึ่ง ที่กำลังมุ่งหน้ามาสู่พระนครของเรานี้ .....และท่านผู้มีกำลังมาสู่พระนครเรานี้นั้น จะได้เป็นสามัญบุคคลก็หามิได้ .....โดยที่แท้ท่านผู้นั้นคือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงพระสัพพัญญุตญาณยอดโลก .....แล้วท่านผู้นี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมในไตรโลกเป็นเอกอัครโลกนายก .....ทรงอุบัติขึ้นเพื่อจะเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ .....ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชนะมารและสมควรจะรับสักการะบูชาน้อยใหญ่ของประชาสัตว์ทั้งหลาย .....ทรงมีคติที่ไปเป็นอันดี .....ทรงไพบูลย์ด้วยวิชชาและจรณะธรรม .....เป็นผู้อำนวยนำนิพพานสุขให้แก่ฝูงสัตว์ได้ .....พระองค์ย่อมเป็นใหญ่ในสามภพตรัสรู้แจ้งจบในสรรพไญยธรรมทั้งปวง .....ด้วยพระองค์เป็นผู้วิเศษในทางทรมานสัตว์บุรุษดุจสารถีอุดม .....ทรงเป็นบรมศาสดาของหมู่เทพยดาแลมนุษย์ .....เป็นพุทธบุคคลเบิกบานในโลก จะหาผู้ใดเปรียบโดยคุณธรรมใดๆ มิได้ .....เป็นผู้ไม่มีความอาลัยแล้วในสรรพสมบัติอันเป็นเครื่องรัดตรึงสัตว์ทั้งปวงไว้ .....มีปัญญาจักษุลุล่วงในทางเป็นประโยชน์ .....ทรงเป็นธัมมะสามีใหญ่ในธรรมสำเร็จพระพุทธภูมิเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน .....ทรงมีพระกมลมากด้วยความละเอียดอ่อนยิ่งด้วยพระมหากรุณา .....ทรงสามารถที่จะประกาศธรรมโฆษณาทั่วทั้งไตรโลกธาตุ พระเจ้าข้า "




    ...... เมื่อสิริคุตอำมาตย์ประกาศพรรณนาพระพุทธเจ้าด้วยพจนากถาอยู่ฉะนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์พรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาใกล้สถานที่นั้น โดยลำดับกาล สิริคุตอำมาตย์เห็นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมาใกล้ จึงทูลเตือนให้พระสติแก่พระเจ้าอรดีเทวราชว่า

    " ข้าแต่มหาราชเจ้า! ขอเชิญเสด็จอุฏฐานการจากราชบัลลังก์ ไปทำปัจจุคมนาการต้อนรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2013
  8. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบรมกษัตริย์ ครั้นได้ทรงสดับสิริคุตมหาอำมาตย์กราบทูลดังนี้ พระองค์ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสเต็มตื้นไปด้วยพระปิติ ซาบซ่านไปทั่วทั้งพระสรีระกาย ทรงมีพระพักตร์มืดมนด้วยกำลังพระปิติกล้า ในขณะนั้น พระองค์ก็ทรงมีปวัตตนาการวิงเวียนล้ม และตกลงมาจากชานพระทวาร น่าตกใจกลัวจะสิ้นพระชนม์นักหนา แต่ด้วยอำนาจพระราชศรัทธาอันกล้าหาญของพระองค์มาโอบอุ้ม จึงเกิดอัศจรรย์บันดาลเกิดเป็นดอกเศวตโกสุมปทุมชาติงามสะอาดตระการประมาณเท่ากงเกวียน แหวกพื้นปฐพีผุดขึ้นบานรับประคับประคองพระองค์ไว้ ครั้นทรงได้พระสติจึงทรงเลื่อนพระองค์ลงจากดอกปทุมบุปผชาติ และดอกปทุมบุปผชาตินั้นก็เลื่อนหายไปในขณะนั้นทันที สมเด็จพระเจ้าอรตีเทวราช จึงเสด็จยุรยาตรไปด้วยพระบาทเปล่า เข้าไปสู่สำนักเฉพาะพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระพรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายนมัสการและกระทำการสักการะบูชาด้วยสุมนบุปผาชาติเลือกล้วนแต่ที่ดีๆ บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบริสุทธิ์สะอาด ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงนิ่งงัน เฝ้านมัสการบูชาแล้วบูชาเล่าอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานแสนนาน



    ..... ภายหลังต่อมา สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมภารถวายเครื่องอุปกรณ์ทานทั้งหลายอื่นเป็นอันมาก ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสนัก แล้วทรงเกิดความคิดบรรเจิดจ้าปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ จึงทรงซบพระเศียรเกล้าก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งพระทัยอุทิศทำพุทธภูมิปณิธานว่า




    ..... " ข้าแต่พระองค์ผู้สัพพัญญู พระองค์ได้ตรัสเป็นพระพุทธองค์บรมนาถ สามารถยังสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามได้ฉันใด ขอให้ข้าพระองค์ จงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจงสามารถนำสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามด้วยฉันนั้น อนึ่งพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณพ้นจากภพกันดารแล้ว และสามารถเปลื้องสัตว์ในโลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารด้วยฉันใด ขอให้ข้าพระองค์จงได้ตรัสรู้ธรรมเช่นนั้น และสามารถเปลื้องสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารฉันนั้นเถิด "



    ..... เมื่อสมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราช ได้ทรงกระทำพระพุทธภูมิปณิธานในพระทัยฉะนี้แล้ว ก็มีพระกมลเบิกบานบันเทิงเป็นหนักหนาแล้วจึงถวายนมัสการลา เสด็จอุฏฐาการกระทำประทักษิณสมเด็จพระพรหมเทวาโลกนายกแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง



    ..... ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงพระอุตสาหะสร้างสมพระราชกุศล ทรงบริจาคทานสมาทานศีลอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ มีพระกมลนิยมยินดีในกุศลธรรมสุจริตมิได้เบื่อหน่าย ทรงมุ่งหมายในพระพุทธภูมิเป็นนิจนิรันดร์ จนสวรรคตสิ้นพระชนมายุแล้ว เสด็จไปอุบัติเกิดในสวรรค์เทวโลก



    ..... การสร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีเพื่อพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตอนเริ่มแรก คือ ตอนมโนปณิธานตั้งความปรารถนาพระพุทธภูมิปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแต่ในพระทัยอย่างเดียว มิได้ออกโอษฐ์เปล่งวาจาปรารถนาขององค์สมเด็จพระสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูแห่งเราทั้งหลาย แต่เพียงส่วนน้อยในอสงไขยต้นเท่านั้น มิใช่ทั้งหมด อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ความจริงพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนนี้และได้พบพระพุทธเจ้ามากมายหลายชาตินักหนา จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลพระชาติของพระองค์มากล่าวไว้ให้หมดสิ้นในที่นี้ ได้จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีตอนเริ่มแรก คือได้แต่นึกปรารถนาพระพุทธภูมิในพระทัยอย่างนี้ นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย



    ..... จากชาดกที่ยกมาในเบื้องต้นนี้ ท่านผู้มีปัญญาก็ย่อมจะพิจารณาเห็นแล้วมิใช่หรือว่า การสร้างพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณขององค์พระพุทธอังคีรสศากยมุนีนั้น เป็นการยากลำบากนักหนาและมีระยะกาลเวลายาวนานเพียงไร ขอชาวเราทั้งหลายผู้เป็นพระพุทธบริษัทและท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิทุกท่าน จงร่วมด้วยช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าบรมครูให้เจริญรุ่งเรืองตราบเท่า ๕,๐๐๐ พระวัสสากาลกันเถิด ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    พระบารมีตอนกลาง​



    ..... บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ของสมเด็จพระสมณะโคดมบรมครูเจ้าของเราในกาลวจีมโนปณิธาน คือกาลที่พระองค์ออกโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิต่อไป



    ..... ก็องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ สร้างพระบารมีมาชนิดยอดเยี่ยมด้วยพระปัญญาฉะนั้น หลังจากทรงตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระหฤทัย มิได้ออกพระวาจามาครบถ้วน ๗ อสงไขย ดังกล่าวมาแล้ว พระองค์ยังจะต้องทรงตั้งวจีปณิธาน คือ ออกพระวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีก เป็นเวลานานถึง ๙ อสงไขย ตามที่จะได้พรรณนาดังต่อไปนี้



    พระเจ้าสาครบรมจักรพรรดิราช​




    ..... เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด อยู่ด้วยอำนาจวัฏฏะสงสารสิ้นกาลช้านานนักหนา บางเวลาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ได้เกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในสรวงสวรรค์นั้น กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้อัตภาพมาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยนั้นเป็นสุญกัป โลกธาตุว่างจากพระบวรพุทธศาสนา พระองค์จึงได้ออกบรรพชาเป็นดาบสประพฤติพรตอยู่ในป่าใหญ่ พยายามบำเพ็ญกสิณบริกรรมภาวนาจนได้สำเร็จปฐมฌาน ครั้นดับสังขารสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นพรหม ณ พรหมโลกชั้นมหาพรหม เสวยพรหมสมบัติชมฌานเป็นสุขอยู่ แล้วจึงจุติลงมาจากพรหมโลก



    ..... ด้วยเดชะอานิสงส์ผลบุญกุศล ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสมสุจริตธรรมความประพฤติดีงามไว้ ในอดีตชาติแต่ปางก่อนเป็นอันมาก หากมาอำนวยผลให้ในคราวนี้ พอจุติจากพรหมโลกแล้ว พระองค์ก็ได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในราชตระกูล ณ ธัญญะวดีมหานคร เมื่อถึงศุภวารดิถีวันที่จะเฉลิมพระนามนั้น จึงประชุมพระบรมวงศ์ได้พร้อมกันขนานพระนามว่า สมเด็จพระสาครราชกุมาร ครั้นเจริญวัยวัฒนาการนานมา เมื่อสมเด็จพระชนกธิบดีดับขันธ์สวรรคตแล้ว ก็ได้ดำรงสิริราชสมบัติสืบกษัตริย์ขัตติยวงศ์โดยทศพิธราชธรรม




    ..... ต่อมาทรงพระอุตสาหะปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร ที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์กำหนดถวายต่างๆ อย่างครบถ้วน แต่ที่พิเศษก็คือว่าเมื่อถึงวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิภูมิบดีย่อมเสด็จเข้าที่สรง ทรงชำระสระสนานพระองค์ให้สะอาดแล้ว ก็ทรงพระภูษาโขมพัสตร์พื้นขาวคู่อุโบสถวิเศษ เสด็จขึ้นสถิตอยู่เบื้องบนพระมหาปราสาท ทรงพระอาวัชชนะนึกถึงอุโบสถศีล ที่พระองค์สมาทานเสมอมามิได้ขาด



    ..... ก็อุโบสถศีลมีดังนี้

    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์หรือทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก

    ๒. ไม่ลักทรัพย์

    ๓. ถือพรหมจรรย์ คือ ไม่เสพเมถุน หรือถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม

    ๔. ไม่พูดโกหก ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ

    ๕. ไม่ดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพย์ติด

    ๖. ไม่กินข้าวหรืออาหารหลังเที่ยงไปแล้ว (ยกเว้นน้ำเปล่าและน้ำปานะ)

    ๗. เว้นจากการขับร้องฟ้อนรำและประโคมดนตรีและดูการเล่นบรรดาเป็นข้าศึกแก่กุศลและทัดทรงลูบไล้ทาตัวด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาต่างๆ

    ๘. เว้นจากการนั่งหรือนอนบนที่นอนสูงหรือที่นอนใหญ่ คือเตียงหรือตั่งมีเท้าสูงเกิน ๓๐ เซนติเมตร



    ..... ลำดับนั้น ด้วยเดชะอำนาจผลแห่งพระราชกุศล ที่พระองค์ทรงรักษาอุโบสถศีลเป็นประธาน จึงบันดาลให้สัตตรัตนะอุบัติเกิดขึ้น คือ

    ๑. จักรแก้ว งามบริสุทธิ์พร้อมด้วยพันแห่งกำกง อลงกต ย่อมมีมหิทธิประสิทธิสามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ทุกประการ

    ๒. หัตถีรัตนะ คือ ช้างแก้วตัวประเสริฐเกิดมาแต่อุโบสถตระกูลอันยิ่งใหญ่

    ๓. ม้าแก้วสินธพชาติตัวประเสริฐบังเกิดมีแต่ตระกูลพลาหกอาชาไนย

    ๔. มณีรัตนะ คือ แก้วมณีอันช่วงโชติรัศมีอันงามยิ่งนัก จากดาวดึงส์เทวโลก แก้วมณีนี้เป็นแก้วสารพัดนึก อำนวยให้เกิดข้าวของเครื่องใช้ ความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่าข้าวปลาอาหารนานาประการ สามารถเลี้ยงผู้คนได้ทั้งโลกได้สบายๆ (ได้ยินว่ามณีรัตนะ ตอนนี้ท่านท้าวสักกะเทวราชเก็บรักษาไว้ที่ดาวดึงส์ รอมอบให้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ต่อไป)

    ๕. อิตถีรัตนะนารี คือ นางแก้วที่เกิดคู่สำหรับบรมกษัตริย์ ซึ่งเทพเจ้าจัดสรรนำมาแต่อุตตรกุรุทวีป

    ๖. คหบดีรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วผู้ประเสริฐคู่พระบารมี

    ๗. ปรินายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว บริหารราชกิจให้ชาวประชาผาสุกอยู่เป็นนิตย์



    ..... สมเด็จพระเจ้าสาครราชจักรพรรดิทรงประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เสวยมไหศูรย์ราชสมบัติโดยราชธรรมประเพณี ทรงมีพระเดชานุภาพแผ่ไปทั่วพิภพจบสกลพื้นปฐพี มีสาครสมุทรทั้งสี่กั้นเป็นขอบเขต ทรงเสวยจักรพรรดิสุขอยู่แสนจะสำราญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  10. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... กาลครั้งนั้น ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุราณะโคดมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตามพระพุทธประเพณีอันมีสืบมา ด้วยพระมหาเดชานุภาพแห่งพระธรรมจักรของพระองค์ที่ทรงแสดงในกาลครั้งนั้นหนักยิ่งนัก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นปฐพีนี้ จะทรงน้ำหนักซึ่งพระคุณไว้มิได้ ก็เกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุ ก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวไปทั่วพื้นปฐพีนี่เอง จึงเป็นเหตุให้จักรแก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิ เคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ เป็นนิมิตเหตุให้เห็นประจักษ์ตาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง



    ..... แท้จริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจักรพรรดิราชเจ้านั้น มหาอำมาตย์ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมมั่นคงสวยงามที่เสาสองต้นแล้วเอาเชือกผูกจักรแก้วประดิษฐานตั้งไว้มั่น คงเป็นอันดี อภิบาลรักษาอย่างถ้วนถี่ไม่มีโอกาสที่จะเคลื่อนคลาดพลาดตกลงมาได้ ครั้นเมื่อเกิดกัมปนาทไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นนั้น จักรแก้วก็พลันตกลงมาจากที่ตั้งอยู่ ณ ภายใต้เสาทั้งสองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผู้อภิบาลรักษา ได้เห็นแล้วก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้สดับก็ทรงสะดุ้งพระทัยว่าจักรแก้วนี้ ย่อมเป็นที่นับถือทั่วโลก เหตุไฉนจึงพลัดตกไปจากที่ตั้งได้ ในกรณีเช่นนี้อันตรายแห่งชีวิตจะมีแก่เรา หรือว่าอันตรายจะปรากฎมีแก่ราชสมบัติเห็นประการใด ทรงสงสัยดังนี้แล้ว จึงดำรัสถามโหราราชเนมิตทิพาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นประการใด




    ..... พระโหราราชครูผู้รู้นิมิตทั้งหลาย ถึงถวายพยากรณ์กราบทูลว่า
    " ข้าแต่สมมติเทวราช! เหตุที่ทำให้จักรแก้วนี้ เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคลื่อนตกลงไปนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ


    ๑. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของสมเด็จพระบรมจักรพรรดิและ

    ๒. เป็นนิมิตแห่งเหตุที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก
    จักรแก้วจะเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า "




    .....สมเด็จพระจักรพรรดิราช จึงตรัสถามต่อไปว่า

    " ก็จักรแก้วของเราที่เคลื่อนตกครั้งนี้ จะเป็นด้วยเหตุประการใดเล่า? "

    พระโหราราชครูทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันตรวจดูจนแน่แก่ใจแล้ว จึงกราบทูลว่า


    ..... " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! การที่จักรรัตนะตกลงมาครั้งนี้ จะได้ปรากฎเป็นนิมิตแห่งชีวิตอันตรายของพระองค์นั้น หามิได้ดอก พระเจ้าข้า โดยที่แท้ เป็นนิมิตแห่งความที่สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แท้ทีเดียว ก็สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมทรงมีพระเกียรติศัพท์บรรลือด้วยพระคุณมากมายเป็นอดุลนับไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งเนมิตตกะนามดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. อรหํ ทรงเป็นพระอรหันต์ กอรปด้วยพระคุณควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ทุกประการของชาวโลกทั้งผอง อาจทำให้เกิดอานิสงส์เนืองนองมากมาย แก่สรรพสัตว์ผู้กราบไหว้บูชา

    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยอำนาจพระบารมีธรรม ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาช้านาน ธรรมทั้งปวงมาเกิดขึ้นพร้อมในพระหฤทัยของพระองค์เอง

    ๓. วิชชาจรณสมฺปนฺโน ทรงไพบูลย์ด้วยไตรวิชาและอัษฎางควิชาพร้อมทั้งจรณะสิบห้าประการ คือ
    ...1. สีลสัมปทา มีศีลครบถ้วน
    ...2. อินทรีย์สังวร สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ...3. โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร
    ...4. ชาคริยานุโยค คือประกอบเนืองๆซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ หมายความว่า พยายามชำระจิตจากนิวรณ์ ๕ อยู่เสมอ
    ...5. สัทธา มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยและผลของการปฏิบัต
    ...6. หิริ มีความละอายต่อความชั่วทั้งปวง
    ...7. โอตตัปปะ มีความเกรงกลัวต่อผลของความชั่วทั้งปวง
    ...8. พาหุสัจจะ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมามาก
    ...9. วิริยะ มีความเพียร
    ...10. สติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    ...11. ปัญญา มีความฉลาดในกุศลและอกุศล
    ...12. ทรงถึงพร้อมด้วยปฐมฌาน
    ...13. ทรงถึงพร้อมด้วยทุติยฌาน
    ...14. ทรงถึงพร้อมด้วยตติยฌาน
    ...15. ทรงถึงพร้อมด้วยจตุตถฌาน

    ๔. สุคโต ทรงดำเนินไปดี คือ มีพระนิพพานคติอันดีเป็นที่ดำเนินไป

    ๕. โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสัพพัญญุตญาณรู้แจ้งโลกและภพทั้งปวง

    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ทรงเป็นสารถีมีพระปรีชารู้ทรมานบุรุษ ผู้ควรทรมานอย่างประเสริฐ เลิศยิ่งในไตรภพเป็นอันดีไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน

    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ ได้โอกาสตรัสพระพุทธฎีกาแก่ฝูงสัตว์ เทพยดา และหมู่มนุษย์พุทธเวไนยทั่วโลกสันนิวาส ให้สามารถบรรลุถึงมรรคผล อันมีผลเป็นสุขพิเศษ มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ๘. พุทฺโธ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเต็มที่ เป็นผู้ตื่นแล้วจากความหลับ คือ กิเลสนิทรา

    ๙. ภควา พระองค์ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม และเป็นผู้มีส่วนแห่งพระบารมีธรรมอันจำเริญ



    ..... โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จักรรัตนของพระองค์จึงหวั่นไหวให้มีอันตกลงมา จะได้มีอันตรายอันใดอันหนึ่งก่อนนั้นหามิได้ ขอเดชะ "


    ..... พระโหราราชครูกราบทูลอธิบายอย่างยืดยาว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2013
  11. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... กาลครั้งนั้น ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุราณะโคดมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตามพระพุทธประเพณีอันมีสืบมา ด้วยพระมหาเดชานุภาพแห่งพระธรรมจักรของพระองค์ที่ทรงแสดงในกาลครั้งนั้นหนักยิ่งนัก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นปฐพีนี้ จะทรงน้ำหนักซึ่งพระคุณไว้มิได้ ก็เกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุ ก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวไปทั่วพื้นปฐพีนี่เอง จึงเป็นเหตุให้จักรแก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิ เคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ เป็นนิมิตเหตุให้เห็นประจักษ์ตาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง



    ..... แท้จริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจักรพรรดิราชเจ้านั้น มหาอำมาตย์ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมมั่นคงสวยงามที่เสาสองต้นแล้วเอาเชือกผูกจักรแก้วประดิษฐานตั้งไว้มั่น คงเป็นอันดี อภิบาลรักษาอย่างถ้วนถี่ไม่มีโอกาสที่จะเคลื่อนคลาดพลาดตกลงมาได้ ครั้นเมื่อเกิดกัมปนาทไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นนั้น จักรแก้วก็พลันตกลงมาจากที่ตั้งอยู่ ณ ภายใต้เสาทั้งสองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผู้อภิบาลรักษา ได้เห็นแล้วก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้สดับก็ทรงสะดุ้งพระทัยว่าจักรแก้วนี้ ย่อมเป็นที่นับถือทั่วโลก เหตุไฉนจึงพลัดตกไปจากที่ตั้งได้ ในกรณีเช่นนี้อันตรายแห่งชีวิตจะมีแก่เรา หรือว่าอันตรายจะปรากฎมีแก่ราชสมบัติเห็นประการใด ทรงสงสัยดังนี้แล้ว จึงดำรัสถามโหราราชเนมิตทิพาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นประการใด




    ..... พระโหราราชครูผู้รู้นิมิตทั้งหลาย ถึงถวายพยากรณ์กราบทูลว่า
    " ข้าแต่สมมติเทวราช! เหตุที่ทำให้จักรแก้วนี้ เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคลื่อนตกลงไปนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ


    ๑. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของสมเด็จพระบรมจักรพรรดิและ

    ๒. เป็นนิมิตแห่งเหตุที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก
    จักรแก้วจะเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า "




    .....สมเด็จพระจักรพรรดิราช จึงตรัสถามต่อไปว่า

    " ก็จักรแก้วของเราที่เคลื่อนตกครั้งนี้ จะเป็นด้วยเหตุประการใดเล่า? "

    พระโหราราชครูทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันตรวจดูจนแน่แก่ใจแล้ว จึงกราบทูลว่า


    ..... " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! การที่จักรรัตนะตกลงมาครั้งนี้ จะได้ปรากฎเป็นนิมิตแห่งชีวิตอันตรายของพระองค์นั้น หามิได้ดอก พระเจ้าข้า โดยที่แท้ เป็นนิมิตแห่งความที่สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แท้ทีเดียว ก็สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมทรงมีพระเกียรติศัพท์บรรลือด้วยพระคุณมากมายเป็นอดุลนับไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งเนมิตตกะนามดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. อรหํ ทรงเป็นพระอรหันต์ กอรปด้วยพระคุณควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ทุกประการของชาวโลกทั้งผอง อาจทำให้เกิดอานิสงส์เนืองนองมากมาย แก่สรรพสัตว์ผู้กราบไหว้บูชา

    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยอำนาจพระบารมีธรรม ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาช้านาน ธรรมทั้งปวงมาเกิดขึ้นพร้อมในพระหฤทัยของพระองค์เอง

    ๓. วิชชาจรณสมฺปนฺโน ทรงไพบูลย์ด้วยไตรวิชาและอัษฎางควิชาพร้อมทั้งจรณะสิบห้าประการ คือ
    ...1. สีลสัมปทา มีศีลครบถ้วน
    ...2. อินทรีย์สังวร สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ...3. โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร
    ...4. ชาคริยานุโยค คือประกอบเนืองๆซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ หมายความว่า พยายามชำระจิตจากนิวรณ์ ๕ อยู่เสมอ
    ...5. สัทธา มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยและผลของการปฏิบัต
    ...6. หิริ มีความละอายต่อความชั่วทั้งปวง
    ...7. โอตตัปปะ มีความเกรงกลัวต่อผลของความชั่วทั้งปวง
    ...8. พาหุสัจจะ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมามาก
    ...9. วิริยะ มีความเพียร
    ...10. สติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    ...11. ปัญญา มีความฉลาดในกุศลและอกุศล
    ...12. ปฐมฌาน
    ...13. ทุติยฌาน
    ...14. ตติยฌาน
    ...15. จตุตถฌาน

    ๔. สุคโต ทรงดำเนินไปดี คือ มีพระนิพพานคติอันดีเป็นที่ดำเนินไป

    ๕. โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสัพพัญญุตญาณรู้แจ้งโลกและภพทั้งปวง

    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ทรงเป็นสารถีมีพระปรีชารู้ทรมานบุรุษ ผู้ควรทรมานอย่างประเสริฐ เลิศยิ่งในไตรภพเป็นอันดีไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน

    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ ได้โอกาสตรัสพระพุทธฎีกาแก่ฝูงสัตว์ เทพยดา และหมู่มนุษย์พุทธเวไนยทั่วโลกสันนิวาส ให้สามารถบรรลุถึงมรรคผล อันมีผลเป็นสุขพิเศษ มีพระนิพพานเป็นที่สุด

    ๘. พุทฺโธ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเต็มที่ เป็นผู้ตื่นแล้วจากความหลับ คือ กิเลสนิทรา

    ๙. ภควา พระองค์ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม และเป็นผู้มีส่วนแห่งพระบารมีธรรมอันจำเริญ



    ..... โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จักรรัตนของพระองค์จึงหวั่นไหวให้มีอันตกลงมา จะได้มีอันตรายอันใดอันหนึ่งก่อนนั้นหามิได้ ขอเดชะ "


    ..... พระโหราราชครูกราบทูลอธิบายอย่างยืดยาว
     
  12. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เคยอ่านในเวป ของ อาจารย์ของลุงมหา, พระโพธิสัตว์ที่ลงมาบำเพ็ญบารมีเต็มในยุคนี้มีเพียงผู้เดียวคือ อาจารย์ ทิพากร รินท์ไทสงค์ อาจารย์ของลุงมหาซึ่งอดีตคือ ช้างปาลิไลย์ ท่านกล่าวว่าคนจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ต้องเป็นพรหมจรรย์มา 4000ชาติ และต้องมีฤทธิ์ และญาณสูงในการแสดงบารมีให้คนเห็น เรื่องโพธิสัตว์นี้บางทีฟังดูแล้วงงๆ ไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสร์ พอไปอ่านอีกที่เขาก็บอกว่า ช้างปาลิไลย์ คือ หลวงปู่อ่ำ เลยสรุปไม่ได้ตกลงใครกันแน่ของจริง เรื่องระลึกชาตินี้มันทำได้จริงหรือ
     
  13. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์โพธิสัตว์ได้ทรงสดับคำเนมิตตกามาตย์โหราจารย์กราบทูลพรรณนาบรรยายโดยเอนกประการเช่นนั้น ก็ทรงมีพระกมลตื้นตันเต็มไปด้วยปีติ มิอาจจะดำรงพระสติให้มั่นคงได้ จึงตรัสถามเพื่อให้แน่พระทัยว่า

    " เมื่อครู่นี้ ท่านว่ากระไรนะ พระราชครู! ดูเหมือนท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือกล่าวว่ากระไร "

    พระราชครูโหรา จึงกราบทูลสนองไปว่า

    " พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทวราช! บัดนี้สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเกิดในโลกนี้แล้ว พระเจ้าข้า "




    ..... ขณะนั้น จึงนายเนมิตตกาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งปัญญาดี มีความฉลาดไหวพริบรวดเร็ว ได้กระทำผ้าสะไบเฉียงบ่าข้างซ้าย และยอกรประณมถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บ่ายหน้าไปทางทิศที่ตนทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ แล้วกล่าวคำประกาศพระพุทธคุณทูลซ้ำอีกว่า

    " ข้าแต่พระมหาราชะ สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ ไม่มีผู้ใดจะยิ่งกว่า เป็นพระอริยะผู้ทรงคุณประเสริฐ เป็นพระบรมครูตรัสรู้ไญยธรรมทั้งปวง เป็นผู้จำแนกธรรม คือ มรรคผลนิพพาน ทรงพระพุทธลักษณะงดงามสิริพิลาส ข้าพระบาทได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงปรากฎโดยพระนามขนานว่า สมเด็จพระโคดมชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์กำลังเสด็จมาประทับอยู่ ณ มิจจีนอุทยานกรุงธัญญะวดีของเรานี่ พระเจ้าข้า "




    ..... สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์ ได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยินดียิ่งนัก จักใคร่เสด็จไปมนัสการสักการะบูชา จึงมีพระบรมราชโองการชักชวนว่า

    " มาเถิด... ชาวเราเอ๋ย เราจักพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า เพื่อเป็นกุศลส่วนทัสสนานุตตริยะการได้ทอดทัศนายอดเยี่ยม "


    ..... ดำรัสสั่งแล้ว ก็ทรงจัดแจงประทีปธูปเทียนและมาลัยเครื่องสักการะบูชา เสด็จด้วยจาตุรงคิกเสนาบรมจักรพรรดิ มีเสวกามาตย์ราชบริษัทเป็นปริมณฑลแวดล้อมมากมาย เสด็จไปยังมิจจีนอุทยาน ครั้นไปถึงได้ทรงทอดทัศนาการเห็นพระตถาคตเจ้า พระองค์กำลังสถิตย์เหนือพระบวรบัลลังก์พุทธอาสน์ ทรงงามพิลาศด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ ก็ทรงถวายอภิวาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ซบพระเศียรเกล้าลงแทบพระบวรพุทธบาทอันไพจิตรด้วยจักรลักษณะทั้งคู่ของสมเด็จพระโคดมโลกนาถเจ้าแล้ว จึงตรัสสดุดีสรรเสริญพระพุทธสรีระอันงามหาที่เปรียบมิได้ ด้วยพระหฤทัยอันโสมนัสชื่นชมว่า

    " โอ้...นับว่าเป็นบุญแท้ของตน เราได้ยลพระตถาคตเจ้าพร้อมทั้งได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ณ โอกาสบัดนี้ ความเห็นของเราคราวนี้ นับว่าเป็นความเห็นอย่างประเสริฐได้ การระบายลมหายใจของเราคราวนี้ ควรนับได้ว่าเป็นการระบายได้คล่อง ไม่ข้องขัด ชีวิตของเราคราวนี้ ก็จักได้ว่าเป็นชีวิตดีมีผลประเสริฐ "



    ..... ครั้นตรัสสดุดีเป็นโถมนวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิราชก็บังเกิดพระปีติ ทรงรำพึงในพระหฤทัยว่า

    " เรานี้ได้อุดมสมบัติ ปรากฎเยี่ยมเทียมเทพมไหศูรย์อันประเสริฐล้ำเลิศเกิดแก่เราในชาตินี้ ก็เพราะมีอุตสาหะสร้างสมกุศลสมภารมีทานบริจาคและเป็นผู้มากด้วยศีลสมาทานไว้แต่ชาติปางก่อน จึงอำนวยผลให้ได้ประสบสุขเห็นปานนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่ง ก็ในอนาคตเบื้องหน้าเล่า บัดนี้สมเด็จพระตถาคตโคดมเจ้า ได้ทรงเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้แล้ว ทั้งยังจำนงนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยฉันใด แม้เรานี้ก็จะตั้งใจเปลื้องตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารแล้ว ก็จะนำสัตว์ทั้งหลายอื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยฉันนั้น "


    ...... เมื่อทรงมีพระมนัสมุ่งหมายซึ่งพระโพธิญาณ ดังนี้แล้วก็ถวายบังคมลาลุกจากอาสน์ทำประทักษิณสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคศรีศากยมุนีแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระนคร
     
  14. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ครั้นเสด็จมาถึงแล้ว ก็ทรงเร่งร้อนดำรัสสั่งให้ราชบริพารนำเอาแก่นจันทน์บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น มาเป็นอันมาก รับสั่งให้ประชุมนายช่างก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายหมวดหลายกอง เร่งให้สร้างปราสาทกุฏิอันเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ด้วยไม้แก่นจันทน์มากมายหลายหลัง แล้วรับสั่งให้สร้างกุฎีศาลามณฑปที่พักผ่อนที่หลีกเร้นในราตรีทิวาวัน สร้างหอฉัน ที่จงกรม โรงไฟ และซุ้มพระทวาร ล้วนแล้วแต่แก่นจันทน์อีกเช่นกัน ในวาระสุดท้าย ทรงให้เรียกนายช่างชั้นเอกมาประชุมกันออกแบบสร้างพระคันธกุฎีที่ประทับขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค สวยงามวิจิตรสัมฤทธิ์ด้วยแก่นจันทน์มีกลิ่นหอม


    ..... ครั้นมหาวิหารอันสร้างด้วยไม้แก่นจันทน์สำเร็จลงเรียบร้อยทุกประการแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยราชบริวาร เสด็จออกมาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทรงถวายอภิวาทกราบทูลถวายพระมหาวิหารว่า

    ... " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พระมหาจันทน์วิหารนี้ ข้าพระบาทสร้างถวายเฉพาะพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์จงทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ข้าพระบาท ขอจงรับเสนาสนะมหาจันทวิหารแห่งข้าพระบาทนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า "



    ..... ครั้นกราบทูลถวายมหาจันทน์วิหาร ฉะนี้แล้ว ก็ทรงนำเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าสู่ภายในวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่สงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมกับทรงอุทิศถวายเครื่องอุปกรณ์ทานอีกมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วทรงมีพระกมลผ่องแผ้วชื่นชมโสมนัส บัดนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิสาครราชบรมโพธิสัตว์ จึงเปล่งพระวจีปณิธานว่า

    ... " ด้วยเดชะอำนาจแห่งบุญกรรมนี้ ของจงเป็นปัจจัยราศีเสริมส่งให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอด้วยพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ด้วยเถิด "



    .....ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว พระองค์จึงทรงตั้งวจีปณิธาน ซ้ำลงไปอีกว่า

    ... " พระบรมไตรโลกนาถเจ้านี้ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วย ฉันใด
    ... ข้าพระบาทจักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าจะยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันนั้น
    ... พระผู้ทรงพระภาคผู้นาถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วย ฉันใด
    ... ขอข้าพระบาทจงได้เป็นนาถะของโลก ล่วงพ้นจากทุกข์ในสงสารแล้ว และสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนั้น
    ... พระผู้มีพระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงข้ามได้แล้วจากโลก และย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วย ฉันใด
    ... ขอข้าพระบาทจงได้เป็นพระโลกนาถข้ามได้แล้วจากโลก และยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันนั้นเถิด "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2013
  15. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ลำดับนั้น สมเด็จพระปุราณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    ... " ดูก่อนมหาบพิตรการ ที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ถ้าพระองค์ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จงค่อยสดับความอุปมาดังนี้ คือในเมื่อห้วงจักรวาลอันกว้างลึกสุดที่จะประมาณ เต็มไปด้วยภูเขาเหล็กลุกเป็นโพลงอยู่ไม่รู้ดับ และมีพื้นเบื้องต่ำตามระหว่างๆ ข้างซอกแห่งภูเขานั้น เต็มไปด้วยน้ำทองแดงที่ร้อนแรงจนเหลวละลายไหลเหลวเคว้งๆ อยู่ดุจมหากุมภีนรก ผู้ใดมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถที่จะว่ายน้ำทองแดงไปได้ด้วยกำลังแขนของตน จนตลอดถึงฟากจักรวาลโน้นได้ โดยมิได้อาลัยถึงเลือดเนื้อร่างกายและชีวิต ผู้มีน้ำจิตองอาจเห็นปานนี้ จึงจะทำตนให้ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่แหละมหาบพิตร พระพุทธภูมิสำเร็จได้โดยยากดังกล่าวมานี้ ขอจงทราบไว้ในพระทัยเถิด "




    ..... สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิ ได้ทรงสดับพระบรมพุทธาธิบายเปรียบดังนั้น ด้วยกำลังพระปีติกล้า ก็ทรงออกพระวาจารับเอาว่า

    ... " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทนี่และสู้ก้มหน้าว่ายข้ามแม่น้ำทองแดงร้อนนั้นไปให้ได้ อย่าว่าแต่สิ่งที่มีในมนุษย์โลกที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาชักอุปมาเปรียบเทียบมานี่เลย ถึงแม้ว่าพระสัพพัญญุตญาณจะมีอยู่ใต้อเวจีมหานรกก็ดี ตัวข้าพระบาทนี่แลพระเจ้าข้า จะสู้ก้มหน้าดำดินลงไปค้นคว้าหาให้พบให้จงได้ "



    ..... สมเด็จพระปุราณศรีศากยมุนี ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า
    ... " ปณิธานของพระบรมจักรพรรดิผู้หน่อพุทธางกูรโพธิสัตว์พระองค์นี้ นานไปในกาลข้างหน้ามีระยะกาล ๑๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัป จึงจักได้สำเร็จตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอด้วยนามเราตถาคตนี้ "

    ... เมื่อพระองค์ทรงทราบชัดฉะนี้ จึงมีพระพุทธฏีกาดำรัสเป็นพระโอวาทว่า

    ... " ดูกรมหาบพิตร ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์ซึ่งพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอมหาบพิตรจงทรงทำความเพียรอุตสาหะสร้างสมอบรมพระบารมี ๓๐ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์เถิด "



    ..... ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิเจ้า ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธโอวาท ดังนั้น ก็มีพระกมลโสมนัสเป็นนักหนาประหนึ่งว่า ตนจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ก็ปานกัน จำเดิมแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นอันมาก กระทำบุญสร้างกุศลปลูกฝังไว้ในพระบวรพุทธศาสนา แต่ยังหาทรงอิ่มในพระทัยไม่



    ..... ในภายหลังจึงได้ออกบรรพชาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกของพระผู้มีพระภาคพระปุราณะโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระอุตสาหะหมั่นศึกษาในทางคันถะธุระจนชำนิชำนาญในพระไตรปิฎกแล้ว จึงทรงบำเพ็ญเพียรในสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานทำฌานอภิญญามิให้เสื่อม ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ขึ้นไปอุบัติเกิดในรูปาพจรพรหมโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2013
  16. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    ..ท่าน..... " ธัมมะสามี ".....

    โมทนาเเละ "ขอบคุณ มากครับ"...สำหรับกระทู้นี้ มีประโยชน์มาก สำรับพวกเราทั้ง

    หลาย เชิญ เล่าต่อเลยครับ รออ่านอยู่ ...

    ครับ...
     
  17. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้าตอนที่เริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง​



    ..... นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาตมาจะนำความเป็นมาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มาแสดงแก่บรรดาพุทธบริษัท เพื่อเป็นประวัติในการประพฤติดีประพฤติชอบตามที่พระองค์ทรงปฏิบัติมา


    ..... ในวันนี้ ก็ขอเริ่มเรื่องเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ


    ..... แต่ความจริงเรื่องนี้ จะหาตำราที่ไหนมาอ่านก็หาไม่ได้ เป็นอันว่าก็จะขอนำมาจากความรู้จากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ที่พระองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์ให้รู้ความต้นเหตุ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ


    ..... เนื้อความมีอยู่ว่า นับถอยหลังจากกัปนี้ไป ปรากฎว่าได้ ๔ อสงไขยกับแสนกัปเศษ ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นลูกชาวบ้านชาวป่าธรรมดา มีความเป็นอยู่ด้วยความแร้นแค้น ท่านเลี้ยงบิดามารดา มีความกตัญญูรู้คุณทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจว่าอะไรมันจะเป็นบุญ อะไรมันจะเป็นบาป แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ คือทรงความดี ชีวิตินทรีย์ของตนที่ทรงอยู่ได้นี้ก็เพราะอาศัยบิดามารดาเป็นปัจจัย


    ..... ฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงมีกำลังกายใหญ่พอเป็นหนุ่มที่จะเลี้ยงบิดามารดาได้ ภาระอันใดที่บิดามารดาหยุด ตัวเองเป็นผู้ทำแทนทุกอย่างคือ กิจภายนอกบ้านและกิจภายใน


    ..... ตอนนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บิดามารดาของพระองค์นั้นเป็นชาวป่าหาฟืนขาย ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายคือ เรียกว่าขายได้ขายวันหนึ่งก็กินไปวันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีส่วนแห่งการเหลืออะไรเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นความดีที่บิดามารดาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ รู้สึกว่าเป็นคนดี มีศีล มีธรรม


    ..... ท่านกล่าวว่า การเกิดในครั้งนั้นมีความลำบากยากแค้นมาก ต้องหาเช้ากินค่ำ ผลกำไรที่จะเหลือไว้ในวันอื่น ๆ ต่อ ๆ ไปก็มีน้อย และท่านก็เป็นลูกชายคนเดียวของบิดามารดา แต่ก็พยายามปฏิบัติมาด้วยความกตัญญูรู้คุณ ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เมื่อทำภารกิจภายนอกคือตัดฟืนมาได้แล้ว กลับมาบ้านก็หุงข้าวหาอาหารเลี้ยงบิดามารดา เป็นต้น นับว่าเป็นคนดีที่มีจิตประกอบไปด้วยกุศล กล่าวคือความฉลาดในการปฏิบัติความดี


    ..... ต่อมาภายในไม่ช้า ในชีวิตของท่านนี้กล่าวว่าอายุประมาณ ๒๓ ปี ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อุทุมพร ซึ่งอุบัติแล้วในโลกในขณะนั้น ท่านประกาศพระศาสนาในแคว้นอื่น


    ..... สำหรับเมืองที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเกิดในแคว้นนั้น เรียกว่า แคว้นกุรุรัฐ ซึ่งองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์กล่าวว่า เป็นแคว้นในอินเดียแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า เมืองอาฬวี


    ..... ความจริงพระพุทธเจ้า ถ้าจะอุบัติก็ต้องอุบัติในแคว้นชมพูทวีปเหมือนกัน ไม่ไปที่อื่น เพราะว่าในสถานที่นั้นเป็นที่ของบุคคลผู้มุ่งผล คือบุญใหญ่ ได้แก่พระนิพพาน โดยเฉพาะเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัส คนในเขตชมพูทวีปก็มักจะปฏิบัติทางจิตใจกันมาก เป็นการเหมาะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงสอนในด้านจิตใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  18. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    ....นอกจาก เนื้อหา "เป็นคุณ เป็นประโยชน์ อย่างสูงสุดเเล้ว".."ท่าน ธัมมะสามี " ยัง

    จัดระเบียบ ตัวหนังสือ ใด้น่าอ่าน ...ขอโมทนาด้วย ..เเละเชิญเขียนต่อไปเลย ..

    พวกเรารออ่านอยู่ครับ
     
  19. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูป ได้เสด็จมาในแคว้นอาฬวี หรือแคว้นกุรุในสมัยนั้น ได้มีบรรดาชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พากันไปบำเพ็ญกุศล


    ..... สำหรับกระทาชายนี้ คือองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนจนก็จริงแหล่ แต่ทว่าเมื่อเห็นชาวบ้านเขาไปใส่บาตรพระ และเวลากลางวันที่ท่านจะไปตัดฟืน เห็นชาวบ้านเขาเดินเป็นแถวๆ ถือดอกไม้ ธูปเทียนเครื่องสักกาวรามิส มีอาหารและเครื่องเภสัชเป็นต้น เพื่อจะนำไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ซึ่งมีนามว่า อุทุมพร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีความสงสัย จึงได้ถามชาวบ้านเหล่านี้ว่า

    " ท่านไปไหนกัน "



    ... เขาก็บอกว่า

    " ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อุทุมพร พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ ๘๐,๐๐๐ รูป ไปเฝ้าแล้ว ถวายภัตตาหารแล้วพวกเราก็ฟังเทศน์กัน "
    ส่วนมากคนที่เดินมานั้นเป็นพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก



    ... ท่านก็ถามว่า

    " องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าน่ะ มีรูปร่างลักษณะเป็นยังไง "




    ... ชาวบ้านก็พรรณนาให้ฟังว่า

    " องค์สมเด็จพระผู้มีพระจอมไตรบรมศาสดามีความสวยสดงดงามมากมีลักษณะ ๓๒ ครบถ้วน มีลักษณะพิเศษอีก ๘๐ และนอกจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ เวลาแสดงพระธรรมเทศนานั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการสว่างไสวมาก และกระแสสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไพเราะเสนาะโสตเป็นที่น่าฟัง ฟังแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ "



    ... ท่านจึงได้ถามคนทั้งหลายว่า

    "ข้าพเจ้าเป็นคนจน กลางวันจะต้องตัดฟืน และกลางคืนจึงจะมีเวลาว่าง อยากจะทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์เฉพาะกลางวัน หรือเทศน์กลางคืนด้วย
    "


    ... บรรดาชาวบ้านก็บอกว่า

    " พระพุทธเจ้าเทศน์ทั้งกลางวัน และก็เทศน์ทั้งกลางคืน ถ้ามีคนไปฟัง "




    ..... ท่านจึงตัดสินใจว่า ถ้ากระนั้นเราจะขอไปฟังในเวลากลางคืน กลางวันเป็นหน้าที่ในการเลี้ยงดูบิดามารดา ปฏิบัติบิดามารดาให้เป็นสุข กลางคืนจะเปลื้องทุกข์ด้วยการฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ยกมืออนุโมทนาความดีของบรรดาประชาชนทั้งหลาย เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็หลีกไปสู่มหาวิหาร


    ..... สำหรับองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ซึ่งเป็นกระทาชายคือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจก็เข้าป่า ใจก็คิดไปว่า

    " องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรูปร่างเป็นอย่างไรหนอ "

    " รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประการใด "

    " กระแสพระสัทธรรมเทศนา ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เขาลือว่าเพราะ เพราะแบบไหน "

    " และคำเทศน์ เทศน์ยังไง ไม่เคยฟัง อยากจะฟัง "

    ... ไอ้มือก็ฟันฟืนไป ใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า



    ..... เป็นอันว่าจิตใจของท่านเวลานั้นมีความผูกพันกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ได้รับฟังคำว่า พระพุทธเจ้า เข้ามาแล้ว จิตใจก็นึกถึงอย่างนี้ ท่านเรียกว่า " พระพุทธานุสสติกรรมฐาน " นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  20. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... เวลากลับมาบ้าน คือเวลาเย็นหาอาหารเลี้ยงบิดามารดาเรียบร้อยแล้ว บริโภคอาหารเสร็จ เวลาค่ำก็แจ้งแก่บิดามารดาทั้งสองว่า

    ... " เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้ามาโปรดที่นี่ วันนี้จะขอลาบิดามารดาทั้งสองไปฟังเทศน์ในเวลาราตรี "


    ... บิดามารดาก็ค้านว่า

    " กลางวันเหนื่อยมากถ้าไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลางวันจะดีกว่า "


    ... ท่านก็บอกว่า

    " เวลากลางวันมันมีงาน ถ้าหากว่าขาดวันหนึ่ง อาหารอาจจะขาด จะบกพร่องได้ ถึงแม้ว่าจะไม่หมดก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะบกพร่องการบริโภคนั้นจะไม่เป็นสุข ฉะนั้น ขอบิดามารดาจงอย่าห่วงใย ข้าพเจ้าจะไปพอกำลังกายทนได้ ถ้าเพลียเมื่อไหร่ก็จะกลับ "


    ... เป็นอันว่า ท่านบิดามารดาทั้งสองก็กล่าวว่า

    " ปิยะ ปุตโต ดูก่อน บุตรที่รัก ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่อมหาได้ยากในโลก พ่อเองแม่เองก็ไม่เคยฟังคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะเราเป็นคนอยู่ป่า บังเอิญถ้าได้ฟังคำว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติมาแล้ว ก็มีพระอรหันต์เข้าใจว่าทั้งหมด คือพระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ต้องเป็นพระดี ต้องเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นปวงประชาชีจะไม่พากันไปฟังเทศน์ เอาของไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้น ถ้าลูกจะไป พ่อกับแม่ทั้งสองก็จะไปด้วย ไปเคารพพระพุทธเจ้า ไปรับฟังความดี "




    ..... องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พร้อมปฏิบัติตนให้แก่บิดามารดา อาบน้ำให้ท่าน หาผ้าที่พอสมควรมาให้ท่านที่จะพึงมี พอเสร็จแล้วทั้งสามศรีพ่อแม่ลูกก็ไปสู่พระมหาวิหาร



    ..... เวลานั้น ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่พักผ่อน ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนา แต่ทว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์พุทธอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ถูกเรียกเข้าไปเฝ้าตรัสว่า

    "เธอจงจัดแจงสถานที่แสดงพระสัทธรรมเทศนา วันนี้ตถาคตจะลงก่อนเวลา "


    ... พระอุปัฏฐากจึงกล่าวว่า

    " เวลานี้ยังไม่ค่ำสนิท ขอองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรโปรดพักผ่อนเถิดพระเจ้าข้า "


    ... สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

    " วันนี้พักไม่ได้ ต้องลงก่อนเวลา เพราะว่าคนดีจะมาวิหารของเรา เวลานี้เขากำลังเดินมา ยังไม่ทันจะถึงแต่ก็จวนจะถึงแล้ว "

    ... ฉะนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดา จึงได้ประทับอยู่ก่อน




    ..... ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินวร คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและบิดามารดาเข้าไปถึงมหาวิหาร พระสงฆ์ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากจึงได้พาองค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบิดามารดาทั้งสองท่านไปเฝ้า



    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่บนอาสนะอันสมควร ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบิดามารดาทั้งสอง ทั้งสามท่านเห็นเข้าตะลึงงัน ไม่ทราบเลยว่าองค์สมเด็จพระภควันต์จะสวยงามแบบนี้

    " โภ ปุริสะ ดูก่อน บุรุษผู้เจริญผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา เมื่อบิดามารดาเลี้ยงท่านท่านก็เลี้ยงตอบ คนประเภทนี้ตถาคตขอสรรเสริญว่าเป็นคนดี "



    ..... เมื่อฟังคำขององค์สมเด็จพระมหามุนีอุทุมพรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นก็ทรงมีธรรมปีติ มีความอิ่มอกอิ่มใจ ใจสบายเป็นสุขเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีความสวยงาม เปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ก็ชื่นใจ พระสุรเสียงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสออกมาก็ไพเราะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...