ขอถามเรื่องการทำบุญและหัดนอนสมาธิครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย กลางทาง, 10 ตุลาคม 2013.

  1. กลางทาง

    กลางทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +702
    ผมขอถามผู้รู้ครับ ผมเป็นคนที่เวลาทำบุญแล้วมักไม่ค่อยจำว่าเราทำไป ทำเสร็จแล้วไม่นานก็จะลืมบุญนั้นไป บางครั้งนึกขึ้นได้ก็จะเฉยๆกับความรู้สึกที่ทำบุญไป ซึ่งมีหลายคนบอกว่าเวลานึกถึงบุญแล้วจะอิ่มใจหรือสุขใจแต่ผมไม่ค่อยเป็นอย่างนั้นหรืออาจจะน้อยมาก อย่างนี้ก็เท่ากับบุญที่ทำไปได้ไม่เต็มที่หรือเปล่าครับเพราะจิตเฉยๆไม่ทุกข์ไม่สุข แต่ตอนทำบุญก็ไม่ค่อยจะได้หวังหรือขออะไรมากนัก เว้นแต่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอาจจะอดไม่ได้ที่หวังให้รอดครับ
    อีกเรื่องที่ขอถามผมหัดนอนสมาธิ(ที่บอกว่าหัดตายหรือซ้อมตาย)มาได้ประมาณหนึ่งปีแล้วครับแต่นอนไม่หลับเลยครับถ้าหลับก็แสดงว่าตอนนั้นผมไม่มีสมาธิ จิตไม่จับลมหายใจแบบนี้ผมแก้อย่างไรดีครับ
     
  2. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    บางครั้งผมก็ไม่ได้อธิษฐานอะไรครับ เพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าเราเจตนาดี ผมว่าก็ได้บุญเหมือนกันครับ
     
  3. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    เรื่องนอนสมาธิ ผมก็เคยทำครับ แต่ส่วนใหญ่หลับทุกที
     
  4. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ดีกว่าไม่ทำบุญ ทำไปเถอะ
     
  5. เตหิณรัตน์

    เตหิณรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +476
    เเรกๆจะเป็นแบบนั้นครับ ปีติ อิ่มใจ มาก แต่พอทำบ่อยขึ้นๆ ปีติ จะหายไป ปรากฏแต่ความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายแทน เพราะจิตเราข้ามขั้นตรงนั้นมาแล้ว มาอยู่ในระดับที่สูงกว่า เหมือนว่า ทำไปทำมาก็เริ่มชิน อาการปีติเหมือนเเรกๆจะไม่ปรากฏ อันนี้ไม่ได้เป็นเหตุว่าถ้าปีติ และความอิ่มใจน้อยลงจะได้บุญน้อยหรอกครับ มันเป็นอาการธรรมดาของจิต คือมันคุ้น มันชินเเล้วกับสิ่งที่เราทำบ่อยๆ ถ้าจะให้พูด คือมันก้าวขึ้นมาอีกระดับที่ดีกว่า ให้สังเกตุเเบบนี้จะดีกว่าครับ ว่าบุญที่ทำอยู่ เรายังยึดความดีในเรื่องของการให้ทานนั้นเสมอต้นเสมอปลายหรือดียิ่งกว่าแต่ก่อนหรือไม่ คือ ถ้าทำเสมอต้นเสมอปลายก็ดีแล้ว แต่ถ้าเดี่ยวนี้มันมากขึ้นขวนขวายมากขึ้นในเรื่องของการทำบุญมากขึ้น ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก อย่าไปมองที่ปีติ และความอิ่มใจเป็นหลัก ให้มองที่การกระทำในเขตปัจจุบันแทนว่าเดี่ยวนี้วันนี้เวลานี้ ความดีในเรื่องของการให้ทานของเรายังทรงตัวดีเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหรือไม่ ถ้าดีเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม นั้นหมายถึง เรามี เราใช้ ปัญญา ศรัทธา และความเพียร ในการกระทำนั้นไว้ถูกทางแล้ว คือ ปัญญามันบอกว่า เช่น บุญนี้นะทำไว้เถอะเป็นที่พึ่งเเก่เราในโลกนี้เเละโลกหน้า บุญนี้ทำไว้เถอะเพื่อขจัดความตระหนี่ในตัวเราให้หมดไป บุญนี่ทำไว้เถอเพื่อเป็นบรรใดเพื่อเป็นทางไปสู่พระนิพพาน ในขณะเดียวกัน ศรัทธา และความเพียรเราก็ ยังทรงตัวหรือมากกว่าเดิมเสียอีก คือ เราน้อมจิตน้อมใจเราให้มีความคิดที่จะเป็นผู้ให้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะไกล ใกล้ ยาวนานด้วยหนทาง หรือเวลา หรือต้องลำบากกาย บุญนี้เราจะทำให้สำเร็จให้จงได้ ให้ดูตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญนะครับ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรที่จะรักษาความดีนี้ไว้ 3ตัวนี้ เราบกพร่องลงตํ่าลง หรือเท่าเดิม หรือมีมากกว่าเดิม วัดกันตรงนี้ อย่าไปสนใจที่ปีติ และความอิ่มใจเลย ปีติและความอิ่มใจมันเป็นอารมณ์หนึ่งเท่านั้นที่เหมือนกับธรรมทั้งหลายคือ เกิดได้ และเสื่อมได้ เมื่อเกิดบ่อยขึ้นเสื่อมบ่อยขึ้นจิตก็จะน้อมไปในความเคยชินเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้าจะถามว่าชาตินี้ไม่เห็นปีติ และอิ่มใจเกิดมากเท่าไหร่เลย ก็ต้องขอให้มองดูที่ตัวเราเหมือนที่กล่าวมา คือ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้เรายังทรงความดีแบบนี้ได้เท่าเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า หรือความดีในเรื่องการให้ทานนี้มีมากกว่าเก่าหรือเปล่าให้ดูตรงจุดนี้นะครับ บางท่านในอดีตเคยให้ทานไว้มาก พอมาเกิดใหม่ชาตินี้ ช่วงเเรกๆและสั้นๆของการเริ่มให้ทานจะรู้สึกมีปีติ อิ่มใจมากหรือเล็กน้อยเพียงช่วงเเรกๆสั้นๆเท่านั้น แล้วมันก็จะกลับไปสู่ความเคยชินแบบเดิมๆของจิตที่ถูกฝึกมาดีเเล้วของในชาติก่อนๆที่ทำไว้มากจนเป็นความเคยชินเเทน ผมเองก็คล้ายๆคุณ แรกๆที่ทำบุญก็จะปีติมากอิ่มใจมาก แต่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น พอทำไปๆก็รู้สึกเฉยและชินแทน เคยคิดเหมือนกันสงสัยเหมือนกันว่าบุญที่ได้คงน้อยลง แต่พอปฏิบิติมากๆเข้าก็อย่างที่บอก หมดสงสัย แต่นี้มันคือความเคยชิน ความคุ้นของจิตเป็นธรรมดา เเละเดี่ยวนี้วันนี้เวลานี้ ปัญญา ศรัทธา เเละความเพียรเพื่อจะรักษาความดีในเรื่องของการให้ทานนั้นมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเก่าเสียอีกมากมาย ให้มากขึ้น เสียสละมากขึ้น พยายามที่จะทำมากๆขึ้น กว่าเดิมมากๆ แต่จิตนี้กลับตรงกันข้าม คือ ยิ่งเฉยชิน อุเบกขา นิ่งมากขึ้นไปตามลำดับด้วย อย่าคิดมากไปเลยครับ ถ้าคุณเป็นดั่งที่ผมกล่าวมาคุณมาถูกทางแล้วครับ ไม่ใช่แค่คุณหรือผมที่เป็น คนอื่นๆที่เค้าทำมากๆ เค้าก็เป็นแบบเดียวกันกับคุณและผมนี้ละ จงรักษาความดีไว้นะครับในเรื่องทานบารมีอย่าให้มันเเย่ลง แต่ให้มันมากขึ้น ถึงเราจะไม่มีโอกาสและไม่ค่อยได้ทำเหมือนเเต่ก่อนในบางครั้งมันก็มีเหมือนกัน เพราะเรื่องทานบารมีนี้เกี่ยวเนื่องด้วย ทรัพย์ เวลา สถานที่ พลังกาย และผู้รับ ให้คุณตั้งจิตให้มั่นอยู่ตลอดเวลาว่า มีโอกาสเมื่อไหร่ชั้นจะให้ทันที คอยจ้องอยู่คอยเพรียรอยู่ ตั้งอยู่ศรัทธานี้ไว้ให้มั่นในใจเสมออย่างไม่ลดละ ให้จิตเป็นทานคืออิ่มด้วยความอยากให้อยากเสียสละทุกๆเวลา แม้บางครั้งบางเวลาจะไม่มีโอกาสจะไม่อำนวยก็ตาม ให้ทรงอารมณ์นั้นไว้ให้มั่นนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้คุณโชคดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2013
  6. เตหิณรัตน์

    เตหิณรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +476
    ขออนุญาติเอาคำสอนของหลวงพ่อมาบอกคุณเลยนะ คุณเห็นว่าไม่สำคัญแต่ที่จริงนั้นผิดมากๆครับ อธิฐานบารมีนี้สำคัญสุด ถ้าไม่ขอให้พ้นทุกข์แล้วคือ ปักหมุดไว้แล้ว จะเกิดเจอพระพุทธเจ้าอีกกี่สิบ กี่แสนองค์ บางครั้งบุญหมดเสียก่อน หมดเขตบุญใหญ่ไปแล้ว มรรคผลที่สมควรจะได้เพราะทำบุญมาดีก็พลาดไปหมด แล้วก็ต้องยืดยาวในสังสารวัฏอีกหาประมาณไม่ได้ ลองอ่านดูนะครับท่านทั้งหลาย
    เรื่องเล่าธรรมะ

    ทำบุญขาดอธิษฐาน
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



    "หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ...?"

    ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน

    "เป็นไงคะ...?"

    การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่

    "ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ...?"

    ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี

    คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน

    เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน

    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์

    พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง

    พระอานนท์จึงทูลถามว่า

    "พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าถามว่า

    "อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"

    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี

    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า

    ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี

    เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี

    เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน

    แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทสน์จึงไม่มีผล

    ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า

    "ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "นั่นเขามี อธิษฐานบารมี"

    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม

    "ใช่ค่ะ"

    คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.


    ที่มา: จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    การตามระลึกถึงบุญประเภททานที่ตนทำไปแล้วเนืองๆเรียกว่าจาคานุสติคือ ระลึกถึงการบริจาคทานของตน ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เกิดความอิ่มเอิบใจในการเสียสละปราศจากการนึกหวงแหน ไม่หวังชื่อเสียง ไม่หมายได้หน้า และไม่มีการโอ้อวด การบริจาคทานเป็นบาทเบื้องต้นที่ทำให้เป็นผู้ทรงศีล และศีลเป็นบาทให้เกิดสมาธิอีกต่อหนึ่ง..มีคุณมีอานิสงค์มาก ควรหมั่นคิดถึงบ่อยๆดีกว่าหลงลืมไปนะครับ บุญที่สำเร็จลงไปแล้ว ผลย่อมตั้งขึ้นแล้วเช่นกัน เมื่อไม่คิดถึงอีกเลย บุญในส่วนที่ควรมีหรือได้เพิ่มเติมย่อมไม่ปรากฏ...จึงน่าเสียดายที่เรื่องง่ายดายในการได้กุศลเพิ่มถูกละเลยไปเสีย...

    ส่วนความปิติโสมนัสไม่เกิดก็ไม่แปลกอะไร เพราะเขาเกิดด้วยปัจจัยที่สมควร ไม่ได้เกิดเพราะความอยาก หรือไม่อยากของใคร ไม่ได้มีใครสามารถบังคับบัญชาเอาได้อย่างแท้จริงเพราะสภาพธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาครับ..การเกิดปิติโสมนัสก็มีเหตุเช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายเช่น เพราะได้สดับพระธรรมมาดี เข้าใจในสภาวะธรรมที่ดีที่ตนสามารถสละความตระหนี่หวงแหนในทานที่ให้เขา.. อันเปรียบเหมือนทหารเข้าสู่สนามรบ .. ไม่ปราชัยพ่ายแพ้แก่กิเลสคือความตระหนี่หวงแหนได้ นับเป็นความกล้าหาญแลฉลาดของตนโดยแื้ท้และเป็นเรื่องยากที่ใครๆจะทำได้ เช่นนี้ย่อมปลื้มใจโสมนัสได้...หรือจะพิจารณาว่าข้าวของประณีตเหล่านี้ตนได้มาโดยบริสุทธิ์ เมื่อบริจาคให้เขาไป อานิสงค์อันประณีตย่อมหวังได้ หรือปรารภถึงคุณของปฏิคาหกที่มารับว่าท่านมีอริยะศีลดี แม้การถวายสิ่งควรบริโภคแก่ท่านย่อมสนับสนุนความผาสุขแก่ท่านอย่างยิ่ง ด้วยจิตที่มีเมตตากำกับก็เป็นที่มาของโสมนัสปิติปลาบปลื้มได้...เหล่านี้คือการหาอาหารให้ปิติแล่นไปได้ ไม่ใช่จู่ๆ นึกอยากปิติ เขาก็โผล่มาเองแบบไม่มีปี่หรือขลุ่ย อย่างนี้ก็คงได้แต่ความแห้งแล้งเท่านั้นเป็นไป..



    ..ที่นอนไม่หลับก็เพราะฟุ้งซ่าน ปล่อยจิตคิดไปโน่นบ้างนี่บ้าง จิตเมื่อคิดอยู่ย่อมตื่นตัว ไม่ตกภวังค์..ความหลับย่อมไม่เกิด จึงควรกำหนดสติตามรู้ความคิดที่ฟุ้งไป ให้ทราบเท่านั้นว่าตนคิดอยู่ แต่ไม่ต้องคิดตามจนเรื่องราวขยายยืดเยื้อเพิ่ม เมื่อรู้ทันความคิด ความคิดจะยุติลง แต่จะมีความคิดใหม่เกิดต่อทันที ก็ตามรู้ไปเช่นเดิม..หรืออาจกำหนดลมหายใจต่อไปจนหลับก็ทำได้เช่นกัน ลองดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2013
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ลองสังเกตความรู้สึกของตัวเองเวลาทำบุญดูครับ ถ้าสังเกตไม่ทันก็ลองดูความรู้สึกหลังจากที่ทำบุญไปแล้ว มันจะเป็นความรู้สึกเบา โล่งอก สบายใจ แค่รู้ถึงความรู้สึกนี้ก็พอ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คำพูดมาอธิบายมันว่าปลื้มใจ หรือสุขใจขนาดไหน อยู่กับความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้น เพราะถ้าคุณรู้จักความรู้สึกนี้คุณก็จะพอใจความรู้สึกที่โล่งเบานี้ จะพอใจความคิดที่ทำให้รู้สึกเบา พอใจคำพูดที่ทำให้รู้สึกเบา พอใจจะทำในสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกเบา พอใจกานมีกายเบา จิตเบา ความรู้สึกเบา โล่งอก สบายใจนี่แหละคือบุญ ถ้าคุณพยายามนึกถึงบุญที่ทำแล้วมันเบาสบายคุณก็จะพอใจที่จะนึกถึงมันเอง ถ้านึกถึงแล้วมันหนักคุณก็จะไม่พอใจที่จะนึกเอง ฟังความรู้สึกของเราดู
     
  9. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ไม่ต้องกังวลครับ เคสนี้เคยมีมาก่อน ผมเคยอ่านเจอครับ หนังสือชื่อเรื่อง "กฎแห่งบุญ" โดย นายแพทย์อรรคเดช นนทะโชติ
    ผู้แต่งกล่าวไว้ว่าการทำบุญให้จิตใจแจ่มใส เราควรวอร์มอัพก่อน ไม่ได้หมายความว่าวิ่งรอบสนาม หรือวิดพื้นนะครับ แต่หมายถึงนึกภาพบุคคลที่ทำความดี บิดามารดา ประเพณีต่างๆ ทำแล้วจะเกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง ศาสนาจะพัฒนาไปอย่างไร และเราได้ตอบแทนพระคุณบิดามารดารวมถึงบรรพบุรุษ ใจเราจะขยายครับ เราจะเกิดความปลื้มปิติขึ้นมาครับ


    ผมก็เคยหัดนอนสมาธิครับ ผมขอลองตอบแบบผู้เคยฝึกนะครับ ถูกผิดอันนี้แก้ด้วยนะครับ ถ้าไม่หลับแปลว่า ใจยังไม่นิ่ง ยังคิดเรื่องนู้นๆนี้ๆอยู่ ต้องไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แค่ พุท-โธ พอ จนไม่ได้ยินแล้วไม่สนใจอะไรแล้ว จะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนตื่นแล้วแหละครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะตื่นเช้าครับผม
     
  10. bellanina

    bellanina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +188
    เราใช้วิธีจดบันทึกเอาไว้ว่าทำบุญอะไรไปบ้าง (พอดีเป็นคนชอบจดน่ะคะ) ว่างๆหยิบเอามาดู ก็รู้สึกอิ่มใจ ชื่นใจดี ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องรึเปล่านะ yimm
     
  11. chulchira

    chulchira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +494
    เหมือนกันค่ะเราก็ใช้วิธีจดบันทึก ไว้ทุกครั้งที่ทำสังฆทาน หรือวิหารทาน หรือปล่อยปลา แล้วก็หยิบขึ้นมาอ่านบ่อยๆ ก็จะเกิดปิติทุกครั้ง...
     
  12. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950

    ถ้าหลับ แสดงว่า เผลอ ค่ะ
    แก้โดย อย่าให้ฟุ้งซ่าน จับลมหายใจให้ตั้งใจกว่านี้

    แหม..จะเอาให้เก่งขนาดรู้ตัวขณะหลับเลยหรือเนี่ยยยยยย อนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แก้ด้วยคำภาวนาครับ จขกท
     
  14. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ผมใช้วิธีถ่ายรูปลง facebook ครับ ว่างๆก็มานั่งดู ว่าเราเคยทำบุญอะไรไปบ้าง
     
  15. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    สำหรับดิฉันนั้น ก็ไม่ค่อยจะจำค่ะ เพราะค่อนข้างจะทำบ่อยมาก (เพราะพ่อป่วยค่ะ) และดิฉันน่ะก็อิ่มใจตั้งแต่วางแผนที่จะทำแล้วหละค่ะ และตั้งใจหาของ ทำของเอง ที่พ่อชอบ ดิฉันชอบและคิดว่าดีต่อผู้อื่นด้วย หากทำไปแล้วก็ไม่คิดอะไรแล้วค่ะ เพราะก่อนทำก็จบของทำบุญเรียบร้อยแล้ว (คหสต นะคะ :D)

    บางครั้งการทำบุญหรือการสร้างกุศลกรรมดี ก็มาจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ แบ่งเบาเป็นเพื่อนคุย ที่ปรึกษาให้เบาคลาย อันนี้แหละถึงแม้จะปวดหู เมื่อยปาก เมื่อยมือ น้ำลายแตกฟอง แต่ก็สุขใจ๊สุขใจ ที่พวกเขาสดชื่นขึ้น

    ส่วนเรื่องนอนสมาธินั้น ก็ไม่ค่อยสันทัด เพราะหลับทุกทีค่ะ แต่ถ้าบางวันหลังยาวก้อจะนอนแล้วสวดมนต์ บทที่สวดประจำจะจำได้ค่ะ ก็หลับไปแบบไม่รู้ตัวเลยทุกที(อันนี้หากหมดบุญก็คงได้ไปที่ดีอยู่นะ อิอิ) เป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่าทำค่ะ เวลานอนก็ใช้วิธีกำหนดเอาค่ะ ..อยาก..นอน..หนอ อยาก..หลับ..หนอ.. zzzz ^^
     
  16. C_Chatt

    C_Chatt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +45
    ผมไม่เคยฝึกนอนสมาธิ แต่ผมนั่งสมาธิก่อนนอนประมาณ 30-40นาที เกือบทุกวันหลังสวดมนต์ ครั้งหนึ่งผมเข้านอน เหมือนมันหลับแต่ร่างกาย แต่ใจไม่หลับเหมือนจิตมันตื่นอยู่เสมอ ลมหายใจเข้าพุทธ ออกโท....เป็นไปโดยอัตโนมัติ เป็นอยู่นาน จนผมรู้สึกได้ เริ่มกังวลว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผม กลัวจะไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เพราะรุ่งเช้าต้องไปทำงาน จึงลืมตาขึ้นปรับการนอนใหม่ เป็นแบบนี้อยู่สองสามวัน จนผมพยายามนอนคิดว่าเป็นอุปทานจากการนั่งสมาธิ มากกว่า จนกลายเป็นความกลัว
     
  17. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ไม่รู้สิ คือถ้าให้นึกปุ๊บก็นึกออกปั๊บเลยอ่ะครับ

    เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (เล่มนี้ขอไม่ระบุชื่อนะครับ) เขาให้ลองสมมุติว่าเราจะตาย ให้คิดเรื่องที่ทำบุญภายใน 3 วิ ถ้าคิดได้ คือคุณได้ตั๋วไปสวรรค์ ประมาณนี้อ่ะครับ แล้วปลื้มปิติแค่ไหนก็อีกกรณีหนึ่งครับ
     
  18. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ลองคิดดูแล้ว 3 วินาที
    ได้แค่เรื่องเดียวเอง
    สงสัยต้องหัดระลึกถึงบุญบ่อยๆ ซะแล้ว
    ไม่โปรเลยเรา
     
  19. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ระดับ หัวมัน ต้องทั้งบุญ ทั้งกุศล ระดับนี้จะให้คิดแค่บุญได้ยังไง
     
  20. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    เอ่อ...ข้าพเจ้านั้นทฤษฏีพอได้บ้าง
    แต่ปฏิบัตินี่ยังไม่ดีพอ ยังจัดว่าเป็นคนเลวอยู่
    คิดแล้วก็...ละอายตัวเองจัง ^ ^

    แต่..การเป็นคนดีนี่มันก็ยากเนอะ...สู้เป็นคนบ้าไม่ได้..อิสระดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...