สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะสามี, 4 พฤษภาคม 2013.

  1. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระปทุมุตตระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า




    ..... พระศาสนาของสมเด็จพระนารทะพุทธเจ้าเป็นไปได้เก้าหมื่นปีก็อันตรธาน วรกัปนั้นก็พินาศไป ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่อุบัติในโลกเลยตลอดหนึ่งอสงไขย




    ..... แต่นั้น เมื่อกัปและอสงไขยทั้งหลายล่วงไปๆ ในกัปหนึ่งที่สุดแสนกัปนับแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพิชิตมาร ปลงภาระ มีพระเมรุเป็นสาระ ไม่มีสังสารวัฏ มีสัตว์เป็นสาระ ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง พระนามว่า ปทุมุตตระ ก็อุบัติขึ้นในโลก




    ..... แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อถึงกาลของพระองค์อันท้าวสักกะเทวราชและพรหมทั้งหลายอาราธนาอ้อนวอนแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุชาดาเทวีผู้เกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง อัครมเหสีของพระเจ้าอานันทะ ผู้ทำความบันเทิงจิตแก่ชนทั้งปวง กรุงหังสะวดี

    ... พระนางสุชาดาเทวีนั้นอันทวยเทพอารักขาแล้ว ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติพระปทุมุตตรกุมาร ณ พระราชอุทยานหังสะวดี

    ... ดังได้สดับมา ในสมัยพระราชกุมารพระองค์นั้นทรงสมภพ ฝนดอกปทุมก็ตกลงมา ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามพระกุมาร พระประยูรญาติทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า ปทุมุตตระกุมาร



    ..... พระปทุมุตตระโพธิสัตว์พระองค์นั้นทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หนึ่งหมื่นปี พระองค์มีปราสาท ๓ หลังเหมาะแก่ฤดูทั้งสาม ชื่อนรวาหนะปราสาท ยสวาหนะปราสาทและวสวัตตีปราสาท มีพระสนมนารีแสนสองหมื่นนางมีพระนางวสุทัตตาเทวีเป็นประมุข



    ..... เมื่อพระอุตตระกุมารผู้ยอดเยี่ยมด้วยพระคุณทุกอย่าง พระโอรสของพระนางวสุทัตตาเทวีทรงสมภพแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้วทรงพระดำริจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พอทรงพระดำริเท่านั้น ปราสาทที่ชื่อว่าวสวัตตีก็ลอยขึ้นสู่อากาศ เหมือนจักรของช่างหม้อไปทางท้องอัมพร เหมือนเทพวิมานและเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ ทำพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลางลงที่พื้นดิน เหมือนปราสาทที่กล่าวแล้วในการพรรณนาวงศ์ของสมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้า

    ... ได้ยินว่า พระมหาบุรุษเสด็จลงจากปราสาทนั้น ทรงห่มผ้ากาสายะอันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ซึ่งเทวดาถวาย ทรงผนวชในปราสาทนั้นนั่นเอง ส่วนปราสาทกลับมาตั้งอยู่ในที่ตั้งเดิมของตน บริษัททุกคนที่ไปกับพระมหาสัตว์พากันบวช เว้นพวกสตรี




    ..... พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วันพร้อมกับผู้บวชเหล่านั้น วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดารุจานันทะเศรษฐี อุชเชนีนิคม ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ สาละวัน เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุมิตตะอาชีวกถวาย เสด็จเข้าไปยังพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสลละ (ช้างน้าว) ทรงทำประทักษิณพระศรีมหาโพธิพฤกษ์นั้น ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก ทรงนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔

    ... ทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานจนได้ฌาน ๘ ในตอนใกล้ค่ำ ยามที่ ๑ ทรงระลึกได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยามที่ ๒ ทรงได้จุจูปปาตญาณ ยามที่ ๓ ทรงพิจารณาปัจจยาการ ออกจากจตุตถฌานมีอานาปานัสสติเป็นอารมณ์ แล้วหยั่งลงในขันธ์ ๕ ทรงเห็นลักษณะ ๕๐ ถ้วนด้วยสามารถแห่งความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ แทงตลอดพระพุทธคุณทั้งสิ้นด้วยอริยมรรค ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ประพฤติมาว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ได้ทราบว่า ครั้งนั้น ฝนดอกปทุมตกลงมาประหนึ่งประดับทั่วภายใน ทั้งหมื่นจักรวาล




    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ต่อจากสมัยของสมเด็จพระนารทะพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า พระชินะผู้ไม่หวั่นไหว เปรียบดังสาครที่ไม่กระเพื่อมฉะนั้น

    ... พระพุทธเจ้าได้อุบัติในกัปใด กัปนั้นเป็นมัณฑกัป หมู่ชนผู้สั่งสมกุศลไว้ ก็ได้เกิดในกัปนั้น

    ... กัปมี ๒ อสุญญกัปมี ๕

    ... จริงอยู่ กัปมี ๒ คือสุญญกัปและอสุญญกัป

    ... บรรดากัปทั้งสองนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมไม่อุบัติในสุญญกัปเพราะฉะนั้น กัปนั้นจึงเรียกว่าสุญญกัป เพราะว่างเปล่าจากบุคคลผู้มีคุณ

    ... อสุญญกัปมี ๕ คือ สารกัป มัณฑกัป วรกัป สารมัณฑกัป ภัททกัป

    ... ในอสุญญกัปนั้น กัปที่ประกอบด้วยสาระคือคุณ เรียกว่าสารกัป เพราะปรากฏพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว ผู้กำเนิดคุณสาร ยังคุณสารให้เกิด

    ... ส่วนในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่ามัณฑกัป

    ... ในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้น พระองค์ที่ ๑ พยากรณ์พระองค์ที่ ๒ พระองค์ที่ ๒ พยากรณ์พระองค์ที่ ๓ ในกัปนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีใจเบิกบาน ย่อมเลือกโดยปณิธานที่ตนปรารถนา เพราะฉะนั้น กัปนั้นจึงเรียกว่า
    วรกัป

    ... ส่วนในกัปใดเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่าสารมัณฑกัป เพราะประเสริฐกว่า มีสาระกว่ากัปก่อนๆ

    ... ในกัปใดเกิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่าภัททกัป ก็ภัททกัปนั้น หาได้ยากยิ่ง ก็กัปนั้นโดยมาก สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มากด้วยกัลยาณสุข โดยมาก ติเหตุกสัตว์ย่อมทำความสิ้นกิเลส ทุเหตุกสัตว์ย่อมถึงสุคติ อเหตุกสัตว์ก็ได้เหตุ เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่าภัททกัป ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า อสุญญกัปมี ๕ เป็นต้น

    ... สมจริงดังที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า

    เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
    ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
    สพฺพญฺญุเต จ ญาณสฺมึ ตโต นตฺถาธิกา ชินา​

    ... ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ ในมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ใน
    วรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในภัททกัป มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้ามากกว่านั้นไม่มี ดังนี้




    ..... ส่วนในกัปใด สมเด็จพระปทุมุตตระทศพลอุบัติ กัปนั้นแม้เป็นสารกัป ท่านก็เรียกว่ามัณฑกัป เพราะเป็นเช่นเดียวกับมัณฑกัป ด้วยคุณสมบัติ

    ... ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงยับยั้ง ณ โพธิบัลลังก์ ๗ วัน ทรงย่างพระบาทเบื้องขวา ด้วยหมายพระหฤทัยว่าจะวางพระบาทลงที่แผ่นดิน

    ... ลำดับนั้น ดอกบัวบกทั้งหลายมีเกสรและช่อละเอียดไร้มลทิน มีใบดังเกิดในน้ำไม่หม่นหมองไม่บกพร่องแต่บริบูรณ์ ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา บัวบกเหล่านั้นมีใบชิดกัน ๙๐ ศอก เกสร ๓๐ ศอก ช่อ ๑๒ ศอก เรณูของดอกแต่ละดอกขนาดหม้อใหม่

    ... ส่วนพระศาสดาสูง ๕๘ ศอก ระหว่างพระพาหาสองข้างของพระองค์ ๑๘ ศอก พระนลาต ๕ ศอก พระหัตถ์และพระบาท ๑๑ ศอก. พอพระองค์ทรงเหยียบช่อ ๑๒ ศอก ด้วยพระบาท ๑๑ ศอก เรณูขนาดหม้อใหม่ ก็ฟุ้งขึ้นกลบพระสรีระ ๕๘ ศอก แล้วกลับท่วมทับ ทำให้เป็นเหมือน ฝุ่นมโนศิลาป่นเป็นจุณ

    ... หมายเอาข้อนั้น พระอาจารย์ผู้รจนาคัมภีรสังยุตตะนิกายจึงกล่าวว่า พระศาสดาปรากฏในโลกว่า สมเด็จพระปทุมุตตระพุทธเจ้า ดังนี้




    ..... ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ผู้ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง ทรงรับอาราธนาของท้าวสหัมบดีมหาพรหม ทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นดังภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา ทรงเห็นพระราชโอรส ๒ พระองค์คือเทวละและสุชาตะ กรุงมิถิลา ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ทันใดก็เสด็จโดยทางอากาศ ลงที่พระราชอุทยานกรุงมิถิลา ใช้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานให้เรียกพระราชกุมารทั้งสองพระองค์มาแล้ว ทั้งสองพระองค์นั้นทรงดำริว่า สมเด็จพระปทุมุตตระกุมารโอรสของพระเจ้าอาของเรา ทรงผนวช ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จถึงนครของเรา จำเราจักเข้าไปเฝ้าพระองค์พร้อมด้วยบริวาร ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ นั่งแวดล้อม

    ... ครั้งนั้น พระทศพลอันพระราชกุมารและบริวารเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงรุ่งโรจน์ดุจจันทร์เพ็ญ อันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ




    ..... สมัยต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังมหาชนให้ร้อน ด้วยความร้อนในนรก ทรงแสดงธรรมในสมาคมของสรทะดาบส เมื่อทรงหลั่งฝนธรรม ให้สัตว์ทั้งหลายเอิบอิ่ม ทรงยังหมู่สัตว์นับได้สามล้านเจ็ดแสน ให้ดื่มอมตธรรม นี้อภิสมัยครั้งที่ ๒



    ..... ก็ครั้งพระเจ้าอานันทะมหาราชปรากฏพระองค์ในกรุงมิถิลา ในสำนักของสมเด็จพระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยบุรุษ [ทหาร] สองหมื่นและอมาตย์ยี่สิบคน พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระทรงให้ชนเหล่านั้นบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาทุกคน อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว เสด็จไปทำการสงเคราะห์พระชนก ประทับอยู่ ณ กรุงหังสะวดีราชธานี

    ... ในที่นั้น พระองค์เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมในท้องนภากาศ ตรัสพุทธวงศ์เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในกรุงกบิลพัสดุ์ ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ห้าล้าน

    ... พระพุทธเจ้าผู้ทรงฉลาดในเทศนา ทรงสั่งสอนให้สัตว์เข้าใจ ให้สัตว์ทั้งหลายข้าม ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร

     
  2. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ก็ในศาสนาขององค์สมเด็จพระปทุมุตตรพุทธเจ้า มีสาวกสันนิบาตอยู่ ๓ ครั้ง

    ... ครั้งนั้น พระศาสดาทรงมีพระพักตร์เสมือนจันทร์เพ็ญในวันเพ็ญมาฆบูรณมี ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ ณ มิถิลาราชอุทยาน กรุงมิถิลา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑




    ..... ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าจำพรรษา ณ ยอดเวภาระบรรพต ทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนที่มาชมบรรพต ทรงยังชนเก้าหมื่นโกฏิให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นนาถะของ ๓ โลก ทรงทำการเปลื้องมหาชนจากเครื่องผูก เสด็จจาริกไปตามชนบท ภิกษุแปดหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓



    ..... ก็ในกาลครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระปทุมุตตระบรมศาสดาของโลก ทรงตรัสเทศนาถึงอานิสงส์แห่งกฐินทานเอาไว้ มีใจความดังนี้ว่า

    ... " โภ ปุริสะ ดูกรท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว (ไม่มีบุญอื่นช่วยเอาเฉพาะอานิสงส์กฐินอย่างเดียว) ทุกคนผู้ชายจะเกิดเป็นเทวดา ผู้หญิงจะเป็นนางฟ้า เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้านี่ ๕๐๐ ชาติ

    ... ต่อมาเมื่อบุญลดลงมา เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าครบ ๕๐๐ ชาติแล้ว ลงมาเป็นมนุษย์จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ปกครองโลกอีก ๕๐๐ ชาติ

    ... ต่อมาเมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิครบ ๕๐๐ ชาติแล้ว ก็เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศอีก ๕๐๐ ชาติ

    ... เมื่อเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศครบ ๕๐๐ ชาติแล้ว เกิดเป็นมหาเศรษฐี (มีทรัพย์มากกว่า ๘๐ โกฏิ) ๕๐๐ ชาติ

    ... เกิดเป็นมหาเศรษฐีครบ ๕๐๐ ชาติแล้ว เกิดเป็นอนุเศรษฐี(มีทรัพย์มากกว่า ๔๐ โกฏิ) ๕๐๐ ชาติ

    ... เป็นอนุเศรษฐีครบ ๕๐๐ ชาติแล้ว เป็นคหบดี(มีทรัพย์ต่ำกว่า ๔๐ โกฏิ) ๕๐๐ ชาติ

    ... บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ย่อมสำเร็จดังปรารถนา จะปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมสมปรารถนา จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพานเป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้ ดังนี้แล ฯ.

    ... ( สำหรับการทอดกฐินมี ๓ อย่าง ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบันจัดกฐินเป็น ๓ อย่าง คือ ๑. จุลกฐิน ๒. ปกติกฐิน ๓. มหากฐิน กฐิน ๓ อย่างย่อมเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนกัน แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากน้อยกว่ากัน

    ... ๑. จุลกฐิน ก็หมายความว่า เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือ ผ้ากฐินจะเป็นผ้าสังฆาฏิผืนหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรผืนหนึ่งก็ได้ สบงผืนหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน

    ... ๒. ปกติกฐิน ก็มีผ้าไตรครบไตร ถวายผ้าไตรเดียวหรืออย่างน้อย ก็มีผ้าไตร ๓ ไตร คือ องค์ครอง ๑ ไตร คู่สวด ๒ ไตร

    ... ๓. ทีนี้ถ้ามีผ้าไตรครบทุกองค์อย่างนี้เป็นมหากฐิน อย่างนี้ถ้าบังเอิญจะไปเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดเป็นพิเศษ)




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นผู้ครองรัฐใหญ่ชื่อว่า ชฏิล มีทรัพย์หลายโกฏิ ได้ถวายทานอย่างดีพร้อมทั้งจีวร แต่พระสงฆ์มีองค์สมเด็จพระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน เสร็จอนุโมทนาภัตทาน สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์เราว่า

    ... " ท่านชฎิลนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีกแสนกัป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลภัททกัป อันจักมี ณ ที่สุดแห่งแสนกัปนั้น "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น เราได้ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำความเพียรมั่นคงอย่างยิ่ง เพื่อบำเพ็ญบารมีทั้ง๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์




    ..... เมื่อครั้งพระศาสนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระนั้น ไม่มีพวกเดียรถีย์ เทวดาและมนุษย์ทุกคนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นสรณะ

    ... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์ ผู้มีใจผิดปกติ มีใจเสียถูกกำจัดมานะหมด บุรุษบางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้น ไม่ยอมบำรุงบำเรอ ก็ขับไล่เดียรถีย์เหล่านั้น ออกไปจากแว่นแคว้น

    ... ทุกคนมาประชุมกันในที่นั้น ก็เข้าไปที่สำนักของพระพุทธเจ้า ทูลวอนว่า

    ... " ข้าแต่พระมหาวีระ ขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระผู้มีพระจักษุ ขอพระองค์ทรงเป็นสรณะของพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์โปรดทรงเป็นศาสดา เป็นนาถะ เป็นคติ เป็นที่ไปเบื้องหน้า เป็นสรณะของพวกข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า "

    ... พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีความเอ็นดู มีพระกรุณา แสวงประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ก็ทรงยังเดียรถีย์ที่ประชุมกันทั้งหมดให้ตั้งอยู่ในศีล ๕

    ... ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่อากูลอย่างนี้ ว่างเปล่าจากเดียรถีย์ทั้งหลาย งดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชำนาญ ผู้คงที่




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระพระองค์นั้นมีพระนครชื่อว่าหังสะวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอานันทะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดาเทวี คู่พระอัครสาวกชื่อ พระเทวิละมหาเถระ และ พระสุชาตะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระสุมนะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อ และ พระแม่เจ้าอสมามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสลละ ( ช้างน้าว ) พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ไปกินเนื้อที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบ ทรงมีพระชนมายุหนึ่งแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวสุทัตตา พระโอรสพระนามว่า อุตตระ




    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปรอบๆ ๑๒ โยชน์ ยอดเรือน บานประตู ฝา ต้นไม้ กองศิลาคือภูเขา ก็กั้นพระรัศมีนั้นไม่ได้

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี สมเด็จพระปทุมุตตระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร

    ... พระองค์ทั้งพระสาวก ยังชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร ตัดความสงสัยทุกอย่างแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ ฉะนั้น




    ..... เล่ากันว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ วัดนันทารามมหาวิหารอันเป็นที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์กระจัดกระจายทั่วไป พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีป ชุมนุมกันช่วยกันสร้างพระเจดีย์อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ สูง ๑๒ โยชน์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระปทุมุตตระบรมศาสดาเจ้าพระองค์นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2013
  3. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระสุเมธะวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า​



    ..... เมื่อองค์สมเด็จพระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่อุบัติเลยเป็นเวลาเจ็ดหมื่นกัป

    ... ในมัณฑกัปหนึ่ง สามหมื่นกัปนับถอยหลังจากภัททกัปนี้ไป มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือ

    ... สมเด็จพระสุเมธวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... สมเด็จพระสุชาตวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า




    ..... ในสองพระองค์นั้น พระโพธิสัตว์นามว่าสุเมธะ ผู้บรรลุเมธาปัญญาแล้ว บำเพ็ญบารมีมาสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้วก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุทัตตาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุทัสสนะ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุทัสสนะราชอุทยาน ประหนึ่งดวงทินกรอ่อนๆ ลอดหลืบเมฆ ฉะนั้น




    ..... พระองค์ครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี เขาว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าสุจันทนะปราสาท สุกัญจนะปราสาท และสิริวัฒนะปราสาท ปรากฏมีพระสนมนารีสามหมื่นแปดพันนางมีพระนางสุมนามหาเทวีเป็นประมุข

    ... พระสุเมธกุมารนั้น เมื่อพระโอรสของพระนางสุมนาเทวี พระนามว่าปุนัพพะสุมิตตะ ทรงสมภพ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว เสด็จ
    ออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาช้างต้น ทรงผนวช มนุษย์ร้อยโกฏิก็บวชตาม

    ... พระองค์อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรงทำความเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขปุรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดานกุลเศรษฐี ณ นกุลนิคม ถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุวัฑฒะอาชีวกถวายแล้ว ทรงลาดสันถัดหญ้า กว้าง ๒๐ ศอก ที่โคนพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นนีปะ (ต้นกะทุ่ม) ทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานจนได้ฌาน ๘ ในยามต้นทรงชำระทิพจักขุญาณให้บริสุทธิ์ ทรงระลึกพระชาติของพระองค์จนถึงครั้งแรกเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ

    ... ในยามที่สองทรงชำระจุจูปปาตญาณให้บริสุทธิ์ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติและตายในภพภูมิต่างๆ

    ... ในยามสุดท้าย ทรงหยั่งปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ทรงพิจารณาปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาท กาลปัจจุสมัยใกล้รุ่งทรงบรรลุพระอภิสัมมาโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดหลังคาคือกิเลส เป็นจอมอรหันต์องค์แรกในโลก ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ.




    ..... ทรงยับยั้งอยู่ใกล้ๆ พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ตลอด ๗ สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวสหัมบดีมหาพรหม ทรงตรวจดูภัพพะบุคคล ทรงเห็นสรณะกุมารและสัพพะกามีกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์ และภิกษุที่บวชกับพระองค์ร้อยโกฏิ เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือ สัจจะ ๔ จึงเสด็จทางอากาศ ทรงลงที่สุทัสสนะราชอุทยาน ใกล้กรุงสุทัสสนะ โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยาน เรียกพระกนิษฐภาดามาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริวารเหล่านั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑



    ..... ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติตอนย่ำรุ่ง ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ทรงตรวจดูโลก ก็เห็นยักษ์กินคนชื่อกุมภกรรณ มีอานุภาพเสมือนกุมภกรรณ ปรากฏเรือนร่างร้ายอยู่ปากดงใหญ่ คอยดักตัดการสัญจรทางเข้าดงอยู่ แต่ลำพังพระองค์ไม่มีสหาย เสด็จเข้าไปยังภพของยักษ์ตนนั้น เข้าไปข้างใน ประทับนั่งบนที่ไสยาสน์อันมีสิริ

    ... ลำดับนั้น ยักษ์ตนนั้นทนการลบหลู่ไม่ได้ ก็กริ้วโกรธเหมือนงูมีพิษร้ายแรงถูกตีด้วยไม้ ประสงค์จะขู่สมเด็จพระทศพลให้กลัวจึงทำอัตภาพของตนให้ร้ายกาจ ทำศีรษะเหมือนภูเขาเนรมิตดวงตาทั้งสองเหมือนดวงอาทิตย์ ทำเขี้ยวคมยาวใหญ่อย่างกับหัวคันไถ มีท้องเขียวใหญ่ยาน มีแขนอย่างกะลำต้นตาลมีจมูกแบนวิกลและคด มีปากแดงใหญ่อย่างกะปล่องภูเขาไฟ มีเส้นผมใหญ่เหลืองและหยาบ มีแววตาน่ากลัวยิ่ง มายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะ บังหวนควัน บันดาลเพลิงลุกโชน บันดาลฝน ๙ อย่าง คือ ฝนแผ่นหิน ภูเขา เปลวไฟ น้ำ ตม เถ้า อาวุธ ถ่านเพลิงและฝนทรายให้ตกลงมา ไม่อาจให้พระผู้มีพระภาคเจ้าขยับเขยื้อนแม้เท่าปลายขน คิดว่า จำเราจักถามปัญหาแล้วฆ่าเสีย แล้วถามปัญหาเหมือนอาฬวกะยักษ์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำยักษ์ตนนั้นเข้าสู่วินัยด้วยทรงพยากรณ์ปัญหา

    ... เขาว่า วันที่ ๒ จากวันนั้น พวกมนุษย์ชาวแคว้นนำเอาราชกุมารพร้อมด้วยภัตตาหารที่บรรทุกมาเต็มเกวียน มอบให้ยักษ์ตนนั้น

    ... ครั้งนั้น ยักษ์ได้ถวายพระราชกุมารแด่พระพุทธเจ้า พวกมนุษย์ที่อยู่ประตูดงก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ... ครั้งนั้น ในสมาคมนั้น พระทศพลเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่ใจของยักษ์ ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ นั้นเป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒




    ..... ครั้งที่ทรงประกาศสัจจะ ๔ ณ สิรินันทะราชอุทยาน อุปการีนคร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  4. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะก็ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง

    ... ในสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑ ณ กรุงสุทัสสนะ มีพระขีณาสพร้อยโกฏิ

    ... ในสันนิบาตครั้งที่ ๒ เมื่อพวกภิกษุกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวะกูฏ มีพระอรหันต์เก้าสิบโกฏิ

    ... ในสันนิบาตครั้งที่ ๓ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริก มีพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพที่เป็นยอดของคนทั้งปวงชื่อ อุตตระมาณพ สละทรัพย์แปดสิบโกฏิที่ฝังเก็บไว้ ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสุเมธทศพลญาณเจ้าในครั้งนั้น ก็ตั้งอยู่ในพระไตรสรณาคมณ์แล้วออกบวชในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... สมเด็จพระสุเมธบรมศาสดาแม้พระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาโภชนทาน ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า

    ... " อุตตระภิกขุนี้ นานไปเบื้องหน้าสามหมื่นกัปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัทรกัปอันจักมีในอนาคตกาล "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป ได้ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เราเล่าเรียนพระสูตรพระวินัยและนวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง ยังพระศาสนาของสมเด็จพระสุเมธชินพุทธเจ้าให้งาม เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น อยู่แต่ในอิริยาบถ นั่ง ยืน และเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เมื่อทำกาลกิริยแล้วได้บังเกิด ณ พรหมโลกแล




    ..... องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัตตา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะมหาเถระ และ พระสัพพะกามะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระสาคระมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อ พระแม่เจ้ารามามหาเถรี และ พระแม่เจ้าสุรามามหาเถรี ต้นพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสะเดา พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุมนา พระโอรสพระนามว่า ปุนัพพะสุมิตตะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาช้างต้น อุรุเวลาอุบาสกและยสวาอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก ยสาอุบาสิกาและสิริวาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา



    ..... สมเด็จพระมหามุนีเจ้าสูง ๘๘ ศอก ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการส่องสว่างทั่วทุกทิศ เหมือนดวงจันทร์ส่องสว่างในหมู่ดาว ฉะนั้น

    ... ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมส่องสว่างไปได้โยชน์หนึ่ง ฉันใด รัตนะคือพระพุทธรัศมีของสมเด็จพระสุเมธพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบฉันนั้นเหมือนกัน

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์มีพระชนมายุยืนถึงเพียงนั้น ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร พระศาสนานี้เกลื่อนกล่นด้วยพระอรหันต์ ผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังคงที่ดี พระอรหันต์เหล่านั้นทั้งหมด มียศที่หาประมาณมิได้ หลุดพ้นแล้วจากกิเลสาสวานุสัย ปราศจากอุปธิ ท่านผู้มียศใหญ่เหล่านั้นแสดงแสงสว่างคือญาณแล้ว เมื่อดับขันธ์แล้วต่างก็เข้าสู่เมืองแก้วพระนิพพาน



    ..... สมเด็จพระพุทธสุเมธะชินเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงเสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ณ วัดเมธารามมหาวิหาร พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แผ่กระจายไปในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล ฯ
     
  5. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระสุชาตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... ภายหลังต่อมาจากสมัยของสมเด็จพระสุเมธพุทธเจ้า ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล เมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุที่นับไม่ได้มาโดยลำดับ และลดลงตามลำดับจนมีอายุเก้าหมื่นปี พระศาสดาพระนามว่าสุชาต ผู้มีพระรูปกายเกิดดี มีพระชาติบริสุทธิ์ ก็อุบัติในโลก




    ..... แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนมหากัป แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์อันท้าวสักกะเทวราชและพรหมทั้งหลายอ้อนวอนอาราธนาแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางปภาวดี อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้าอุคคตะ กรุงสุมงคล ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระชนนี

    ... ในวันเฉลิมพระนาม พระชนกชนนีเมื่อจะทรงเฉลิมพระนามของพระองค์ ก็ได้ทรงเฉลิมพระนามว่า สุชาต เพราะเกิดมาแล้วยังสุขให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั่วชมพูทวีป




    ..... พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าสิรีปราสาท อุปสิรีปราสาทและสิรินันทะปราสาท ปรากฏพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนางมีพระนางสิรินันทาเทวีเป็นประมุข

    ... เมื่อพระโอรสพระนามว่า อุปเสน ของพระนางสิรินันเทวีทรงสมภพแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว ทรงม้าต้นชื่อว่าหังสวะหัง เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงผนวช มนุษย์โกฏิหนึ่งก็บวชตามพระองค์ผู้ทรงผนวชอยู่



    ..... ลำดับนั้น พระมหาบุรุษนั้นอันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๙ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสรสอร่อย ที่ธิดาของสิรินันทนะเศรษฐีแห่งสิรินันทนะนคร ถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุนันทะอาชีวกถวายแล้ว เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ มหาเวฬุ ( ต้นไผ่ ) ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๓ ศอก

    ... เมื่อดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ ทรงเจริญอานาปานสติ (คือกำหนดลมหายใจเข้าออก) จนถึงฌาน ๘ ในยามแรกทรงยังทิพจักขุญาณให้บังเกิด ทรงระลึกพระชาติของพระองค์จนถึงครั้งแรกเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ

    ... ในยามที่สองทรงยังจุตูปปาตญาณ ทรงเห็นการเกิดตายของสัตว์ทั้งหลายในภพต่างๆ

    ... ในยามที่สามทรงหยั่งปัญญาพิจารณาในปัญจขันธ์ ทรงพิจารณาในปฏิจจสมุปบาท ในปัจจุสมัยใกล้รุ่งทรงแทงตลอดพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมาแล้วว่า


    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "



    ..... ทรงยับยั้งอยู่ใกล้โพธิต้นพฤกษ์นั่นแลตลอด ๗ สัปดาห์ อันท้าวสหัมบดีมหาพรหมทูลอาราธนาให้แสดงธรรมแล้ว ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหมแล้ว ทรงพิจารณาด้วยพระพุทธญาณ เห็นพระสุทัสสนะกุมารพระกนิษฐภาดาของพระองค์ และเทวะกุมารบุตรปุโรหิต เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือสัจจะ ๔

    ... จึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่สุมังคละราชอุทยาน กรุงสุมงคลราชธานี ให้พนักงานเฝ้าราชอุทยาน เรียกพระสุทัสสนะกุมารกนิษฐภาดาและ เทวะกุมารบุตรปุโรหิตมาแล้ว ประทับนั่งท่ามกลางกุมารทั้งสองนั้น พร้อมด้วยบริวาร ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์โกฏิหนึ่ง นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑




    ..... ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนมหาสาละพฤกษ์ ใกล้ประตูสุทัสสนะราชอุทยานเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สามล้านเจ็ดแสน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒



    ..... ครั้งสมเด็จพระสุชาตทศพลญาณเจ้าเสด็จเข้าเฝ้าพระชนก ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์หกล้าน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓


    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาต ผู้นำ มีพระหนุดังคางราชสีห์ มีพระศอดังโคอุสภะ มีพระคุณหาประมาณมิได้ เข้าเฝ้าได้ยาก สมเด็จพระสุชาตสัมมาสัมพุทธเจ้า รุ่งเรืองด้วยพระสิริ ย่อมงามสง่าทุก เมื่อ เหมือนดวงจันทร์หมดจดไร้มลทิน เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องแสงแรงร้อน ฉะนั้น

    ... สมเด็จพระสัมพุทธเจ้าบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดสิ้นเชิงแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุมงคล เมื่อสมเด็จพระสุชาตพุทธบรมครูเจ้าผู้นำโลก ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ สัตว์แปดสิบโกฏิได้ตรัสรู้( คือได้บรรลุพระอรหัตตผล )

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2013
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดมนุษย์ที่มาในสุธรรมราชอุทยาน กรุงสุธรรมวดี ทรงยังชนหกล้านให้บวชด้วยเอหิภิกขุภาวะ ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑



    ..... ต่อจากนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ภิกษุห้าล้านประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... พระสุทัสสนมหาเถระพาบุรุษสี่แสนซึ่งฟังข่าวว่า พระสุทัสสนะกุมารทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุพระอรหัตตผล จึงมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระสุชาตะนราสภ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดบุรุษเหล่านั้น ทรงให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นั้น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สดับข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า สดับธรรมกถา ก็ถวายราชสมบัติในทวีปทั้ง ๔ พร้อมด้วยรัตนะ ๗ แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงผนวชในสำนักของพระศาสดา ชาวทวีปทั้งสิ้นรวบรวมรายได้ที่เกิดในรัฐ ทำหน้าที่ของคนวัดให้สำเร็จ ถวายมหาทานเป็นประจำแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    ... สมเด็จพระศาสดาสุชาตบรมครูแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า


    ... " พระบรมจักรพรรดิภิกษุนี้ นานไปในกาลอนาคตสามหมื่นกัปภายหน้า จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ในภัททกัปที่จักมีปรากฎในอนาคตกาล "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์



    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าสุชาตะทรงมีพระนครชื่อว่า สุมังคละ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสุทัสสนะมหาเถระ และ พระสุเทวะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระนารทะมหาเถระ พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้านาคามหาเถรี และ พระแม่เจ้านาคสมาลามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า มหาเวฬุ (ต้นไผ่ใหญ่) เขาว่าต้นไผ่ใหญ่นั้น มีรูลีบ ลำต้นใหญ่ ปกคลุมด้วยใบทั้งหลายที่ไร้มลทิน สีเสมือนแก้วไพฑูรย์ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง งามเพริศแพร้วเหมือนกำแววหางนกยูง



    ..... ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสมเด็จพระสุชาตบรมโลกนาถเจ้าพระองค์นั้นมีพระสรีระสูง ๕๐ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่าพระนาง สิรีนันทา พระโอรสพระนามว่า อุปเสนะ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาม้าต้น

    ... พระองค์ทรงประกอบด้วยความประเสริฐ โดยพระอาการพร้อมสรรพ ทรงถึงพระพุทธคุณครบถ้วน พระรัศมีของพระองค์ ก็เสมอด้วยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ แล่นออกโดยรอบพระวรกายไม่มีประมาณ ชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆะสงสาร

    ... ครั้งนั้น ปาพจน์คือพระธรรมพระวินัย งดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย เหมือนคลื่นในสาคร เหมือนดารากรในท้องนภากาศ ฉะนั้น

    ... พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น ด้วยพระคุณเหล่านั้นที่ชั่งไม่ได้ด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขาร(คือร่างกาย)ทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้




    ..... สมเด็จพระพุทธสุชาตชินเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งโลกทรงเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ วัดเสลารามมหาวิหาร พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ สูง ๓ คาวุต ประดิษฐานอยู่ในวัดเสลารามมหาวิหารนั้น ฉะนี้แล ฯ.
     
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระปิยะทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... ต่อมาจากสมัยของสมเด็จพระสุชาตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัปหนึ่ง ในที่สุดแห่งหนึ่งพันแปดร้อยกัปแต่ภัทรกัปนี้ มีวรกัปตั้งขึ้นในวรกัปนั้นบังเกิดมีพระพุทธเจ้ามาตรัส ๓ พระองค์ คือ

    ... ๑. สมเด็จพระปิยะทัสสีทศพลญาณเจ้า

    ... ๒. สมเด็จพระอัตถะทัสสีสยัมภูญาณเจ้า

    ... ๓. สมเด็จพระธัมมะทัสสีบรมโลกนาถเจ้




    ..... ใน ๓ พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์อันเหล่าเทวดาและพรหมทั้งหลายมีท้าวอมรินทราธิราชอาราธนาแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้วก็ถือปฏิสนธิใน พระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี ผู้มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์ อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุธัญญะวดี ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ วรุณราชอุทยาน

    ... ในวันเฉลิมพระนามของพระองค์ พระชนกชนนีทรงเฉลิมพระนามว่า ปิยะทัสสี เพราะเห็นปาฏิหาริย์วิเศษอันเป็นที่รักของโลก พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี นัยว่าทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่าสุนิมมละปราสาท วิมละปราสาทและคิริพรหาปราสาท ปรากฏพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนางมีพระนางวิมลามหาเทวีเป็นประมุข




    ..... เมื่อพระโอรสพระนามว่า กัญจนเวฬะ ของพระนางวิมลาเทวีประสูติแล้ว พระมหาบุรุษนั้นทรงเห็นนิมิต ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือรถเทียมม้า ทรงผนวชแล้ว บุรุษหนึ่งโกฏิบวชตามเสด็จ

    ... พระมหาบุรุษอันชนโกฏิหนึ่งนั้นแวดล้อมแล้ว พระองค์นั้นทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาของวสภะพราหมณ์ บ้านวรุณพราหมณ์ ถวายแล้วทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุชาตะอาชีวกถวายแล้ว เสด็จเข้าไปยังพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า กกุธะ (ต้นกุ่ม) ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ไม่นานนักก็ทรงได้ฌาน ๘

    ... ในยามแรกทรงยังปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้บังเกิด ทรงระลึกชาติของพระองค์เองได้อย่างไม่มีจำกัด ( ด้วยบุเพเพนิวาสานุสสติญาณนี้เอง ทำให้พระองค์รู้ว่าบำเพ็ญบารมีมาอย่างไร พระพุทธเจ้าองค์ไหนพยากรณ์พระองค์ไว้ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตรัสสอนว่าอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น อันเป็นเหตุให้สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าควรตั้งอารมณ์ใจอย่างไรจึงบรรลุพระโพธิญาณ )

    ... ในยามที่สองทรงยังจุตูปปาตญาณให้บังเกิด ทรงเห็นการเกิดตายการเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายในภพต่างๆ

    ... ในยามที่สามทรงหยั่งปัญญาพิจารณาในปัญจขันธ์ ทรงพิจารณาในพระปฏิจจสมุปบาท ในกาลปัจจุสมัยใกล้รุ่งเช้าก็ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "




    ..... ทรงยับยั้ง ณ โคนโพธิพฤกษ์นั้นนั่นแหละ ๗ สัปดาห์ องค์สมเด็จพระปิยะทัสสีบรมศาสดาอันท้าวสหัมบดีมหาพรหมทรงอาราธนาแล้ว ทรงพิจารณาด้วยพระพุทธญาณทรงทราบว่า ผู้ที่บวชกับพระองค์สามารถแทงตลอดอริยธรรมได้ จึงเสด็จไป ณ ที่นั้นทางอากาศ ลงที่อุสภะวดีราชอุทยาน ใกล้กรุงอุสภะวดี อันภิกษุโกฏิหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑




    ..... ต่อมาอีก ราชาแห่งเทพพระนามว่าสุทัสสนะ ประทับอยู่ ณ สุทัสสนะบรรพต ไม่ไกลกรุงอุสภะวดี ท้าวเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีปนำเครื่องสังเวยมีค่านับแสนมาเซ่นสรวงท้าวเธอ ท้าวสุทัสสนะเทวราชนั้นประทับบนอาสนะเดียวกันกับพระราชาแห่งมนุษย์ ทรงรับเครื่องสังเวย

    ... ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีทรงพระดำริว่า

    ... " จำเราจักบรรเทามิจฉาทิฏฐิของท้าวสุทัสสนะเทวราชนั้นเสีย "

    ... เมื่อท้าวสุทัสสนะเทวราชนั้นเสด็จไปยังสมาคมยักษ์ จึงเสด็จเข้าไปยังภพของท้าวเธอ ขึ้นสู่ที่สิริไสยาสน์ ประทับนั่งเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูสารทเปล่งแสงเหนือยุคนธรบรรพต เทวดาที่เป็นบริวารรับใช้ของท้าวเธอ ก็บูชาพระทศพลด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ยืนแวดล้อม

    ... ฝ่ายท้าวสุทัสสนะเทวราชกลับจากยักขสมาคมเห็นฉัพพรรณรังสีแล่นออกจากภพของตนก็คิดว่า

    ... " ในวันอื่นๆ ไม่เคยเห็นภพของเรา จำเริญรุ่งเรืองด้วยแสงรัศมีมากมายเช่นนี้ ใครหนอเป็นเทวดาหรือมนุษย์ เข้าไปในที่นี้ "

    ... ตรวจดูก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งรุ่งโรจน์ด้วยแสงพระฉัพพรรณรังสีดังดวงอาทิตย์ในฤดูสารทเหนือยอดอุทัยคิรี คิดว่า

    ... " สมณะโล้นผู้นี้อันชนใกล้ชิดบริวารของเราแวดล้อมแล้วนั่งเหนือที่นอนอันดี "

    ... ก็ถูกความโกรธครอบงำใจ คิดว่า

    ... " เอาเถิด จำเราจักสำแดงกำลังของเราแก่สมณะโล้นนั้น "

    ... แล้วก็ทำภูเขานั้นทั้งลูกลุกเป็นเปลวไฟอันเดียว ตรวจดูว่าสมณะโล้นคงเป็นเถ้าเพราะเปลวไฟแล้ว แต่ก็เห็นพระทศพลมีพระวรกายถูกแสงรังสีมากมาย แล่นท่วมไป มีพระพักตร์ผ่องวรรณะงาม มีพระฉวีสดใสรุ่งโรจน์อยู่ ก็คิดว่า

    ... " สมณะผู้นี้ทนไฟไหม้ได้ เอาเถิด จำเราจักรุกรานสมณะผู้นี้ด้วยกระแสน้ำหลากแล้วฆ่าเสีย "

    ... จึงปล่อยกระแสน้ำหลากอันลึกล้ำตรงไปยังวิมาน

    ... แต่นั้น น้ำก็ไม่เปียกเพียงขนผ้าแห่งจีวร หรือเพียงพระโลมาในพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งประทับนั่งในวิมานนั้น อันเต็มด้วยกระแสน้ำหลาก แต่นั้น ท้าวสุทัสสนะเทวราชรู้ว่า ด้วยกระแสน้ำหลากนี้ สมณะหายใจไม่ออก ก็จักตาย จึงเสกมนต์พ่นอัดน้ำแล้วตรวจดูก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอันบริษัทของตนแวดล้อม รุ่งโรจน์ด้วยแสงแลบแห่งเปลวรังสีต่างชนิด ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท ส่งแสงลอดหลืบเมฆสีเขียวคราม ทนการลบหลู่ตนไม่ได้ก็คิดว่า

    ... " จำเราจักฆ่าสมณะนั้นเสียเถิด "

    ... แล้วก็บันดาลฝนอาวุธ ๙ ชนิดให้ตกลง ด้วยความโกรธ

    ... ลำดับนั้น ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น อาวุธทุกอย่างก็กลายเป็นพวงดอกไม้หอมนานาชนิดงามน่าดู อย่างยิ่ง หล่นลงแทบเบื้องบาทของพระทศพล

    ... แต่นั้น ท้าวสุทัสสนะเทวราชเห็นความอัศจรรย์นั้นก็ยิ่งมีใจโกรธขึ้ง จึงเอามือทั้งสองจับพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า หมายจะฉุดคร่าออกไปจากภพของตน ก็เหวี่ยงเลยมหาสมุทรไปถึงจักรวาลบรรพต ตรวจดูว่าสมณะยังเป็นอยู่หรือตายไปแล้ว ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ายังคงประทับนั่งอยู่เหนืออาสนะนั้นนั่นแหละ ก็คิดว่า

    ... " โอ สมณะนี้มีอานุภาพมาก เราไม่สามารถจะฉุดคร่าสมณะผู้นี้ออกไปจากที่นี้ได้ หากว่าใครรู้เรื่องเรา เราก็จักอัปยศหาน้อยไม่ จำเราจักปล่อยสมณะนั้นไปเสีย ตราบเท่าที่ใครยังไม่เห็นสมณะผู้นี้ "

    ... ลำดับนั้น พระทศพลทรงทราบความประพฤติทางจิตของท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น ก็ทรงอธิษฐานอย่างที่พวกเทวดาและมนุษย์ทุกคนเห็นท้าวเธออยู่

    ... ในวันนั้นนั่นเอง พระราชา ๑๐๑ พระองค์ทั่วชมพูทวีปก็พากันมาประชุมเพื่อถวายเครื่องสังเวยแด่ท้าวสุทัสสนะเทวราชนั้น

    ... พระราชาแห่งมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นทรงเห็นท้าวสุทัสสนะเทวราชประทับนั่งจับพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    ... " พระเทวราชของพวกเราบำเรอพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีจอมมุนี

    ... โอ! ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายน่าอัศจรรย์

    ... โอ! พระพุทธคุณทั้งหลายวิเศษจริงๆ "


    ... ก็พากันนอบน้อม ยืนประคองอัญชลีไว้เหนือเศียรเกล้าหมดทุกคน ณ สันนิบาตนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีบรมครูทรงทำท้าวสุทัสสนะเทวราชนั้นให้เป็นประมุข ทรงแสดงธรรมโปรด ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัต นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒



    ..... ครั้งเมื่อศัตรูของพระพุทธเจ้า ในกุมุทนครซึ่งมีขนาด ๙ โยชน์ ชื่อพระโสณเถระ เหมือนพระเทวทัต ปรึกษากับพระมหาปทุมราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระชนกของพระราชกุมารนั้น แม้พยายามต่างๆ เพื่อปลงพระชนม์ของสมเด็จพระปิยะทัสสีพุทธเจ้า ก็ไม่อาจปลงพระชนม์ได้ ท่านจึงเรียกควาญพญาช้างชื่อโทณะมุขะ ประเล้าประโลมเขา บอกความว่า

    ... " เมื่อใด พระสมณะปิยะทัสสีผู้นี้เข้าไปบิณฑบาตยังนครนี้ เมื่อนั้น ท่านจงปล่อยพญาช้างชื่อโทณะมุข ให้ฆ่าพระสมณะปิยะทัสสีเสีย "

    ... ครั้งนั้น นายควาญช้างนั้นเป็นราชวัลลภ ไม่ทันพิจารณาถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ รู้แต่ว่า สมณะผู้นี้จะพึงทำเราให้หลุดพ้นจากตำแหน่งแน่ จึงรับคำ

    ... วันรุ่งขึ้นก็กำหนดเวลาที่สมเด็จพระทศพลญาณเจ้าเสด็จเข้าไปยังพระนครเข้าไปหาพญาช้างโทณะมุข ซึ่งมีหน้าผากเหมือนหม้อข้าวเหนือตระพองที่เกิดดีแล้ว มีลำงวงยาวเสมือนธนู มีหูอ่อนกว้างใหญ่ ตาเหลืองดังน้ำผึ้ง ที่นั่งบนตัวดี ตะโพกหนาทึบกลมกลึง ระหว่างเข่าเก็บของลับไว้ งางามเหมือนงอนไถ ขนหางสวย โคนหางน่ายำเกรง สมบูรณ์ด้วยลักษณะครบทุกอย่าง งามน่าดูเสมือนเมฆสีเขียวคราม ไปยังถิ่นที่ราชสีห์ชอบเยื้องกรายเหมือนก้อนเมฆเดินได้ มีกำลังเท่า ๗ ช้างสารตกมัน ๗ ครั้ง มีพิษทั่วตัว เหมือนมัจจุมารที่มีเรือนร่างทำให้เมามันมึนยิ่งขึ้น ปรนด้วยวิธีพิเศษเช่นคำข้าวคลุกกำยานหยอดยาตา รมควัน ฉาบทาเป็นต้น แล้วก็ส่งไปเพื่อต้องการปลงพระชนม์สมเด็จพระมหามุนีผู้ประเสริฐ ผู้ป้องกันชนที่เป็นอริได้ เหมือนช้างเอราวัณป้องกันช้างข้าศึกฉะนั้น

    ... ลำดับนั้น พญาช้างโทณะมุขนั้นเป็นช้างพลายตัวดี พอหลุดไปเท่านั้น ก็ฆ่าช้าง ควาย ม้า ชาย หญิง มีเนื้อตัวพร้อมทั้งงาและงวงเปรอะไปด้วยเลือดของผู้ที่ถูกฆ่า มีตาที่คลุมด้วยข่ายแห่งความตาย หักทะลายเกวียน บานประตู ประตูเรือนยอด เสาระเนียดเป็นต้น อันฝูงกา สุนัข และแร้งเป็นต้นติดตามไป ตัดอวัยวะของควาย คน ม้าและช้างพลายเป็นต้น กินเหมือนยักษ์กินคน เห็นสมเด็จพระทศพลอันหมู่ศิษย์แวดล้อม กำลังเสด็จมาแต่ไกล มีกำลังเร็วเสมือนครุฑในอากาศ มุ่งไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเร็ว

    ... ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองมีใจเปี่ยมแปร้ไปด้วยความเร่าร้อนเพราะภัย ก็เข้าไปยังซากกองกำแพงแห่งปราสาท เห็นพระยาช้างวิ่งแล่นมุ่งหน้าตรงสมเด็จพระตถาคตเจ้า ก็ส่งเสียงร้อง ฮ้า! ฮ้า! ส่วนอุบาสกบางพวกเริ่มห้ามกันพญาช้างนั้น ด้วยวิธีการต่างๆ

    ... ลำดับนั้น คือสมเด็จพระพุทธนาคพระองค์นั้นทรงแลดูพญาช้างซึ่งกำลังมา มีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยพระกรุณาแผ่ไป ก็ทรงแผ่พระเมตตาไปยังพญาช้างนั้น

    ... แต่นั้น พญาช้างเชือกนั้นก็มีสันดานประจำใจอันพระเมตตาที่ทรงแผ่ไปทำให้อ่อนโยนสำนึกรู้โทษและความผิดของตน ไม่อาจยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยความละอาย จึงหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจแทรกเข้าไปในแผ่นปฐพี

    ... พญาช้างเชือกนั้นหมอบลงอย่างนั้นแล้ว เรือนร่างเสมือนกลุ่มหมอก ก็เจิดจ้า เหมือนก้อนเมฆสีเขียวครามเข้าไปใกล้ยอดภูเขาทองที่ฉาบด้วยแสงสนธยา

    ... ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองเห็นพญาช้างหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องบาทของพระจอมมุนี ก็มีใจเปี่ยมด้วยปีติอย่างยิ่ง ก็พากันส่งเสียงโห่ร้องสาธุการกึกก้องดังเสียงราชสีห์ บูชาพระองค์มีประการต่างๆ ด้วยดอกไม้หอม มาลัย จันทน์จุรณหอมและเครื่องประดับเป็นต้น โยนแผ่นผ้าไปโดยรอบ เทพเภรีก็บรรลือลั่นในท้องนภากาศ

    ... ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพญาช้างพลาย ซึ่งหมอบจบเศียรเกล้าแทบเบื้องพระบาท ดั่งยอดเขาที่อาบสีดำ ก็ทรง ลูบกระพองพญาช้างด้วยฝ่าพระหัตถ์ อันประดับด้วยขอช้าง ธง สังข์และจักร จึงทรงพร่ำสอนพญาช้างนั้นด้วยพระธรรมเทศนาที่เกื้อกูลแก่ความประพฤติทางจิตของพญาช้างนั้นว่า





    ..... ดูก่อนพญาช้าง เจ้าจงฟังคำของเราที่พร่ำสอน
    และจงเสพคำพร่ำสอนของเรานั้น ซึ่งประกอบด้วย
    ประโยชน์เกื้อกูล จงกำจัดความยินดีในการฆ่า ความ
    มีจิตร้ายของเจ้าเสีย จงเป็นช้างที่น่ารัก ผู้สงบ

    ... ดูก่อนพญาช้าง ผู้ใดเบียดเบียนสัตว์มีชีวิต ด้วย
    โลภะและโทสะ หรือด้วยโมหะ ผู้นั้นชื่อว่าผู้ฆ่าสัตว์มี
    ชีวิต ย่อมเสวยทุกข์อันร้ายกาจในนรกตลอดกาลนาน

    ... ดูก่อนพญาช้าง เจ้าอย่าได้ทำกรรมเห็นปานนั้น
    ด้วยความประมาท หรือแม้ด้วยความเมาอีกนะ เพราะ
    ผู้ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ย่อมประสบทุกข์แสน
    สาหัสในนรกตลอดกัป

    ... ผู้เบียดเบียนครั้นเสวยทุกข์อันร้ายกาจในนรกแล้ว
    ผิว่าไปสู่มนุษยโลก ก็ยิ่งเป็นผู้มีอายุสั้น มีรูปร่างแปลก
    ประหลาด ยังมีส่วนพิเศษแห่งทุกข์

    ... ดูก่อนกุญชร พญาช้างผู้เบาปัญญา เจ้ารู้ว่าชีวิต
    เป็นที่รักอย่างยิ่งของเจ้าฉันใด ในมหาชนชีวิตแม้ของ
    ผู้อื่นก็เป็นที่รักฉันนั้น แล้วพึงงดเว้นปาณาติบาตอย่างเด็ดขาด

    ... ถ้าเจ้ารู้จักโทษที่ไม่เว้นการเบียดเบียน และคุณที่
    เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว จงเว้นขาดปาณาติบาตเสีย
    ก็ปรารถนาสุขในสวรรค์ในโลกหน้าได้

    ... ผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตฝึกตนดีแล้ว ย่อมเป็น
    ที่รักที่ชอบใจในโลกนี้ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป
    พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวว่า เขาก็อยู่ยั้งในสวรรค์

    ... ใครๆ ในโลก ย่อมไม่ปรารถนาให้ทุกข์มาถึง
    ผู้เกิดมาแล้วทุกๆ คน ย่อมแสวงสุขกันทั้งนั้น ดูก่อน
    พญาช้างผู้ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น เจ้าจงละการเบียด
    เบียนเสีย เจริญแต่เมตตาและกรุณาในเวลาอันสมควรเถิด

    ... ลำดับนั้น พญาช้างอันพระทศพลทรงพร่ำสอนอย่างนี้ก็ได้สำนึก เป็นผู้ที่ทรงฝึกปรือแล้วอย่างยิ่ง ถึงพร้อมด้วยวินัยแลจรรยา ก็ได้เป็นเหมือนศิษย์ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีพระองค์นั้นทรงทรมานพญาช้างโทณะมุข เหมือนพระศาสดาของเราทรงทรมานช้างธนปาลแล้ว จึงทรงแสดงธรรมโปรดในสมาคมแห่งมหาชนนั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  8. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    ....โมทนาสาธุ อย่างที่สุดครับ ...


    รูป ครูบาอาจารย์ ที่ ท่าน "ธัมมะสามี "..นำมาลงใต้ชื่อ ..นั้น ผมโมทนา ทุกภาพ ในใจ มาหลายวันเเล้ว ...รูปที่หายาก เช่น ...พระเดชพระคุณ พระอริยคุณาธาร "เส็ง ปุสโส "......เเละ ....พระเดชพระคุณ "เจ้าคุณ....พระราชกวี .. อ่ำ ธัมมทัตโต"...วัดโสมนัสวิหาร

    ขอขอบคุณ โมทนา ใน "ธรรมะทาน" เเละทุกๆบารมี ของท่านครับ
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ยาดม

    ******************************
    ขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ ธรรมดาแล้วจะเปิดไฟสว่างๆตรงหน้าตลอดเวลาค่ะเลยไม่ค่อยจะหน้ามืดเป็นลม
     
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ดีแล้วที่แก้ซะที่ต้นเหตุ ก็จะเก็บยาแก้ลมไว้ก่อน จะใช้เมื่อไรก็บอกก็เรียกหาได้ทันทีเลย ผมนั่งอยู่ข้างๆบันไดขึ้นธรรมมาสฟังพระสูตรนี่แหละ
     
  11. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ในสุมังคลนคร มีสหายสองคนคือพระราชโอรสพระนามว่าปาลิตะ บุตรปุโรหิตชื่อว่าสัพพะทัสสิกุมาร สองสหายนั้น เมื่อสมเด็จพระปิยะทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกอยู่ สดับข่าวว่า เสด็จถึงพระนครของพระองค์มีบริวารแสนโกฏิ ก็ออกไปรับเสด็จ สดับฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ถวายมหาทาน ๗ วัน ในวันที่ ๗ จบอนุโมทนาภัตทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับบริวารแสนโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัตตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑



    ..... สมัยต่อมา สัตว์เก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัตในสมาคมของท้าวสุทัสสนเทวราช พระศาสดาอันภิกษุสาวกเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... ต่อมาอีก ในสมัยทรงแนะนำพญาช้างโทณะมุข สัตว์แปดหมื่นโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓



    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพพราหมณ์ชื่อกัสสปะพราหมณ์ เรียนจบไตรเพท ครบ ๕ ทั้งอิติหาสศาสตร์ ฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระบรมศาสดาปิยะทัสสี แล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอันยิ่งให้สร้างสังฆาราม ที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ด้วยการบริจาคทรัพย์แสนโกฏิ แล้วตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์และศีล ๕

    ... ลำดับนั้น สมเด็จพระปิยะทัสสีนราสภเจ้าทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า

    ... " ท่านกัสสปะพราหมณ์ผู้นี้ ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัปนับแต่กัปนี้ จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัททกัปอันจักปรากฏมีในอนาคตกาล "

    ... เราฟังพระดำรัสขององค์พระปิยะทัสสีพุทธเจ้าแล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนายิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศนี้ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์




    ..... ก็องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยะทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่า สุธัญญะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุจันทาเทวี คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระปาลิตะมหาเถระและ พระสัพพะทัสสีมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระโสภิตะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าสุชาดามหาเถรี และ พระธัมมะทินนามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นกกุธะ (ต้นกุ่ม) พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิมลา พระโอรสพระนามว่า พระกัญจนาเวฬะ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือรถเทียมม้า



    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... สมเด็จพระปิยะทัสสีพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น มีพระบริวารยศหาประมาณมิได้ มีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สูง ๘๐ ศอก ปรากฎชัดเหมือนต้นพญาสาละ

    ... พระรัศมีขององค์พระปิยะทัสสีสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้นเป็นเช่นใด รัศมีของดวงไฟ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ หาเป็นเช่นนั้นไม่

    ... พระผู้มีพระจักษุ ดำรงอยู่ในโลกเก้าหมื่นปี พระชนมายุของพระผู้เป็นเทพแห่งเทพพระองค์นั้น ก็มีเพียงเท่านั้น

    ... พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ พระองค์นั้นก็ดี คู่พระอัครสาวกผู้ไม่มีผู้เทียบได้เหล่านั้น ก็ดี ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขาร(คือร่างกาย)ทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้




    ..... องค์สมเด็จพระปิยะทัสสีมหามุนีผู้ประเสริฐ ทรงเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ วัดอัสสัตถารามมหาวิหาร พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นสูงถึง ๓ โยชน์ ประดิษฐาน ณ วัดอัสสัตถารามมหาวิหารนั้น ฉะนี้แล ฯ.
     
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    องค์สมเด็จพระอัตถะทัสสีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... เมื่อองค์สมเด็จพระปิยะทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพานแล้ว พระศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานแล้วเสื่อมไป เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุนับประมาณมิได้เจริญแล้วก็เสื่อมลงโดยลำดับ จนมีอายุแสนปี พระพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถะทัสสี ผู้เห็นอรรถอย่างยิ่ง ก็อุบัติขึ้นในโลก




    ..... พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อรอตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นเมื่อถึงกาลของพระองค์แล้ว ท้าวสักกะเทวราชและพรหมทั้งหลายก็มาอ้อนวอนอาราธนาพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ทรงรับอาราธนาแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุทัสสนะเทวี อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้าสาคระ กรุงโสภณะ ที่งามอย่างยิ่ง อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือน ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุจินธนราชอุทยาน

    ... พอพระมหาบุรุษประสูติจากพระครรภ์พระชนนี เจ้าของทรัพย์ทั้งหลายก็พากันได้ขุมทรัพย์ใหญ่ที่ฝังกันไว้นาน สืบๆ ตระกูลกันมา เพราะเหตุนั้น ในวันรับพระนามของพระองค์ พระชนกชนนีจึงเฉลิมพระนามว่า อัตถะทัสสี

    ... พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรงมีปราสาท ๓ หลังที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่งชื่ออมรคิรีปราสาท สุรคิรีปราสาทและคิริวาหนะปราสาท มีพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนางมีพระนางวิสาขาเทวีเป็นประมุข




    ..... เมื่อพระโอรสพระนามว่าเสละกุมาร ของพระนางวิสาขาเทวี ทรงสมภพ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ขึ้นทรงพญาม้าชื่อสุทัสสนะ เสด็จออกมหาอภิเนษกรมณ์ทรงผนวช มนุษย์เก้าโกฏิก็บวชตามเสด็จ

    ... พระมหาบุรุษอันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่มหาชนนำมาเป็นเครื่องสังเวยนางนาคชื่อว่าสุจินธรา นางนาคที่มีเรือนร่างทุกส่วนอันมหาชนเห็นอยู่ ถวายพร้อมด้วยถาดทอง ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สวนสาละรุ่น ที่ประดับด้วยต้นไม้รุ่น ๑๐ ต้น เวลาเย็นทรงรับหญ้าคา ๘ กำที่พญานาคชื่อมหารุจิ ผู้ชอบใจธรรมถวาย แล้วเสด็จเข้าไปยังโคนพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อจัมปกะ ต้นจำปา ทรงลาดสันถัตหญ้าคากว้างยาว ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ

    ... ในยามแรกทรงยังทิพพจักขุญาณ ทรงระลึกชาติของพระองค์แต่ครั้งหลังได้ไม่จำกัด

    ... ในยามที่สองทรงยังจุตูปปาตญาณ ทรงเห็นการเกิดตายของเหล่าสัตว์ในภพต่างๆ

    ... ในยามที่สามทรงหยั่งปัญญาพิจารณาในปัญจขันธ์และปฏิจจสมุปบาท ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่งก็ทรงบรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯลฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา




    ..... ทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ วัน พระองค์อันท้าวสหัมบดีมหาพรหมทรงอาราธนาแสดงธรรม ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม ทรงเห็นภิกษุใหม่เก้าโกฏิที่บวชกับพระองค์ เป็นผู้สามารถแทงตลอดอริยธรรมได้ เสด็จไปทางอากาศลงที่อโนมะราชอุทยาน ใกล้อโนมะนคร อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ



    ..... ต่อมาอีก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำโลกเสด็จจาริกไปในเทวโลก ทรงแสดงธรรมโปรดในที่นั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ



    ..... ก็ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถะทัสสี เสด็จเข้าไปยังกรุงโสภณะ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรด ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ



    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ในวรกัปนั้นนั่นเอง องค์สมเด็จพระอัตถะทัสสีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ก็ทรงกำจัดความมืดใหญ่ บรรลุพระโพธิญาณอันอุดม
    พระองค์อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้วก็ทรงประกาศพระธรรมจักร ทรงยังหมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลกให้อิ่มด้วยอมฤตธรรม สมเด็จพระโลกนาถแม้พระองค์นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ ครั้งสมเด็จพระอัตถะทัสสีทศพลญาณเจ้า เสด็จจาริกไปในเทวโลกเพื่อโปรดพระพุทธมารดา อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ ต่อมา ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในสำนักพระชนก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2013
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ใกล้เข้ามาแล้ว เหลืออีก10พระองค์ ธรรมะสวัสดีค่ะ มารอฟังตามเคย
     
  14. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... ใช่ครับ เหลืออีก ๒๑ พระองค์ครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2013
  15. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ได้ยินว่า ในสุจันทกะนคร พระสันตะราชโอรสและอุปสันตะบุตรปุโรหิต ไม่เห็นสาระในไตรเพทและลัทธิสมัยอื่นทุกอย่าง จึงวางคนที่รอบรู้และแกล้วกล้าไว้ ๔ คนที่ประตูทั้ง ๔ ของพระนคร โดยสั่งว่า พวกท่านเห็นหรือได้ยินสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นบัณฑิตผู้ใด พวกท่านจงมาบอกเรา

    ... สมัยนั้น สมเด็จพระโลกนาถอัตถะทัสสีเสด็จถึงสุจันทกะนคร ลำดับนั้น พวกบุรุษที่คนเหล่านั้นบอกแล้ว ก็พากันไปแจ้งการเสด็จมาในที่นั้นของสมเด็จพระทศพลญาณเจ้าแก่สองท่านนั้น

    ... แต่นั้นพระสันตะราชโอรสและอุปสันตะบุตรปุโรหิต ฟังข่าวการเสด็จมาของสมเด็จพระตถาคตเจ้า ก็มีใจร่าเริง มีบริวารพันหนึ่งไปรับเสด็จสมเด็จพระทศพลผู้ไม่มีผู้เสมอ ถวายบังคมแล้วนิมนต์ ถวายมหาทานที่ไม่มีใครเทียม แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    ... วันที่ ๗ ก็ฟังธรรมกถาพร้อมด้วยผู้คนชาวนครทั้งสิ้น เขาว่า วันนั้น บุรุษเก้าหมื่นแปดแสนพากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาแล้วบรรลุพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางบริษัทนั้น นั้นเป็นสาวกสันนิบาต ครั้งที่ ๑




    ..... ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรมแก่พระเสละมหาเถระ โอรสของพระองค์ ทรงยังบุรุษแปดหมื่นแปดพันให้เลื่อมใสแล้ว ให้บวชด้วยเอหิภิกขุภาวะให้เขาบรรลุพระอรหัตแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... ต่อมาอีก เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เทวดาและมนุษย์วันมาฆบูรณมี ในมหามงคลสมาคม ทรงยังสัตว์เจ็ดหมื่นแปดพันให้บรรลุพระอรหัตตผล ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓



    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... องค์สมเด็จพระอัตถะทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ พระองค์นั้น ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทินมีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง พระสาวกเก้าหมื่นแปดพันประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑ พระสาวกแปดหมื่นแปดพันประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒ พระสาวกขีณาสพ ผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น ผู้ไร้มลทิน ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่เจ็ดหมื่นเจ็ดพันประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราอันโลกสมมติว่าเป็นพราหมณ์มหาศาล ชื่อสุสิมะ ในนครจัมปกะ พระโพธิสัตว์นั้นสละสมบัติทุกอย่างแก่คนจน คนอนาถา คนกำพร้า คนเดินทางไกลเป็นต้น ไปใกล้ป่าหิมพานต์ บวชเป็นดาบส ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว เป็นผู้มีฤทธานุภาพมากทั้งมีใจยินดีเที่ยวจาริกไปในเทวโลกสวรรค์สองชั้นฟ้า คือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงสเทวโลกและมีปรีชาฉลาดสามารถแสดงกุศลให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ทั้งได้นำเอาลายลักษณ์พระพุทธบาทมาทำเป็นพระพุทธบาทเจดีย์ ให้เป็นที่สักการะบูชาของมหาชน เพื่อให้ก่อเกิดเป็นกุศลอีกส่วนหนึ่งด้วย

    ... เมื่อสมเด็จพระอัตถะทัสสีเสด็จมาตรัสในโลก และกำลังทรงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาแก่หมู่มหาชนอยู่นั้น วันหนึ่งสุสิมะมหาฤาษีได้มีโอกาสสดับมธุรธรรมีกถา แล้วเกิดศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง จึงเหาะขึ้นไปสู่สวรรค์เทวโลกด้วยอำนาจฌานอภิญญา นำเอาดอกมณฑาทิพย์ปทุมและดอกปาริชาติมาสู่มนุษยโลกนี้ แล้วโปรยทิพยบุปผาชาติเหล่านั้นให้ตกลงมาบูชาพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากแล้ว จึงถือเอาก้านทิพยมณฑาใหญ่ดอกหนึ่งชูขึ้นกางกั้นทำเป็นฉัตรบูชาสมเด็จพระอัตถะทัสสีบรมศาสดาจารย์ ซึ่งกำลังทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่

    ... ครั้นสมเด็จพระบรมครูผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงมีพระพุทธดำรัสพยากรณ์ว่า

    ... " สุสิมะมหาดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ในภัทรกัปหนึ่ง อันจักมีปรากฏในอนาคตกาลภายภาคหน้า "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์ ก็ร่าเริงยินดียิ่งนัก จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งขึ้นไปเพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ให้บริบูรณ์




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถะทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่าโสภณะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสาคระ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสันตะมหาเถระ และ พระอุปสันตะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอภยะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าธัมมามหาเถรี และ พระแม่เจ้าสุธัมมามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่าจัมปกะ (ต้นจำปา) พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไปโดยรอบประมาณโยชน์หนึ่งทุกเวลา พระชนมายุหนึ่งแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิสาขา พระโอรสพระนามว่า เสละ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า



    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ สูง ๘๐ ศอก งามเหมือนพญาสาละพฤกษ์ เต็มบริบูรณ์เหมือนพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ พระรัศมีตามปกติของพระองค์ มีหลายร้อยโกฏิแผ่ไปโยชน์หนึ่ง สิบทิศทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำทุกเมื่อ

    ... สมเด็จพระอัตถะทัสสีพุทธเจ้าเป็นผู้องอาจในนรชน เป็นมหามุนียอดแห่งสรรพสัตว์ ผู้มีพระจักษุพระองค์นั้นทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี

    ... สมเด็จพระอัตถะทัสสีพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ทรงแสดงพระรัศมีที่ไม่มีอะไรเทียบ เจิดจ้าไปในโลกทั้งเทวโลก ก็ทรงถึงความเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ดับขันธปรินิพพาน เพราะสิ้นอุปาทาน เหมือนดวงไฟดับเพราะสิ้นเชื้อฉะนั้น




    ..... สมเด็จพระอัตถะทัสสีชินเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์นั้น ทรงเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะสิ้นอุปาทาน ๔ ณ วัดอโนมารามมหาวิหาร พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แผ่กว้างกระจายไปในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล ฯ.
     
  16. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    องค์สมเด็จพระธัมมะทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... เมื่อองค์สมเด็จพระอัตถะทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ล่วงไปหนึ่งพุท ธันดร เมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุได้แสนปี พระศาสดาพระนามว่าธัมมะทัสสี ผู้ทำความสว่างแก่โลก ทำการกำจัดมลทินมีโลภะเป็นต้น เป็นนายกเอกของโลก อุบัติขึ้นในโลก



    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์อันท้าวสักกะเทวราชและท้าวสหัมบดีมหาพรหมพร้อมด้วยเทวดาและพรหมทั้งหลายทูลอาราธนาแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุนันทาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสรณะ ผู้เป็นที่พึ่งของโลกทั้งปวง ณ กรุงสรณะ ถ้วนกำหนดทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สรณะราชอุทยาน เหมือนจันทร์เพ็ญโคจรลอดช่องเมฆ ในฤดูฝน




    ..... เมื่อพระมหาบุรุษ พอประสูติจากพระครรภ์พระชนนีเท่านั้น โวหารการว่ากล่าวที่ไม่ชอบธรรม ในศาสตร์และคัมภีร์อันกล่าวด้วยเรื่องอธิกรณ์ (การตัดสินคดี) ก็เสื่อมหายไปเองแล ดำรงอยู่แต่การว่ากล่าวที่ชอบธรรมเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามของพระองค์ พระชนกชนนีจึงเฉลิมพระนามว่า ธัมมะทัสสี



    ..... พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี นัยว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าอรชะปราสาท วิรชะปราสาทและสุทัสสนะปราสาท มีพระสนมนารีสองแสนสองหมื่นนางมีพระนางวิจิโกฬิเทวีเป็นประมุข



    ..... เมื่อพระโอรสพระนามว่าปุญญะวัฒนะ ของพระนางวิจิโกฬิเทวี สมภพ พระมหาบุรุษนั้นทรงเห็นนิมิต ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เหมือนเทพกุมาร เสวยสมบัติเหมือนเทพสมบัติ ทรงลุกขึ้นในยามกลาง ประทับบนที่สิริไสยาสน์ ทรงเห็นอาการอันวิการของเหล่าสนมที่หลับไหล ก็เกิดสังเวช เกิดจิตคิดออกมหาภิเนษกรมณ์

    ... ในลำดับเกิดจิตนั่นแล สุทัสสนะปราสาทของพระองค์ก็ลอยขึ้นสู่นภากาศ อันจตุรงคเสนาแวดล้อมแล้ว ลอยไปเหมือนดวงอาทิตย์และเหมือนเทพวิมาน แล้วก็ลงตั้งอยู่ใกล้พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อต้นรัตตะกุระวกะ มะกล่ำทอง

    ... ได้ยินว่า พระมหาบุรุษทรงรับผ้ากาสายะที่ท้าวมหาพรหมน้อมถวาย ทรงผนวชแล้ว เสด็จลงจากปราสาท ประทับยืนอยู่ไม่ไกล ปราสาทก็ลอยไปทางอากาศอีก ทำพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ไว้ข้างในแล้วตั้งลงที่แผ่นดิน

    ... แม้นางสนมนารีพร้อมทั้งบริวารก็ลงจากปราสาท เดินไปชั่วครึ่งคาวุต ก็หยุด ณ ที่นั้น เว้นนางสนมนารี ปริจาริกาและหญิงรับใช้ของนางสนมเหล่านั้น มนุษย์ผู้ชายทุกคนก็บวชตามเสด็จ ภิกษุทั้งหลายก็มีจำนวนถึงแสนโกฏิ




    ..... ลำดับนั้น ท่านพระธัมมะทัสสีมหาโพธิสัตว์เจ้าทรงบำเพ็ญความเพียร ๗ วัน เสวยข้าวมธุปายาสที่พระนางวิจิโกฬิเทวีถวาย ทรงพักกลางวัน ณ ป่าพุทรา เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อสิริวัฒนะถวาย แล้วเสด็จไปยังพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อรัตตะกุระวกะ มะกล่ำทอง ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ไม่นานนักก็ทรงได้ฌาน ๘

    ... ในยามแรกทรงยังปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้บังเกิด ทรงระลึกชาติของพระองค์เองได้อย่างไม่มีจำกัด ( ด้วยบุเพเพนิวาสานุสสติญาณนี้เอง ทำให้พระองค์รู้ว่าบำเพ็ญบารมีมาอย่างไร พระพุทธเจ้าองค์ไหนพยากรณ์พระองค์ไว้ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตรัสสอนว่าอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น )

    ... ในยามที่สองทรงยังจุตูปปาตญาณให้บังเกิด ทรงเห็นการเกิดตายการเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายในภพต่างๆ

    ... ในยามที่สามทรงหยั่งปัญญาพิจารณาในปัญจขันธ์ ทรงพิจารณาในพระปฏิจจสมุปบาท ในกาลปัจจุสมัยใกล้รุ่งเช้าก็ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "



    ..... แล้วทรงยับยั้งอยู่ใกล้ๆ พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาท้าวสหัมบดีมหาพรหม แล้วทรงทราบด้วยพระพุทธญาณอันประเสริฐว่า ภิกษุแสนโกฏิที่บวชกับพระองค์เป็นผู้สามารถแทงตลอดพระสัทธรรมได้ ก็เสด็จโดยหนทาง ๑๘ โยชน์ วันเดียวเท่านั้นก็ถึงอิสิปตนะ อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ก็ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ อิสิปตนะนั้น ครั้งนั้น อภิสมัย(คือการได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ระดับฉฬภิญโญพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ)ครั้งที่ ๑ ก็ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ

    ... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง สมเด็จพระธัมมะทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ก็กำจัดความมืดมนอนธการแล้ว เจิดจ้าในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก ในกาลที่สมเด็จพระธัมมะทัสสีสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชที่ ไม่มีผู้เทียบได้พระองค์นั้น ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ




    ..... ครั้งพระราชาพระนามว่าสัญชัย ในนครชื่อตคระ ทรงเห็นโทษในกามและคุณอันเกษมในเนกขัมมะ จึงทรงผนวชเป็นดาบส คนเก้าหมื่นโกฏิบวชตามเสด็จ ชนเหล่านั้นได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ หมดทุกคน

    ... ครั้งนั้น สมเด็จพระธัมมะทัสสีโลกนาถเจ้าทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของชนเหล่านั้น จึงเสด็จไปทางอากาศ ถึงอาศรมบทของสัญชัยดาบสแล้ว ทรงยืนอยู่ในอากาศ ทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่อัธยาศัยของดาบสเหล่านั้น ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดขึ้น นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒




    ..... ครั้งท้าวสักกะจอมทวยเทพ ประสงค์จะฟังธรรมของสมเด็จพระทศพลญาณเจ้า จึงเสด็จเข้าไปเฝ้า อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2013
  17. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ส่วนครั้งสมเด็จพระธัมมะทัสสีพุทธเจ้าทรงบวชพระปทุมกุมารและพระปุสสะเทวะกุมาร พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดา พร้อมทั้งบริวารในกรุงสรณะ ทรงทำสุทธิปวารณาท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิซึ่งบวชภายในพรรษานั้น นั้นเป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑



    ..... ต่อมาอีก ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ภิกษุร้อยโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศคุณานิสงส์แห่งธุดงค์ ๑๓ ณ พระสุทัสสนาราม ทรงสถาปนาพระมหาสาวกชื่อ หาริตะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุแปดสิบโกฏิ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓



    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นท้าวสักกะเทวราช อันทวยเทพในเทวโลกทั้งสองแวดล้อมแล้ว เสด็จมาบูชาพระตถาคต ด้วยของทิพย์มีของหอมและดอกไม้เป็นต้นและด้วยทิพยดนตรี

    ... สมเด็จพระธัมมะทัสสีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า

    ... " สมเด็จพระอมรินทรเทวราชนี้ นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ในภัทรกัปหนึ่ง อันจักปรากฏมีในอนาคตภายภาคหน้า "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรคือ ทาน ศีล ภาวนาให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้บริบูรณ์



    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อ สรณะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสรณะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุนันทา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระปทุมะมหาเถระ และ พระปุสสะเทวะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสุเนตตะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าเขมามหาเถรี และ พระแม่เจ้าสัจจะนามามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นรัตตะกุระวกะ(มะกล่ำทอง) พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิจิโกฬิเทวี พระโอรสพระนามว่าพระปุญญะวัฒนะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือปราสาท



    ..... พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ พระองค์นั้น สูง ๘๐ ศอก ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระเดชในหมื่นโลกธาตุ

    ... พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น งดงามเหมือนต้นพญาสาละพฤกษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่ง เหมือนสายฟ้าในนภากาศ เหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน

    ... สมเด็จพระโลกนาถสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุดำรงอยู่ในโลกแสนปี พระชนมายุของพระผู้มีพระเดชที่ไม่มีใครเทียบพระองค์นั้น ก็เท่านั้น

    ... พระองค์ทั้งพระสาวก แสดงพระรัศมีทำพระศาสนาให้ไร้มลทินแล้ว ก็ปรินิพพานเหมือนดวงจันทร์เคลื่อนจาก ท้องนภากาศ




    ..... ได้ยินว่า สมเด็จพระธัมมะทัสสีมหาวีระเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก เสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเกสารามมหาวิหาร กรุงสาละวดี พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระตถาคตเจ้าธัมมะทัสสีพระองค์นั้น สูงถึง ๓ โยชน์ ตั้งอยู่ ณ พระวิหารเกสารามมหาวิหาร ฉะนี้แล ฯ.
     
  18. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    องค์สมเด็จพระสิทธัตถะวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าธัมมะทัสสีปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานไปแล้ว เมื่อกัปนั้นล่วงไปและล่วงไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยหกกัป ในกัปหนึ่ง สุดท้ายเก้าสิบสี่กัปนับแต่กัปนี้ ก็ปรากฎมีพระศาสดาพระองค์หนึ่งพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้บรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก




    ..... แม้พระสิทธัตถะบรมมหาโพธิสัตว์เจ้าก็ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในภพดุสิตเทวโลกรอตรัสเป็นพระโลกนาถบรมศาสดา พระโพธิสัตว์อันท้าวสักกะเทวราชและพรหมเทวดาทั้งปวงอาราธนาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุผัสสาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน กรุงเวภาระ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ วีริยะราชอุทยาน



    ..... เมื่อพระมหาบุรุษสมภพแล้ว การงานที่คนทั้งปวงเริ่มไว้ และประโยชน์ที่ปรารถนาก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติทั้งหลายของพระองค์จึงเฉลิมพระนามว่า สิทธัตถะ



    ..... พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าโกกาสะปราสาท อุปปละปราสาทและปทุมะปราสาท ปรากฏมีสนมนารีแปดหมื่นสี่พันนางมีพระนางโสมนัสสาเทวีเป็นประมุข



    ..... เมื่อพระอนุปมะกุมาร โอรสของพระนางโสมนัสสาเทวีสมภพแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว ในวันอาสาฬหบูรณมี ก็ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระวอทอง เสด็จไปยังวีริยะราชอุทยาน ทรงผนวช มนุษย์แสนโกฏิก็บวชตามเสด็จ

    ... เล่ากันว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือนกับบรรพชิตเหล่านั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาพราหมณ์ชื่อ สุเนตตา ตำบลบ้านอสทิสพราหมณ์ถวาย ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าพุทรา เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อวรุณะถวาย ทรงลาดสันถัตหญ้า ๔๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงเจริญอานาปานสติได้ฌาน ๘ ยามที่ ๑ ทรงได้บุพเพนิวาส ยามที่ ๒ ทรงชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ยามที่ ๓ ทรงพิจารณาปัจจยาการ ออกจากจตุตถฌานมีอานาปานสติเป็นอารมณ์ แล้วหยั่งลงในขันธ์ ๕ ทรงเห็นลักษณะ ๕๐ ถ้วนด้วยสามารถแห่งความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปทรงเจริญวิปัสสนา ในยามเช้าตรู่แสงทองเรืองรองจับขอบฟ้าทรงแทงตลอดพระพุทธคุณทั้งสิ้นทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "




    ..... ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน ทรงเห็นด้วยพระพุทธญาณว่าภิกษุแสนโกฏิที่บวชกับพระองค์ เป็นผู้สามารถแทงตลอดสัจจะ ๔ จึงเสด็จโดยทางอากาศ ลงที่คยามิคทายวัน ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่ภิกษุเหล่านั้น ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ

    ... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... สมเด็จพระมหามุนีเจ้าแม้พระองค์นั้น บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆะ เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลกให้ดับร้อน จึงทรงหลั่งฝนคือธรรมให้ตกลง สมเด็จพระนราสภเจ้าผู้มีพระเดชที่ไม่มีผู้เทียบได้ พระองค์นั้นทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ




    ..... ต่อมาอีก ทรงทำทิศทั้งสิบให้เต็มด้วยพระสุรเสียงดังพรหม เสนาะดังเสียงนกการเวกร้อง สบายโสต ไพเราะอย่างยิ่ง จับใจบัณฑิตชน เฉกเช่นอภิเษกด้วยน้ำอมฤต ทรงลั่นอมตธรรมเภรี ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ



    ..... ครั้งสมเด็จพระสิทธัตถะพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธวงศ์ในสมาคมพระญาติ ณ กรุงเวภาระ ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013
  19. พุฒิฬส

    พุฒิฬส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    ประทานอภัย ....ขอรับ ถ้ามีผู้ปราถนาพระโพธิสัตว์ดำเนินไปในโพธิสัตว์มรรค ยิ่งมาก โลกนี้ก็จะน่าอยู่กว่าสวรรค์แล้ว แต่น่าเสียดายจัง
    ลองมาเริ่มต้นง่ายๆกันดู(ความจริงแล้วไม่ง่ายเท่าไร) ทำเหตุให้เป็น(อยู่ใน)ทางสายกลาง ไม่มากไปไม่น้อยไป ไม่สูงไปไม่ต่ำไป ไม่ได้หมายถึงพอดี ต้องดูสถานะการและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เพราะคำว่าโพธิสัตว์หมายถึงอยู่ท่ามกลางไม่ใช้อยู่ตัวคนเดียวและ ไม่ใช้จำเพาะมนุษย์ มีผลเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน(ถึงพร้อมในความดี)กำหนดอย่างนี้ไว้ในจิตตนตลอดเวลาและในทุกๆ การกระทำ อธิฐานไว้เมื่อตื่นขึ้นมาและก่อนนอนหลับ ไม่ช้าการพัฒนาจะเกิดขึ้นเป็นมหาศาล แล้วจะได้รู้ได้เห็นอีกเป็นอันมาก ในไม่ช้า(อาจจะซัก 3ล้านปีแสง)ก็จะเข้าสู่สกุลแห่งโคตรภูมิ
    เหตุที่ต้องใช้ปีแสง เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจง่ายกว่าคำว่ามหากัป (นี้ก็เป็นทางสายกลางนะ)
     
  20. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    เธอๆ ปีแสงเป็นหน่วยระยะทาง ไม่ใช่เวลานะเธอ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...