ฝ่ายหญิงมาสู่ขอฝ่ายชาย ประเพณีที่อินเดีย!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 23 กันยายน 2013.

  1. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    เพื่อนเชื้อแขกที่มีมาจากหลายประเทศค่ะ ทั้งอินเดียดูไบ เนปาล ปากีฯ แขกขาวก็มี แต่ที่เป็นเพื่อนๆกันก็ปกตินะคะ ปากหวานในการที่จะใช้ให้เราทำอะไรให้ แต่ไม่มีอะไร เคยมีแชร์แฟลตอยู่ด้วยกันหลายๆคนในบ้านนึงค่ะ เราก็ทะเลาะกับแขกคนนี้ เพราะเขาชอบเอาของเราไปกินไปใช้ค่ะ ที่รู้ว่าเป็นเขาเพราะคนอื่นไม่อยู่บ้าน แต่อีตานี่อยู่บ้านทีไร ไข่เอย นมสด กระดาษชำระเอยหายหมด อันนี้ที่รู้นะคะ อันอื่นไม่รู้เพราะไม่ได้เช็ค แต่แขกยังไงก็ไม่ชอบค่ะ ที่บ้านคงต่อต้านสุดฤทธิ์แน่ๆเลยค่ะ เคยเห็นสาวจีนกับหนุ่มแขกก็น่ารักไปอีกแบบนะคะ

    ขอโทษนะคะ ทำไมเขาเป็นแฟนกับคุณไม่ได้ หรือว่าศาสนาชนชั้นวรรณะคะ วันหลังจะถามน้องสาว เขาทำงานที่บริษัทแขก เจ้านายเป็นอินเดียค่ะ ทำมาสิบกว่าปีแล้ว เห็นน้องบ่นแต่ว่าขี้เหนียวกับพนักงาน เราก็ว่าเป็นปกติของแขก แต่เวลาหลานสาวแต่งงาน เหมาเครื่องบินทั้งลำเลยค่ะ ประมาณสองลำมั้งคะ มาแต่งที่หัวหิน ก็แขกแต่งกับแขกด้วยกันค่ะ ให้พนักงานเบิกเงินไปซื้อเสื้อผ้าใส่ส่าหรีมาร่วมงานด้วยค่ะ แต่เจ้านายน้องสาวยังไม่ได้แต่งงานค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2013
  2. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เดี๋ยวถ้ามีเวลาจะนำเรื่องราวมาลงเรื่อยๆครับ
    ช่วงนี้หากเพื่อนสมาชิกท่านใดมีประสบการณ์ดีๆ หรือข้อมูลเกี่ยวกับแขกอินเดีย เชิญนำมาเล่าสู่กันฟังได้ครับ
    :cool:
     
  3. มณีเมขลา20

    มณีเมขลา20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +446
    เหมือนจะเคยคุยเรื่องรู้จักกับเรา กับพ่อแม่เค้า และ เหมือนจะ ถูกสั่งห้าม เพราะตอนที่พ่อแม่เค้าจะมาเมืองไทย เค้าเคยบอกว่าจะพาไปหาถ้าพ่อแม่เค้าอยากพบ แต่พอมา ไม่กล้าพูดถึงอีกเลย เราก็เลยรู้ว่าเค้าคงไม่สะดวก หลังจากนั้นก็พูด เกริ่นๆ เหมือนพ่อแม่จะให้ดูตัว หาสาวให้อะไรประมาณเนี๊ย แบบพ่อแม่ให้ถ่ายรูปที่สตูดิโอแล้วส่งไปให้ที่อินเดีย เราก็เลยแกล้งถามว่าเอาไปให้เค้าดูตัวเหรอ เค้าก็บอกว่าประมาณน้้น ที่บ้านเราก็รับไม่ได้ค่ะ สั่งห้ามคบกันห้ามติดต่อ ถึงแม้แค่เพื่อนก็ตาม เค้าบอกดูแล้วไม่จริงใจกับเรา แต่เหมือนคุยกันทุกๆวันตลอดสี่เดือน ก็เลยรู้สึกผูกพัน และเค้าก็พูดอะไรหลายๆอย่างให้รู้สึกดี เคยพูดแม้กระทั่งแม้เค้าจะแต่งงานไป หากเมียเค้ายอม วันนีงเค้าจะมาอยู่กับเรา แอบเห็นแก่ตัวเหมือนกันเน๊อะ ว่ามั๊ย ...
    คนอินเดียที่บริษัท ก็ขี้เหนียวค่ะ ชวนทำบุญ ไม่เลย แต่เป็นบางคนนะคะ แต่ปากหวานคอนเฟริม เราทำงานกับอินเดียมาเกือบเจ็ดปีแล้ว สนิทกับเจ้านายและครอบครังระดับหนี่ง ไปทานข้าวเชิญมาบ้านอยู่เรื่อยๆ น่าจะเหมือนกันมีดีไม่ดีปะปนกันไป
     
  4. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    ความรักทำให้คนบางคนเห็นแก่ตัว บางครั้งทำให้คนตาบอด ลืมนึกถึงความถูกต้อง โทษความรักเนี่ยล่ะค่ะง่ายที่สุด ทำให้คนเราทำอะไรได้หลายๆอย่าง ความรักเป็นทั้งผู้สร้างและขณะเดียวกันเป็นทั้งผู้ทำลายด้วย อย่างที่เขาพูดๆกันว่ากับความรักบางคนใช้หัวใจ บางคนใช้สมองในการตัดสินใจ บางคนก็ใช้ทั้งสองอย่าง พูดยากนะคะ ทำยิ่งยากใหญ่ ขอให้ตัดสินใจให้ดีๆค่ะ โดยส่วนตัวเชื่อว่าหญิงชายทุกคนต้องผิดหวังในความรักมาก่อนทั้งนั้น พอผ่านไปย้อนกลับมาดู อาจจะมานั่งสงสัยนะ ว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ ตอนมีปัญหาเราก็มัวแต่คิดๆ กลุ้มๆ จนลืมมองไปในหลายๆด้าน

    ใข่ค่ะทุกๆชาติก็มีคนดี ไม่ดีปะปนกันไป เราชอบชอบอาหารเขาค่ะ นันหรือนาน จิ้มกับแกงของแขกอร่อยดีค่ะ จิ้มกับแกงเขียวหวานของไทยเราก็อร่อยดี ขนมหวานของแขกชื่อกุหลาบจามุน เห็นชื่อแล้วขำแต่ไม่กล้ากิน เคยทำงานเสริฟในร้านอาหารไทย-อินเดียด้วย คนอินเดียเป็นเจ้าของ แต่ส่วนใหญ่อาหารไทยขายดีกว่าค่ะ ชอบที่สุดคือบัตเตอร์ชิคเค้น กับวินดาลู อันหลังนี่จะเผ็ดมากแซ่บๆค่ะ
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    คงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวฮินดูที่ได้รับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น โดยพวกเขาสั่งลูกสั่งหลานไว้ว่าเวลาตายแล้วขอให้นำร่างไปเผาที่ริมฝั่ง
    แม่น้ำสายนี้ให้ได้ พร้อมกับกวาดขี้เถ้าลงแม่น้ำไป วิญญาณจะได้ขึ้นสวรรค์ นั่นคือความเชื่อของเขาครับ

    "แล้ววิญญาณผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์จริงๆหรือเปล่า?"

    โธ่...จะรู้ได้ไงยังไม่เคยตาย น่าจะเรียกวิญญาณผีแขกมาลองถามดูท่าจะดี!
    อันนี้เป็นความเชื่อทางศาสนา ซึ่งชาวฮินดูมีความศรัทธาในเรื่องนี้มาก โดยเชื่อกันว่าแม่น้ำคงคาไหลมาจากสวรรค์ ดังนั้นหากอยากให้วิญญาณ
    ของผู้ตายได้ขึ้นสวรรค์ก็ต้องลอยล่องไปตามแม่น้ำสายนี้

    เมื่อเชื่อกันแบบนี้บรรดาพี่บังทั้งหลายจึงขอตายที่ริมฝั่งคงคา หรือถ้าไม่ได้ตายตรงนั้นก็ขอให้ญาติๆหามศพไปเผาที่ริมฝั่งคงคาก็ยังดี
    ใครที่อยู่ห่างจากแม่น้ำสายนี้และมีความลำบากไม่สามารถหาบคอนกันไปถึงโน่นได้ เขาก็บอกว่าขอเพียงได้น้ำจากแม่น้ำคงคามาประพรหม
    ตอนเผาศพก็จะช่วยให้วิญญาณได้ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน

    "แล้วพวกที่ทำบาปเยอะๆล่ะ"

    ก็อยากตายใกล้แม่น้ำคงคาเหมือนกัน เนื่องจากแม่น้ำสายนี้สามารถล้างบาปได้ ตอนตายก็ได้ขึ้นสวรรค์ ตอนยังไม่ตายหากได้มาอาบน้ำที่นี้
    ก็สามารถล้างบาปได้!

    "งั้นพอฆ่าคนเสร็จ ก็รีบมาอาบน้ำที่นี่ก็หมดบาปเลยใช่มั้ย"

    "เอ้อ...ตามความเชื่อน่าจะเป็นอย่างนั้น!ซึ่งผิดจากหลักความจริงทางพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง"

    พี่บังเขามีความมั่นใจว่าล้างบาปได้แน่ๆ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีคนเดินทางไปที่แม่น้ำคงคาทั้งดื่มทั้งอาบชำระร่างกายกันเป็นจำนวนมาก
    โดยมีสถานที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษอีกด้วย คือเขาเชื่อกันว่าจุดที่สามารถล้างบาปได้สะอาดหมดจดต้องเป็นท่าน้ำเมืองพาราณสี
    และที่เมืองอัลลาดาบีต ดังนั้นทั้งสองเมืองนี้จึงมีนักแสวงบุญเดินทางไปกันเยอะมาก แต่ถ้าตายแล้วเขามั่นใจว่า
    ต้องเป็นท่าน้ำเมืองพาราณสีเพียงแห่งเดียวเลย!

    [​IMG]

    เมืองพาราณสีอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ที่นี่เป็นแหล่งรวมของคนตาย คือใครต่อใครจะต้องนำศพของพ่อแม่ญาติมิตรมาที่นี่ เพื่อจะได้
    ทำพิธีเผ่าตรงริมฝั่งน้ำแล้วกวาดเถ้าถ่านลงแม่น้ำไป ดวงวิญญาณของผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์ตามปรารถนา เมื่อใครต่อใครต่างแห่กันมา
    ท่าน้ำเมืองพาราณสีจึงเต็มไปด้วยเชิงตะกอนเผาศพเรียงรายติดๆกันเป็นจำนวนมาก เชิงตะกอนเหล่านี้รับจ้างเผาผีเพื่อส่งดวงวิญญาณ
    ขึ้นสวรรค์โดยเฉพาะ เมืองสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเขาสร้างรีสอร์ทต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ที่นี่กลับสร้างเชิงตะกอนไว้รอท่านักท่องเที่ยว
    ที่ตายแล้วพาไปส่งสวรรค์!

    เชิงตะกอนที่เรียงรายเป็นแถวๆนั้น แต่ละแห่งต่างทำธุระกิจเกี่ยวกะผีโดยเฉพาะ แถมยังมีการโฆษณาว่าเชิงตะกอนของตัวเองดีที่สุด
    เผาได้เกลี้ยง พราหมณ์สวดสมบูรณ์แบบกว่า มีคนมาช่วยร้องไห้สะอึกสะอื้นมากกว่า และการันตีว่าวิญญาณคนตายต้องได้ไปสวรรค์แน่ๆ!

    "มีอาชีพรับจ้างร้องห่มร้องไห้ด้วย?"

    อันนี้เป็นกลยุทธ์ในการเรียกลูกค้าเขาทำมาหากินร่วมกันครับ ลูกค้าทั้งหลายจึงต้องพิจารณาเอาเองว่าจะเผาที่เชิงตะกอนไหน
    แต่ส่วนใหญ่เขามั่นใจว่าเผาที่ไหนก็ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งนั้นแหละ ขอเพียงแค่ได้กวาดเถ้าถ่านลงแม่น้ำก็พอ
    ด้วยเหตุนี้เขาจึงพิจารณาตรงราคาค่าบริการมากกว่าว่าถูกหรือแพง แล้วก็ใช้บริการที่เมรุนั้น ราคาค่าบริการมีหลายอย่าง
    ตั้งแต่ห้าร้อยรูปี ไปจนกระทั่งถึงแสนรูปี อยู่ที่จะจัดพิเศษขนาดไหน ราคานี้เป็นราคาเบ็ดเสร็จรวมค่าน้ำมัน ฟืน อุปกรณ์ การสวด
    และพราหมณ์ผู้สวดเรียบร้อยแล้ว

    [​IMG] [​IMG]

    ใครจ่ายราคาแพงงานก็ประณีตหน่อย น้ำมันเผาเขาใช้กี(ไขมันสัตว์กลั่นบริสุทธิ์)อย่างดีเป็นเชื้อเพลิงในการติดไฟ ฟืนก็มีมากพอ
    ที่จะเผาศพให้ไหม้ทั้งหมด พราหมณ์ก็เป็นพราหมณ์ชั้นหนึ่งระดับเกจิอาจารย์ว่างั้นเถอะ ฯลฯ ทุกอย่างว่ากันไปตามราคา
    เช่น เตาเผาแบบราคาย่อมเยา ใช้น้ำมันก๊าดแทนกี ฟืนก็มีเล็กน้อย เผาแบบสุกๆดิบๆเป็นเนื้อย่างน้ำตก แล้วก็กวาดลงแม่น้ำ
    ให้ลอยตุ๊บป่องๆไป หรือใช้พราหมณ์สวดหน้าใหม่มือสมัครเล่น ทำปากขมุบขมิบไม่รู้สวดถูกหรือเปล่า ทุกอย่างเป็นไปตามราคาครับ

    คนมีฐานะดียอมจ่ายมากๆเพื่อบุพการีมีโอกาสได้ถึงสวรรค์จริงๆ ในขณะที่คนจนไม่มีทางเลือกก็ต้องว่ากันไปตามกำลังเงิน
    เรื่องนี้สร้างความร่ำรวยให้กับเจ้าของเมรุอย่างมากมายมหาศาล เพราะในแต่ละวันมีศพคนตายมารอเข้าคิวเผายาวเหยียด
    ควันไฟกลิ่นเหม็นไหม้จึงลอยครุกรุ่นอยู่ทั้งวันทั้งคืน และตลอดทั้งปี!

    [​IMG] [​IMG]

    บางรายที่นำศพมาถึงริมฝั่งแล้วแต่เงินหมด หรือสู้ค่าโสหุ้ยไม่ไหวก็จะใช้วิธีส่งวิญญาณแบบสายตรงเลย คือโยนศพคนตายลงแม่น้ำกันจะๆ
    แบบนี้ประหยัดและถึงสวรรค์ได้เหมือนกัน ขอแค่ได้เห็นศพลอยตุ๊บป่องๆไปกับสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอแล้ว!

    "แบบนี้แม่น้ำจะไม่เน่าเฟะไปตลอดทั้งสายเหรอ?"

    [​IMG]

    มีเหตุผลสองประการที่คงคาไม่เน่า ประการแรกคือปลาในแม่น้ำสายนี้ชอบกินศพมาก พอศพลอยไปได้สองสามวันเนื้อก็เน่าเปื่อย
    ทีนี้ปลาก็ตอดกินกันจุบจั๊บๆอย่างสนุกสนานจนเหลือแต่กระดูก ถือเป็นการกำจัดซากได้ดีที่สุด

    [​IMG]

    ประการที่สอง คงคาไหลมาจากทางเหนือของทิเบตผ่านป่าดงพงพีมาก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามันได้ชะเอาเหล่าสมุนไพรต่างๆผสมมาด้วย
    และพอมาถึงท่าเมืองพาราณสีสายน้ำก็ไหลวกวน ทำให้ตัวยาเหล่านั้นตกตะกอนตรงบริเวณที่ชาวบ้านชอบเผาศพนั้นแหละ ยาสมุนไพรจึงช่วย
    รักษาสภาพของน้ำไม่ให้เน่าเหม็นหรือเกิดโรคติดต่อ

    [​IMG]

    นี่เป็นความบังเอิญของธรรมชาติ ชาวบ้านถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จึงพากันมาเผาศพที่เมืองแห่งนี้ เมื่อทุกอย่างลงตัวกันพอดิบพอดี
    ท่าน้ำเมืองพาราณสีจึงไม่เน่า ทั้งที่แขนขาศพลอยกันให้เกลื่อน พวกที่มาอาบน้ำล้างบาปเวลาจะอาบก็เอามือแหวกๆชิ้นส่วนของศพให้ลอย
    ห่างออกไปก่อนแล้วค่อยดำผุดดำว่าย บ้างก็ใช้สองมือโอบตักน้ำขึ้นมาดื่มกินเป็นที่สำราญอุรา!

    "อ่ะ ฮ้า เว่อร์ไปรึเปล่า?"

    อันนี้เรื่องจริงครับ เรียกว่าตายแบบแยกชิ้นส่วนลอยตุ๊บป่องๆไปเรื่อยจนกว่าจะถึงสวรรค์ว่างั้นเถอะ ส่วนปลาของแม่น้ำสายนี้
    ก็สำเริงสำราญกับอาหารอันโอชะที่มีเยอะแยะจนตัวอ้วนปี๋ ปลาสวายที่นี่แต่ละตัวยาวเป็นวา!

    "แล้วมีใครกล้ากินมั้ย?"

    "มีครับ ปลากินศพแล้วคนก็จับปลามากิน"

    มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนและสัตว์เขาก็กินกันไปกินกันมาอยู่อย่างนี้แหละ บางคนกินต้มปลาอยู่ดีๆฟลุ้คเฉยเคี้ยวถูกแหวนของศพเข้า
    แบบนี้ถือว่าโชคดีมากกินปลาแล้วแถมแหวน ส่วนบางคนโชคไม่ค่อยดีกินไปกินมาดันเคี้ยวไปเจอนิ้วมือศพในพุงปลาก็มี!
    ท่านใดไม่เชื่อเชิญแวะชิมลิ้มลองแกงกะหรี่ปลาจากท่าน้ำเมืองพาราณสีได้เลยครับ รับรองว่าอร่อยอย่าบอกใครเชียว!

    ครับนั่นคือชีวิตจริงของพวกอาบังที่มีความเชื่ออย่างฝังใจว่า พระแม่คงคาคือสายน้ำจากสรวงสวรรค์
    ที่สามารถนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ได้...
     
  6. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    อั้ยยะ ตรงย่อหน้าท้ายนี่ ไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ อึ๋ย
     
  7. มณีเมขลา20

    มณีเมขลา20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +446
    ขอบคุณมากๆ นะคะ เราเคยส่งบทกลอนภาษาอังกฤษไปให้เค้าด้วย ความประมาณ ความรักบางคนใช้หัวใจ บางคนใช้สมองในการตัดสินใจ เหมือนกัน อ่านตอนนี้ก็ยังเศร้าๆ อยู่ แต่รู้สึกดึกับกำลังใจที่ให้มานะคะ ค่ะ เคยชิมนัน เหมือนกัน เป็นหนี่งเมนูที่ชอบจิ้มกับแกงเขียวหวานเรานี่และ เมนีอื่น อย่างบัตเตอนร์ชิคเค้น กัย วินดาลู ต้องไปลองซะหน่อย แล้วจะมาคอนเฟริมว่าแซ่บหรือเปล่านะคะ
     
  8. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    งงกับพลังจิตค่ะ เวลาแบนสมาชิกแล้วนี่ ปกติเขาจะลบข้อความของคนที่โดนแบนออกหรือป่าวคะ ปกติเห็นข้อความถูกลบไปด้วย แต่เที่ยวนี้ยังอยู่เลยค่ะ

    กระทู้ลุงหนอมีแต่สแปมอ่ะ แจ้งลบแทบไม่ทันเลย
     
  9. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    ว้ายๆๆๆๆ เขาโพสรูปโป้เลยทีนี้
     
  10. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    [​IMG]

    เรื่องของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ยังมีต่ออีกนิดครับ

    จากความเชื่อที่ว่าหากได้เผ่าร่างริมฝั่งแม่น้ำคงคาและกวาดขี้เถ้าถ่านลงสายน้ำ วิญญาณของผู้ตายจะบริสุทธิ์และได้ขึ้นสวรรค์
    ใครๆก็อยากได้ขึ้นสวรรค์กันทั้งนั้นครับ ต่างจึงสั่งลูกสั่งหลานให้นำศพไปเผาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้จงได้

    สำหรับคนมีฐานะร่ำรวยนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่คนจนนี่สิครับลำบาก บางคนต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำศพบุพการีไปเผาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ได้
    พอหลังเสร็จงานกลับต้องได้ใช้หนี้กันหัวบาน แต่ก็รู้สึกดีใจที่วิญญาณของพ่อแม่ได้ไปเสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ (เขาเชื่ออย่างนั้น)

    ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ พอมีการตายเกิดขึ้นพวกญาติจึงเตรียมตัวไปทำพิธียังฝั่งน้ำทันที
    ส่วนใหญ่เขาจะมีอยู่สองวิธีคือ

    หนึ่ง เผาริมฝั่งแม่น้ำสายใดก็ได้ที่เชื่อว่าแม่น้ำสายนั้นเป็นสาขาหรือเชื่อมต่อกะแม่น้ำคงคา
    อย่างชาวเนปาลก็มีแม่น้ำบักมาติ ที่ไหลลงไปรวมกะคงคา พี่บังเนปาลจึงไม่ต้องขนศพยักแย่ยักยันมาจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคาแต่อย่างใด แต่เผาที่
    ริมฝั่งแม่น้ำที่ว่านั้นเลย เพราะในไม่ช้ากระแสน้ำก็จะพัดพาเอาเถ้าถ่านไหลลงสู่แม่น้ำคงคาอยู่ดี แบบนี้ก็ได้ไปสวรรค์เหมือนกันครับ
    แถมประหยัดค่าเดินทางอีกด้วย

    แต่บางคนโชคไม่ดีเพราะนอกจากจะยากจนแบบแสนสาหัสแล้ว แม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆก็ดันไม่ไหลไปลงคงคาเสียด้วย!จะทำไงดี?

    เขาก็มีตัวเลือกอีกวิธีหนึ่งครับ นั้นคือเลือกซื้อแม่น้ำคงคาแบบบรรจุขวดมาประพรมศพตอนที่ทำพิธีเผาครับ

    "ซื้อยังไง?"

    ก็ซื้อแบบเป็นขวดๆเหมือนที่ซื้อน้ำมนต์จากที่วัดไงครับ จากนั้นก็เทราดๆลงไปที่ศพตอนเผา เขาก็สามารถส่งดวงวิญญาณไปสวรรค์
    ได้เหมือนกัน แบบนี้เป็นวิธีที่ประหยัดมาก

    ความคิดนี้เข้าท่า เพราะหากแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์จริง กรอกใส่ขวดมาประพรมที่บ้านก็น่าจะได้ไปสวรรค์เหมือนกัน ดังนั้นเมืองแขก
    จึงมีธุรกิจอีกชนิดหนึ่งซึ่งทำเงินได้ไม่น้อยเหมือนกัน นั่นคืออาชีพกรอกแม่น้ำคงคาขาย

    วิธีการก็แสนจะง่ายมาก แค่ล้างขวดให้สะอาดแล้วเดินทางไปที่เมืองพาราณสี จากนั้นก็นำขวดที่เตรียมมากรอกเอาน้ำในแม่น้ำ
    ซึ่งจะเอาเท่าไหรก็ได้ไม่มีใครว่าอะไรเชิญกรอกได้ตามสบายเลย จากนั้นก็บรรทุกเร่ขายไปตามเมืองต่างๆโดยเฉพาะเมืองที่อยู่ห่างไกล
    แบบปิกอัพเร่ขายตามหมู่บ้านในเมืองไทยนี่แหละครับ

    "เอ้า เร่เข้ามา เร่เข้ามา ใครอยากไปสวรรค์กรุณาฟังทางนี้ ตอนนี้เราได้นำแม่น้ำคงคามาจำหน่ายให้ท่านจนถึงบ้านแล้ว ใครต้องการก็
    ออกมาซื้อหากันได้เลยครับ ขวดละรูปีเดียว หมดแล้วหมดเลย คุณพี่คุณน้องที่อยู่ด้านซ้ายด้านขวาด้านหน้าด้านหลัง
    เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว ก็รีบออกมาไวๆครับ รูปีเดียวครับ รูปีเดียว โดยเฉพาะใครที่ญาติกำลังพะงาบๆอยู่ พลาดไม่ได้ครับ!"

    หรือไม่ก็อาจโฆษณาว่า

    "แม่น้ำคงคาครับแม่น้ำคงคา ดื่มรักษาโรค กินรักษาใจ ฯลฯ" ก็ว่ากันไปแล้วแต่ใครจะสำนวนดี

    "แล้วขายได้จริงเหรอ?"

    โอ๊ย...ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจริงๆ โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปเขามักจะซื้อหาติดบ้านเอาไว้เพื่อมีใครเด็สสะมอเร่แบบ
    กะทันหันจะได้ไม่ต้องขลุกขลักครับ

    "น่าไปทำนะ มีปิคอัพก็หากินได้ตลอดปีตลอดชาติ"

    นั่นสิครับประชากรแขกมีเป็นพันล้าน ขายได้สักแค่เปอร์เซนต์เดียวของประชากรก็รวยเละแล้ว ต้นทุนก็ไม่ต้องซื้อหา แม่น้ำสายเบ้อเริ่ม
    มีน้ำเต็มเปี่ยมตลอดทั้งปีจะกรอกเอาไปขายสักกี่แสนกี่ล้านขวดก็ได้ หากขายหมดกลางทางก็กรอกเอาแถวนั้นแหละใครจะรู้ว่าน้ำในขวด
    มาจากที่ไหน

    ขนาดเราคิดได้ แขกก็คงคิดได้เหมือนกันจริงไหมครับ? เพราะฉะนั้นพวกขายน้ำคงคาจึงขายได้เรื่อยๆไม่มีวันหมด เจอน้ำที่ไหน
    ก็กรอกขายมันไปเรื่อย แบบนี้รวยเละลูกเดียวครับ นอกจากดวงวิญญาณผู้ล่วงลับกลับมาต่อว่าลูกหลานนั้นแหละถึงจะรู้ความจริง

    "ทำไม เอ็ง เอาน้ำอะไรมาให้ข้าว๊ะ ดูสิอดขึ้นสวรรค์เลย" ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤศจิกายน 2013
  11. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    มาดูเรื่องทั่วๆไปกันบ้าง

    เมืองแขกนั้นมีแต่ฝุ่นอากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะตามชนบทซึ่งลำบากอย่างแสนสาหัส เผลอๆจอดรถฉี่ข้างทาง
    ก็โดนเสือคาบไปกิน อีกต่างหาก

    "เสือ"

    ใช่ครับ ไม่อยากบอกเลยว่า ในบรรดาประเทศแถบเอเชียด้วยกัน ขณะนี้มีเพียงอินเดียเท่านั้นที่ยังมีสัตว์ป่าหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก
    เนื่องจากเขาอนุรักษ์ไว้ส่วนหนึ่ง แขกเป็นคนใจบุญส่วนหนึ่ง และประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกมังสวิรัติกินแต่ผักแต่หญ้า
    ทำให้ไม่มีใครสนใจล่าสัตว์ป่า เพื่อจะนำมาเปิบพิสดารอย่างบ้านเรา

    เมื่อไม่กินเสียอย่างเดียว สัตว์ต่างๆจึงเหลือเยอะ นกบินกันเป็นฝูงๆเต็มท้องฟ้า(ฝูงหนึ่งเป็นหมื่นๆตัว ไม่ใช่ฝูงละหกเจ็ดตัวเหมือนเมืองไทย)
    งูเยอะแบบสุดๆ โดยเฉพาะงูเห่ามีเลื้อยอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและนอกเมือง นอกเขตเทศบาลมีกวางวิ่งเป็นฝูงๆ แต่ละตัวอ้วนๆทั้งนั้น
    ไม่มีใครคิดฆ่าหรือทำลายสัตว์ป่า ร่วมทั้งป่าไม้ที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์เสือโคร่งจึงมีอย่างชุกชุม ตรงจุดนี้เป็นเรื่องดีมากๆต้องขอยกย่อง

    ข้อเสียคือ ในแต่ละปีมีชาวบ้านถูกเสือกินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกหาของป่ามาขายจะโดนเสืองาบอยู่เป็นประจำ
    ฉะนั้นหากออกนอกเมืองไปหน่อย ก็ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี โอกกาสที่จะได้เผชิญหน้ากะเสือเป็นไปได้สูงครับ!

    สำหรับต้นไม้ใบหญ้านั้นป่าทางด้านตะวันออกของประเทศยังเหลืออยู่มาก โดยทางตอนเหนือเป็นป่าสน ส่วนทางตะวันออกเป็นป่าไม่พุ่ม
    มีต้นไม้ทะเลทรายและไม้ประเภทอะคาเซียแขกเรียกว่าต้น "บาวัน"ด้านล้างของประเทศเป็นป่าฝน ต้นควินินมีเยอะมาก...

    ปรัญญาในการดำเนินชีวิตของพวกเขานั้นเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายครับ เสื้อผ้าซักบ่อยๆแล้วเปลืองผงซักฝอก
    และใช้ได้ไม่ทน ดังนั้นจึงซักที เพื่อความประหยัด

    "มิน่า ถึงได้มีกลิ่นตัวแรง?"

    ความเหม็นเป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนเหม็นกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่งั้นคงไม่สระผมแปรงฟัน อาบน้ำ เมื่อต้นกำเนิดคือความเหม็น
    อาบังเขาเลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องไปปรุงแต่งให้มากเรื่อง พวกอาน้ำเหยาะน้ำหอมน่ะคือพวกดัดจริตพยายามปรุงแต่งให้ผิดธรรมชาติ

    ดังนั้นเราจึงไม่ควรเอาความรู้สึกของเราไปตัดสินว่าดีหรือไม่ดี
    อย่างเช่นเราเห็นแขกเขาไม่ค่อยอาบน้ำ หรือนั่งอึข้างถนนหน้าตาเฉยก็อย่าเพิ่งไปเหมาว่าพวกเขาป่าเถื่อน หน้าด้าน ไร้ยางอาย
    นั้นเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ซึ่งต่างจากบ้านเมืองของเรามาก ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองแขกจึงไม่นิยมสร้างห้องน้ำห้องส้วมกัน!
    ไปบ้านเมืองเขาก็ต้องดูในแง่สุทรีย์ครับ เพื่อจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาน่ารังเกียจ

    [​IMG] [​IMG]

    ใครที่เดินทางไปเยือนอินเดียใหม่ๆคงรู้สึกแปลกใจ ที่เห็นกองอึใหม่ๆมีทั้งแบบแห้งเกรอะกรัง และที่ยังสดๆ
    เรียงรายอยู่ตามข้างถนนยาวไปจนสุดสายตา!

    "แล้วทำไมไม่ไปอึให้ไกลๆหน่อย?"บางท่านอาจสงสัยอย่างนี้

    ขออธิบายว่าแขกเขาเห็นเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ทำไมจะต้องเดินไปไกลให้เสียเวลาด้วยเล่า นอกจากนี้อินเดียมีงูเห่าตามป่าหญ้าเยอะมาก
    หากขยับไกลออกไปจากไหล่ถนนแล้วก็อาจโดนงูฉกเอาได้ ด้วยความปลอดภัยของอวัยวะที่ห้อยอยู่ใกล้ๆ จึงต้องนั่งตรงที่มันโล่งๆไว้ก่อน

    "ถามจริงไม่อายหรือ?"

    หากอายเขาก็คงไม่นั่งครับ

    "ไม่กลัวคนอื่นเหยีบเอาหรือ?"

    ต้องดูกันเอาเอง

    "ไม่กลัวบ้านเมืองสกปรกเหม็นเน่าหรือ?"

    เขามีหมูจรจัดเป็นฝูงๆคอยเก็บกวาดเรื่องนี้อยู่แล้วครับ

    "เห็นบอกว่ามีกองอึใหม่ๆอยู่เยอะแยะ?"

    อ๋อ หมูคงอิ่มกินไม่ไหว

    "ไม่อายชาวต่างประเทศหรือไง?"

    เป็นหน้าที่ของชาวต่างชาติที่จะต้องเข้าใจวัฒนธรรมเอาเอง

    "แล้วเขาก็ขี้กันซึ่งๆหน้าอย่างนั้นเลยหรือ?"

    ครับไม่มีใครอายใคร เพราะต่างคนก็ต่างทำธุระของตน หากเจอคนรู้จักก็ทักทายกันไปตามปกติ!

    "พวกผู้หญิงก็ไม่อาย?"

    เห็นเธอเฉยนี่ครับ

    "ไม่กลัวใครจะดูตรงนั้นเหรอะ"

    อ๋อ ไม่เห็นหรอกครับเพราะผู้หญิงแขกเขานุ่งส่าหรี่ปัตติโค้ททุกคน ลักษณะเป็นกระโปรงบานหูรูดเวลานั่งลงจึงใช้กระโปรงคลุมเป็นสุ่มไก่
    ใครต่อใครไม่มีโอกาสเห็นอะไรทั้งสิ้น อย่างมากก็แค่ได้ยินเสียง แพร่ด หรือปรู๊ด เท่านั้นแหละ ก่อนจะได้เห็นผลงานกองเบ้อเริ่ม
    พร้อมกลิ่นไอกรุ่นๆอีกที เมื่อเธอลุกออกจากที่ตรงนั้นไปแล้ว!

    หากเราอยากพิสูจน์เรื่องความมั่งคั่งร่ำรวยหรือความมีอันจะกินของบุคคลผู้ใดแล้ว ก็ไม่ต้องไปดูที่อื่นใดหรอกครับ ดูที่กองอึนี่แหละ
    ทำนายได้เลยว่าหากถ่ายอึกองโตๆแล้ว แสดงว่ามีฐานะพอสมควรครับ ^_^

    มีเรื่องเล่าขำๆต่อไปอีกว่า คณะทัวร์จากเมืองไทยของเราคณะหนึ่ง เกิดไปปวดอึระหว่างการเดินทาง คุณป้าท่านนี้จึงสั่งให้โชเฟอร์หาทำเล
    เหมาะๆเพื่อปลดทุกข์ รถบัสเมื่อได้ทำเลเหมาะแล้วก็จอดรถ แต่คุณป้าแกคงปวดหนักมากจึงพลีพลามลงจากรถไปโดยไม่ทันได้ฟังคำแนะนำ
    บางอย่างจากไกด์นำเที่ยว คือยังมีทำเนียมอีกอย่างที่เราอาจไม่รู้ นั้นก็คือแขกเขาจะแบ่งฟากถนนกันถ่ายระหว่างผู้ชายกะผู้หญิงครับ

    ประมาณว่าผู้ชายอึอยู่ฝั่งซ้าย ผู้หญิงอึอยู่ฝั่งขวา

    ทีนี้คุณป้าแกคงจะสายตาไม่ดีด้วย เพราะคนมีอายุแล้ว พอได้ที่เหมาะๆแกก็หย่อนก้นลงไปข้างถนนตรงที่มีตอไม้หลบบังไม่ให้ใครเห็น
    เครื่องใน หลังจากถ่ายเสร็จแล้วนั้นแหละถึงได้รู้ความจริงว่า ที่แท้ตอไม้ดำๆที่แกเข้าไปหลบข้างๆนั้น คือหนุ่มอาบังคนหนึ่งกำลังนั่งถ่าย
    ปลดทุกข์อย่างสุขสมอารมณ์หมาย เผอิญว่าพี่บังแกมีรูปร่างสูงใหญ่ คุณป้าจึงมิทันได้สังเกตุครับ

    พี่บังแกก็ช่างเป็นสุภาพบุรุษ นั่งเงียบโดยไม่ไหวติงแสดงพิรุตอะไรให้คุณป้าเห็นเลย คนบนรถต่างลุ้นระทึกอยู่เกรงว่าคุณป้าจะเกิดอันตราย
    แต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    "อั้ย หย๊า!อาบังคนนั้นคงจะเห็นเครื่องในฉันหมดแล้วแน่ๆเลย"

    คุณป้าอุทานด้วยความไม่สบายใจ แกคงจดจำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูกหลานฟังอีกนาน ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤศจิกายน 2013
  12. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    ลุงเล่าเรื่องสนุกจังเลย น่าจะมาเล่าบ่อยๆนะคะ
     
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เพราะพี่บังกลิ่นตัวแรงไปเตะจมูกเสือชวนให้น้ำลายสอ ^_^
     
  14. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    มาดูเมืองหลวงของประเทศกันบ้าง

    เดลลี เมืองหลวงของประเทศอินเดียแบ่งเป็นสองเขตคือ เขตเมืองใหม่หรือ"นิวเดลลี" กับเขตเมืองหลวงเก่า "โอลเดลลี"
    เขตเมืองใหม่กะเขตเมืองเก่าจะมีบรรยากาศแตกต่างกันชัดเจน คือเมืองใหม่จะสะอาดสะอ้านสวยงามมีร่มไม้ชายคา มีสนามหญ้าเขียวๆ
    ให้เห็นไม่มีขยะ ไม่มีวัว ม้า ลา หรือว่าสัตว์เทียมพาหนะใดๆ เนื่องจากเขตนี้ไม่อนุญาติให้พวกรถลากเข้ามาเพ่นพ่าน
    วัวของพระศิวะก็ห้ามเข้ามา

    "ห้ามได้จริงรึ"

    เขาทำรั้วกั้นครับ ถนนทุกสายจะมีจราจร และเจ้าหน้าที่คอยดูแลเมืองนิวเดลลีจึงเป็นเสมือนภาพอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่างจากแขกทั้งหลาย
    คือทุกอย่างดูดี ไม่มีบรรยากาศความมั่วซั้วเหมือนอีกทางด้านหนึ่งซึ่งเรียกว่าโอลเดลลี

    สำหรับเขตเมืองเก่านี้ยังคงสภาพมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลจริงๆ บ้านเมืองจะแน่นขนัด สายไฟระโยงระยาง
    พื้นถนนเปื้อนเปรอะเลอะเทอะแบบสุดๆ ผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนยากจน เรียกว่าเดินตัวแทบจะชนกันเพราะมีประชากรหนาแน่นมาก
    หากมองโดยภาพรวมเดลลีมีประชากรหนาแน่นเท่ากับ 324 คนต่อหนึ่งตารางกิโลเมตร แต่ถ้านับเฉพาะที่โอลเดลลีจริงๆ
    คงต้องว่ากันเป็นพันๆคนต่อพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร!(แน่นจริงๆ)ไม่รู้เขาอยู่กันได้ไง

    เพราะฉะนั้นหากท่านอยากจะเข้ามาดูสีสันของความเป็นแขกจริงๆ ก็ต้องมาดูที่โอลเดลลีเพราะที่นี้คือรสชาติของชีวิต
    ส่วนนิวเดลลีนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาที่ใช้โปรโมทกะชาวต่างประเทศว่า อินเดียก็มีสถานที่สะอาดๆสวยงามเหมือนกัน

    เดลลีเป็นสถานที่เก่าแก่มีฐานะเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรตั้งแต่สมัยโบราณกาลนานมาแล้ว ซึ่งจะมีเมืองเด่นๆอยู่สามเมือง
    ลักษณะตั้งเป็นมุมพื้นที่ที่ไปมาหาสู่กันได้ในระยะไม่ไกลนัก เมืองทั้งสามที่ว่านี้คือ เดลลี อักกร้า และชัยปุระ
    ทั้งสามเปลี่ยนกันเป็นเมืองหลวงไปมา แต่ปัจจุบันความสำคัญอยู่ที่เดลลี อักกร้าจึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว
    เพราะมีป้อมปราการโบราณเยอะแยะ และทัชมาฮาลก็อยู่ที่นี่ด้วย

    ส่วนชัยปุระกลายเป็นเมืองเอกของรัฐราชาสถานไป และถือเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งเพราะมีจุดดึงดูดทางธรรมชาติคือ
    เป็นเมืองที่มีสีชมพูทั้งเมือง(โรแมนติกขนาดเลย)นั้นเพราะหินทรายที่ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆในแถบนี้มันเป็นสีส้มอ่อนๆ
    และเป็นสีชมพูของมันเอง เมืองทั้งเมืองจึงกลายเป็นสีชมพูโดยไม่คาดหมาย ต่อมาจึงใช้ความแปลกนี่เองทำมาหากินกะนักท่องเที่ยว
    ไม่ว่าจะเป็นปราสาทราชวัง ป้อมปราการ ไปจนถึงหลักกิโลเมตร ฯลฯ ล้วนเป็นสีเดียวใกล้เคียงกันหมด ก็ถือว่าแปลกไปอีกแบบ

    เมื่อทั้งสามเมืองมันเกี่ยวข้องกันตลอด เดลลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดตำนานมหาภารตยุทธ ประมาณว่าเขตนี้แต่เดิมเป็นที่พำนักของพวก
    ปัณฑุ ซึ่งตั้งรกรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมนาตั้งแต่สมัยเมื่อพันปีก่อนคริสตกาลซะอีก หมายความว่าผู้คนในย่ายนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ต่อเนื่อง
    กันมายาวนานมาก ถ้าให้เข้าใจง่ายคงต้องเริ่มกันที่ศตวรรษที่11 ตอนที่ราชวงค์ของชาวฮินดูเสื่อมถอยและกลุ่มมุสลิมเริ่มมีอำนาจเข้ามา
    กษัตริย์ปัทกวีราชจูฮาลคือผู้ปกครองชาวฮินดูองค์สุดท้ายซึ่งได้ครองราชอยู่ที่นี่ หลังจากนั้นกองทัพมุสลิมจากอาฟกานิสถาน
    ก็เริ่มไหลบ่าเข้ามาทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ แล้วเข้าโจมตีแย่งเอาดินแดนของชาวฮินดูได้สำเร็จ พร้อมยังสร้างหอสูงไว้เป็นอนุสรณ์
    แห่งความสำเร็จอีกด้วย ฯลฯ

    ดังนั้นที่โอลเดลลีเมืองเก่าจึงเต็มไปด้วยสีสันของชีวิต เพราะผู้คนที่นี่จะมีชีวิตแบบธรรมชาติที่สุด ใครอยากรู้ว่าชีวิตแขกเป็นอย่างไร
    ก็ให้มาดูที่ฝั่งนี้ได้เลย แล้วท่านจะพบความจริงที่น่าทึ่งมาก!เพียงแค่ผ่านซุ้มประตูจากด้านนิวเดลลีเข้ามาเท่านั้น ท่านก็จะพบว่าอินเดีย
    มีประชากรมากอย่าที่เขาว่าจริงๆ เพราะขนาดเวลาบ่ายแดดร้อนเปรี้ยงๆอย่างนี้ พี่บังแกยังออกมาเดินเพ่นพ่านโดยไม่รู้ว่า
    จะไปไหนกันนักหนานี่ถือว่าเป็นช่วงที่คนน้อยสุดแล้วนะครับ เพราะตอนบ่ายผู้คนส่วนหนึ่งงีบนอนเอาแรงที่บ้าน
    ที่เหลือบนท้องถนนจึงเป็นส่วนน้อย แต่ถึงกระนั้นพี่แกก็ยังเดินกันให้พล่านจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

    [​IMG]

    หากอยากเห็นว่าประชากรอินเดียมีมากจริงก็ต้องมาดูตอนเย็นครับ พอหลังเลิกงานความร้อนของอากาศเริ่มลดลง บรรดาอาบัง
    และน้องหนูทั้งหลายจึงออกมาเดินบนถนนกันให้ขวักไขว่เพื่อผ่อนคลาย ออกกำลังกายจับจ่ายใช้สอย และออกมาเดินอวดตัวให้พระเจ้าดู!

    "เดินให้พระเจ้าดู!แบบนี้ก็มีด้วยรึ?"

    จริงๆครับคนแขกเค้าเคารพและศรัทธาในพระเจ้าของตนสูงมาก นอกจากจะเซ่นไหว้บูชาอย่างดีแล้ว พวกอาบังทั้งหลายยังแสดงให้เห็นว่า
    ตนเป็นคนดีเพื่อพระเจ้าจะได้โปรดปรานและประทานพรให้ โดยการออกมาเดินโชว์ตัวให้พระเจ้าเห็นในตอนเย็นหลังเสร็จสิ้นภารกิจต่างๆแล้ว
    เพราะการเดินโชว์ตัวคือการแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ของตนว่า วันนี้ไม่ได้ทำความชั่วหรือทำความผิดอะไรจึงไม่จำเป็นต้องหลบหน้า
    พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในเวลาแดดร่มลมตกก็จะแต่งตัวอุ้มลูกจูงหลานกันออกมาเดินตามถนนหนทางกันให้คึกครึ้น
    อีทีนี้การจราจรจึงเลวร้ายมาก เพราะนอกจากจะมีรถราวิ่งกันมากมายแล้ว ยังมีวัวควายผสมปนเปกับฝูงชนที่ออกมาเดินกันให้เกร่อ
    เต็มไปหมดจนแทบขยับตัวไม่ได้เลย แต่ละคนก็เดินมันกลางถนนนี้แหละมีหลบที่ไหนกัน

    "แล้วรถราไม่ชนเอาเหรอ"

    ไม่รู้จะชนยังไง เพราะรถแทบขยับไม่ได้ต้องค่อยๆไหลไปกับฝูงชนที่เดินเต็มท้องถนนไปหมด ดูเป็นคลื่นมนุษย์ค่อยๆไหลลื่นกลมกลืนไป
    กับท้องถนนทุกเย็นและเป็นอย่างนี้แทบทุกเมือง ใครไปอินเดียแล้วเห็นผู้คนเดินกันเต็มถนนก็ไม่ต้องแปลกใจ
    อย่านึกว่าเขาจะพากันเดินขบวนไปประท้วงที่ไหน นั้นเขาออกมาเดินโชว์ตัวให้พระเจ้าดูกันครับ!

    "คิดได้ไงเนี่ย!"

    จริงๆแล้วตำนานในตอนแรกคงเป็นกุศโลบายให้ออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ และออกกำลังกายมากกว่า ประมาณว่าคนที่ชักชวนกลัวว่า
    ชาวบ้านจะไม่ยอมออกมาเดินเป็นเพื่อน ก็เลยเอาพระเจ้ามาอ้าง ปรากฎว่าได้ผล ตอนนี้เลยกลายเป็นประเพณีไป
    ที่ผู้คนจะต้องออกมาเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถทุกเย็นจนเต็มถนน และแทนที่จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า
    มีแต่ฝุ่นฟุ้งตลบไปหมดแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันสูดอย่างนั้นแหละครับ

    ส่วนดีคือได้ผ่อนคลาย ได้พบปะสนทนาทักทายเพื่อนบ้านและคนรู้จักนอกจากนี้ยังได้ชอบปิ้งด้วย เพราะบรรดาพ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย
    รู้ว่าตอนเย็นๆมีชาวบ้านออกมาเดินกันขวักไขว่จึงถือโอกาสนำสินค้าออกมาตั้งขายข้างทาง จนบางเมืองกลายเป็นตลาดนัดตอนเย็นไปก็มีครับ
    ช่วงนี้สีสันของชีวิตจะเด่นมากทั้งวัวทั้งคนเดินปะปนเต็มไปหมด บางเมืองถึงขั้นเบียดเสียดยัดเยียดกันก็มี

    อย่างเมืองอาบีอาบัด ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศจะมีการออกมาเดินโชว์ตัวที่ถนนสายยาวกลางเมือง จนคลาคล่ำไปทั้งสายในเวลาเย็นๆ
    วันรุ่นหนุ่มสาวก็ได้พบปะเบียดเสียดกัน มีความสุขไปอีกแบบ

    "พวกล้วงกระเป๋าก็สบายไปเลยน่ะสิ คนแน่นๆอย่างนี้พวกมิจฉาชีพคงล้วงกระเป๋าได้อย่างสบายๆ"

    เสียใจครับ แขกไม่ชอบพกเงินติดตัวถึงล้วงลงไปก็ไม่เจออะไรอยู่ดี!

    "อ้าวเป็นไหง๋เป็นงั้น?"

    ครับ แขกจะพกเงินเท่าที่จำเป็นและรักษาเงินอย่างรอบคอบมาก โอกาสที่จะพบเงินตกหล่นอยู่ตามท้องถนนจึงแทบไม่มีเลย
    นอกจากนี้ต่างคนก็ต่างยากจน จึงคาดว่าต่างคนคงไม่อยากล้วงกระเป๋าใคร

    สรุปว่าชาวอินเดียชอบออกมาเดินกันตอนเย็นๆ ช่วงบ่ายๆจะงีบนอนอยู่ในบ้านเรือนหรือในที่ทำงานตามสไตล์ของเขา
    แต่ที่โอลเดลลีไม่ยักกะเป็นอย่างนั้น ที่นี่มีผู้คนเดินพลุกพล่านตลอดทั้งวันโดยเฉพาะหน้าสถานที่สำคัญ
    ไม่ว่าจะเป็นทางศาสนาหรือสถานที่ราชการก็ยิ่งเป็นที่มีผู้คนออกมาเดินพลุกพล่านกันมากที่สุด พอมีคนก็มีพ่อค้าแม่ขายตามมาด้วย

    อย่างบริเวณหน้าสถานที่ราชการแห่งหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อตลาดหน้าป้อมแดง ที่นี้เปรียบได้กะจตุจักรบ้านเราเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
    และมีสินค้าสารพัดอย่างบรรดามีที่มีอยู่ในโลกนี้ถูกนำมารวมไว้ในที่แห่งเดียว! บางคนจึงเรียกว่าตลาดสารพัดนึก
    เพราะมิว่าท่านจะต้องการอะไรก็จะมีให้เลือกซื้อได้สมปรารถนาเสมอ สิ้นค้ามีทั้งเก่าและใหม่ให้เลือกราคาถูกมาก บางทีตลาดอื่นขายร้อยรูปี
    แต่ที่นี่ขายยี่สิบรูปีเท่านั้นเอง

    "ของปลอมละเซ่"

    ของแท้ครับ

    "แล้วขายได้ไง ไม่ขาดทุนเหรอ"

    ไม่ เพราะเขาลงทุนต่ำกว่าตลาดอื่น

    "ทำไง?"

    ไปขโมยมาขาย หรือไม่ก็รับซื้อของโจรมา

    "อ๋อ...ตลาดของเถื่อน"

    ก็ไม่ถึงกับเถื่อนทั้งหมด เพราะสินค้าบางตัวก็ถูกต้องตามกฎหมาย ประมาณว่ามีสินค้าทุกรูปแบบในตลาดแห่งนี้ พวกของใหม่ส่วนใหญ่
    จะเป็นของที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ก็มีบางส่วนที่ขโมยมาแบบแกะกล่อง สังเกตุดูหากพ่อค้าแต่งกายโทรมๆแล้วมีสินค้าใหม่แกะกล่อง
    วางอยู่แค่กล่องสองกล่องละก็ สัณนิษฐานได้เลยว่านั่นแหละของขโมยมา

    ส่วนของมือสองทั้งหมดคิดเป็นร้อยละเก้าสิบเปอร์เซนต์เป็นของที่ขโมยมา!

    ของอะไรที่บ้านหายไปก็ลองมาเดินดูที่นี่ บางทีท่านอาจพบของของท่านก็ได้ ถ้าเสียดายก็ซื้อกลับไปใช้อีกที

    "แล้วตำรวจว่าไง?"

    ไม่ว่าอะไร หากไม่มีการแจ้งอย่างเอาจริงเอาจังแล้วตำรวจก็เฉยๆบางคนชอบมาหาซื้อของที่ตลาดนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะถูกและได้ของดี
    ส่วนจะมีเจ้าทุกข์มาเยี่ยมตอนหลังหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

    ความจริงสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์อาชญากรรมที่น่ากลัว แต่ทางการกลับมิได้เอาจริงเอาจังแต่อย่างใด
    ชาวบ้านยังคงค้าขายได้อย่างอิสระทั้งๆที่รู้ว่าเป็นของขโมยมา นอกจากนี้ยังมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะเมื่อมีสินค้าขโมย
    มาขายได้ ยาเสพติดก็ย่อมจะขายได้ด้วย แล้วก็เสพกันแบบจะจะสบายๆนี่แหละครับ

    ส่วนหนึ่งคงมากจากระบบของทางรัฐบาลที่ไม่เอาจริงเอาจังไม่เด็ดขาด หรืออีกประเด็นหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ประชากรของเขามากมายจนสุด
    ที่จะดูแลได้ทั่วถึงจึงมีรอดหูรอดตาไปบ้าง ตกลงพ่อค้าแม่ขายก็ขายไป ส่วนพวกเสพยาก็เสพกันไป ประเทศนี้ต่อให้มีคนตาย
    สักร้อยสองร้อยล้านคนยังเฉยๆอยู่เลย!ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันแบบไม่มีคุณภาพอะไร

    มาดูสินค้ากันบ้าง

    เสื้อผ้าดูจะมีเยอะที่สุดราคาไม่แพงนัก ตรงนี้ถือเป็นข้อดีสำหรับชาวบ้านที่ยากจนเพราะสามารถซื้อหามานุ่งห่มได้ ถือว่าเข้าท่าอยู่ไม่น้อย
    ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราท่านแล้วคงไม่มีใครสนใจเรื่องเสื้อผ้าพวกนี้ ส่วนมากที่เห็นฝรั่งเดินๆปะปนกะพวกแขกอยู่นั้นเขาจะหาซื้อ
    สินค้าพื้นเมืองหรือไม่ก็ของเก่าโบราณ(วัตถุโบราณ)และของแปลกๆ เพื่อนำไปประดับบ้านหรือขายต่อ อย่างเทวรูปโบราณ ตะเกียงเก่าๆ
    สมัยเปอร์เซียซึ่งไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ในตลาดแห่งนี้ยังมีการวางขายกันอยู่ และราคาก็มิได้แพงอะไรเพราะชาวบ้านไม่รู้คุณค่า
    พอฝรั่งซื้อมาแล้วก็นำไปขายต่อในราคาวัตถุโบราณได้กำไรมหาศาลไปเลย!
    (มาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าใครมีความคิดอะไรดีๆบ้างหรือเปล่า ฮิฮิฮิ...)

    นอกจากเสื้อผ้าแล้วสินค้าที่ถือว่าขายดีและขายได้เรื่อยๆแบบไม่รู้จักจบสิ้นคือ เครื่องประดับ ประเภทสร้อย กำไล แหวน กิ๊บหนีบผม ฯลฯ
    ของพวกนี้เป็นสินค้าราคาถูกๆ ทำจากโลหะบ้าง พลาสติกบ้าง วิธีทำก็ง่ายๆเน้นสีสันให้ดูแสบสะดุดตาไว้ก่อน สินค้าจำพวกนี้จะขายดีมาก
    เนื่องจากแขกเขาจะชอบแต่งตัวเป็นลิเกกันทุกคนอยู่แล้ว คือมีอะไรก็โปะๆเข้าไปให้มันดูแพรวพราวไว้ก่อน ส่วนจะสวยหรือไม่ค่อยว่ากันทีหลัง

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    อยากแต่งตัวแบบอะร้าอร่าม แต่ตังค์ไม่ค่อยมีคนพวกนี้จึงต้องใช้ของพื้นเมืองราคาถูกมาประดับกาย อย่างสร้อยก็จะใช้เหล็กหรือตะกั่ว
    ชุบทองสีสดใส แล้วก็ใส่กันไปคนละห้าหกเส้นเต็มคอเลื่อมพรายไปทั่วร่าง โดยเฉพาะพวกผู้หญิงนั้นจะแต่งกันแบบสุดๆหลุดโลกไปเลย
    คือจะพยายามใส่สร้อยและกำไลในทุกส่วนของร่างกายที่สามารถจะห้อยได้ เริ่มจากสร้อยศีรษะใส่รอบหัวแล้วยังไม่พอต้องให้ล๊อกเกต
    หย่อนลงมาตรงหน้าผากพอดี อ่า...แบบนี้ก็สวยเธอละ

    ต่อมาเป็นสร้อยจมูก ผู้หญิงแขกส่วนใหญ่จะเจาะข้างจมูกแล้วร้อยด้วยสร้อยโยงไปหาใบหู หรือถ้าจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ใช้แหวนห่วงจมูก
    เกี่ยวไว้เหมือนกะใส่ต่างหู นี่เป็นต่างจมูกก็ดูเก๋ไปอีกแบบ เมื่อมีต่างจมูกก็ต้องมีต่างหู ซึ่งน้องหนูเธอเจาะคนละหลายรูมาก ไอ้ที่เจาะต่างหู
    แค่รูเดียวน่ะมันเด็กๆ หากจะเอาแบบเต็มยศต้องเจาะใบหูเป็นแถวข้างละสี่ห้ารู และทุกรูจะใส่ต่างหูเรียงกันเป็นตับให้แพรวพราวกันไปเลย

    แค่นั้นยังไม่สะใจ ที่คอเธอยังจะใส่สร้อยคอ จี้ มรกต (ปลอม)ไม่ต่ำกว่าสามเส้นทั้งสั้นยาว แล้วจึงมาถึงสะดือที่เจาะหลายรูเช่นกัน จากนั้น
    ก็ร้อยด้วยทองปลอมโยงไปหาเอว หรือใครจะใส่ห่วงแบบแหวนก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ไอ้ที่เด็กวัยรุ่นฝรั่งและไทยใส่ห่วงสะดือเป็นแฟชั่น
    ฮิตอยู่ทุกวันนี้ล้วนลอกแบบมาจากแขกทั้งนั้นครับ เพราะสาวๆที่โน่นเธอเจาะสะดือมานานเป็นพันๆปีแล้ว

    สำหรับเอวก็คาดด้วยสร้อยเส้นใหญ่ใส่ทับตรงหัวกระโปรงเอาไว้ก่อนคาดด้วยผ้าส่าหรี นอกจากนี้จะต้องมีพวงกุญแจแขวนอยู่ข้างเอว
    ด้วยต่างหาก พวงกุญแจก็ถือเป็นแฟชั่นอีกอย่างหนึ่งด้วยครับ เขาจะออกแบบเป็นระย้อยระย้าสวยมาก ตรงปลายระย้าจะมีห่วงเล็กๆ
    สำหรับแขวนลูกกุญแจ ใครมีกุญแจน้อยลูกก็เลือกซื้อแบบระย้าน้อยหน่อย ส่วนใครที่เป็นแม่บ้าน ต้องรับผิดชอบห้องหับต่างๆมากมาย
    ก็ใช้ประเภทแบบหลายระย้าจนดูเป็นพวงขนาดใหญ่ แต่งให้งามอลังการแบบสุดๆไปเลยครับ...^_^
     
  15. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,061
    เพื่อนร่วมงานที่เคยไปอินเดีย เขามาเล่าให้ฟังว่า เคยเจอวัวที่สนามบินด้วยค่ะ

    ส่วนที่เพ่นพ่านตามถนน นี่ปกติเลย

    และก็ นอกจากจะการจราจรติดขัดแล้วเขา รถยังกดแตรแป๊นๆ จนแยกไม่ออกว่าเสียงมาจากรถคันไหนด้วยค่ะ
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    นั้นเป็นกลิ่นไอมนต์เสน่ห์ของอินเดียคะคุณมากิ ต้อลองดูหนังบอลลิวู้ดส์ทำเอาดิฉันอยากไปเกิดอยู่อินเดียเลยคะ
     
  17. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301



    แฟชั่นอินเดียมีหลายเกรดคะ ถ้าแบบที่ว่านั้นแบบคนตามตจวใส่ ถ้าเกรดดีๆใช้ผ้า แฮนเมดด์ และ ปัก มือ มีการทอลวดลาย ผ้าอินเดียนี้กินขาดทุกชาติ คะ ไหมมูการ์ของอินเดียทั้งสีทั้ง เนื้อผ้าก็เนี้ยบพัฒนากว่าไทยมาก ผ้าไหมไทยแข็งกระดก แต่ไหมอินเดียนี้นิ่มเบาลื่น แบบ ผ้าซาตินเลยคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2013
  18. chanin

    chanin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,332
    เพื่อไปอินเดีย เมื่อเดือนมกราคม 2557 ไปนมัสการปูชนียสถาน 4 แห่ง เช้าไปนมัสการเสร็จ บ่ายต้องเดินทางอีก 5 ชั่วโมง ถึงแปดชั่วโมง กลับถึงโรงแรมก็ดึก เจอไปหลายวัน แต่ยังดีที่ได้ไปยังประเทศที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และนิพพาน
     
  19. Paranormal Lady

    Paranormal Lady Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +52
    สงสัย ว่า ในกรณี มุสลิมที่ศาสนาบัญญัติให้มีเมียได้
    มากคนถ้ามีกำลังทรัพย์ และสามารถยกเป็นภรรยาได้หมดทุกคน
    และภรรยาแรก อนุญาต อย่างนี้จะบาปไหม เพราะในโกหร่านบอกว่า
    ภรรยาที่อนุญาตให้สามีมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งจะได้บุญ หรือ มีอิหม่านสูง
     
  20. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    เพื่อนคุณมากิ เล่าให้ฟัง เหมือนที่เพื่อนเรา เล่าให้เราฟังเลยค่ะ แต่เพื่อนเราเปรียบไปซะว่าวัวที่เดินบนถนนของเขา เหมือนน้องหมาที่เดินตามถนนบ้านเรา ยังไงยังงั้นค่ะ อิตาเพื่อนยังบอกอีกว่า หมอฟันเยอะค่ะ ตอนแรกเราก็งงนะคะ เขาบอกว่าหมอฟัน(ไม่รู้มีใบอนุญาติหรือป่าว) ทำฟันให้บนถนน เกาะกลางถนนก็มีค่ะ ฟันปลอมขายก็เยอะแถมปูผ้าขายกันตรงนั้นอีกด้วยค่ะ ฟังเพื่อนเล่าเลยไม่ค่อยกล้าไปค่ะ แต่อีกใจก็อยากไปค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...