ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]

    14 พ.ย. ไต้หวันระทึก สั่งหน่วยงานฯเตรียมพร้อมรับมือหวัดนกระบาด หลังพบ"มีผู้ติดเชื้อ"อีกรอบ

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ว่า นักวิจัยไต้หวันได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะไข้หวัดนกระบาด หลังมีการพบการติดเชื้อในมนุษย์รอบใหม่

    รายงานระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังพบว่า มีผู้ป่วยวัย 20 ปีมีอาการติดเชื้อโดยระดับเชื้อต่ำ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงที่เชื้ออาจเกิดการรวมตัวกับไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น และหน่วยงานไต้หวันจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกที่ซับซ้อนและไม่อาจทำนายได้

    ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยงานศูนย์ควบคุมโลก ระบุว่า เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา หญิงรายหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีอาการไข้ขึ้น ไอ และหายใจลำบาก โดยหญิงรายนี้ทำงานเป็นพนักงาน และไม่เคยติดต่อกับสัตว์ปีกหรือเนื้อดิบ และไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศในช่วง 3 เดือนก่อนการติดเชื้อ และจากการตรวจสอบยีนของไวรัสดังกล่าวพบว่าเป็นเชื้อ H6N1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของไข้หวัดนก เป็นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่มีอยู่ในหลายประเทศ และยังเป็นสายพันธุ์เก่าที่เกิดขึ้นในไต้หวันเมื่อ 40 ปีก่อน

    ไต้หวันระทึก สั่งหน่วยงานฯเตรียมพร้อมรับมือหวัดนกระบาด หลังพบ"มีผู้ติดเชื้อ"อีกรอบ : มติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.2 KB
      เปิดดู:
      885
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    4 ชั่วโมงที่แล้ว · แก้ไขแล้ว

    [​IMG]
    (ประชุมในประเทศไทยด้วย สุดยอด )

    14 พ.ย. เราจะกลับไป “ดาวอังคาร” ไหม ถ้าชีวิตบนโลกกำเนิดจากที่นั่น?

    เป็นครั้งแรกคณะกรรมาธิการว่าด้วยการวิจัยด้านอวกาศหรือ คอสปาร์ (COSPAR) ที่จัดการประชุมย่อยที่เรียกว่า การประชุม COSPAR Symposium ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานดังกล่าวระหว่าง 11-15 พ.ย.56 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว โดยเนื้อหาหลักที่นำเสนอในการประชุมดังกล่าวคือเรื่องดาวเคราะห์และดาวเคราะห์นอกระบบ

    ระหว่างการประชุมดังกล่าว ศ.จิโอวานนี บิกนามิ (Giovanni Bignami) ประธานคอสปาร์ได้เปิดประเด็นว่าแท้จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกอาจมีกำเนิดมาจากดาวเคราะห์เพื่อนบ้านอย่างดาวอังคาร แต่เราไม่ได้มาในเยือนโลกในรูปของสิ่งชีวิตที่ท่องยานอวกาศมา แต่มาในรูปของสารอินทรีย์และน้ำที่มาพร้อมกับอุกกาบาตจากดาวอังคารในช่วงกำเนิดโลกใหม่ๆ และกว่า 50% ของน้ำในมหาสมุทรนั้นมาจากดาวหางที่พุ่งชนโลก

    ศ.บิกนามิเล่าว่า เมื่อ 100 กว่าปีก่อนเราเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่บนดาวอังคาร อีกทั้งเมื่อนักดาราศาสตร์อิตาลีส่องกล้องโทรทรรศน์ขึ้นไปบนดาวอังคาร แล้วพบโครงสร้างคล้ายคลอง เขาได้เรียกโครงสร้างดังกล่าวในภาษาอิตาลีว่า canali ซึ่งเมื่อเป็นภาษาอังกฤษจะได้ทั้งความหมายว่าคลองธรรมชาติ และคลองขุด จนนำไปสู่การนำเสนอข่าวผิดของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส แต่ตอนนี้เราได้ส่งยานไปสำรวจอังคารและไม่พบสิ่งมีชีวิต

    เราควรจะกลับไปเยือนถิ่นเดิมของเราไหม? เป็นคำถามที่ ศ.บิกนามิ นักดาราศาสตร์อิตาลี ผู้เขียนหนังสือ “We are the Martians” ดังคำถามแก่ผู้ฟัง เขาบอกถึงโครงการน่าสนใจจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ที่พบว่าเราสามารถปลูกหน่อไม้ฝรั่งบนดาวอังคารได้ แต่ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้ถามกลับไปว่า หากเราจะกลับไปดาวอังคารแล้วเราจะไปทำอะไรที่นั่น?

    เราไม่ได้คำตอบตรงๆ จากประธานคอสปาร์ แต่ได้ตัวอย่างเปรียบเทียบกับกรณีของนักไต่เขาผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นคนแรก และเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด สื่อมวลชนตั้งคำถามเขาว่าทำไมจึงไต่เขาเอเวอเรสต์ที่เสี่ยงอันตรายมาก ซึ่งเขาได้ตอบว่า “เพราะมันอยู่ตรงนั้น”

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32 KB
      เปิดดู:
      669
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    3 ชั่วโมงที่แล้ว
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    13 พ.ย. “ปูติน” เผยรัสเซียหนุนสองเกาหลีรวมชาติ ย้ำ “เปียงยาง-โซล” ต้องยึดมั่นการเจรจาอย่างสันติ

    ผู้นำรัสเซีย วัย 61 ปี เปิดใจให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์เคบีเอสของเกาหลีใต้ ที่กรุงมอสโก ในคืนวันอังคาร (12) ก่อนที่ปูตินจะออกเดินทางเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ โดยระบุ รัสเซียสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความปรารถนาในการรวมชาติของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ แต่รัสเซียเห็นว่าการวมชาติจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทั้งรัฐบาลเปียงยางและโซลยึดมั่นในกระบวนการเจรจากันอย่างสันติและคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของสองเกาหลี

    ประธานาธิบดีปูตินยังระบุ การรวมกันของสองเกาหลีจะก่อให้เกิดผลในเชิงบวกต่อเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมย้ำว่ารัสเซียยินดีจะทำหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกระบวนการรวมชาติของทั้งสองประเทศที่ยังคงมีฐานะเป็นคู่สงครามต่อกันในทางเทคนิค จากการที่ไม่เคยมีการทำสนธิสัญญาสงบศึกกันอย่างเป็นทางการหลัง “สงครามเกาหลี” ยุติลงในปี ค.ศ. 1953

    ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินย้ำว่า รัฐบาลมอสโกยังคงมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์เปียงยาง และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ หากเกาหลีเหนือมีความประสงค์จะหวนคืนสู่เวทีการเจรจา 6 ฝ่ายว่าด้วยการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออีกครั้ง หลังการเจรจาดังกล่าวระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้หยุดชะงักลงไปตั้งแต่เมื่อปลายปี 2008

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.1.jpg
      1.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.8 KB
      เปิดดู:
      740
    • 1.2.jpg
      1.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.2 KB
      เปิดดู:
      781
    • 1.3.jpg
      1.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.6 KB
      เปิดดู:
      738
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตือนภัย พิบัติโลก
    51 วินาทีที่แล้ว
    14\11\2013 ลมสุริยะที่ไหลเวียนจากหลุมนี้เข้าปะทะ Earth เมื่อ 16-17 พฤศจิกายนนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    จุดดับบนดวงอาทิตย์มีมากขึ้น จุดดับบนดวงอาทิตย์ AR1890 มี 'เบต้าแกมมาเดลต้า' สนามแม่เหล็กที่สถิตพลังงาน อาจปะทุชั้น x ได้จุดดับบนดวงอาทิตย์ AR1897 มีสนามแม่เหล็ก 'เบต้าแกมมา' อาจปะทุชั้นM-class
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      727
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.4 KB
      เปิดดู:
      1,026
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Piyacheep S.Vatcharobol
    18 ชั่วโมงที่แล้ว
    ตามที่ขอมานะครับ สรุปการบรรยายพิบัติภัยฉบับย่อ
    สรุปตัวตนการทำงานฉบับย่อ

    แต่ทั้งหลายทั้งมวล
    ท่านต้องไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับ

    ๑๓๑๑๕๖ บรรยาพิบัติภัย ตอนที่ ๑/๓

    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/g4LKjTSgyXE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ๑๓๑๑๕๖ บรรยาพิบัติภัย ตอนที่ ๒/๓
    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/Gfzdp5ugdYQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ๑๓๑๑๕๖ บรรยาพิบัติภัย ตอนที่ ๓/๓

    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/Vz9nH1c2Qm0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. สิบหก

    สิบหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    680
    ค่าพลัง:
    +603
    เมฆม้วนไม่เคยเห็น ธูป เทียน มาไวไวเลย จุดๆ แป้งๆ ด้วยเร็วเลย ....
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In & Outside World
    2 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]

    ภูเขาน้ำแข็ง ขนาดยักษ์ ที่ขั้วโลกใต้ ได้แตกมาก
    นักวิทย์ เตือนการเดินเรือ อาจมี อันตราย
    และมีผลกระทบ อื่นๆ ตามมา..

    Giant Antarctic iceberg ‘could pose hazard to shipping lanes’, scientists warn

    A team of British investigators have been given an emergency grant to track the Singapore-sized ice mass

    A giant Antarctic iceberg has broken free of the continent and could be about to drift into busy international shipping lanes, a team of British scientists has warned.

    The Government has awarded experts with an emergency grant of £50,000 to fund a six-month project in which they will try to track the progress of the ice and predict its movements.

    The University of Sheffield’s Professor Grant Bigg, a leading authority on modelling the dynamics of icebergs, is heading up the investigation that will simulate the route to be taken by the 700 square kilometres (270 square miles) of ice – around eight times the size of Manhattan or the equivalent of Singapore.

    The iceberg has broken away from the Pine Island Glacier (PIG), part of the Western Antarctic ice sheet.

    Prof Bigg said the crack hadn’t been enough in itself to allow the berg to break away over winter because it had stayed “iced-in”.

    “But in the last couple of days, it has begun to break away and now a kilometre or two of clear water has developed between it and the glacier,” he told BBC News.

    “It often takes a while for bergs from this area to get out of Pine Island Bay but once they do that they can either go eastwards along the coast or they can… circle out into the main part of the Southern Ocean.”

    If that happens, the scientist said, there could be a danger to ships. Prof Biggs said a previous iceberg in the area had been tracked going through the Drake Passage, a gap between Cape Horn at the bottom of South America and Antarctica’s South Shetland Islands.

    This would take it into the path of one of the world’s busiest international shipping lanes, and trigger hazard warnings via a number of observation agencies.

    A crack in the massive PIG ice sheet was first noticed by NASA scientists in October 2011. It was then only a partial fissure of around 80 metres (260 feet) wide.

    Giant Antarctic iceberg ‘could pose hazard to shipping lanes’, scientists warn - Environment - The Independent
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.3 KB
      เปิดดู:
      783
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In & Outside World
    2 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]

    พบฟอสซิล 3,500,000,000 ปี อายุเก่าแก่ที่สุด
    พบเศษของชีวิตนี้ในหินทรายหินในภาคตะวันตกของออสเตรเลีย

    3.5 billion-year-old fossil found
    Thursday 14th November 2013, 4:00AM GMT.

    What may be the oldest complete fossil on Earth paints a smelly but colorful picture of our microbial ancestors from nearly 3.5 billion years ago.

    The fossil is the remains of what once was a purple-and-green slimy, smelly mat of single cell microbes that worked, lived and even communicated in what is a lot like a prehistoric microscopic society.

    Nora Noffke of Old Dominion University in the US found the remnants of this life in sandstone rock in western Australia.

    This is likely an ancestor of ours, researchers said.

    This tiny fossilized mat, about one-third of an inch thick, would be about 300 million years older than previous complete ancient fossils and about the same age as less complete and still debatable fossils, said study co-author Robert Hazen, a mineralogist at the Carnegie Institution of Science in Washington.

    He said life on the mat probably had turned sunlight into energy, but probably producing “horribly smelly” sulfur instead of oxygen.

    The research was published online last week in the journal Astrobiology.

    Nasa astrobiologist Abigail Allwood, who found slightly younger fossils a few years ago, said it is challenging to prove the fossil contained life. But Mr Hazen said they used dozens of criteria to show that the microscopic features fit with what science knows about ancient life.

    If you had walked the Australian beaches of 3.5 billion years ago, you would see this “slimy mass of purple or brown fibres emitting this stench of sulfur compounds but living very happily,” Mr Hazen said.

    “This is not a place you would want to go to on your summer vacation.”

    3.5 billion-year-old fossil found « This Is Guernsey
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.3 KB
      เปิดดู:
      795
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พุฒิพงศ์ ก้อนวิมล
    [​IMG]

    เม็ดฝนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยตกลงถึงผิวโลกนั้น ตกที่ ประเทศบราซิล และ เกาะมาร์แชล ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีขนาดใหญ่ถึง 20 มิลลิเมตร ขนาดใหญ่ของเม็ดฝนนี้เนื่องมาจากละอองน้ำในอากาศที่มีขนาดใหญ่ หรือ จากการรวมตัวกันของเม็ดฝนหลายเม็ด เนื่องมาจากความหนาแน่นฝนที่ตกลงมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49 KB
      เปิดดู:
      1,747
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ
    6 พฤศจิกายน เวลา 16:00 น.
    ทรมาน มัด ฆ่า ( killer ฆาตกรโรคจิต
    ................
    แอดมิน Jesus Apple
    ................

    (ขอลงให้อ่านชั่วคราวครับ เนื่องจากตอนนี้ติดเกม PAYDAY (ยังไม่เลิกอีก) ตอนนี้ขาดประวัติฆาตกร ขอเวลาหน่อยนะครับ

    "...โอ...แอนนา ทำไมเธอไม่ปรากฏกาย
    ท่ามกลางความโดดเดี่ยว
    ขณะนี้ในห้วงเวลาอื่น ฉันทอดกายลงบนกองเสื้อผ้าแสนหวาน
    ข้ามผ่านความคิดคำนึง
    บนเตียงแห่งทุ่งหญ้าของฤดูใบไม้ผลิ ก่อนแสงอาทิตย์จะมาเยือน..."
    เห็นขึ้นเรื่องมาด้วยบทกวีหวานๆอย่างนี้ หลายท่านอาจจะคิดว่า เรากำลังจะว่ากันด้วยเรื่องของความรัก
    เข้าใจผิดแล้วล่ะ
    บทกวีที่เขียนถึงแอนนานี้ เป็นผลงานของฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง ฆาตกรต่อเนื่องที่ขึ้นชื่อในความสุนทรีย์แห่งฆาตกรรม และสาวเจ้าแอนนาผู้ปรากฏชื่อในบทกวีนี้ เป็นหนึ่งใน (ว่าที่) เหยื่อ แต่เป็นเหยื่อผู้โชคดี เพราะแม้ฆาตกรต่อเนื่องผู้วิปริตจะเฝ้ารอเธออยู่เป็นเวลานาน แต่แอนนา วิลเลียมส์ ก็กลับบ้านผิดเวลา ทำให้รอดตายไปหวุดหวิด จนผู้ซุ่มรออยู่หลายชั่วโมง หงุดหงิดต้องระบายออกมาเป็นบทกวียาวเหยียด ที่เชื่อว่าแอนนาคงไม่อยากอ่าน!


    Dennis Rader (1945 ~ )

    ฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้ มีฉายาที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงการอาชญากรรมว่าบีทีเค (B.T.K.) ซึ่งย่อมาจาก ผูก ทรมาน และฆ่า (bind, torture and kill) ซึ่งเป็นชื่อที่ตัวฆาตกรให้ฉายากับตัวเอง เหตุการณ์เขย่าขวัญนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 15 มกราคม 1974 วิจิต้า รัฐแคนซัส ครอบครัวโอเทโร่ซึ่งประกอบด้วยโจเซAผู้พ่อ จูเลียซึ่งเป็นแม่ และเด็กๆสองคน โจเซฟีน 11 ขวบกับดานิเอล 9 ขวบ ถูกฆ่ารัดคอที่บ้านของพวกเขาเอง (ที่จริงบ้าOโอเทโร่มีลูก 5 คน แต่อีก 3 คนไม่อยู่บ้านเลยรอดตัวไป)ศพถูกพบในสภาพถูกมัดตัวและผูกผ้าคาดปาก ในจำนวนนี้โจเซฟีนโดนหนักที่สุด มีคำให้การในภายหลังว่า BTK รัดคอเธอจนหมดสติและเมื่อเธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็นำเธอลงไปในห้องใต้ดินและแขวนคอเธอกับท่อน้ำที่อยู่บนเพดาน ศพของเธอถูกพบที่นั่นในสภาพเปลือยเปล่า
    ตำรวจได้ประกาศภาพเหมือนของคนร้าย หากก็ไม่มีเบาะแสใดๆเพิ่มเติม (ภาพเหมือนดันไม่เหมือนคนร้ายตัวจริง
    9 เดือนให้หลังจากคดี คนร้ายส่งจดหมายมายังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เล่าถึงรายละเอียดของการฆ่าเสียถี่ถ้วนเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นตัวจริง ตอนนี้เองที่คนร้ายบอกชื่อตัวเองว่า BTK
    จากนั้นก็มีการลงมือกับเหยื่อรายอื่นๆมาอีก 6 ศพ
    วันที่ 4 เมษายนปีเดียวกัน แคทเธอลีน ไบรท์ อายุ 21 ปี ถูกแทงตาย หากในยามนั้นยังไม่มีผู้ทราบว่านี่เป็นฝีมือของ BTK เรเดอร์ให้การเกี่ยวกับแคทเธอลีนหลังจากที่เขาถูกจับแล้ว
    18มีนาคม 1977 เชอร์เลย์ เวียน แม่บ้านวัย 26 ปีถูกฆ่ารัดคอที่บ้านของตัวเอง คราวนี้ในบ้านมีเด็กอีก 3 คนซึ่งเขาไม่ได้ฆ่าแต่ขังไว้ในห้องน้ำระหว่างที่เขาจัดการกับเหยื่อสตีฟ เรลฟอร์ดซึ่งอายุ 5 ปีในขณะนั้นให้การว่า BTK บุกเข้ามาในบ้าน จับแม่ของพวกเขาถอดเสื้อ มัดเธอไว้แล้วเอาถุงพลาสติกครอบหัวของเธอ จากนั้นก็ใช้เชือกรัดคอเธออีกทีสตีฟช็อคกับเหตุการณ์ครั้งนั้นจนเขาไม่สามารถพูดได้ไปถึง 2 ปี
    9 ธันวาคม BTK โทรไปแจ้งตำรวจด้วยตัวเองว่าเขาฆ่ารัดคอแนนซี่ ฟอกซ์ อายุ 25 ปี ที่อพาร์ทเมนท์ซึ่งเธออาศัยอยู่เพียงลำพัง อีก 2 เดือนให้หลังมีการส่งจดหมายไปยังสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น มีใจความกล่าวว่าเขาไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้ฆ่าได้ และเขาได้เลือกเหยื่อรายถัดไปไว้แล้ววิจิต้าตกอยู่ในความตึงเครียด หากก็ไม่มีคดีเกิดขึ้นอีกเป็นเวลาหลายปี คดีของเขาคงจะกลายเป็นปริศนา ....ถ้าหากเพียงแต่ว่าเขาไม่ออกมาแสดงตัวอีก
    28 เมษายน 1985 BTK รอจน มารีน เฮดจ์ อายุ 53 ปี เข้านอนแล้วจึงออกจากที่ซ่อนมารัดคอเธอตายเป็นเตียงของเธอเอง เขานำศพไปอีกที่หนึ่ง จัดท่าให้ศพและถ่ายรูปเก็บไว้ ก่อนจะนำศพของหญิงชราไปทิ้งข้างถนนแล้วกลับไปทำงานปกติของตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อจับกุมเรเดอร์ในภายหลังจึงได้ทราบว่าเขาอาศัยอยู่บนถนนสายเดียวกับมารีนนี่เอง\
    16 กันยายน 1986 วิคกี้ เวเกอร์เลถูกฆ่ารัดคอที่บ้านของเธอในตอนเช้า BTK ให้การว่าเขาปลอมตัวเป็นช่างโทรศัพท์เพื่อเข้าไปในบ้านของเธอ วิคกี้ต่อสู้ขัดขืน แต่เขาก็ฆ่าเธอและยังจัดท่าศพเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เช่นเดียวกับศพของมารีน
    คืนวันที่ 18 - 19 มกราคม 1991 BTK ฆ่ารัดคอโดโลเรส ดาวิส อายุ 62 ปี ก่อนจะนำศพไปทิ้งไว้ใต้สะพานแล้วไปทำงานต่อ เขากลับไปยังศพอีกครั้งเพื่อจัดท่าและถ่ายรูป จากนั้นก็ทิ้งหน้ากากของเขาชิ้นหนึ่งไว้ข้างศพ

    รวมเป็นวีรกรรมอันบ้าคลั่งของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ทั้งหมด 10 ศพ
    ในช่วงเวลา 17 ปีที่ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ได้กระทำการ นับเป็นเวลาที่เลวร้ายสำหรับชาวเมืองเซ็ดจ์วิคจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถจับมือใครดมได้ มีเพียงรูปแบบการฆ่าที่ทำให้รู้ว่า นี่แหละคือฆาตกรต่อเนื่องตัวเอ้ ที่ทำตามฉายาของตัวเองนั่นแหละค่ะ คือเขามักจะฆ่าเหยื่อด้วยการผูกเอาไว้ก่อน ค่อยทรมาน แล้วรัดคอตายในที่สุด
    แล้วทำไมถึงได้บอกว่า นี่คือสุนทรียฆาตกรรมเล่า ก็เพราะว่าอีตาฆาตกรโรคจิตคนนี้ มีสุนทรีย์ในการสังหารจริงๆเลยน่ะซิคะ หลังจากกระทำการโหดร้ายกับเหยื่อแล้ว เขามักจะส่งจดหมายไปหาตำรวจและสื่อมวลชน นัยว่าอยากดังค่ะ แล้วก็มีการส่งบทกวีหวานๆไปให้ด้วย เลยต้องเรียกบีทีเคว่าเป็นสุนทรียฆาตกร
    จดหมายฉบับแรกๆที่ถูกส่งออกไปหลังการฆ่าในครั้งแรกนั้น นอกจากจะบอกว่าบีทีเคเป็นคนลงมือแล้ว เขายังบอกรายละเอียดว่า แต่ละศพมีสภาพอย่างไร อยู่ตรงไหน พร้อมบอกด้วยว่า ทุกศพถูกผูกแขนไปด้านหลัง และมีผ้าปลอกหมอนอุดปาก แถมท้าย ป.ล.ว่า แล้วจะได้เห็นอย่างนี้อีกในเหยื่อรายต่อๆไป
    จดหมายบางฉบับก็บ่นว่าสื่อมวลชน ที่ไม่ยอมลงตีพิมพ์บทกลอนหลังฆาตกรรมของเขา ทำเอาพี่แกขัดใจอยู่บ่อยๆ เพราะบีทีเคบอกว่า "อยากดัง" เขาอยากมีชื่อเสีย (ง) ในระดับชาติ เหมือนกับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องคนดังแห่งลอนดอน แต่แรงจูงใจจริงๆในการสังหารนั้น ต้องบอกว่าเป็นโรคจิตแท้ๆ เพราะบีทีเคบอกชัดๆเลยว่า เป็นแรงจูงใจทางเพศ ที่เขาจะสมอารมณ์หมาย เมื่อได้ฆ่าคน!
    บีทีเคมักจะบอกเหยื่อว่าตัวเองเป็นพวกฆ่าข่มขืน ทำให้เหยื่อบางคนตายใจ และให้ความร่วมมือ เพราะคิดว่าหลังข่มขืนแล้วเขาอาจจะจากไป แต่จริงๆแล้วเขาไม่เคยคิดอยากปล่อยเหยื่อออกไปทั้งที่ยังหายใจ
    บีทีเคมักจะรัดคอให้เหยื่อหมดสติก่อน แล้วอดทนรออย่างใจเย็นให้เหยื่อฟื้นคืนสติ เพื่อที่จะรัดคอให้สิ้นสติไปอีก ด้วยความหวังว่าจะทำให้เหยื่อมีประสบการณ์ "เฉียด" ตาย ที่เป็นเรื่องเร้าอารมณ์ทางเพศของเขาได้ดีนัก และหลังจากรัดคอไปๆมาๆหลายครั้ง หนสุดท้ายก็จะรัดจนสิ้นใจ ว่าแล้วก็จะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อให้นํ้าอสุจิตกไปที่ศพ
    นอกจากนี้ ในการสังหารแต่ละครั้ง บีทีเค ก็จะเก็บ "ของที่ระลึก" จากสถานที่ฆาตกรรมติดไม้ติดมือไปด้วย ประมาณว่าเป็นของสะสมของพี่แกเพื่อระลึกถึงความโหดของตัวเองนั่นแหละ
    และแม้จะมีการเขียนจดหมาย เขียนบทกวี และส่งภาพถ่าย พร้อมข้าวของจากสถานที่เกิดเหตุให้ตำรวจและสื่อมวลชนหลายต่อหลายครั้ง แต่ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถแกะรอยฆาตกรรายนี้ได้ บีทีเคเลยลอยนวลมาเป็นเวลานาน

    สำหรับขั้นตอนการลงมือของบีทีเคนั้น ถือได้ว่ามีการทำงานเป็นกระบวนการอยู่เหมือนกัน เพราะพี่แกมองว่า การฆ่าเป็นเหมือนโครงการใหญ่ ที่เริ่มด้วยการติดตามเหยื่อ หาข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อ ให้รอบด้านจากแหล่งต่างๆ เช่น สมุดโทรศัพท์ ขับรถไปดูลาดเลา และเมื่อพร้อมก็จะลงมือเข้าไปหาเหยื่อพร้อมอุปกรณ์ ที่ประกอบด้วยถุงพลาสติก เชือก เทป ปืน และมีด แถมยังมีเสื้อที่เอาไว้ ใส่เพื่อไปฆ่าโดยเฉพาะ ซึ่งบีทีเคจะทิ้งไปเมื่อ เสร็จ "โครงการ"
    หลังจากฆ่าไป 10 ศพ โดยไม่มีใครจับได้ แทนที่จะสงบลง บีทีเคยังไม่สามารถหยุดยั้งความอยากที่จะลงมืออีกให้ได้ ว่าแล้วเขาก็วางแผนที่จะเริ่ม "โครงการใหม่" โดยกำหนดวันที่แน่นอนไว้ว่า จะต้องผูก ทรมาน และฆ่าใครสักคนให้ได้ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2005 และก็ได้เริ่มติดตามเป้าหมายแล้ว
    เดชะบุญ ที่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.2004 บีทีเคได้เริ่มกลับมาเขียนจดหมายถึงตำรวจอีกครั้ง และในที่สุด จดหมายฉบับหนึ่งก็กลายเป็น "กับดัก" ของตัวเขาเอง เพราะบีทีเคได้ส่งแผ่นดิสก์ไปให้ตำรวจด้วย และจากการตรวจสอบแผ่นดิสก์นั้น ก็พบร่องรอยข้อมูลที่ทำให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า มันถูกบันทึกมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องไหน
    ในที่สุด หลังจากการฆ่าครั้งแรกผ่านไปได้ 31 ปี บีทีเคก็ถูกจับกุมในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2005 และเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศชื่อจริงของเขา คือ เดนนิส ลินน์ ราเดอร์
    ที่สิ้นสุดอิสรภาพ ด้วยคำสั่งศาลที่ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเป็นเวลา 10 ครั้ง จาก 10 คดี งานนี้รอดโทษประหารไปได้ เพราะคดีสุดท้ายที่บีทีเคลงมือคือ ค.ศ.1991 ในขณะที่รัฐแคนซัสได้นำโทษประหารกลับมาใช้อีกครั้งใน ค.ศ.1994
    ถึงตอนนี้ราเดอร์ก็ยังอยู่ในคุก ก็คงจะทำให้ชาวเมืองเซ็ดจ์วิคโล่งใจไปได้ และจะว่าไปมีไม่กี่ครั้งนะ ที่ฆาตกรต่อเนื่องจะมีอารมณ์กวี มานั่งเขียนบทกลอนเกี่ยวกับเหยื่อได้เหมือนบีทีเค เขาก็เลยได้เป็นตำนานสมใจ

    เครดิต Dek-D.com : My.iD Blog
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ
    23 ชั่วโมงที่แล้ว
    ฆาตกรฆ่าสนุก(spree killer )
    ......................
    By แอดมิน Jesus Apple
    ......................

    ฆาตกรต่อเนื่อง(serial killer) เป็นการฆาตกรรมที่ทำต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มีลักษณะของการฆ่าครั้งละคน (หรือมากกว่านั้น) โดยผู้ที่ถือว่าเป็นฆาตรกรต่อเนื่องโดยส่วนใหญ่จะมีการกระทำผิดตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และเมื่อฆ่าคนแรกได้มันจะหยุดลงชั่วขณะและกลับมาฆ่าคนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถูกจับ เช่น เช่น ฆ่านาย ก เสร็จแล้วหลบซ่อนตัวไว้ พอมีโอกาสก็ฆ่านาย หรือบางรายก็ทรมาน เสพกามก่อนที่จะฆ่า โดยฆาตกรประเภทนี้ที่ดังๆ ก็มี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
    ฆาตกรคนหมู่มาก(mass murder) คือ เป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมากกว่า 1 คนขึ้นไป ในเหตุการณ์ครั้งเดียวและก่อเหตุเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยยกเว้นกรณีของการก่อการร้าย ที่ดังๆ ก็มีสังหารหมู่นานกิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
    ซึ่งแต่ประเภทมีระดับความอันตรายที่ต่างกันแต่ประเภทอันตรายที่สุดคือ

    ฆาตกรฆ่าสนุก(spree killer ) หรือ ปิติสุขเมื่อได้ฆ่า โดยการจัดระดับอันตรายของ FBI และหน่วยงานของอเมริกาได้จัดระดับ spree killer ว่าเป็นฆาตกรที่เป็นอันตรายที่สุด จำเป็นต้องป้องกันให้เร็วที่สุด
    ฆาตกรฆ่าสนุก(spree killer )หรือฆาตกรด้วยความเพลิดเพลิน ฆาตกรประภทนี้จะเกิดความรู้สึกสนุกสนานเมื่อได้ฆ่าเหยื่อรายแรก จะโดยบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม ซึ่งฆาตกรประเภทนี้มักเริ่มต้นฆ่าเหยื่อรายแรกด้วยอารมณ์โทสะที่ควบคุมไม่อยู่ อาจจะถูกยั่วยุหรือแรงกดดันที่มาตั้งแต่เกิด และความรู้สึกเมื่อได้ฆ่าเขาจะลิ้มรสแบบผู้มีชัย ผู้ยื่นเหนือชีวิตของผู้อื่นของคนอื่นที่สามารถมอบความตายให้แก่เหยื่อที่ถูกเขาฆ่าได้ มันได้แผ่ซ่านขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกอิ่มเอิบเมื่อได้ฆ่าจนกลายเป็นเสพย์ติด และเขาจะฆ่าต่อไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะจนมุมหรือถูกฆ่า
    ทางการสหรัฐเห็นว่า spree killer เป็นฆาตกรที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด เพราะพบบ่อยกว่า Serial Killer เกิดขึ้นแต่ทุกพื้นที่ทุกเวลา จะมีเหยื่อที่ตายเพราะฆาตกรนี้จำนวนมาก และเกิดได้ทุกสถานที่และทุกเวลา เกิดแต่ละทีมักเป็นข่าวดังทั้งประเทศและทั่วโลก
    ในอดีต spree killer นั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศ หลายสถานที่ และที่สังเกตคือประเทศส่วนใหญ่ที่เกิดมักเกิดในประเทศที่ “เจริญแล้ว”
    (ลองสังเกตจากเรื่องจริงกับในการ์ตูนด้วยนะครับ ว่ามันต่างกันหรือเปล่า)

    Tsuyama massacre ปี 1938 ที่ เมืองสึยามะ ประเทศญี่ปุ่น โทอิ มุทสึโอะ ใช้ปืนและกระบี่ทำการสังหารคนในหมู่บ้านไคโอะจำนวน 30 คน รวมทั้งย่าของเขาในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง โดยสาเหตุที่ฆ่าเพราะเหม็นขี้หน้าคนในหมู่บ้าน และผลสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายตามเหยื่อในที่สุด
    University of Texas massacre ชาร์ส โจเซฟ วิตแมน(Charles Whitman) ในปี 1966 ทำการสังหารภรรยาและแม่ของตัวเองก่อนที่จะก่อเหตุสังหารคนบริเวณมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัส โดยใช้ปืนสไนเปอร์เล็งยิงจากหอคอยเท็กซัส ผลคือมีคนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 31 ราย ก่อนที่เรื่องจะสงบลงเมื่อตำรวจบุกยิงวิตแมนจนร่างพรุนกระจุยตายคาที่

    Uireyeong massacre ปี 1982 ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ (Woo Bum-kon) เกิดบ้าเลือดหลังจากโดนแฟนทิ้งและเมาจัด เขาขโมยอาวุธปืนจากเพื่อนร่วมอาชีพ และสังหารคนตามท้องถนนโดยใช้ระเบิดมือ และปืน M1 Carbine ผลคือมีคนเสียชีวิตกว่า 57-58 คน และบาดเจ็บ 35 คน ในเวลาแปดชั่วโมง
    Hungerford massacre ปี 1987 ที่ Hungerford, Berkshire ราชอาณาจักร Michael Robert Ryan ใช้ปืนพกและปืนไรเฟิลฆ่าอย่างไร้อารมณ์ ส่งผลให้มีคนเสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บ 15 ราย ก่อนที่เจ็ดชั่วโมงต่อมาเขาก็ยิงตัวตายตาม

    Aramoana Massacre ที่นิวซีแลนด์ 13 พฤศจิกายน ปี 1990 David Gray ใช้ Norinco Type 56-1S .223 semi-automaticไรเฟิล ฆ่า 13 คน
    Gang Lu shootings ที่เมือง Iowa ปี 1991 Gang Lu นักเรียนบัณฑิตที่มหาลัย Iowa ก่อเหตุใช้ปืนพักยิงคน 5 คน ก่อนที่จะจบชีวิตด้วยตนเอง
    Tian Mingjian incident ในประเทศจีน 20 กันยายน ปี 1994 Tian Mingjian ใช้ปืนไรเฟิล type 81 rifle ฆ่าคน 23 ใกล้จัตตุรัส Tiananmen ในจำนวนนั้นมีนักการภูตอิหร่านและบุตรชายรวมอยู่ต้อง ผลสุดท้ายเขาก็ถูกจับตายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน

    Columbine High School Massacre 20 เมษายน 1999 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล(โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส และ ไดเลน เคล็บโบลด์(Eric Harris และ Dylan Klebold)ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วยท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอคชั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบาTEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนและครูอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ส่งผลให้มีเหยื่อเสียชีวิต 12ราย ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่(บ้างก็ว่าอิริคนั้นเป็นคนยิงไดแอนก่อนที่ยิงตัวเองตาย)
    Red Lake High School massacre ปี 2005 ที่ราชอาณาจักร Jeff Weise ฆ่าและยิงปู่และเพื่อนหญิงของปู่ ก่อนที่จะเดินทางไปไฮสคูลท้องถิ่น และกวาดยิงคนในนั้นไม่เลือดหน้า ส่งผลให้นักเรียนและคุณครูตายไป 9 ราย บาดเจ็บ 15 ราย ก่อนที่เขาจะก่อนจบชีวิตด้วยตนเอง
    Virginia Tech massacre วันที่ 16 เมษายน 2007 เวลา 7 นาฬิกา ที่ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค เมืองแบล็กส์เบิร์ก มลรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกาโช ซึงฮึย (Seung-Hui Cho) นักศึกษาวัยยี่สิบสามปีจากเกาหลีใต้ใช้อาวุธปืนร้ายแรงกราดยิงคนในมหาลัยหลายนัด มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 33 คน และรวมทั้งมือปืนด้วย(ฆ่าตัวตาย) ภายหลังได้ถูกบันทึกว่าเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ในสถานศึกษาที่ร้ายแรงที่สุดและเหตุการณ์ยิงประชาชนพลเรือนที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

    Jokela school shooting 7 พฤศจิกายน 2007 ที่โรงเรียนมัธยมโยเกลา ฟินแลนด์ ที่โยเกลา เขตเทศบาลตูซุลา ประเทศฟินแลนด์ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทั้งสิ้น 9 ราย เป็นนักเรียน 6 ราย อาจารย์ใหญ่ พยาบาลโรงเรียน และตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นนักเรียนชายวัย 18 ปี ชื่อเปกกา-เอริก เอาวิเนน (Pekka-Eric Auvinen) นักเรียนวัย 18 ปี ได้ใช้ปืนพกสังหารเพื่อนนักเรียนเสียชีวิตไป 6 คน พร้อมครูใหญ่และพยาบาลของโรงเรียน ก่อนจะฆ่าตัวตาย ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะก่อเหตุเขาก็ได้ถ่ายคลิปเกี่ยวกับการวางแผนสังหารหมู่เอาไว้ตั้งชื่อว่า "Jokela High School Massacre - 11/7/2007 (การสังหารหมู่ที่โรงเรียนมัธยมโยเกลา)" "naturalselection89" วิดีโอส่วนใหญ่ที่เขาอัปโหลดเกี่ยวข้องกับการยิงปืนและความรุนแรง เช่นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ การโจมตีด้วยแก๊สซารินที่โตเกียว
    Akihabara massacre ในเขตอากิฮาบารา กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปี 2008 นายโทโมฮิโร กาโตะ หนุ่มญี่ปุ่นวัย 25 ปี ก่อเหตุคลั่งใช้มีดเป็นอาวุธไล่แทงผู้คน ในย่านนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 รายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก่อนที่เขาจะโดนล้อมจับในเวลาต่อมา ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะก่อเหตุ เขาได้เขียนบันทึกทางอินเตอร์เนท ระบุข้อความว่าต้องการจะขับรถไล่ขยี้ผู้คนให้ตาย หรือไม่ก็ใช้อาวุธสังหารผู้คนเสียเลย และจากการสอบปากคำนายโทโมฮิโรบอกว่า เขาแค่รู้สึกเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ และไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ และไม่มีแรงจูงใจใด ๆ ที่ก่อเหตุฆาตกรรมหมู่คนในครั้งนี้

    Kauhajoki school shooting ปี 2008 ที่โรงเรียนอาชีวะศึกษา"เคาฮาโจคี" ในเมืองเคาฮาโจคี ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ นายแมตติ จูฮานี ซาอารี(Matti Juhani Saari) นักเรียนศิลปะการทำอาหาร" วัย 22 ปี ได้สวมชุดดำกับหน้ากากเล่นสกี ก่อเหตุใช้ปืนพกยิงเพื่อนนักเรียนที่จนมุมอยู่ในห้องเรียนตายไป10 คน ก่อนจะยิงตัวตาย ตำรวจพบโน๊ตทิ้งไว้ในแฟลตที่เขาพักเขียนว่า เขาเกลียดมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์ต่างๆ จึงวางแผนจะก่อเหตุสังหารหมู่..... และข้อความสุดท้ายจบที่ว่า"หนทางแก้ปัญหาคือ วอลเตอร์ 22 " ซึ่งหมายถึงปืนพกที่เขาใช้ก่อเหตุนั้นเอง
    2009 Alabama spree killing ที่ราชอาณาจักร 10 มีนาคม ปี 2009 นายแมคเลนดอน (Michael McLendon)ใช้อาวุธปืนยาว 2 กระบอก ปืนสั้นและปืนพก.38คาลิบอร์ และกระสุนถึง 200 นัด ก่อเหตุไล่ยิง โดยเริ่มต้นจากการยิงแม่ของตนเองก่อนที่บ้านพักในเมืองคิงสตันและจุดไฟเผา จากนั้นไล่ไปตามบ้านญาติๆ และ สังหารคนไป 10 คนตามท้องถนน ก่อนจบชีวิตด้วยตนเอง

    Winnenden school massacre เหตุการณ์นี้เกิดที่เมือง Winnenden ที่เยอรมัน 11 มีนาคม ปี 2009 Tim Kretschmer อายุ 17 ปี ถือปืนบุกเข้าไปใน "โรงเรียน" ที่ตัวเองเคยเรียน เขาเข้าไปชั้นเรียนแล้วพูดก่อนยิงว่า "นี่พวกแกยังไม่ตายกันอีกหรือ" เขาฆ่าไป 15 รายโรงเรียนมัธยม ก่อนที่จะก่อนจบชีวิตด้วยตนเอง

    เครดิต
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ ได้แชร์ รูปภาพ ของ ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat
    6 ตุลาคม
    จากเพจเพื่อนบ้านค่ะ เมี้ยว //ฟรองซีน
    Ku Klux Klan เขายังอยู่

    กลุ่ม Ku Klux Klan ที่แต่งชุดขาวคลุมศีรษะ เตรียมจะออกมารณรงค์ประท้วงที่สวนสาธารณะทหารแห่งชาติ ในวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นการประท้วงปกติของคนกลุ่มนี้ ที่จะเรียกร้องให้อเมริกาเป็นของคนผิวขาวและคริสเตียน แต่ปรากฎว่าทางกลุ่มยกเลิกการชุมนุม เนื่องจากพอดีเกิดเหตุการณ์ Government Shutdown ขึ้น นสพ.บอก บางทีเหตุการณ์ร้ายมันก็ทำให้เกิดเรื่องดีๆ ได้เหมือนกัน!

    ---

    กลุ่ม Ku Klux Klan (KKK) เป็นองค์กรลับในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 1865 ในรัฐทางตอนใต้แล้วขยายไปทั่วประเทศ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนคนผิวขาว และมีพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการร้ายที่ซ่อนตัวภายใต้หมวกรูปกรวย หน้ากากและชุดคลุมสีขาว KKK ถูกบันทึกไว้ว่ามีส่วนในการก่อการร้าย, ความรุนแรงและการใช้ศาลเตี้ยในการตัดสินประหารชีวิต เพื่อข่มขู่, สังหารและบังคับกดขี่ชาวอเมริกัน-อัฟริกัน, ยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ นอกจากนี้ยังทำการต่อต้านคัดค้านพวกโรมันคาธอลิกและสหภาพแรงงานด้วย (Roman Catholics and labor unions)

    กลุ่มนี้ตั้งแต่เริ่มตั้งก็เคยซบเซาไป แต่มีสาธุคุณของศาสนาคริสต์นิกายเมโธดิสต์ วิล ซิมอนส์ อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู KKK ขึ้นมาอีก เพื่อเรียกร้องให้ประเทศอเมริกา เป็นของคนขาวและชาวคริสต์(โปรเตสแตีนท์)เท่านั้น

    เป็นการเอาเรื่องชาติพันธุ์และศาสนามาผสมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน

    แต่ทุกวันนี้ KKK ได้สลายตัวไปจากอเมริกา กลายเป็นองค์กรเล็กๆ ที่สังคมรังเกียจ (เฉพาะคนผิวดำ) แต่กระนั้นแม้เป็นองค์กรเล็กๆ แต่ฤทธิ์ไม่ใช่เล่น จนถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ยังมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายกับคนผิวดำอยู่บ่อยๆ และตำรวจไม่สามารถจับผู้ทำผิดไม่ได้

    จนบัดนี้กลุ่ม KKK ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในสังคมคนผิวขาว และยังมีการแสดงออกเป็นครั้งคราว เพื่อให้เห็นว่า...พวกเรายังอยู่

    ---

    อย่างไรก็ตาม จุดที่ผู้เขียนอยากเน้นให้ท่านผู้อ่านโฟกัสในเรื่องนี้ ไม่ใ่ช่เรื่องประวัติศาสตร์ที่น่ารังเกียจของกลุ่ม KKK

    ที่อยากเน้นมากคือ ประเทศอเมริกา ให้เสรีภาพในการแสดงออก หรือ free speech มากเหลือเกิน ขนาดคนกลุ่มนี้ออกมาแสดงตัวเรียกร้องในสิ่งที่ไม่ดีงาม กฎหมายสหรัฐก็ให้สิทธิในการแสดงออก โดยไม่ถือเป็น hate speech หรือ คำพูดที่สร้างความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน

    และไม่มีกฎหมายเรื่อง "หมิ่นศาสนา" (blasphemy)

    ในขณะที่ประเทศอื่นหลายประเทศที่แม้แต่เป็นรัฐโลกวิสัยแล้วก็ยังมีกฎหมาย hate speech อยู่ คือ ห้ามดูหมิ่นศาสนาอื่นอันจะทำให้เกิดความเกลียดชังกัน แต่ของสหรัฐนี่ไม่ถือว่าผิด ถือว่าคนต้องอดทนรับฟังกับเรื่องอย่างนี้ให้ได้ ทุกคนมีเสรีภาพในการพูด

    สหรัฐจะถือว่าเป็น hate speech จริงๆ ต่อเมื่อ มีการขู่อาฆาต ว่าจะทำร้าย อย่างนี้ไม่ได้

    ----
    อ้างอิงข่าว Ku Klux Klan rally at national military park cancelled due to government shutdown - NY Daily News
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ
    10 กรกฎาคม
    The Holy Cross: กางเขนศักดิ์สิทธิ์

    หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า “จอกศักดิ์สิทธิ์” หรือ THE HOLY GRAIL ซึ่งเป็นจอกที่พระเยซูใช้ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ท่าน และผู้คนทั่วโลกพากันตามล่าหาจอกนี้มานานนับพันปีมาแล้ว กระทั่งแม้แต่ในนิยายที่ฮือฮาไปทั่วโลก อย่าง “รหัสลับดาวินซี (THE DA VINCI CODE)” ก็ยังเป็นเรื่องฆาตกรรมซ่อนเงื่อนที่เกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน


    สัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งขององค์เยซู คือ ไม้กางเขนที่ตรึงพระองค์จนสิ้นชีพนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน มีใครเคยคิดตามล่าหาไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (THE HOLY CROSS) หรือหลายคนเรียกว่า ไม้กางเขนจริง (TRUE CROSS) บ้างหรือไม่ มาติดตามกัน

    อันที่จริงเครื่องหมายกางเขน (CROSS) นั้น มีอยู่ก่อนสมัยศาสนาคริสเตียนแล้ว มีหลักฐานคือ ภาพเขียนบนแผ่นหินแบนๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ไพรีนีส์ของฝรั่งเศส ซึ่งมีรูปเรขาต่างๆ รวมทั้งรูปมนุษย์และสัญลักษณ์กางเขน ซึ่งภาพเหล่านี้ประเมินแล้วเขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อ 10,000 ปีก่อน ค.ศ.

    รูปกางเขนอาจบ่งบอกถึงการชี้ทิศทั้งสี่และตรงกลางก็คือ “โลก” นั่นเอง แต่บางคนสันนิษฐานว่าเป็นซี่ล้อ และล้อนั้นเป็นวงกลม หมายถึง พระอาทิตย์ ซึ่งชนคริสเตียนรุ่นแรกๆ นั้น ถือกันว่าองค์พระไครสท์ (พระคริสต์) มีความเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่กว่าทั้งมวล แขนทั้งสองกางหมุนตลอดความกว้างและยาว ส่วนขาทางตั้งก็ครอบคลุมทั้งความสูงสุดยอด ตลอดจนความลึกดำดิ่งถึงบาดาล

    เครื่องหมายสวัสดิกะก็เป็นรูปกางเขนแบบหนึ่งที่พวกนาซีนำมาใช้

    แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ กางเขนลาติน (CRUXIMMISSA) ที่มีขาล่างยาวกว่าอีก 3 แขน และที่บรรดาคริสต์ศาสนิกชนใช้มือทำเครื่องหมายบนหน้าผากและหน้าอกในเวลาอธิษฐานสิ่งใดๆ นั่นเอง

    หากทว่าก่อนจะมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสักการะนั้น ไม้กางเขนได้ถูกใช้สำหรับเป็นเครื่องมือประหารนักโทษ และไม่ใช่นักโทษธรรมดาๆ หากเป็นอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรงหรือเป็นนักโทษชั้นต่ำโดยเฉพาะ พวกทาส นักโทษจะถูกมัดหรือตอกตะปูตรึงมือทั้งสองและเท้าไว้ แล้วปล่อยให้ตากแดดตากลมตายไปอย่างสุดแสนทรมาน

    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องการตรึงกางเขนพระเยซู หรือที่เรียกกันว่า CRUCIFIXION

    ในปี พ.ศ. 543 ทารกหนึ่งได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงกรุงเยรูซาเลม ประเทศปาเลสไตน์ (อิสราเอลปัจจุบัน) ผู้เป็นมารดามีนามว่า มาเรีย เมื่อเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเรธ หนุ่มจีซัส (JESUS) หรือพระเยซู มีความเฉลียวฉลาดมาก ได้เที่ยวอบรมสั่งสอนผู้คนให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่อ้างว่าได้รับมาจากพระเจ้า โดยพระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้พระองค์มาเป็นผู้แทนในการปลดเปลื้องบาปเคราะห์ของมนุษย์ จึงทรงได้นามว่า ไครสท์ (CHRIST = ผู้เปลื้องทุกข์)

    เมื่อผู้คนจำนวนมากหันมานับถือคำสอนของพระเยซู ทำให้ชาวยิวที่เคร่งครัดในศาสนาเดิมมีความโกรธแค้น ตรงนี้ต้องเข้าใจว่า แม้จะมีพระเจ้า (GOD) องค์เดียวกัน แต่ยิวแท้จะนับถือเฉพาะพระเจ้า ไม่ยอมรับผู้อื่นที่มาแอบอ้างว่าเป็นพระบุตร ยิวจึงมิใช่คริสเตียน (ที่นับถือพระเยซู) ยิวไปฟ้องผู้ปกครองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นโรมันให้กำจัดพระเยซู พอดีกับโรมันกำลังหวั่นเกรงการก่อตัวชุมนุมของเหล่าสาวกพระเยซู จึงนำตัวพระองค์มาตรึงไม้กางเขนในปี พ.ศ. 576 จนสิ้นชีพ รวมอายุเพียงแค่ 33 ปี

    หลังสิ้นพระชนม์ โจเซฟแห่งอาริมาเธีย ได้ร้องขอต่อ ปอนติอุส ไพเลท ผู้ปกครองจากโรม ในการนำศพลงมาฝัง เชื่อกันว่าเมื่อฝังองค์เยซูแล้ว โจเซฟก็ได้นำกางเขนกับแผ่นจารึกฝังลงไปด้วย

    แผ่นจารึกนี้เรียกกันว่า ไตตุลุส (TITULUS) เป็นแผ่นไม้ที่มีตัวอักษรซึ่ง ไพเลทสั่งให้เขียนไว้ว่า “จีซัสแห่งนาซาเรธ กษัตริย์แห่งยิว” แล้วนำไปติดกับไม้กางเขนที่ตรึงองค์เยซู อักษรจารึกดังกล่าวนี้เป็นการเย้ยหยัน ที่พระเยซูทรงเป็นประหนึ่งผู้นำของชาวยิว โดยเขียนไว้เป็น 3 แถว 3 ภาษา ฮีบรู, กรีกและละติน ที่น่าประหลาดก็คือ แถวที่ 2 กับ 3 นั้น เขียนจากขวาไปซ้ายแบบเดียวกับที่อ่านจากกระจกเงา การเขียนลักษณะนี้แพร่หลายอยู่ในอดีตจนสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 จึงหมดไป

    จุดที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและฝังพระศพนั้นอยู่ทางเหนือของเนินเขาไซออน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (CHURCH OF THE HOLY SEPULCHER)

    ลุล่วงมาในปี ค.ศ. 350 เชื่อกันว่าได้มีการขุดนำกางเขนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาโดยนักบุญไซริล บิชอปแห่งเยรูซาเลม กล่าวว่าไม้กางเขนถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นและแจกจ่ายไปทั่ว

    นอกจากนี้ ได้มีบันทึกของนักประวัติศาสตร์อิตาเลียนในศตวรรษเดียวกันนี้ระบุว่า ในปี ค.ศ. 326 พระนางเฮเลนา ซึ่งเป็นพระราชมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งกรุงโรมได้เสด็จมาเยือนกรุงเยรูซาเลมและได้บัญชาให้ขุดค้นหาไม้กางเขนในบริเวณสุสาน พระนางได้พบกางเขน 3 อัน ตะปูที่ใช้ตรึงนักโทษและแผ่นจารึกที่มีอักษร “นี่คือกษัตริย์แห่งยิว”

    ทั้งนี้ เพราะมีนักโทษอีก 2 คน ที่ถูกตรึงกางเขนในวันเวลาเดียวกันกับพระเยซู แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ว่ากางเขนอันไหนเป็นอันจริง

    วิธีการนั้นไม่ยาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่ง นั่นคือ นำกางเขนเข้าไปให้สตรีคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนักใกล้สิ้นใจได้สัมผัส กางเขนแท้สามารถดลบันดาลให้เธอหายป่วยได้เป็นปลิดทิ้ง!

    แผ่นจารึกและกางเขนที่พระนางเฮเลนานำกลับมากรุงโรมนั้น ได้เก็บบูชาไว้ในโบสถ์ซานตาโกรเซ (CHURCH OF SANTA GROCE) ใกล้กับวังเฮเลนา โดยไม้กางเขนได้ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆ และแจกจ่ายไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ศรัทธาแก่คริสต์ศาสนิกชนทั้งหลาย ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านบิชอปไซริลได้กล่าวไว้

    สำหรับตะปูหรือหมุดที่ใช้ตรึงองค์พระเยซูนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีอยู่ 3 หรือ 4 ดอก แต่น่าจะเป็น 3 ดอก ที่ใช้ตรึง 2 มือ กับ 1 เท้า (วางทับกัน) ซึ่งชาวคริสต์ เปรียบเสมือน “สามองค์ (TRINITY)” คือ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

    ว่ากันว่า ตะปูดอกหนึ่งถูกนำไปประดับในวงกลมหน้ามงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ดี้ ณ เมืองมอนซ่า

    ตะปูศักดิ์สิทธิ์อีกดอกหนึ่ง มีจารึกในประวัติศาสตร์ว่า ในคราวที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงไปเยือนกรุงคอนสแตนติโนเปิลที่พระองค์ตั้งให้เป็นนครหลวงแห่งพระราชอาณาจักรนั้น พระองค์ได้ทรงอาชาที่มีเครื่องผูกหัวที่ประดับด้วยตะปูศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสเตียน ซึ่งพระองค์ได้นำมาให้อาณาจักรโรมันยอมรับนับถือ แทนที่เทพเจ้าทั้งหลายที่โรมันเคารพบูชามาแต่เดิม (อาทิ จูปิเตอร์, อปอลโล, เนปจูน ฯลฯ)

    ชิ้นกางเขนส่วนหนึ่ง พระนางเฮเลนาได้ทรงมอบคืนแก่เยรูซาเลม รวมทั้งบางส่วนของแผ่นจารึกไตตุลุสด้วย และสองสิ่งนี้ก็กลายเป็นที่ดึงดูดให้ศาสนิกชนคริสเตียนมาจาริกแสวงบุญที่นครนี้

    เมื่อนักรบครูเสดรุ่นแรกยกทัพมาถึงเยรูซาเลมในศตวรรษที่ 11 พวกเขานำเครื่องหมายกางเขนเป็นสัญลักษณ์ในการออกรบกับทัพมุสลิมปรปักษ์ตลอดแนวหุบเขาจอร์แดน นักรบครูเสดได้สร้างป้อมค่ายเป็นเครือข่ายและได้นำชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์มาไว้ที่ป้อมค่ายเบลโวเร่เหนือทะเลสาบกาลิลี ได้เกิดการรบครั้ง มโหฬารขึ้นในปี ค.ศ. 1187 กองทัพของซาลาดิน ขุนศึกผู้เข้มแข็งแห่งมุสลิมได้บดขยี้ทัพคริสเตียนยับเยิน ท่านบิชอปแห่งเอเคอร์ ซึ่งนำชิ้นส่วนกางเขนออกรบด้วย ได้เกิดเพลิงไหม้ในการรบและชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในการศึกนี้

    ชิ้นส่วนแผ่นไตตุลุสที่พระนางเฮเลนานำมาที่โรม ได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับจนแทบไม่มีผู้ใดได้รู้ว่าอยู่ที่ใดในโบสถ์ซานตาโกรเซ ถึง ค.ศ. 1492 จึงพบว่าที่แท้อยู่ภายใต้ภาพปูนเปียก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่ชาวคริสต์เป็นอย่างยิ่งและมหาประติมากร มิเกลันเจโล (หรือที่เราเรียกผิดๆ ว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแหละ) ก็ได้ศึกษาแผ่นไตตุลุสนี้ด้วยตนเองและสลักไม้เป็นรูปการตรึงกางเขนพระเยซู พร้อมด้วยแผ่นจารึกที่เขียนจากขวาไปซ้ายด้วย

    นั่นก็เป็นเรื่องราวหรือตำนานที่บอกเล่ากันต่อๆ มา เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปกว่าสองพันปี สถานที่อันเป็นจุดกำเนิดเหตุการณ์ก็ได้ถูกทับถมหรือสูญหายไป หลายแห่งมีการก่อสร้างทับหลายซับหลายซ้อน จนเราไม่อาจรู้ได้แน่ว่าวัตถุโบราณที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นของแท้หรือของเทียมกันแน่

    ปัจจุบันมีสถานศักดิ์สิทธิ์มากมายหลายร้อยแห่งที่อ้างว่าเป็นที่ประดิษฐานของชิ้นส่วนไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งทำเทียม แม้กระทั่งชิ้นส่วนไม้กางเขนและแผ่นจารึกที่เก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งซานตาโกรเซ, กรุงโรม เราจะเชื่อแน่ได้หรือไม่ว่าเป็นของจริง เพราะถูกเก็บรักษาไว้อย่างเข้มงวด กล่าวคือในช่วงเวลา 600 ปีหลังนี้ ชิ้นส่วนแผ่นไม้โบราณที่มีอักษรเลือนรางนี้ถูกนำออกจากกล่องเพียงแค่ 4 ครั้ง โดยทางวาติกันได้ปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ยอมให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดสอบรังสีคาร์บอนเพื่อหาอายุที่แท้จริงของเนื้อไม้

    ปล่อยให้เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสต่อไปนานๆ ไม่ดีกว่าหรือ เพราะทุกวันนี้เราก็หาที่พึ่งพิงทางใจกันได้ยากเย็นอยู่แล้วนี่นา

    Ültra-m▲N | Hacked by Ültra-m▲N

    ///MCz
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ
    24 มิถุนายน
    นาทีปฏิวัติ 2475 "ย่ำรุ่ง" คือกี่โมง, พระยาพหลฯ ยืนอ่านประกาศตรงไหน, อ่านอะไร? และข้อมูลเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เบื้องหน้า-เบื้องหลังโดยละเอียด

    นาทีปฏิวัติ ๒๔๗๕: "ย่ำรุ่ง" คือกี่โมง, พระยาพหลฯ ยืนอ่านประกาศตรงไหน, อ่านอะไร?

    กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนเรื่อง “เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕” ลงใน หนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ ระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน ปี ๒๔๘๔ จำนวน ๑๖ ตอน โดยอาศัยข้อมูลส่วนหนึ่งจากการสัมภาษณ์ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บวกกับตอนที่ ๑๗ เป็นการสัมภาษณ์ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ อีก ๑ ตอน เมื่อมีการพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี ๒๔๙๐

    เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติการยึดอำนาจของคณะผู้ก่อการฯ เกือบจะทุกแง่มุม เรารู้แม้กระทั่งว่าคืนวันที่ ๒๓ มิถุนายน พระยาพหลฯ เข้านอนตอนตี ๒ และหลับสนิท แม้ว่าวันรุ่งขึ้นคือวันคอขาดบาดตายของตัวเองก็ตาม

    นอกจากนี้ยังได้บอกเล่าเหตุการณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังนับตั้งแต่ “ฝ่ายทหาร” มีแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วลำดับเหตุการณ์เรื่อยมาสู่ขั้นตอนวางแผน จนกระทั่งถึงวัน “เอาจริง” ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕

    แต่พอถึงวินาทีสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือตอนที่พระยาพหลฯ ควักกระดาษออกมาอ่านประกาศยึดอำนาจ ปรากฏว่า เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และหนังสือเล่มอื่นๆ ข้ามรายละเอียดตรงนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

    ไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ ไม่มีภาพถ่าย ไม่มีคำบอกเล่าที่ชัดเจน ในวินาทีที่สยามเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    เลยไม่รู้ว่าวินาทีนั้นหรือก่อนหน้านั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะตำแหน่ง “จุดยืน” ที่แท้จริงของพระยาพหลฯ ขณะอ่านประกาศยึดอำนาจอยู่ตรงไหน หันหน้าไปทางไหน เหล่าทหารยืนฟังอยู่ทางด้านไหนของลานพระบรมรูปทรงม้า อ่านประกาศเวลา “ย่ำรุ่ง” คือเวลากี่โมงกี่นาที และอ่านอะไร?

    แม้จะไม่ใช่ “สาระสำคัญ” ทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ก็เป็นรายละเอียดที่ “อยากรู้” ได้เหมือนกัน

    เวลา “ย่ำรุ่ง” คือกี่โมงกันแน่?

    เพื่อค้นหาคำตอบนี้ เราจึงตามไปดูการปฏิบัติงานของฝ่ายทหาร และเริ่มจับเวลาตั้งแต่ฝ่ายทหารตื่นนอน ราวๆ ตี ๓ อาบน้ำแต่งตัว กินอาหารเช้า พร้อมออกปฏิบัติการยึดอำนาจ

    ตี ๔ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก กับนายทหาร ๓ นาย พร้อมกันที่บ้านพระยาทรงฯ ซักซ้อมแผนการก่อนออกเดินทางไปยัง “ตำบลนัดพบ”

    ตี ๔ ครึ่ง นายพันโท พระประศาสน์ฯ ผู้อำนวยการแผนกโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ขับรถไปรับ นายพันเอก พระยาพหลฯ ที่บ้านบางซื่อ ก่อนจะเดินทางไปยังตำบลนัดพบ

    ตี ๕ พระยาทรงฯ มาถึงตำบลนัดพบที่ ๔ แยกตัดทางรถไฟ ห่างจากบ้านพระยาทรงฯ ที่บางซื่อ ประมาณ ๒๐๐ เมตร เพื่อพบกับคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการฯ ฝ่ายทหาร

    พระยาทรงฯ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายทหาร สั่งดำเนินการตามแผนทันที คือบุกยึดคลังอาวุธที่กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ โดยต้องทำการก่อนเวลาเป่าแตรปลุกทหารเวลา ตี ๕ ครึ่ง

    ตี ๕ ครึ่ง คณะผู้ก่อการฯ บุกถึงกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ พระยาพหลฯ นำกำลังเข้าตัดโซ่กุญแจคล้องคลังอาวุธ นำอาวุธปืนและหีบกระสุนออกมา พระประศาสน์ฯ เข้ายึดรถรบ รถยนต์หุ้มเกราะ และรถบรรทุก พร้อมกำลังทหารม้าเป็นผลสำเร็จ

    ทั้งหมดเคลื่อนกองกำลังไปยัง กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ อยู่ห่างกันประมาณ ๑๐ นาที มี นายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ เป็นผู้บังคับการกรม ซึ่งเตรียมการจัดกำลังทหารและอาวุธรออยู่ก่อนแล้วประมาณ ๑๕ นาที

    เมื่อกองกำลังจากกรมทหารม้า เดินเท้ามาถึง กรมทหารปืนใหญ่ พระยาทรงฯ ออกคำสั่งให้ทหารจากกรมทหารม้า ขึ้นรถบรรทุกของกรมทหารปืนใหญ่ซึ่งจอดรออยู่แล้วโดยพลัน

    ขณะนี้กองกำลังผสมของผู้ก่อการฯประกอบด้วย ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ที่มีทั้งกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์หนักเบา มุ่งหน้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า แต่ขณะผ่านกองพันทหารช่าง พระยาพหลฯ เพียงแค่ตะโกนเรียกและกวักมือ ทหารช่างที่กำลังฝึกอยู่หน้ากองพัน ก็กระโดดขึ้นรถตามมาด้วย โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

    ขบวนทหารของกองกำลังของคณะผู้ก่อการฯ นำขบวนด้วย “ไอ้แอ้ด” รถถังขนาดเล็กจากกรมทหารม้า ตามด้วยรถบรรทุกทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ปิดท้ายด้วยกองพันทหารช่าง ใช้เส้นทางผ่านสะพานแดง ถนนพระราม ๕ เลี้ยวหน้าวัดเบญจมบพิตร เข้าถนนศรีอยุธยา มุ่งหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า

    ๖ โมง ๕ นาที กองกำลังหลักถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ช้ากว่าเวลานัดหมายหน่วยอื่น ๕ นาที

    ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีกองพันพาหนะทหารเรือ นำโดย นาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย ร.น. มาตรงตามเวลานัด ๖ โมงตรง นอกจากนี้ยังมีกำลังจากนักเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยมี นายพันโท พระเหี้ยมใจหาญ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยทหารบก กำกับมา ส่วนกองพันทหารราบที่ ๑๑ ของ นายพันตรี หลวงวีระโยธา ซึ่งกำลังฝึกทหารอยู่ที่ท้องสนามหลวงนั้น ถูกหลอกให้ตามพระประศาสน์ฯ มาภายหลัง

    “ ทหารทั้งปวงที่มาชุมนุมอยู่ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันนั้น ต่างได้มาโดยมิรู้ว่า กำลังมีการปฏิวัติเพื่อยึดอำนาจการปกครองจากพระราชาของตน ”

    นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของฝ่ายพลเรือนที่เริ่มกันตั้งแต่เที่ยงคืน เช่น การควบคุมหัวรถจักรรถไฟ การเฝ้าสังเกตการณ์ตามบ้านเจ้านายและบุคคลสำคัญ เพื่อ “ล็อก” ไม่ให้ติดต่อสังการใดๆ ได้ ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้การก่อการครั้งนี้สำเร็จ โดยปราศจากการต่อต้าน

    ทางด้านอื่นๆ มีการปฏิบัติงานในกลุ่มของหลวงโกวิทย์อภัยวงศ์ ทำหน้าที่ยึดกรมไปรษณีย์โทรเลข และตัดสายโทรศัพท์ ในเวลา ตี ๔ ตรง ส่วนหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ลอยเรืออยู่ในคลองวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อรอเวลาแจกใบปลิว “ประกาศคณะราษฎร” แก่ประชาชน ซึ่งหากทำการไม่สำเร็จก็จะนำใบปลิวนั้นทิ้งลงในน้ำทันที

    เป็นอันว่ากองกำลังของคณะผู้ก่อการฯมาชุมนุมพร้อมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีกำลังทหารและอาวุธพร้อมรบ เป็นที่เรียบร้อยโดยตลอด เมื่อเวลา ๖ โมง ๕ นาที การประกาศยึดอำนาจขั้นสุดท้ายพร้อมแล้ว

    แต่...

    “ครั้นแล้วพอได้เวลา๗.๐๐ น. พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้อ่านประกาศยึดอำนาจเสียงสนั่นดังลั่น มีนายทหารของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งทหารบก ทหารเรือ กระจายกันคุมเชิงอยู่รอบๆ

    ในที่สุด เมื่อได้อ่านคำประกาศสุดสิ้นแล้ว ก็ได้เปล่งเสียงไชโยกึกก้อง แล้วก็นำขบวนเข้างัดพระทวารด้านหน้าของพระที่นั่งอนันตสมาคม

    จัดเป็นความสำเร็จเบื้องต้นของคณะฝ่ายทหารที่ทำการยึดอำนาจ”

    เป็นอันว่า พระยาพหลฯ หัวหน้าคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง อ่านประกาศยึดอำนาจ เมื่อเวลา ๗ โมงตรง ตามบันทึกของ พลโทประยูร ภมรมนตรี ซึ่งไปปฏิบัติการยึดสถานีโทรศัพท์กลาง วัดเลียบ ตั้งแต่ ตี ๔ แต่ใช้เวลาเพียง ๑๕ นาที ก็สำเร็จภารกิจ และเป็นไปได้ว่า พลโทประยูร ภมรมนตรี อาจจะเดินทางไปสมทบกับคณะทหารที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และ “อยู่ในเหตุการณ์” ที่ พระยาพหลฯ อ่านประกาศยึดอำนาจ เพราะเป็นผู้รับเสด็จ สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เวลา ๘ โมงตรง ๙ และบันทึกของพระยาฤทธิอัคเนย์ก็ยืนยันว่า “พวกก่อการฝ่ายพลเรือนก็มีไปรวมอยู่ ณ ที่นั้นบ้าง”

    น่าเสียดายที่คณะทหาร “พกปืน” ไม่พกกล้อง เราจึงไม่มี “ช็อตเด็ด” ในวินาทีที่สำคัญที่สุดของสยามประเทศ ในขณะที่บันทึกของ “๔ ทหารเสือ” ก็ไม่ได้บรรยายถึงบรรยากาศและรายละเอียดขณะนั้น เราจึงไม่ทราบอยู่ดีว่า พระยาพหลฯ หยิบประกาศยึดอำนาจออกจากกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง ขณะอ่านประกาศหันหน้าไปทางไหน พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอนันตสมาคม สนามเสือป่า หรือพูดกับพระบรมรูปทรงม้า เพราะทั้งหมดนั้นคือ “สัญลักษณ์” แห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งสิ้น

    มีเพียง “ข้อสันนิษฐาน” ว่า พระยาพหลฯ น่าจะยืนอยู่ทางด้านซ้ายของพระบรมรูปทรงม้า อันเป็นตำแหน่งที่มีหมุดทองเหลืองของคณะราษฎรฝังอยู่กับข้อความ “๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ”

    ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่า “ณ ที่นี้” หมายถึง “จุด” ที่พระยาพหลฯ ยืนอยู่ หรือหมายถึง “บริเวณ” ลานพระบรมรูปทรงม้าทั้งหมด

    นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเวลา “ย่ำรุ่ง” ว่าหมายถึงเวลาที่เหล่าทหารกองผสมมาพร้อมกันตอน ๖ โมง ๕ นาที หรือเวลา ๗ โมงตรง ที่พระยาพหลฯ เริ่มอ่านประกาศยึดอำนาจ อันเป็นวินาทีแห่งการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะ “ชาวโหร” เมืองไทย นิยมเอาเวลา ตี ๕ หรือ ๖ โมงตรงเป็นหลัก

    แต่หากพิจารณาจากคำ “ย่ำรุ่ง” แล้ว คณะราษฎรอาจจะมีเจตนาที่จะสื่อถึง “แสงแรก” แห่งระบอบรัฐธรรมนูญ หรือ “ฟ้าใหม่” ที่อำนาจการปกครองเป็นของประชาชน ซึ่งน่าจะหมายถึงเวลาแห่งการชุมนุมโดยพร้อมเพรียงของทหารกองผสมเมื่อเวลา ๖ โมง ๕ นาที เพราะเวลา ๗ โมงเช้านั้น น่าจะเกินเวลา “ย่ำรุ่ง” ไปแล้ว

    ดังนั้น เวลา “ย่ำรุ่ง” ที่ปรากฏในหมุดทองเหลืองของคณะราษฎร น่าจะหมายถึงเวลา ๐๖.๐๕ น. นั่นเอง

    ยังข้อน่าสงสัยอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อเวลา ๖ โมง ๕ นาที เหล่าทหารกองผสมมาชุมนุมพร้อมกันแล้ว เหตุใดพระยาพหลฯ ต้องรอจนถึง ๗ โมงตรง จึงเริ่มอ่านประกาศ

    เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่หายไป ๕๕ นาที

    สงสัยคณะทหารรออะไร?

    เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ หลังเวลา ๖ โมง ๕ นาที คือการจัดแถวทหาร จัดเตรียมอาวุธให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม และวางแนวป้องกันการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาล ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ นาที

    แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการ “รอ” ผลการปฏิบัติงานของทีม “จับตัวประกัน” ของพระประศาสน์ฯ

    หลังจากเวลา ๖ โมง ๕ นาที รถเกราะปิดท้ายขบวนทหารของพระประศาสน์ฯ ที่เคลื่อนพลมาจากกรมทหารปืนใหญ่ มาถึงลานพระบรมรูปทรงม้า พระยาทรงฯ “ผู้อำนวยการฝ่ายทหาร” ก็มีคำสั่งทันที

    “พระประศาสน์ฯ ไปจับกรมพระนครสวรรค์ฯ พระยาสีหราชเดโชชัย และพระยาเสนาสงคราม”

    สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เวลานั้นทรงมีอำนาจเป็น “เบอร์ ๒” ของประเทศ ขณะที่มีการปฏิวัติ ทรงเป็นผู้รักษาพระนคร เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปรพระราชฐานไปหัวหิน นอกจากนี้ยังทรงเป็นประธานอภิรัฐมนตรี เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ และอื่นๆ ส่วน นายพลโท พระยาสีหราชเดโชชัย เวลานั้นเป็นเสนาธิการทหารบก “เสือร้ายที่สุดของทหาร” และ นายพลตรี พระยาเสนาสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์

    บุคคลทั้งสามมีส่วนชี้เป็นชี้ตายในการปฏิวัติครั้งนี้อย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในพระนครพระประศาสน์ฯ โดยใช้เวลาเจรจาต่อรองพอสมควร ก่อนจะควบคุมตัวสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่วังบางขุนพรหมมาได้ โดยไม่ให้เวลาเปลี่ยนเครื่องทรง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปบ้านพระยาสีหราชเดโชชัย ใกล้วัดโพธิ์ แล้วก็ทำสำเร็จโดยไม่มีการขัดขืนต่อสู้แต่อย่างใด

    ขาดแต่พระยาเสนาสงคราม ซึ่งบ้านอยู่ไกลและนอกเส้นทางปฏิบัติงาน หากต้องเดินทางไปอาจจะทำให้กลับไปลานพระบรมรูปทรงม้าไม่ทันเวลานัดหมาย ซึ่งพระประศาสน์ฯ มีเวลาปฏิบัติการ “จับตัวประกัน” ทั้งหมดไม่เกิน ๑ ชั่วโมง

    แต่สุดท้ายพระยาเสนาสงครามก็ถูก “ทีมสำรอง” ควบคุมตัวได้ แต่พระยาเสนาสงครามขัดขืนต่อสู้จึงถูกยิงบาดเจ็บต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล นับเป็นคนเดียวในการก่อการครั้งนี้ที่ได้รับบาดเจ็บ

    ภารกิจจับตัวประกันสำเร็จแล้วพระประศาสน์ฯ ก็รีบมุ่งหน้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตามแผนที่จะนำตัวประกันไปกักไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม

    “กรมพระนครสวรรค์ฯ และพระชายา ขึ้นไปบนพระที่นั่งอนันตสมาคม และรีบจัดที่ประทับอันสมควรถวาย แต่ควบคุมไว้อย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้การนองเลือดมีขึ้นได้

    เจ้าคุณพหลฯ ก็ประกาศเปลี่ยนการปกครองแผ่นดิน...”

    สรุปว่าเวลาที่หายไปราว ๕๕ นาทีนั้น คณะผู้ก่อการฯ กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการ “จับตัวประกัน” ซึ่งถือว่าเป็นช่วง “อันตราย” มากที่สุดต่อแผนการก่อการครั้งนี้ และหากแผนการจับตัวประกันผิดพลาด ก็หนีไม่พ้นการนองเลือดอย่างแน่นอน

    ระหว่าง “รอ” พระยาพหลฯ ทำอะไร?

    เวลา ๕๕ นาที ในสถานการณ์ “ปฏิวัติ” ย่อมไม่ใช่เวลาที่คณะผู้ก่อการฯ “หลับเอาแรง” แน่ บางท่านคงจะวุ่นวายในการตรวจความพร้อมของแนวป้องกัน ประชุมซักซ้อมแผนการ บางท่านอาจจะอยู่ในอาการ “ตื่นระทึก”

    มีหลักฐานชี้ว่าระหว่าง “รอ” นั้น พระยาพหลฯ พักอยู่บริเวณหัวมุมสนามเสือป่า ด้านซ้ายมือของพระบรมรูปทรงม้า อันเป็น “สถานกาแฟนรสิงห์”

    “แต่ในระหว่างบรรยากาศของความขมุกขมัวนั้นเอง นายพันเอกร่างอ้วนอุ้ยอ้าย ดำจ้ำม่ำ ในเครื่องแบบทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ สวมท๊อปบู๊ทและเหน็บคอลท์รีวอลเวอร์ที่บั้นเอว ก็ก้าวออกมาจากร่มเงาของต้นโศก ที่กำลังมีดอกงามบานสพรั่งอยู่หน้า ‘กาแฟนรสิงห์’ ใบโศกยังมีหยาดเม็ดฝนเกาะอยู่จากพระพิรุณเมื่อราตรีที่แล้ว”

    “สถานกาแฟนรสิงห์” ที่พักรอของพระยาพหลฯ อยู่บริเวณหัวมุมสนามเสือป่า ด้านซ้ายของพระบรมรูปทรงม้า ตั้งขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เป็นที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม อยู่ในสังกัดกรมมหรสพ ซึ่งใช้ตรา “นรสิงห์” เป็นตราประจำกรม มาเป็นชื่อและตราประจำร้าน

    “สถานกาแฟนรสิงห์ ซึ่งรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งขึ้นเป็นที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในยามว่าง ตัวอาคารปลูกสร้างงดงามมาก สถานที่สะอาดโอ่โถง มีสนามหญ้าตั้งโต๊ะเก้าอี้เต็มไปหมด เครื่องใช้สอยต่างๆ เช่น จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ถ้วยชา ผ้าปูโต๊ะ มีตรานรสิงห์สีเขียวประทับอยู่ทุกชิ้น ล้วนแต่สั่งมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น โดยมากฝรั่งนิยมชมชอบไปพักผ่อนกันมาก”

    “สถานกาแฟนรสิงห์” เป็นที่พบปะชุมนุมของ “คนมีระดับ” ในสมัยนั้น รวมถึงหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นที่นัดพบกับ นายร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเล็กน้อย เพื่อแนะนำหลวงอรรถกิจกำจร น้องชายหลวงประดิษฐ์มนูธรรมให้รู้จัก เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ก่อการฯ

    แต่ “สถานกาแฟนรสิงห์” ในระยะแรกต้องประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจาก “ผู้มีฐานะดี” มักนิยม “เซ็นเชื่อ” ด้วยลายมือที่อ่านไม่ออก จึงไม่สามารถตามเก็บเงินได้

    ต่อมาจึงมีการแต่งตั้ง พระเจนดุริยางค์ หัวหน้ากองดนตรีฝรั่งหลวง สังกัดกรมมหรสพ เป็นผู้อำนวยการ และมี ขุนพิสิฐนนทเดช หัวหน้าแผนกบัญชีและพัสดุ เป็นผู้จัดการร้าน กิจการจึงกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งด้วยนโยบายวางป้าย “จ่ายสด” ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทุกโต๊ะ

    ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วงเวลา ๕ โมงเย็น ถึง ๑ ทุ่ม “สถานกาแฟนรสิงห์” จะมีการบรรเลงเพลงโดยพระเจนดุริยางค์เป็นผู้อำนวยการเพลง เป็นร้านอาหารแห่งแรกในสยามที่เปิดการเต้นรำและมีเบียร์สดจากเยอรมนีจำหน่าย ด้านอาหารเน้นอาหารฝรั่ง ส่วนขนมหวานรับมาจากวังเจ้านาย มีไอศกรีมผลิตจากน้ำกลั่นจากต่างประเทศเท่านั้น

    ช่วงรุ่งเรืองของ “สถานกาแฟนรสิงห์” โดยเฉพาะในวันที่เปิดการเต้นรำ จะมีรถยนต์มากถึง ๒๐๐ คัน จอดเต็มลานตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงหน้าพระบรมรูปทรงม้า ถึงกับมีคนกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดไม่เคยไปต่างประเทศ ถ้าได้ไปที่กาแฟนรสิงห์นี้แล้ว ก็เหมือนไปต่างประเทศ”

    สุดท้ายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกรมมหรสพถูกยุบ “สถานกาแฟนรสิงห์” ถูกโอนให้กรมรถไฟ ขุนพิสิฐนนทเดชไม่รับเป็นผู้จัดการต่อ ไม่นานก็ต้องเลิกกิจการกลายเป็นตำนานไป

    แต่ขณะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง“สถานกาแฟนรสิงห์” ยังไม่ได้เลิกกิจการ ส่วนขุนพิสิฐนนทเดช ผู้จัดการร้าน ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการฯ แต่อย่างใด เพราะขณะนั้นไปรับราชการเป็นพะทำมะรง สังกัดกรมพลำภังค์ อยู่ต่างจังหวัด

    ดังนั้นขณะเวลา “ย่ำรุ่ง” ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน “สถานกาแฟนรสิงห์” ยังไม่เปิดร้าน คณะผู้ก่อการฯ จึงไม่สามารถเข้าไปนั่ง “จิบกาแฟ” ขณะรอทีมจับตัวประกัน เพียงแต่อาศัยร่มไม้โศกหน้าร้านเป็นที่รอ ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะพระยาพหลฯ ได้จิบโกโก้ร้อนมาแล้วหนึ่งถ้วยก่อนออกจากบ้าน

    จาก “สถานกาแฟนรสิงห์” ถึง “หมุดคณะราษฎร”

    “การก้าวออกมาจากร่มเงาของต้นโศกที่มืดครึ้มอยู่ในขณะนั้น เขาได้ก้าวออกมาปรากฏตนท่ามกลางแถวทหาร พร้อมด้วยการอ่านแถลงการณ์ยืดยาว ซึ่งสรุปแล้ว คือการประกาศยึดอำนาจการปกครอง จากพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นโดยสิ้นเชิง”

    หนังสือ ๑๐๐ ปี พระยาพหลฯ ได้ให้รายละเอียด บรรยากาศ และอารมณ์ เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ไม่ได้อ้างอิงหลักฐานว่าได้มาจากที่ใด

    “ครั้นถึงเวลาย่ำรุ่งเศษ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ในเครื่องแบบยศตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่ ก็ก้าวจากใต้ต้นโศกด้านสนามเสือป่า ซึ่งยืนรออยู่ท่ามกลางนายทหารผู้ใหญ่ด้วยกัน ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าแถวทหาร โดยมีผู้บอกทำความเคารพแล้ว ก็คลี่กระดาษออกมาอ่านด้วยเสียงอันดัง แต่มิได้ขึ้นต้นแบบทักทหารเหล่านั้นเลย เพราะฝ่ายพลเรือนเขียนให้อย่างนั้น”

    นักหนังสือพิมพ์ทั้ง ๒ ท่านที่เขียนเล่าเหตุการณ์ “วันปฏิวัติ” นี้อาจจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่อาศัยคำบอกเล่าและการสัมภาษณ์เป็นพื้น จึงอาจมีการ “เติมสีสัน” เข้าไปเจือปนบางส่วน

    ต่างจากบทสัมภาษณ์ของพระยาฤทธิอัคเนย์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น มีรายละเอียดชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

    “เมื่อเห็นกำลังทหารหน่วยต่างๆ พากันพรั่งพร้อมสมความมุ่งหมายแล้ว พระยาพหลฯ ก็เริ่มดำเนินงานตามแผนทันที โดยเรียกประชุมบรรดาผู้บังคับบัญชาทางทหารทั้งหมด ให้ไปประชุมพร้อมกันที่กลางลานพระบรมรูปทรงม้า เบื้องหน้าอนุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราช

    ทหารที่มารวมกันอยู่ ณ ที่นั้น ต่างก็พากันยืนล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม เบื้องหน้าพระยาพหลฯ นายทหารเหล่านี้มีอยู่มากด้วยกันที่คิดว่ามาเพื่อฝึกฝนยุทธวิธี กับมีนายทหารผู้ก่อการที่ทราบเรื่องดีแล้วแทรกกระจายอยู่ทั่วไป พวกก่อการฝ่ายพลเรือนก็มีไปรวมอยู่ ณ ที่นั้นบ้าง

    เบื้องหลังพระยาพหลฯ มีนายทหารเสือของคณะปฏิวัติกับบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญ ได้แก่ พระยาทรงฯ พระยาฤทธิฯ พระยาประศาสน์ฯ ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ

    ครั้นแล้ว พระยาพหลฯ ก็อ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่ามกลางนายทหารเหล่านั้น”

    หากจินตนาการตาม “คำให้การ” ของพระยาฤทธิอัคเนย์แล้ว ดูเหมือนว่า พระยาพหลฯ จะอ่านประกาศยึดอำนาจ ทางด้าน “หัวม้า” เพราะเป็น “เบื้องหน้าอนุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราช” โดยมีกองทหารล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ด้านหน้าพระยาพหลฯ ด้านหลังเป็น “๓ ทหารเสือ” ซึ่งมีพระยาฤทธิอัคเนย์ผู้บอกเล่าเหตุการณ์รวมอยู่ด้วย

    ส่วนพระยาพหลฯ จะหันหน้าเข้าพระบรมรูปทรงม้า โดยมีกองทหารเข้าแถวชิดอยู่กับอนุสาวรีย์ หรือพระยาพหลฯ จะหันหน้าออก โดยยืนชิดกับอนุสาวรีย์นั้น และมีคณะทหารอยู่ถัดออกไปด้านนอกหรือไม่นั้น ไม่ปรากฏใน “คำให้การ”

    ปัญหาก็คือ หากพระยาพหลฯ ไปยืนอ่านประกาศด้าน “หัวม้า” แล้ว เหตุใด “หมุดคณะราษฎร” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น “จุด” ที่พระยาพหลฯ ยืนอ่านประกาศยึดอำนาจ จึงถูกฝังไว้ทางด้าน “ซ้ายมือ” ของพระบรมรูปทรงม้า?

    อีกทั้งยังมีคำจารึกยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ”

    เป็นไปได้หรือไม่ว่า “ณ ที่นี้” อาจหมายถึง “บริเวณ” ลานพระบรมรูปทรงม้าทั้งหมด ซึ่งต่างจากคำว่า “ณ จุดนี้”

    หรือความทรงจำของพระยาฤทธิอัคเนย์คลาดเคลื่อน

    หรือหมุดทองเหลืองของคณะราษฎร ถูกย้าย!?

    โชคยังดีที่พระยาพหลฯ ราวกับจะรู้ว่า วันหนึ่งคนจะลืม และมาถกเถียงหา “จุดกำเนิด” ของรัฐธรรมนูญในกาลข้างหน้า

    พระยาพหลฯ จึงตกลงใจที่จะสร้าง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” ฝังไว้ ณ จุดที่ท่านได้ยืนอ่านประกาศยึดอำนาจ เมื่อเวลาเช้าของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ อันเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศสยาม

    จุดประสงค์เพื่อเตือนความทรงจำของคณะผู้ก่อการฯ เอง ที่อาจจะลืมเลือนไป หรือผู้ก่อการฯ บางคน ที่วันนั้นไปปฏิบัติงานที่อื่น ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ขณะพระยาพหลฯ อ่านประกาศยึดอำนาจ รวมทั้งเพื่อความทรงจำของประชาชนชาวสยามทั้งปวง

    “ข้าพเจ้าเชื่อว่าบางท่านคงจะจำได้แต่เพียงเลือนๆ ส่วนบางท่านที่ต้องถูกใช้ไปทำหน้าที่อื่นๆ ที่ห่างไกลออกไป ก็คงจะไม่ทราบ ว่าจุดนั้นอยู่แห่งใดแน่

    ข้าพเจ้าเห็นว่า พวกเราชาวสยามไม่ควรจะหลงลืมที่สำคัญอันนี้เสียเลย, เพราะเป็นที่กำเนิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร์สยาม ซึ่งเสมือนดังว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ ทั้งเป็นมิ่งขวัญของประชาชาติด้วย...”

    พระยาพหลฯ ยังได้เดินทางไปเป็นประธานทำพิธีฝังหมุดทองเหลืองนี้ด้วยตัวเอง



    พิธีฝังหมุดที่พระลานพระบรมรูปทรงม้า

    (มีข้อความว่า ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ)
    ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๙

    เวลาเช้า เจ้าหน้าที่จะได้เตรียมการจัดตั้งปรำและฉัตรเบญจา อาสนสงฆ์ไว้พร้อมสรรพ

    เวลาบ่าย ๑๔.๓๐ นาฬิกา พระสงฆ์วัดเบ็ญจมบพิตรมีพระธรรมโกศาจารย์เป็นประธาน รวม ๙ รูป พร้อมกัน ณ อาสนสงฆ์ที่เตรียมไว้ เมื่อนายกรัฐมนตรีมายังโรงพิธี เจ้าพนักงานสังฆการีอาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล แล้วเจริญพระปริตต์ตามสมควร เสร็จแล้วพรมน้ำมนตร์และเจิมหมุดที่หลุม ครั้นแล้วนายกรัฐมนตรี เริ่มจับหมุดฝังเป็นปฐมฤกษ์ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาจบแล้ว นายกรัฐมนตรีประเคนเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา แล้วเป็นเสร็จพิธี.

    น่าเสียดายที่เอกสารของพระยาพหลฯ ก็ยังไม่ให้ความชัดเจนอยู่ดี เพราะร่างสุนทรพจน์ของพระยาพหลฯ ที่ใช้กล่าวในวันพิธีฝัง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” แม้จะยืนยันว่า “จุด” ที่จะฝังหมุดนั้นเป็นจุดเดียวกับที่ยืนอ่านประกาศยึดอำนาจ แต่ก็ไม่ได้บอก “พิกัด” ชัดเจนไว้ในเอกสารว่า “จุด” นั้น อยู่ตำแหน่งไหนในลานพระบรมรูปทรงม้า เนื่องจากสุนทรพจน์นั้นใช้กล่าวก่อนจะทำพิธีฝังหมุด ซึ่งทุกคนในที่นั้นย่อมเห็นด้วยตาอยู่เอง จึงไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำอีก

    อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มักจะมีข่าวเรื่อง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” นี้ ถูกแงะไปเก็บบ้าง ถูกย้ายที่แก้เคล็ดบ้าง แต่ก็ขาดหลักฐานยืนยันว่า ย้ายจากไหนไปไหน แล้วนำกลับมาไว้ตำแหน่งเดิม “แป๊ะๆ” เลยหรือไม่

    เนื่องจาก “พิกัด” ที่แท้จริงไม่มี หลักฐานการเคลื่อนย้ายยังไม่ชัด จึงต้องถือ “เสมือนว่า” ณ “จุดยืน” ที่พระยาพหลฯ อ่านประกาศยึดอำนาจ หรือจุดที่ฝัง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” ยังคง “แน่นิ่ง” อยู่ที่เดิม ไม่ได้มีการ “เปลี่ยนแปลง” เลยในช่วงเวลา ๘๐ ปีมานี้

    พระยาพหลฯ ไม่ได้อ่านประกาศคณะราษฎร?

    ปัญหาสุดท้าย ที่ไม่ได้เป็นข้อถกเถียงใหญ่โต แต่เอกสารชั้นหลังๆ มักจะ “เชื่อว่า” เมื่อเวลา “ย่ำรุ่ง” นั้น พระยาพหลฯ ได้อ่าน “ประกาศคณะราษฎร” ต่อหน้าเหล่าทหารกองผสม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งที่จริงบรรดา “คำให้การ” หรือบทสัมภาษณ์ของ “๔ ทหารเสือ” ก็ไม่ได้บอกเลยว่าสิ่งที่ พระยาพหลฯ ยืนอ่านขณะนั้นคือ “ประกาศคณะราษฎร” (ฉบับที่พิมพ์แจกประชาชนโดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม)

    บทสัมภาษณ์ของพระยาพหลฯ ผู้อ่านประกาศยึดอำนาจ ที่เรียบเรียงโดย กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า

    “เมื่อได้จัดการชุมนุมกำลังทหารในพระนคร และเชิญเสด็จเจ้านายมากักตัวไว้เป็นประกันสำเร็จลุล่วงตามอุบายและแผนการแล้ว พระยาพหลฯ ก็ประกาศวัตถุประสงค์ของการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย”

    บันทึกของพระยาทรงฯ ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็น “ประกาศคณะราษฎร” เช่นกัน

    “ผู้อำนวยการฝ่ายทหาร ได้ต้อนทหารทั้งหมดเข้าประตูรั้วเหล็กของพระที่นั่งอนันต์ฯ ภายหลังที่พระยา พหลฯ ได้อ่านคำประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้ถูกตะโกนแต่งตั้งขณะนั้นเป็นต้นไป”

    คำสัมภาษณ์ของพระฤทธิอัคเนย์ก็ตรงกับพระยาพหลฯ และพระยาทรงฯ

    “ครั้นแล้ว พระยาพหลฯ ก็อ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่ามกลางนายทหารเหล่านั้น”

    สุดท้ายคือบันทึกของพระประศาสน์ฯ ก็เช่นเดียวกับพระยาพหลฯ พระยาทรงฯ และพระยาฤทธิอัคเนย์

    “เจ้าคุณพหลฯ ก็ประกาศเปลี่ยนการปกครองแผ่นดิน”

    เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามคือ “ย่ำรุ่ง” ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ พระยาพหลฯ อ่านอะไร?

    หลักฐานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งที่ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้คือหนังสือเรื่อง ทหารเรือปฏิวัติ ของ นายหนหวย ซึ่งได้ข้อมูลมาจากการสัมภาษณ์ผู้ก่อการฯ ฝ่ายทหารเรือเป็นหลัก ได้กล่าวว่า

    “ที่นี้ พระยาพหลฯ พระยาทรงฯ สองสหายก็พากันร่างคำแถลงการณ์ขึ้นเพื่อประกาศแทนคำสมมุติในการฝึก คำแถลงการณ์นี้ได้เขียนเป็นภาษาเยอรมัน คำแถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ใช่ฉบับที่พิมพ์แจกจ่ายแก่ประชาชน”

    เหตุที่ต้องเขียนคำแถลงการณ์นี้เป็นภาษาเยอรมัน น่าจะเพื่อป้องกันการมีหลักฐานมัดตัวหากถูกจับ และเข้าใจการ “แทรก” คำสมมุติในการฝึก คือการกำหนดรูปแบบการฝึก การแบ่งฝ่ายรุกรับ ก็น่าจะเป็นการอำพราง “เนื้อหา” ในคำประกาศ (เช่นเดียวกับ “คำประกาศคณะราษฎร” ก็มีการอำพรางด้วยการพิมพ์ “แทรก” อยู่ในเนื้อหาอื่นๆ ก่อนจะตัดเนื้อหานั้นทิ้ง เหลือแต่คำประกาศ)

    เพราะเมื่อถึงเวลาที่พระยาพหลฯ อ่านประกาศจริงๆ ก็เหลือเฉพาะ เนื้อหาเรื่องการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง และการกำชับกำลังพลในที่นั้นให้เชื่อฟังแต่โดยดี โดยควักคำประกาศออกมาจากกระเป๋าเสื้อ อ่านด้วยเสียงสนั่นดังลั่นลานพระบรมรูปทรงม้า

    “แถลงการณ์ภาษาเยอรมันแต่อ่านเป็นภาษาไทย ของพระยาพหลฯ ฉบับนั้น มีใจความสำคัญแต่เพียงว่าบัดนี้คณะราษฎร, ทหาร, พลเรือน ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองไว้แล้วโดยเด็ดขาด เพื่อลบล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชอันเก่าแก่ลง และสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นตามแบบอารยะชาติทั้งหลาย

    ขอให้นายทหารที่มิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอยู่ในความสงบอย่าทำการขัดขวาง และออกจากลานพระรูปฯ ไปไม่ได้จนกว่าจะได้สั่งให้กลับไป หากจะพอใจให้ความร่วมมือสนับสนุนแก่คณะราษฎร ซึ่งยึดอำนาจการปกครองก็ยินดียิ่ง ทั้งนี้เพื่อความเจริญของชาติบ้านเมือง”

    ซึ่งเรื่องนี้ก็สอดคล้องต้องกัน กับร่างสุนทรพจน์ของพระยาพหลฯ ในวันพิธีฝัง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” เช่นเดียวกัน

    “ณ จุดที่ข้าพเจ้าได้รับอุปโลกน์จากพวกพี่น้องผู้ร่วมก่อการให้เป็นผู้นำ และที่นั้นข้าพเจ้าได้ยืนกล่าวสุนทรพจน์ เพื่อปลุกใจเพื่อนที่เคยร่วมตายทั้งหลาย และได้สั่งการอย่างเด็ดขาดในการที่จะดำเนินการต่อไป และได้กำหนดโทษไว้อย่างหนัก ถ้าผู้ใดขัดขืนคำสั่งและละเมิดวินัยในการกระทำหน้าที่ ซึ่งเกี่ยวแก่การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น”

    จึงน่าจะเป็นที่แน่นอนว่า วันนั้น พระยาพหลฯ ไม่ได้อ่าน “ประกาศคณะราษฎร” แต่เป็นแถลงการณ์ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการปลุกใจ และสั่งการควบคุมทหารให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเด็ดขาด


    สรุป

    ในวันยึดอำนาจการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ กองทหารผสมมาชุมนุมพร้อมกันเวลา “ย่ำรุ่ง” ๐๖.๐๕ น. จากนั้นเวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. พระยาพหลฯ ก้าวมายืนอยู่ ณ จุดที่ฝัง “หมุดกำเนิดรัฐธรรมนูญ” ในลานพระบรมรูปทรงม้า ท่ามกลางเหล่าทหารกองผสม เพื่ออ่านแถลงการณ์ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง และปลุกใจเพื่อนทหารที่มาชุมนุมอยู่ที่นั้น

    เมื่อกล่าวจบคณะผู้ก่อการฝ่ายทหารก็นำทหารเปล่งเสียงขึ้น ๓ ครั้ง

    ไชโย, ไชโย, ไชโย

    ปัจจุบัน “สถานกาแฟนรสิงห์” อันเป็น “ก้าวแรก” ของรัฐธรรมนูญ ได้เลิกกิจการไปแล้ว คณะราษฎรรุ่นก่อตั้งก็ไม่เหลือแล้ว หลัก ๖ ประการในคำประกาศคณะราษฎร ก็เหลือเป็นเพียงอนุสาวรีย์ สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียง “จุดยืน” ของรัฐธรรมนูญที่หลายคน “ไม่รู้จัก” ซึ่งถูกฝังสนิทอยู่ “เบื้องล่าง” พระบรมรูปทรงม้า ที่ยังคงมีผู้ “เซ่นไหว้” ไม่เสื่อมคลาย

    (อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ พร้อมภาพประกอบและเชิงอรรถ ได้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนมิถุนายน 2555)

    ที่มา : มติชนออนไลน์ วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.
    โดย ปรามินทร์ เครือทอง


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Somsak นาคคะนึง

    [​IMG]

    prachachat
    อัยการดังเตือนโป๊ปฟรานซิสอาจเป็น′เหยื่อมาเฟีย′หากกวาดล้างคอร์รัปชั่นภายในวาติกัน

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/k5B7-zk9KSA?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    กวาดล้างคอร์รัปชั่นภายในวาติกัน updated: 14 พ.ย. 2556 เวลา 16:27:20 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายนิโคล่า แกรตเตริ หนึ่งในอัยการใหญ่ของอิตาลี ซึ่งต้องอยู่ภายใต้โครงการคุ้มครองของตำรวจมากว่า 25 ปี เปิดเผยว่า แผนรณรงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา "ฟรานซิส" ที่จะจัดการกวาดล้างกับการคอร์รัปชั่นกำลังสร้างความไม่พอใจให้แก่แก๊งมาเฟียต่างๆ ในอิตาลี ซึ่งที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากสายสัมพันธ์กับสำนักวาติกัน และอาจทำให้พระองค์เสี่ยงอันตรายได้ โดยหากพระองค์เข้าไปแตะผลประโยชน์ของกลุ่ม แก๊งมาเฟียเหล่านี้จะไม่รั้งรอที่จะเล่นงานพระองค์แน่นอน

    อัยการรายนี้กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา มาเฟียได้ฟอกเงินและลงทุนผ่านการรู้เห็นเป็นใจของสำนักวาติกัน และที่ผ่านมา มีบิชอปบางรายปฏิเสธที่จะซัดทอดเจ้าพ่อแก๊งมาเฟียอิตาลี แม้ว่าจะถูกตัดสินจากศาลสูงอิตาลีว่าผิดจริงในข้อหารับสินบน รวมทั้งยังมีพระวาติกันจำนวนไม่น้อยที่เข้าบ้านมาเฟียเพื่อไปนั่งดื่มกาแฟ สวดมนต์ให้พร ให้แก่กลุ่มเหล่านี้ ทั้งที่กลุ่มเป็นสิ่งสกปรกที่นิยมฆ่าคนและนำเข้าโคเคน นอกจากนี้ เขายังบอกว่า จากการสอบสวนเหล่าสมาชิกมาเฟียแล้วพบว่า ส่วนใหญ่ หรือราว 88 เปอร์เซ็นต์เป็นพวกเชื่อศาสนา โดยพวกมือปืนจะสวดมนต์ก่อนที่จะสังหารใครสักคน

    รายงานระบุว่า ข้อกล่าวหาว่าวาติกันและมาเฟียอิตาลีเกี่ยวพันกัน เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี 1980 เมื่อนายโรเบอร์โต คัลวี หรือนายแบงก์ของพระเจ้า ที่เกี่ยวพันกับวาติกัน ถูกพบในสภาพแขวนคอใต้สะพานในกรุงลอนดอน ซึ่งบางรายเชื่อว่า เขาถูกฆาตกรรมโดยกลุ่ม "โคซ่า นอสตรา" มาเฟียเกาะซิซิลี ฐานทำเงินที่กลุ่มฝากไว้กับเขาหาย

    ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ โป๊ปฟรานซิสได้ทรงให้คำปฏิญาณที่จะต่อสู้กับการคอร์รัปชั่น โดยพระองค์อ้างอิงสารจากไบเบิลที่พระเยซูกล่าวว่า พวกคนบาปสมควรจะถูกมัดถ่วงหินให้อยู่ใต้ทะเล และก่อนหน้านี้ พระองค์ได้กล่าวที่วิหารเซนต์ปีเตอร์ ในกรุงโรม โจมตีกลุ่มมาเฟียต่างๆ ฐานใช้ประโยชน์และใช้ผู้คนเป็นทาสรับใช้ให้แก่กลุ่ม

    ที่มามติชนออนไลน์

    อ่านต่อ >> อัยการดังเตือนโป๊ปฟรานซิสอาจเป็น′เหยื่อมาเฟีย′หากกวาดล้างคอร์รัปชั่นภายในวาติกัน : ปร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.2 KB
      เปิดดู:
      1,404
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “รัฐบาลโอบามา” ผิดหวังตัวเลขชาวมะกันสมัคร “โอบามาแคร์” ไม่สูงเหมือนที่คาด
    เอเจนซีส์ – ในวันพุธ (13)

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/IzhHflSfnAM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ที่ผ่านมา รัฐบาลเดโมแครตของสหรัฐฯ แสดงอาการผิดหวังหลังจากยอดตัวเลขชาวอเมริกันผู้สมัครประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ผ่านเว็บไซต์ของรัฐบาลที่มีปัญหาตั้งแต่วันเปิดตัวนั้นต่ำกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก โดยมีจำนวนชาวอเมริกันเพียงแค่ 27,000 รายที่สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์นี้ได้ในเดือนตุลาคมที่เปิดตัว ในขณะที่หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มปริศนาต้อนรับบนหน้าเพจ “โอบามาแคร์” ออกมาเปิดใจหลังจากโดนถล่มยับเนื่องจากปัญหาเว็บไซต์ขัดข้องถึงขั้นกล่าวหาว่า เธอเป็นผู้อพยพหนีเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย

    ในวันพุธ (13) มีการประกาศตัวเลขจำนวนผู้ประกันตนชาวอเมริกันที่สามารถสมัครประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ตามนโยบายของพรรคเดโมแครตทั้งหมดได้เพียง 106,000 คน โดยส่วนมาจะสมัครได้ผ่านเว็บไซต์ของมลรัฐต่างๆที่ได้สร้างขึ้นอีกต่าง นอกเหนือจากเว็บไซต์ healthcare.gov ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่มีปัญหาล่มตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านั้นรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประเมินว่าน่าจะมีชาวอเมริกันที่ยังไม่มีประกันสุขภาพเข้าสมัคร “โอบามาแคร์” ในเดือนตุลาคมที่เป็นเดือนเปิดตัวเกือบ 500,000 คน ผ่านเว็บไซต์ประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางที่ใช้กันใน 36 มลรัฐ
    แม้โอบามาแคร์จะเป็นนโยบายของรัฐบาลกลาง แต่รัฐบาลท้องถิ่นที่อาจจะมาจากต่างพรรคไม่จำเป็นต้องสนับสนุน ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าพรรครีพับลิกันทำทุกอย่างเพื่อจะหยุดยั้งการบังคับใช้กฎหมายประกันสุขภาพที่ทำตั้งแต่พยายามขัดขวางไม่ให้ผ่านกฎหมาย ตัดงบสนับสนุนนโยบาย เลื่อนการบังคับใช้ จนถึงกระทั่งทำให้เกิดวิกฤตปิดหน่วยงานรัฐ (ชัตดาวน์) ดังนั้น ช่องทางการซื้อประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางทางเว็บไซต์จึงเป็นช่องทางหลักที่ชาวอเมริกันจะเลือกใช้ และทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นสัญญากับชาวอเมริกันว่าเว็บไซต์ healthcare.gov จะสามารถใช้ได้ปกติเหมือนเดิมภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

    ตัวเลขที่ประกาศล่าสุดเมื่อวานนี้ (13) จากกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันที่ยากจนเกือบ 400,000 คนที่ตรงตามเงื่อนไขสามารถซื้อประกันสุขภาพโอบามาแคร์แบบ Medicate ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกเพิ่มเติมจากกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act หรือ ACA โดยมีจำนวนชาวอเมริกันที่ยากจน 40% จากทั้งหมดเกือบ 400,000 คนได้พยายามสมัครผ่านเว็บไซต์ healthcare.gov
    ด้านโฆษกกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ จูเลีย บาเทลล์ เผยว่าทางกระทรวงฯได้ส่งอีเมลเชิญชวนไปให้ชาวอเมริกันจำนวน 275,000 คน ที่ประสบปัญหาในการซื้อประกันสุขภาพของรัฐในเดือนแรกที่เปิดตัวให้ลองสมัครใหม่อีกครั้ง และทางด้านหัวหน้าแผนกสารสนเทศและเทคโนโลยีของทำเนียบขาว ได้เผยกับสภาคองเกรสในวันพุธ (13) ว่า ระยะเวลาที่ตอบสนองของระบบของเว็บไซต์ healthcare.gov นั้นเร็วขึ้น แต่ทว่าตัวเลขการสมัครโอบามาแคร์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน นั้นแสดงว่ามีชาวอเมริกันแค่ 1.5% ของชาวอเมริกันกลุ่มเป้าหมายราว 7 ล้านคนนั้นได้ซื้อประกัน ซึ่งการผ่อนผันการซื้อประกันสุขภาพนั้นจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมีนาคม 2014

    ล่าสุด โอบามาได้ออกมาขอโทษชาวอเมริกันถึงสิ่งที่เขาได้เคยสัญญากับชาวอเมริกันในเรื่องการประกันสุขภาพนั้นไม่เป็นจริง โดยมีบริษัทประกันสุขภาพหลายบริษัทได้ยกเลิกแผนการประกันที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายประกันสุขภาพ ACA 2010

    ด้านสื่อออนไลน์ Charleston Daily Mail เผยตัวเลขชาวรัฐเวสต์เวอร์จิเนียจำนวนถึง 8,800 คนที่ได้ถูกบริษัทประกันสุขภาพยกเลิกกรมทัณฑ์ตามกฎหมายประกันสุขภาพ ACA 2010

    ในขณะเดียวกัน ความอื้อฉาวของปัญหาการซื้อประกันสุขภาพก็ถูกระบายผ่านไปยังนางแบบยิ้มปริศนาบนหน้าเว็บ healthcare.gov ซึ่งรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งของสหรัฐฯ นำไปล้อเลียน เช่น นางแบบเชื้อชาติไม่ชัดแจ้งบนเว็บโอบามาแคร์ และรูปของเธอถูกนำไปตัดต่อ นอกเหนือไปจากนี้ มีชาวอเมริกันจำนวนมากที่กล่าวอ้างว่า นางแบบบนเว็บไซต์โอบามาแคร์นั้นคาดว่าจะเป็น คนต่างด้าวหลบหนีเข้าสหรัฐฯ และเธอย่อมไม่มีสิทธิ์ในการซื้อประกันสุขภาพของรัฐบาล

    และเมื่อวานนี้ (13) เธอได้ออกมาให้สัมภาษณ์พิเศษ โดยขอปิดบังสถานะเพื่อความปลอดภัยว่า เธอชื่อเอเดรียนา เป็นคุณแม่ของลูกวัย 21 เดือน โดยเธอถือสัญชาติโคลอมเบียและอยู่กินกับสามีที่เป็นพลเมืองอเมริกันมา 6 ปีครึ่งและเธอกำลังจะขอสิทธิความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ในอนาคต

    โดยหลังจากที่เว็บนี้เปิดตัว เธออ้างว่าเธอตกเป็นเหยื่อถูกคุกคามทางออนไลน์ โดยเธอกล่าวว่า เจ้าหน้าที่จากแผนกรับผิดชอบนโยบาย Medicare/Medicate ได้ขออนุญาตนำรูปภาพของเธอและครอบครัวเพื่อใช้ในการโฆษณานโยบายนี้ ซึ่งเธอตอบตกลงและ
    เธอไม่เคยได้รับค่าตอบแทนจากการอนุญาตในครั้งนั้นแต่อย่างใด

    นอกจากนี้ เอเดรียนาอ้างว่าเธอไม่มีความเห็นใดเป็นพิเศษต่อนโยบายนี้ถึงแม้เธอจะมีคุณสมบัติที่สามารถซื้อประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ก็ตาม แต่เธอรู้สึกประหลาดใจที่มีฟีดแบคด้านลบออกมาหลังจากรูปเธอปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ และในที่สุดรูปเธอได้ถูกนำออกจากเว็บไซต์ healthcare.gov โดยเธอกล่าวว่าเธอรู้สึกโล่งใจมาก เธอไม่ได้เป็นคนออกแบบเว็บไซต์ ไม่ได้เป็นคนทำให้เว็บไซต์ล่ม ดังนั้นคนพวกนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเกลียดเธอ

    ผู้จัดการ
    เขียนโดย Schau-Thai ที่ 11:15 ไม่มีความคิดเห็น:
    ป้ายกำกับ: Germany and Around the World
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โลกตื่นเต้น!!! พบ “ซาวลา” (Saola) ยูนิคอร์นเอเชียสุดหายาก (ชมคลิป)

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ว่า กองทุนพิทักษ์สัตว์ป่านานาชาติ (WWF หรือ World Wildlife Fund ) ได้ค้นพบ “สาวล่า” หรือ ซาวลา (Saola) ยูนิคอร์นพันธุ์เอเชียสุดหายาก ครั้งแรกในรอบ 15 ปี ในพื้นที่ภูเขาแห่งหนึ่ง และนับเป็นการค้นพบสัตว์ประเภทนี้เป็นครั้งแรกในเอเชียในรอบ 15 ปี หลังจากเคยพบที่ลาว เมื่อปี 1992 ในพื้นที่ภูเขาห่างไกล

    โดยเจ้าหน้าที่กองทุนพิทักษ์สัตว์ป่านานาชาติได้เข้าคุ้มครองล้อมรอบพื้นที่บริเวณใกล้จุดค้นพบแล้ว โดยมีการจ้างเจ้าหน้าที่ป่าไม้ท้องถิ่นให้ช่วยขจัดหอยทาก และป้องกันการล่าสัตว์ผิดกฎหมายในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีการบันทึกภาพสาวล่า หรือซาวลา ได้ เพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อชีวิตสัตว์หายากประเภทนี้

    รายงานระบุว่า การค้นพบดังกล่าว ถือเป็นข่าวใหญ่สำหรับกองทุนพิทักษ์
    สัตว์ป่าโลกในรอบ 50 ปี โดยสัตว์ดังกล่าวมีเขาแหลมสองเขา ยาว 50 ซม. และถือเป็นการฟื้นความหวังของโลกที่จะมีโอกาสได้ค้นพบสัตว์ประเภทนี้เพิ่มขึ้นอีก โดยก่อนหน้านี้ มีการพบสาวล่า หรือซาวล่า 2 ตัว ในเวียดนามเมื่อปี 1993 แต่มันเสียชีวิตระหว่างถูกกักบริเวณเป็นเวลาหลายเดือน และเวียดนามได้พบเห็นสัตว์ประเภทนี้ เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1998 ในป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกวงนาม

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/29hX9dPCZCU?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    [​IMG]

    File:pseudoryx nghetinhensis distribution.png
    แหล่งที่พบ ”สาวล่า” หรือ ซาวลา (Saola) /ภาพจาก wikipedia
    หมายเหตุ ซาวลา หรือ วัวหวูกว่าง (เวียดนาม: sao la; อังกฤษ: Vu Quang ox) สัตว์ป่าที่เสี่ยงอย่างยิ่งใกล้สูญพันธุ์ จัดเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1992 มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudoryx nghetinhensis มีรูปร่างคล้ายแพะผสมกับเลียงผา จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับวัว (Bovidae) จัดเป็นแอนทิโลปชนิดหนึ่ง ถูกพบครั้งแรกในเวียดนาม ขนตามลำตัวสั้นมีสีน้ำตาลเข้ม มีลักษณะเด่นคือ มีลายสีขาวบริเวณใบหน้า เขาโค้งยาวและแหลมคม อาจมีเขายาวมากกว่า 50 เซนติเมตรได้ ต่อมใต้ตามีขนาดใหญ่ใช้หลั่งสารเคมีที่สื่อสารกับตัวเมีย
    มีความยาวหาง 30 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 84 เซนติเมตร น้ำหนัก 80-100 กิโลกรัม
    พบเฉพาะป่าทึบชายแดนลาวกับเวียดนามเท่านั้น จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pseudoryx[2]
    มีพฤติกรรมออกหากินตามลำพังในช่วงเช้าตรู่ถึงตอนบ่าย แต่บางครั้งอาจพบเห็นหากินในเวลากลางคืน มักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้น มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ตั้งท้องนานประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว


    มติชน และ ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
    เขียนโดย Schau-Thai ที่ 10:20 ไม่มีความคิดเห็น:
    ป้ายกำกับ: Germany and Around the World
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.png
      1.png
      ขนาดไฟล์:
      833.2 KB
      เปิดดู:
      1,026
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    “ปินส์” เริ่ม “ฝังศพหมู่” เหยื่อพายุไห่เยี่ยน - สายธารน้ำใจยังหลั่งไหล แต่ไปไม่ถึงมือผู้เดือดร้อน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤศจิกายน 2556 19:02 น.

    พวกเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของฟิลิปปินส์กำลังนับร่างผู้เสียชีวิต

    เอพี/รอยเตอร์ – เมืองตาโกลบาน ทางภาคกลางของฟิลิปปินส์ ที่ถูกพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มจนพังพินาศย่อยยับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มฝังร่างของผู้เสียชีวิตบางส่วนลงในหลุมฝังศพรวมขนาดมหึมา ที่สุสานแห่งหนึ่ง ในบริเวณเชิงเขา วันนี้ (14 พ.ย.) เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างน่าเศร้าสลดถึงโศกนาฏกรรม ที่ทำให้แดนตากาล็อกต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวง ซึ่งก็คือการเลี้ยงดูประชาชนราว 11.5 ล้านชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน

    ความช่วยเหลือกำลังเริ่มไปถึงประชาชนบางส่วนจากทั้งหมด 545,000 คน ที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน ที่เมื่อ 6 วันก่อน ได้พัดถล่มหลายเกาะทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเรือนพันเรือนหมื่น พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือ จังหวัดเลย์เต, เมืองเอกของจังหวัดนี้ที่ชื่อตาโกลบาน และที่เกาะซามาร์ โดยร่างของผู้เสียชีวิตจำนวนมากยังคงตกค้างเกลื่อนกลาดอยู่ตามถนนสายต่างๆ ในเมือง และยังมีศพอื่นๆ ที่ถูกซากความเสียหายทับไว้

    ที่ด้านนอกศาลาว่าการเมืองตาโกลบาน ร่างผู้เสียชีวิตที่บรรจุอยู่ในถุงจำนวนหลายสิบศพถูกนำมาวางเรียงกันในวันนี้ (14) เพื่อรอฝัง ขณะที่มีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งกระจายไปทั่ว

    ในขั้นต้นของปฏิบัติการ ร่างของผู้เสียชีวิต 30 ศพ ซึ่งอยู่ในถุงดำที่เริ่มรั่วแล้ว ถูกหย่อนลงไปในหลุมศพที่ด้านนอกของเมือง ทั้งนี้ไม่ได้ระบุว่ามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือไม่



    “ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นอะไรแบบนี้” นายกเทศมนตรี อัลเฟร็ด โรมูอัลเดซ กล่าว อีกทั้งเสริมว่า “เมื่อผมมองสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่พายุเข้า จนถึงวันนี้”

    ทางการฟิลิปปินส์ระบุว่า มีความพยายามที่จะพิสูจน์เอกลักษณ์ของศพ เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขาได้มีโอกาสรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่พวกเขารักในอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีการตรวจดีเอ็นเอด้วยหรือไม่

    เจ้าหน้าที่เผยว่า มีรายงานยืนยันแล้วว่ามีผู้เสียชีวิต 2,357 รายในภัยพิบัติครั้งนี้ แต่ตัวเลขอาจจะเพิ่มขึ้นอีก และบางทีอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากด้วย เมื่อมีการเก็บข้อมูลจากพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นลูกนี้เช่นกัน

    วาเลอรี อามอส รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายกิจการมนุษยธรรม ผู้ซึ่งไปเยือนตาโกลบานวานนี้ (13) กล่าวว่า มีประชาชนราว 11.5 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นลูกนี้ ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนผู้ที่บ้านเรือนถูกทำลาย ชีวิตความเป็นอยู่ และธุรกิจได้รับความเสียหาย



    ขณะพูดคุยกับพวกนักข่าวในกรุงมะนิลา เธอกล่าวว่าภารกิจที่สำคัญเร่งด่วนที่บรรดาหน่วยงานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ตั้งเป้าจะทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คือการขนส่ง และแจกจ่ายบิสกิตให้พลังงานสูง และอาหารประเภทอื่นๆ ผ้าใบกันน้ำ เต็นท์ น้ำสะอาดสำหรับดื่ม รวมถึงบริการด้านสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน

    “ดิฉันคิดว่าเราทุกคนกำลังรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้เป็นวันที่ 6 แล้ว และเรายังไม่สามารถส่งความช่วยเหลือไปให้ทุกคนได้” เธอกล่าว

    นอกจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแล้ว กองทหารฟิลิปปินส์ที่อยู่บนรถบรรทุกก็กำลังแจกข้าวและน้ำ ส่วนทีมอื่นๆ ใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดซากปรักหักพังที่กีดขวางเส้นทางจราจร ขณะที่ประชาชนหลายพันคนที่กำลังสิ้นหวัง และอยากออกไปจากเมืองนี้ พากันไปออกันอยู่ที่สนามบิน

    แม้ว่าวัสดุอุปกรณ์สำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภายในประเทศ และจากนานาชาติจะไม่ขาดแคลน แต่มีจำนวนมากยังคงตกค้างอยู่ที่กรุงมะนิลา หรือสนามบินเซบู ซึ่งอยู่ใกล้เคียง เพราะสนามบินเมืองตาโกลบานได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่อุปกรณ์บางส่วน เป็นต้นว่า อาหาร น้ำ และเวชภัณฑ์จากสหรัฐฯ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็ถูกส่งไปถึงตาโกลบานแล้ว ทว่ายังคงวางอยู่บนแท่นลำเลียงสินค้าที่พื้นสนามบิน


    ผู้ประสบภัยชาวฟิลิปปินส์กำลังเข้าแถวรอรับอาหารและน้ำดื่ม ที่เกาหลีใต้นำมาบริจาค

    ทั้งนี้ อามอสชี้ว่า เป็นเพราะตาโกลบานกำลังขาดแคลนน้ำมัน ทำให้แทบจะไม่มีรถบรรทุกคันไหนสามารถเคลื่อนย้ายข้าวของช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากสนามบินเข้าไปในเมืองได้ ขณะที่สภาพอากาศก็ยังเป็นปัญหา เนื่องจากมีฝนตกหนักบ่อยครั้ง แต่ข่าวดีก็คือ เศษซากความเสียหายที่เคยปิดกั้นถนนเส้นที่มุ่งหน้าจากสนามบินมายังเมืองนี้ ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ข้างทางแล้ว

    เมื่อวานนี้ (13) โครงการอาหารโลก ขององค์การสหประชาชาติได้ดำเนินการแจกข้าวและสิ่งของอื่นๆให้ประชาชนเกือบ 50,000 คน ในพื้นที่เมืองตาโกลบาน โดยบิสกิตแบบให้พลังงานสูงหนักเกือบ 10 ตัน ได้ถูกจัดส่งไปถึงเมืองนี้แล้ว ขณะที่อีก 25 ตันกำลังอยู่ระหว่างการขนส่ง

    ทางด้าน สนามบินของเมืองตาโกลบานได้ถูกดัดแปลงเป็นคลินิกชั่วคราว ซึ่งก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สตรีมีครรภ์ เด็ก และผู้สูงอายุหลายร้อยคนหลั่งไหลเข้าไปรับบริการ โดยอาคารชั้นเดียวที่มีสภาพซอมซ่อ และพื้นสกปรกแห่งนี้แทบจะไม่มียารักษาโรค และเห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อีกทั้งแพทย์ก็แทบจะไม่ค่อยมี

    บรรดาแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่มีบาดแผล กระดูกหัก และภาวะแทรกซ้อนจากการมีครรภ์กล่าวเมื่อวานนี้ (13) ว่าพวกเขาคาดว่าต่อไปจะมีผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงมากขึ้นเข้ามารับการรักษา อย่างผู้ป่วยโรคปอดบวม ภาวะขาดน้ำ ท้องร่วง และการติดเชื้อจากปัญหาการขาดแคลนน้ำสะอาด

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.JPEG
      0.1.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      145.6 KB
      เปิดดู:
      871
    • 0.2.JPEG
      0.2.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      142.5 KB
      เปิดดู:
      767
    • 0.3.JPEG
      0.3.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      142.5 KB
      เปิดดู:
      805
    • 0.4.JPEG
      0.4.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      142.8 KB
      เปิดดู:
      1,498
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    อัตราเติบโตของศก.ญี่ปุ่นตกฮวบ หวั่น”อาเบะโนมิกส์”หมดแรง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤศจิกายน 2556 23:30 น.

    เอเอฟพี - เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.)ปีนี้ มีอัตราเติบโตลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของช่วง 3 เดือนก่อนหน้า สืบเนื่องจากภาวะส่งออกชะลอตัวและการใช้จ่ายของผู้บริโภคซบเซาลง ส่งผลให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความขลังของ “อาเบะโนมิกส์”

    เพิ่งจะตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เอง ที่เศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยซึ่งเคยซีดเซียวกลับสามารถขยายตัวเกินหน้าพวกชาติสมาชิกกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมของโลก (จี 7) ด้วยกัน สืบเนื่องจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่ฉุดค่าเงินเยนลงซึ่งกลายเป็นการส่งเสริมการส่งออก และผลักดันตลาดหุ้นวิ่งฉิว จนนโยบายของเขาได้รับการกล่าวขวัญและขนานนามว่า “อาเบะโนมิกส์”

    ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความหวังต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทว่า ในวันพฤหัสบดี (14 พ.ย. ) ทางการแดนอาทิตย์อุทัยกลับแถลงว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 3 ของปีนี้ขยายตัวด้วยอัตรา 1.9% ต่อปี ลดฮวบจากระดับ 3.8% ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า

    อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์จากผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่จัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งอยู่ที่ 1.7% และดัชนีนิกเกอิในวันพฤหัสบดีพุ่งขึ้น 2.12% จากแรงหนุนของการอ่อนตัวของเยน

    หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เศรษฐกิจญี่ปุ่นในรอบ ก.ค.- ก.ย. 2013 จะขยายตัวแค่ 0.5% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เพียงเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 0.9%

    เท่ากับว่าอัตราการเติบโตน่าประทับใจตลอดครึ่งแรกปีนี้ของญี่ปุ่นกำลังตกฮวบ จนกระทั่งตามหลังเศรษฐกิจอเมริกาที่มีอัตราขยายตัวต่อปีอยู่ที่ 2.8 % ในไตรมาส 3

    ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์เคยเตือนว่า มาตรการส่งเสริมการเติบโตอย่างห้าวหาญแบบอาเบะโนมิกส์ อันประกอบด้วยแผนกระตุ้นการใช้จ่ายขนาดใหญ่ของรัฐบาลกับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศญี่ป่น (บีโอเจ) จะไม่เพียงพอฉุดดึงเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยให้หลุดจากภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อมานานปีได้ โดยที่ยังจะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจในด้านสำคัญๆ ตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ ซึ่งรวมถึงการผ่อนคลายกฎหมายแรงงานเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจ้างงาน และการลงนามทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศหรือกลุ่มต่างๆ

    ทั้งนี้ วันพุธ (13) รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านกฎหมายปูทางสำหรับการเปิดเสรีตลาดกระแสไฟฟ้ามากขึ้น ทว่า การปฏิรูปสำคัญอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น

    จากอัตราเติบโตของเศรษฐกิจในระดับนี้ ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ บีโอเจ จะต้องขยายนโยบายผ่อนคลายการเงินสุดขีดที่ริเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ออกไปอีก นอกจากนั้นยังทำให้เกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ “อาเบะโนมิกส์”

    มาซิฮิโกะ ฮาชิโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัยไดวา มีความเห็นว่าว่า แม้ข้อมูลล่าสุดอาจน่าผิดหวัง แต่ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าอาเบะโนมิกส์ หมดแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเข้มแข็ง และการส่งออกได้รับการคาดหมายว่า จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศสำคัญๆ ของเอเชีย

    แต่กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับ “อาเบะโนมิกส์” มองว่า การเติบโตส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น ได้แรงหนุนจากแผนกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและการที่บีโอเจอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งคล้ายกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

    มาซามิชิ อาดาชิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเจ.พี. มอร์แกน ซีเคียวริตี้ส์ บอกว่า การเติบโตส่วนมากผลักดันโดยการใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะ จึงบ่งชี้ว่า อาเบะโนมิกซ์เริ่มอ่อนแรงจริงๆ และเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเข้าสู่สนามทดสอบ หลังจากรัฐบาลมีการขึ้นภาษีการขายในเดือนเมษายนปีหน้า ตามแผนการที่มุ่งลดหนี้สาธารณะที่ปัจจุบันมีมูลค่าเป็นกว่า 2 เท่าของขนาดจีดีพี และถือว่ามากที่สุดในบรรดาประเทศกลุ่มจี 7

    ทั้งนี้ ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่นำออกเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ ยังไม่ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่ามีแนวโน้มไปในทางใดแน่ เป็นต้นว่า จากรายงานที่ออกมาในวันพฤหัสบดีเช่นกัน ได้ปรับแก้ผลผลิตอุตสาหกรรมในโรงงานว่าขยายตัวเพียง 1.3% ต่ำกว่าตัวเลขที่ออกมาก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 1.5%

    ทางด้านพวกบริษัทต่างๆ ยังคงลังเลที่จะขึ้นเงินเดือนหรือเพิ่มการใช้จ่ายเงินทุน และนี่ถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม ว่ายังจะไม่ไปไหน หลังจากดีมานด์ผู้บริโภคซบเซามาหลายปีและขัดขวางการเติบโตของภาคธุรกิจ

    ขณะเดียวกัน ภาวะเงินฝืดทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย เนื่องจากหวังว่าข้าวของจะถูกลง จึงส่งผลโดยตรงต่อผู้ผลิต

    กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขณะนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง และภาคครัวเรือนมีแนวโน้มเริ่มใช้จ่ายมากขึ้นขณะที่อัตราว่างงานขยับลงและค่าแรงเริ่มไต่ขึ้น


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPEG
      1.JPEG
      ขนาดไฟล์:
      38.4 KB
      เปิดดู:
      633
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,678
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหประชาชาติ(ยูเอ็น)เผยได้รับรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่น”ไห่เยี่ยน”พัดถล่มฟิลิปปินส์ 4,460 ศพแล้ว

    วันศุกร์ 15 พฤศจิกายน 2556 เวลา 03:05 น.
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากองค์การสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ว่า สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ แถลงว่า ได้รับรายงานแจ้งตัวเลขอย่างเป็นทางการจากทางกรมสังคมสงเคราะห์และการพัฒนา หน่วยงานของรัฐบาลฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” พัดถล่มประเทศฟิลิปปินส์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 4,460 ศพ ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย 920,000 คน และ มีผู้ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ 11.8 ล้านคน

    ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ กล่าวว่า พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่พัดถล่มฟิลิปปินส์นั้น เป็นเครื่องเตือนใจที่บอบสลายให้ตระหนักถึงชีวิตตามธรรมชาติที่เปราะบางยิ่ง อย่างไรก็ตาม กำลังทหารและเจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาทุกข์ของสหรัฐได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว เพื่อนำทั้งอาหาร น้ำ ยารักษาโรคและที่พักอาศัยชั่วคราว

    ไปมอบให้ นอกจากนั้นก็ยังมีเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน ของสหรัฐ ได้เดินทางไปที่ฟิลิปปินส์แล้ว เพื่อร่วมปฏิบัติการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

    ยูเอ็นเผยเหยื่อไห่เยี่ยนถล่มฟิลิปปินส์ 4,460 ศพ | เดลินิวส์ - อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์
     

แชร์หน้านี้

Loading...